วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Imported post: Facebook Post: 2020-06-25T00:33:03

2 หลวงปู่มั่นท่านก็เมตตาอนุโลมทำให้ฆราวาสคนหนึ่งที่มาขอท่าน หวลงปู่ดูล อตุโล ท่านก็เมตตาไปปลุกเสกของขลังให้นะ ถ้ามองเรื่องปลุกเสกดีๆรู้ไหมว่าทางพระคิดยังไงแต่ก็คงไม่ทุกองค์ มันเป็นเรื่องธรรมดาๆไปแล้วนะเพราะปลุกเสกวัตถุมงคลมันคืออัดพลังจิตปะจุลงในนั้น ทำให้มีอานุภาพในทางต่างๆแล้วแต่จะใช้ลักษณะจิตแบบไหนทำ ยันต์หลวงปู่มั่นคนลองนำไปทดสอบก็ยิงปืนไม่ได้เลย ลองหาอ่านดู มีป้านักปฏิบัติธรรมคนหนึ่งที่ชอบโดนผีมาก่อกวน พอเขามีของขลังคือกริช แล้วผีก็กลัวไม่มาก่อกวนป้าแกอีกเลยเวลานอน เรื่องปลุกเสกนี่มีมาแต่สมัยโบราณแล้ว เช่นควยธนูนี่เป็นอะไรที่ใช้ในทางให้เป็นบาปก็ได้ แต่พระสงฆ์ท่านไม่ปลุกเสกไปในทางที่ไม่ดี ไม่ให้ผลร้ายต่อผู้มีของขลัง ต่อไปนี้อย่าติเตียนเพราะจะเป็นบาปกรรมหนัก เรียกว่าติเตียนพระอริยะเจ้า อ่านแล้วมองเป็นเรื่องเฉยๆ พระอริยะท่านก็มีนะที่ท่านปลุกเสกของขลัง เพื่อประโยชน์บางอย่าง เพราะโยมมาขอให้ท่านเมตตาทำให้ เช่นที่หลวงปู่มั่นภูริทัตโต เรื่องยันต์ องค์อื่นๆอีกเท่าที่รู้ แต่ไม่ขอพูด สายปู่หนูนี่เป็นสายขาว สายแก้ สายช่วยคน ช่วยคนก็ได้บุญบารมีอีกแบบหนึ่งนะ เรียกว่าเมตตาทำสิ่งที่ดีต่อผู้อื่น จะต่างจากอีกสายที่ใช้วิชาอาคมทำคุณไสย์ดำใส่คนในบางครั้งให้ได้รับความเดือนร้อน เช่นตะปู ใบมีดโกน ซากสัตว์ทำใส่ร่างกาย ปลุกควยธนูทำร้าย คือแค่ปลุกเสกควยธนูเฉยๆแต่ไม่ใช้ไปลำลายคนอื่นยังไม่บาป แต่คนที่มีวิชาสายดำเขาไม่ได้ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีเป็นบาปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เรื่องดีเขาก็ทำ พวกเราอย่าไปจ้างให้ไปทำของใส่คนที่เราเกลียดไม่ชอบนะ เราบาป คนทำก็บาป คนถูกทำของใส่ก็เป็นทุกข์ ในบางครั้งคนถูกทำของใส่มาให้ลูกศิษย์ปู่หนูแก้ ถอดของออกจากกายสังขาร ก็มีเศษผมเศษตะปูอะไรออกมากับไข่ ฯลฯ ก็แปลกนะมันเข้าไปอยู่ในใข่นั่นได้ยังไง แต่วิชาธัมบันลุบันดาลนี้ถ้าเรียนมีข้อห้ามด้วย ถ้าจะเรียนตั้งแต่งขันธ์ครูมีอะไรหลายอย่างเลย มีพาน มีดอกไม้ ธูปเทียน ฯลฯและอื่นๆอีกหลายอย่างกว่านี้ ข้อห้ามก็มีหลายข้อ ถ้าทำผิดแล้วมันจะเป็นผลร้ายต่อตนด้วย หน้าจะดำค้ำสุขภาพไม่ดีทันตาเห็น ถ้าไม่แก้จะเป็นผลไม่ดีต่อร่างกายไปเรื่อยๆ เหมือนโดนมนต์ดำ วิธีการแก้รักษากายก็ยุ่งยาก สายขาวมีข้อห้ามทำ ส่วนเรื่องสายดำนี่ไม่รู้เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องสนใจ แต่ก่อนศึกษาวิชาอาคมคาถามนต์ตรานะ คิดว่าจะเรียนไว้ป้องกันตัวถ้ามีภัยจากอมุษย์ภูตผีภายนอก ก็เริ่มศึกษาทดลองด้วยศีลที่บริสุทธิแล้วทดลองสวดคาถาพอสวดแล้วรู้มีพลังงานบางอย่างเกิดขึ้นภายในกายร้อนๆ แต่พอสวดอีกบทจะรู้สึกเย็นๆๆกาย มันก็แปลกดีนะ และเคยโดนผีอัมพูดไม่ได้ขยับไม่ได้ ก็สวดคาถาบทหนึ่งในใจก็ปรากฏว่าผีมันก็ไป ก็เลยมองว่ามันเป็นของดีอีกอย่างไว้ช่วยตนเอง เพราะไม่ได้อภิญญามีอิธิฤทธิ์ แต่สุดท้ายก็เลิกศึกษาเล่าเรียน ส่วนเรื่องภายในใจปู่หนูนี่ท่านมีธรรมภายในใจคือท่านมีศีลภายในที่บริสุทธิ์นะ ถึงแม้สิ่งที่ท่านทำมันจะเป็นโลกะวัชชะชาวโลกติเตียน แต่การกระทำเหล่านั่นไม่ใช่เป็นการทำบาป เพราะท่านไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดโกหก ไม่ดื่มเหล้า แต่กินเอ็มร้อยฉันกาแฟอยู่ ก็ปกตินะและอื่นๆอีกที่เป็นศีลในกุศลกรรมบทสิบ ส่วนข้อจิตใจนี่ไม่รู้ว่าท่านทำได้บริสุทธิ์ไหมหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าถ้ายังไม่ใช่พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ศีลทางจิตจะมีหลุดบ้างก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน มีโกรธขึ้นมา มีโลภะขึ้นมา ก็ต้องละทิ้ง ศีลทางจิตคือไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ให้มีนิวรณ์ เพราะทุกคนถ้ายังจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิตลอดเวลามันอาจมีโลภโกรธขึ้นมา เราต่างต้องสู้กับกิเลสของตนให้ชนะไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยม จะสมาทานหรือไม่สมาทานรักษาศีลแม้ไม่ได้สมาทานถือศีล แต่ถ้าทำผิดมันบาปทันทีนะ โกรธขึ้นมาก็บาปทีหนึ่ง น่าเบื่อกิเลสนะถ้าหนีเข้านิพพานมันง่ายคงไปหมดแล้ว แต่บารมียังไม่เต็มก็ต้องสร้างบำเพ็ญให้เต็มต่อไป เมตตาบารมียังไม่เต็มก็ต้องมั่นเจริญเมตตาบ่อยๆ น่าคิดนะคนเราไม่รู้ว่าตัวเองบารมีเต็มแล้วหรือยัง ขาดบารมีข้อไหนที่ยังไม่เต็ม ศีลบารมียังไม่เต็มก็ต้องบำเพ็ญอีก ศีลภายในคือศีลทางกายและวาจาและทางใจที่เป็นวิบากให้ผลกับจิตเป็นกุศลโดยตรง ที่ว่าเป็นวิบากให้กับจิตโดยตรงนี้ก็คือ คือถ้าทำก็มีวิบากคือสุคติภพ ถ้าผิดจะนำให้ไปเกิดในอบายภูมิ อันนี้เรียกว่าศีลภายใน ให้ลองไปดูในมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นฝ่ายสัมมามรรค มันจะมีศีลเกี่ยวกับข้อประพฤติทางกายที่บริสุทธิ์ เรียกว่า ศีลบริสุทธิ์ทางกาย การไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มเหล้า เป็นต้น ส่วนศีลบริสุทธิ์ทางวาจาก็คือ ไม่พูดเท็จพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ความจริงการพูดใส่ร้ายใส่ความการพูดว่าให้ใครในแบบจิตสัมปยุต