วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ผู้ใด๋ อยากฮู้ว่า แม่ใหญ่หนูหน้าตาจังใด๋ ให้ไปเบิ่งดาราที่ชื่อ "มิน พีชญา "

ผู้ใด๋ อยากฮู้ว่า แม่ใหญ่หนูหน้าตาจังใด๋ ให้ไปเบิ่งดาราที่ชื่อ
 "มิน พีชญา " โครงหน้า ปาก ดัง ตา คิ้ว แก้ม คล้ายนั่นเลย อั้ม แพนเค้ก แตงโม เมย์ นุ้ย เชียร พวกนี้ลักษณะบ่คือเลย
แต่มีดาราที่ชื่อ "มิน พีชญา" นี่หละคล้ายหน้าแม่ใหญ่หนูคัก
แต่ความขาวบ่สู้แม่ใหญหนู หุ่นบ่สู้แม่ใหญ่หนู เครื่องประดับบ่สู้แม่ใหญ่หนู เสียงกะบอไพเราะหวานสู้แม่ใหญ่หนูบ่อได้ดอกคือ
ถ้าให้ดาราชื่อ มีน เกล้าผมขึ้นใส่ชฏาแต่งชุดไทยสีทองผสมเหลืองคือในหนังพื้นบ้านที่เล่นเสาร์อาทิตย์ช่วง2โมงเช้า นั่นหละ

ที่ว่ามาหนิกะเผื่อแสดงให้เห็นว่า ตายแล้วบ่สูญ ตายแล้วคนที่มีบุญกุศลที่บำเพ็ญไว้ เวลาตายมันให้ผล มันกะพาไปเกิดในสุคติภพ กะคือเป็นเทดานางฟ้า เสวยทิพย์สุข หรือถ้าบุญกำลังบ่แฮงกะเข้าท้องเข้าคนต่อ แต่จักสิเป็นพ่อแม่คู่ใด๋ ประเทศใด๋ จังหวัดใด๋ อำเภอใด๋ หมู่บ้านใด๋ เฮียนหลังใด๋ กะแล้วแต่วิบากกรรมจะเหวี่ยงไป

การทำบุญบ่หาแต่หลาย มันอยู่ที่ใจที่มีความสงบสบาย แม้ให้น้อยกะมีผลมากมีอานิสงค์มาก 
แต่ถ้าให้มาก และที่ใจก็มีความสงบยิ่งมีผลมากอานิสงค์มากกว่าข้อบน

ฉะนั้นสิทำทานเล็กน้อยหรือทำทานมาก ให้เฮ็ดใจให้มีความสงบสะก่อนจั่งทาน จังเด้ลงใส่บาตให้พระ อันนี้เอิ้นว่าการวางจิตก่อนทาน และขณะทำก็ทำด้วยความสงบและตั้งใจอันนี้เอิ้นว่าขณะทำ หลังทำทานแล้วให้มีความดีใจ ก่อนนอนกะให้นึกขึ้นมาอีกกะใด้ อันนีเอิ้นว่าหลังทำ ถ้าทำครบทั้ง3ขณะอานิสงค์สิมากกว่าทำครบ2ขณะ ถ้าทำได้แค่ขณะที่1 กะเป็นบุญยุ แต่บ่สู้สองสามขณะ

#คนทีบ่ค่อยไดใส่บาตยามพระเดินบิณฑบาตในบ้าน
มื้ออื่นพากันมาใส่บาตยุวัดแน่เด้อ

แม่ใหญ่หนูเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2566

กรรมไม่เคยส่งใครมาเกิดผิดที่:ซาบซึ่งในคุณของพระพุทธเจ้า

กรรมไม่เคยส่งใครมาเกิดผิดที่:

ซาบซึ่งในคุณของพระพุทธเจ้า
จนน้ำตาไหล ... ถ้าบอมีเพิล
โอ้ย..ๆๆๆ   มืดบอดคัก
ผู้ใด๋เห็นคุณของพระศาสนา
เขาสิอยากรักษาไว้สืบต่อให้ถึงรุ่นหลังนานที่สุด
คือจังบูรพาจารย์โบราณกาลที่สืบต่อกันมา    

#ศาตร์พ้นทุกข์ เป็นศาตร์ที่เลิษที่สุด
แต่ก็ต้องอาศัยศาตร์อื่นก่อน จึงจะขึ้นมาศาตร์นี้ได้

วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ลักษณะการพูดของคนไม่ดี

ลักษณะการพูดของอสัตบุรุษ (คนไม่ดี)
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
เป็นที่รู้กันว่าเป็น อสัตบุรุษ(คนไม่ดี). ๔ ประการ อย่างไรเล่า ?
๔ ประการ คือ :-
(๑) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษในกรณีนี้ แม้ไม่มีใคร
ถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำมาเปิดเผยให้ปรากฏ
ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อถูกใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึง
ความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่มีทาง
หลีกเลี้ยวลดหย่อน แล้วกล่าวความไม่ดีของผู้อื่นอย่างเต็มที่
โดยพิสดาร.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.
(๒) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ
แม้ถูกใครถามอยู่ถึงความดีของบุคคลอื่น ก็ไม่เปิดเผย
ให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อถูก
ใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น ก็นำเอาปัญหาไปทำให้
ลดหย่อนไขว้เขว แล้วกล่าวความดีของผู้อื่นอย่างไม่พิสดาร
เต็มที่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.
(๓) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ
แม้ถูกใครถามถึงความไม่ดีของตน ก็ปกปิดไม่เปิดเผย
ให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อถูกใคร
ถามถึงความไม่ดีของตน ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ลดหย่อน
ไขว้เขว แล้วกล่าวความไม่ดีของตนอย่างไม่พิสดารเต็มที่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.
(๔) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ
แม้ไม่มีใครถามถึงความดีของตน ก็นำมาโอ้อวดเปิดเผย
จะกล่าวทำไมถึงเมื่อถูกใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดี
ของตน ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่ลดหย่อนหลีกเลี้ยว
กล่าวความดีของตนอย่างเต็มที่โดยพิสดาร.
ภิกษุ ทั้งหลาย. !ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
เหล่านี้แล เป็นที่รู้กันว่าเป็นอสัตบุรุษ.
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๐๐/