ด้วยอกุศลเจตสิก มันผิดศีลทางวาจาทั้งนั้น อันนี้ก็คือเป็นศีลทางวาจานะ อันนี้จะเป็นวิบากนำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ แล้วเป็นฐานให้อบรมจิตขึ้นสู่สมาธิปัญญาต่อไปได้ และก็สุดท้ายเลยคือเป็นศีลทางจิตก็คือการไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้นที่จิต ระวังป้องกันไม่ให้จิตเกิดบาปอกุศลขึ้น เช่นไม่ปรุงแต่งความโกรธ แล้วก็ไม่ปรุงแต่งความโลภ ไม่ปรุงแต่งกระแสจิตที่สัมปยุต วิหิงสาอกุศลคือเบียดเบียน ไม่ปรุงแต่งกระแสจิตที่สัมปยุตกามพยาบาท แล้วก็ไม่ให้เกิดนิวรณ์ ไม่ให้เกิดอภิฌา ไม่ให้เกิดโทมัส เป็นต้น นี่ก็คือเป็นศีลจริงๆเรียกว่าเป็นศีลในองค์มรรค เป็นศีลแท้ที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ท่านสอน ให้ยึดตัวนี้เป็นหลัก ส่วนศีลภายนอก เรียกว่าเป็นศีลที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่ของหมู่สงฆ์คณะสงฆ์ เพื่อให้มีความเรียบร้อยอยู่ด้วยกันด้วยความสงบสุข และให้ศาสนามีการดำรงไปต่อได้ด้วยดี ถ้าหากฆราวาสเห็นว่าไม่สมควรตำหนิติเตียนเรียกว่าโลกวัตชะ ทำผิดแล้วชาวโลกติเตียน อย่างเช่น รับเงินในสมัยนี้ชาวบ้านเขาไม่ค่อยติเตียนพระแล้วเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ไม่ทุกหมู่บ้านนะ ฉันอาหารในเวลาวิการณ์ พรากของเขียว ตัดไม้ดายหญ้า มีจีวรล่วงอรุณ พวกนี้ถ้าผิดมันไม่ได้เป็นวิบากกรรมที่ส่งให้ไปเกิดในอบายภูมิโดยตรง เพราะอย่างนี้ฆราวาสที่เข้าวัดฟังธรรมกินข้าวเย็น ไปตัดไม้ทำฟืนตัดหญ้าตามทุงนา รับเงินเดือน จึงไม่มีวิบากนำไปเกิดในอบายภูมิ๔เพราะเหตุนี้ แต่พระนี่ถ้าคิดกังวลว่าไม่ควรแล้วไปทำ แล้วใจเกี่ยวเนื่องเป็นอกุศลอันนี้เป็นวิบากตายแล้วไปอบายภูิมิได้ ดังเช่นเรื่อง เอกปัตตะนาคราช ที่สมัยแต่ก่อนเป็นพระแล้วเผลอพรากของเขียวทำตระไครน้ำขาด แล้วไม่ได้ปลงอาบัติก่อนตายชะวะนะจิตยกอารมณ์เรื่องพรากตะไคร้น้ำขาดขึ้นมาสัมปยุตแล้วเศร้าหมอง ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นนาคเดรัจฉาน ไม่ใช่นาคเทวดาที่บรรลุอริยะธรรมได้ ---------------------------- เรื่องอธิกรณ์นะ ถ้ามีเรื่องอธิกรณ์เอาง่ายๆเลยสรุปเลยแล้วกันนะ ในการขับไล่ท่านเนี่ย ไม่รู้นะว่าพินิจพิจารณาจากดุลพินิจข้อไหน ถ้าเอาวินัยตรวจสอบจริงๆนะก็ให้พิจารณาใช้อธิกรณ์สมถะระงับ ระงับอธิกรณ์เรื่องนั้นๆที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ บอกกล่าวด้วยวาจาก่อน หรือส่งหนังสือแจ้งไปบอกก่อน ถึงเรื่องที่ทำว่าเป็นยังไงๆ เช่นเรื่องพระรับเงินมีพระอาจารย์รูปหนึ่งสวดปาฏิโมกได้รู้วินัยมากบอกใช้ วิธีกลบไว้ด้วยหญ้า ฟังแล้วควรให้จัดหาโยมคนวัดเป็นคนรับแทน ถ้าหาได้นะ เวลาจะใช้ค่อยบอกโยม กิจภายในหมู่สงฆ์มีหลายเรื่องมาก ทั้งการทำสังฆกรรม สวดปาฏิโมก ฯลฯ เกี่ยวกับบิณฑบาตก็มี ต้องนุ่งผ้าห่มผ้าให้พอดี ฉันอาหารในเวลาที่ควร ก็คือไม่เลยเที่ยง ทั้งที่แต่ก่อนในพระไตรปิฏกพระอุทายีฉันได้เช้า เที่ยง เย็น เลย แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าตัดมื้อเย็นออก และต่อมาก็ตัดมื้อเที่ยงออก ตอนนี้พระเลยได้ฉันแค่เวลาเช้าไปจนถึงก่อนเที่ยง ข้อห้ามเยอะนะ ไม่รับเงิน ไม่ปล่อยให้ผ้าจีวรล่วงอรุณ ถ้าไม่ได้อยู่กับตัว ห้ามตัดหญ้าดายหญ้า ห้ามขุดดิน ห้ามขึ้นต้นไม้ถ้าไม่จำเป็น ห้ามก่อไฟ ห้ามอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง เป็นต้น แล้วที่สำคัญก็คือห้ามเล่าเรียนคัมภีโลกายตนะ ก็คือเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับศาสต์ทางโลก เป็นคัมภีร์ศาสตร์อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับคำสอนที่เนื่องด้วยอบรมจิตให้เป็นศีลสมาธิปัญญา พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติเป็นทฺุกกฺฏหรือว่าทุกกฎ คำว่าทุกกฏฺไม่ได้หมายถึงทุกข้อนะ แต่มันเป็นภาษาบาลีแปลว่าทำไม่ดีนะ หนึ่งเลยก็คือรับซอง เงิน สิกขาบทข้อนี้เนี่ยก็เคยอ่านนะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำนี่คิดว่าข้อนี้น่ะเป็นข้อที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ถอนออกได้ เพราะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป อันนี้จริงๆอ่านมา ในเรื่องการรับเงินก็เห็นพระรูปหนึ่งรับนะรับสมัยพรรษา 1 บวชเสร็จ ในบ้านมีคนตายไปสวดอภิธรรม ซองเยอะมากๆ พอรับแล้วไม่ได้รับเอาไปทำเรื่องไม่ดีเลย ก็เห็นมีแต่เอาไปทำประโยชน์นะ เติมเงินสมัครเน็ตฟังเทศณ์ อ่านธรรมะ อื่นๆอีก จนมาพิจารณาว่าถ้าพระรูปนี้ไม่รับเงินและมาสมัครเน็ตนี่จะรู้ธรรมะและส่งต่อยอดจนถึงได้อ่านคัมภีร์พระไตรปิฏกในแอพ etipitaka ใน play store ไหมนะ จะได้ฟังเทศณ์ไม่นะ และค้นหาข้อธรรมที่สงสัยไม่นะ ได้คำตอบว่า น่าจะยาก คือถ้าบวชในวัดที่เคร่งวินัยข้อห้ามรับเงิน ก็คงไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตมือถือและอาจจะไม่ได้เล่นโทรศัพท์เลย ส่วนปู่หนูแต่ก่อนที่ไปวัดท่านก็ถวายซองให้ฝากกับศิษย์ไว้ก็เอาไปทำประโยชน์นะ ไม่ได้เอาไปทำเรื่องไม่ดี ถ้าพูดถึงเรื่องพระรับเงินมีหลายวัดนะมันจะยาวก็ไม่ขอพูดมาก แต่คิดว่าการให้โยมรับแทนแล้วเวลาจะใช้ค่อยบอก มันยุงยากยุนะ มันไม่เหมือนรับไว้เองเวลาจะใช้ก็ใช้ได้เลย แต่ภายหลังก็จำเป็นต้องทำตามสิกขาบท พระรูปนนี้เวลาใช้เงินก็มีแต่ทำประโยชน์ สร้างบุญ สร้างโรงพยาบาล ทำcdธรรมแจกตามที่ต่างๆหมดไปหลายหมื่นเลยนะ จะว่าบาปคงไม่ถูกเพราะจิตคนละดวงกับอกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิตเจตสิก สำหรับปู่หนูถ้าท่านใช้เงินก็คงจะเป็นในการทำประโยชน์สร้างบารมี เรื่องฆ่าสัตว์ไม่เคยเห็น เรืีองขโมยก็ยังไม่เคยเห็น คือศีล๕ไม่เคยเห็นท่านผิด ศีล8ก็เหมือนกัน ส่วนศีลข้ออื่นๆไม่รู้ไม่ได้อยู่กับท่านตลอด อันที่เป็นบาปท่านคงไม่ทำ ท่านก็มีแต่ไปช่วยคนนะ ไปช่วยคนช่วยยังไงรู้ไหมเขานิมนต์ให้ไปทำพิธีนู่นนี่นั่นท่านก็ไป และก็ไปในธุระเกี่ยวกับธรรมของท่าน ก็ไม่อยากพูดมากนะ ทั้งเรื่องอสุภะพิจารณากายท่านก็บอกนะ เหมือนว่าท่านเอาทั้งธัมบันลุบันดาลและกรรมฐานธรรมในพระไตรปิฏก ขอสรุปว่าปู่หนูอยู่สายขาว พระองค์ไหนโดนของหรือฆราวาสคนไหนโดนของผีเข้าเป็นต้นไปหาท่านได้ แต่ก่อนสมัยพุทธกาลก็มีนะพระถูกทำของใส่ถูกทำยาแฝดใส่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกวิธีแก้ว่าให้ไปเอาดินใต้ผานไถที่เขาไถดิน นำมากิน ก็ทำตามและก็หายจากเสน่ยาแฝดนั้น และก็ตอนนี้ก็มีคนตำหนิติเตียนเรื่องนี่มาก ที่ว่าสื่อวิญญาณ อวดอุตริความจริงแล้วไม่ควรใช้คำว่าสื่อวิญญาณนะ รู้จักไหมคำว่าวิญญาณ วิญญาณในความหมายของพุทธศาสนาในจริงๆมันคือวิญญาณธาตุ ก็คือธาตุรู้ หรือว่าธรรมชาติที่รู้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ความหมายของวิญญาณในพุทธศาสนาแบบนี้ ส่วนความหมายที่คนเข้าใจกันอยู่ในทุกวันนี้ไม่ทุกคนนะ "วิญญาณมันคือภาวะอย่างหนึ่งหรือว่าพลังงานอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ออกจากร่างของคนตาย อันนี้ใช่ไหมที่เข้าใจกันว่าเป็นวิญญาณ แต่ในความหมายทางพุทธศาสนาเนี่ยเขาไม่ได้เรียกวิญญาณนะ เขาเรียกว่าเปรต เปตะซึ่งแปลว่าผู้ละไปจากโลกนี้แล้ว เรื่องอวดอุตริ ทำท่าที ร้อง หมุนตัว 70 กว่ารอบ ทำท่าทางต่างๆนั้น มันไม่ใช่อวดอุตริที่ไม่มีในตนตามพระวินัยปิฏกว่าไว้นะ คนที่เคยถูกผีสิงร่าง หรือเทพลงประทับ หรือถูกผีอัมบังคับร่างกายไม่ได้จะพอเข้าใจว่ามันเป็นยังไง ดวงธรรมประทับร่าง นั้นคือจิตของเทพเทวดาลงมาแทรกในร่างกายท่าน แทรกแบบครึ่ง จะทำให้รู้สึกตัวแต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้ ถ้าแทรกแบบเต็มตัวเลยจะไม่รับรู้ว่าตัวเองทำอะไรจับจิตของเทพที่มาประทับไม่ได้เลย ความจริงท่านจะปิดไว้ไม่ให้จิตเทพภายนอกมาแทรกก็ได้มีวิธี แต่นี่ท่านเปิดไว้เพราะว่ามันมีประโยชน์บางอย่างในการทำพิธี เช่น เทพที่ฤทธิ์มากมาช่วยปลุกเสขวัตถุ นาคที่ฤทธิ์มากมาช่วยปลุกเสก เป็นต้น ที่ว่าเรื่องดวงทำมาเข้าร่างประทับร่างหรือที่เข้าใจเป็นว่าวิญญาณมาเข้าร่างมันไม่ใช่ มันคือจิตเทพเทวดามาประทับแทรกเข้าร่างทำพิธีในขณะนั้น ก่อนอื่นขออธิบายให้ฟังก่อนนะว่า มนุษย์เราทุกคนนะ ถ้าสมมุติว่าไม่ได้ปิดร่างไว้ ก็คือมันก็เหมือนเปิดหน้าต่างหรือช่องไว้ อะไรก็มาสิงได้ หรือมาประทับได้ แทรกเข้ามาในกายได้ ทั้งพวกคนที่ตายแล้ว ก็มาเข้าแทรกได้ หรือจะเป็นเทพ ก็สามารถมาแทรกได้ อย่างเช่น เช่นเวลาเรานอนหลับ แล้วเกิดความฝัน ฝันว่ามีใครมาบอกเลข 1 2 3 4 ให้อุบายไปซื้อเลข หรือ ฝันว่าพรุ่งนี้จะมีญาติมาหา ฝันว่ามีคนบอกว่าให้ระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เหล่านี้เป็นต้นนะ เป็นภาวะของจิตภายนอก ที่เข้ามาแทรกในกายส่วนศรีษะของเรา แล้วก็ปรุงแต่งปรุงแต่งไว้ใส่หัวแล้วพอเราตื่นขึ้นมา เรานึกระลึกถอยหลังไปตอนเมื่อคืนที่หลับนอนแล้วเราก็รับรู้ว่ามันเป็นภาวะความฝัน เป็นการฝันว่า เลข 1234 เป็นต้น อันนี้ก็คือเป็นข้อมูลของสิ่งที่เข้ามาแทรกเขาทิ้งไว้ ไม่ใช่ความคิดปรุงแต่งของเราหรอก ถ้าไม่มีอะไรแทรกเลยเวลานอนแล้วฝันปรุงแต่งไปเองอันนี้ใช่อยู่ แล้วทีนี้เอาจริงๆแล้วมันก็ออก 1234 จริงๆ โดยที่เราเองก็ไม่ได้มีความรู้ความสามารถความพิเศษอะไรเลย แต่กับ ไปซื้อเลขแล้วถูก นี่ก็คือเป็นข้อมูลความคิดของผู้ที่เขามาแทรกแล้วปรุงแต่งไว้ในหัวของเรา ส่วนถ้าเราไม่อยากให้มีอะไรมาเข้าแทรกร่างเราเข้าฝันเราหรือว่าเข้าสิงเรานะ ก็ต้องทำพิธีอุดไว้ก็คือไม่ให้อะไรเข้ามาแทรกร่างเราได้ก็คือว่าเมื่ออุดไว้มันเข้าไม่ได้แล้ว ส่วนมากถ้าเป็นเทพที่ลงมาประทับเกี่ยวกับมนุษย์เนี่ย ก็ต้องเป็นเทพที่มีบุญสัมพันธ์กันหรือว่ามีบางอย่างสัมพันธ์ต่อกัน ถึงได้มามีส่วนเนื่องด้วยกันแบบนี้ เวลาเทวดามาแทรกเข้าร่างถ้าเข้้าแบบไม่เต็มจะเป็นภาวะกลางๆ เราจะรู้สึกถึงพลังของเขาว่าจิตระดับนี้เย็นเป็นฌานสว่างใส จิตเราจะหลุดจากฐานเดิมบ้างแล้วและรับรู้ตัวพลังงานของเทพได้ว่าจิตเขามันเป็นยังไง มันเย็นๆ มันไม่เฉยๆเหมือนเรา และก็เวลาที่ร่างกายเคลื่อนไหวมันมาจากเทพที่ทำการเคลื่อนไหวไม่ใช่เรา เวลาปากมันขยับพูดก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเข้าแทรกแบบเต็มเลยจะไม่รับรู้อะไรเลยว่าในขณะนั้นร่างกายเคลื่อนไหวอะไรพูดอะไรออกไปบ้าง ต่อเมื่อเขาออกจากร่างแล้วเรามานึกย้อนถอยหลังดูจึงรู้ แต่ก็มีแบบนึกๆยังไงก็จำไม่ได้เหมือนกัน ขณะที่มีอะไรมาประทับน่ะมันจะแบ่งเป็น 2 ระดับนะ ก็คือถ้าสมมุติว่าท่านมาประทับแบบเข้าจนมิดชิดคือแทรกจิตของเราเข้าไปอยู่ในฐานเดิมเลย เราจะไม่สามารถรับรู้หรือจำอะไรได้เลยว่าในขณะนั้นน่ะเราเป็นยังไง มันจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าออกไปแล้วเนี่ย เรามานึกถอยหลังดูว่าเป็นยังไงยังไง คิดอันนั้นอันนี้ไว้มันก็จะลงสู่หัวของเราเราถึงจะไปดูได้ว่าตอนนั้นน่ะท่านคิดอะไรทำอะไรอยู่ เรียกว่าแทรกแบบเต็ม แต่ถ้าสมมุติว่ามาเข้าแทรกแบบกลางๆก็คือไม่แทรกมาก ก็จะอยู่กลางๆแบบนี้ คือในระดับที่สามารถที่จะให้เกิดการรับรู้กันได้นะคุยกันได้ระหว่างสองฝ่ายระหว่างฝ่ายผู้ที่ถูกประทับสิงแล้วก็ผู้ที่มาเข้าสิง ก็จะคุยกันได้ ส่วนมากที่ที่เรานอนกัน แล้วมีจิตอื่นมาแทรกเราได้ในเวลานอน จะเป็นการแทรกแบบ แบบไม่เต็ม หรือจะแทรกแบบมิดชิดเต็มก็ได้ อันนี้ก็คือเป็นการเข้าประทับแบบเต็ม ทำให้จิตเราถอยกลับไปอยู่ตรงที่ฐานๆเดิม ส่วนถ้าเป็นอีกแบบนึงก็จะสามารถจับจิตกันได้ แล้วก็รู้ตัวนะว่าทำอะไร เคลื่อนไหวยังไง พูดอะไร แต่ว่าบังคับไม่ได้ เหมือนอาการเหล่านั้นมันเป็นไปเองของมัน พูดออกไปเองของมัน โดยที่ไม่ใช่เราเป็นผู้ทำ เราก็อยู่เฉยๆ อันนี้ก็อธิบายว่าเพราะว่าผู้ที่สิงอยู่นะเป็นตัวทำไม่ใช่เราทำ อันนี้ก็คือในสมัยก่อนน่ะ หลังจากนั้นหลังจากนั้นผ่านไปก็ได้เริ่มมาศึกษาตำราทางพุทธศาสนา อ่านมากขึ้น ฟังเทศน์ ในวิธีปฏิบัติ ในการทำสมาธิ ในการทำวิปัสสนา เดินจงกรม แล้วก็การกำหนดสัญญาต่างๆ ทั้งอนิจจสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวะสัญญา เยอะมาก ก็เลยอ่านพระสุตตันตปิฎก อ่านพระสุตตันตปิฎกจนมาถึงเล่มที่ 22 ก็สุดยอดมากเลยถือว่าเป็นคนมีบุญมากที่ได้อ่านคำสอนพระพุทธเจ้าได้มากขนาดนี้ แล้วจากนั้นน่ะก็มาอ่านพระวินัยปิฎก อ่านพระวินัยปิฎก อ่านมาหลายเล่มเหมือนกัน เหลือเล่มสุดท้ายที่ยังอ่านไม่จบ ถ้าจบเล่มสุดท้ายนี้น่าจะรู้และครอบคลุมเยอะ ส่วนอภิธรรมนี่ อ่านไม่จบเลย เริ่มอ่านเล่มแรกไปแล้ว แต่ว่าอ่านไม่จบ ส่วนชาดกนี่ก็อ่านไม่จบ อ่านไม่จบเลย ตอนนี้ก็เลยมาสรุปได้ว่าก็คือรู้ในวิธีการทำสมาธิแล้ว ในการน้อมจิตไปทำวิปัสสนา ที่จะขอเล่าให้ฟังก็คือ ถ้าเราทำจะมาทีละมันมันจะทำให้ใจเราสงบ อย่างเช่นนั้นรู้ลมหายใจเข้าออกมันจะรวมๆเข้ามารู้สึกรู้ตัวเข้ามาฐานจิตเดิมมากขึ้นๆเรื่อยๆ ตีวงแคบเข้ามาเรื่อยๆเข้ามาเรื่อยๆ รู้สึกตัวมากขึ้น แล้วทีนี้ต่อไปมันก็จะเกิดภาวะใจประณีตมากขึ้นนะครับ มันจะเป็นปิติแล้วที่นี่มีอาการพองเหมือนว่าเราอ่ะตัวพองขยายใหญ่ อันนี้เขาเรียกว่าปิตินะครับผม แล้วก็การนั่งสมาธิแต่ละครั้งมันก็จะไม่เหมือนกันเนาะ นั่งข้างนั่งไปมันก็จะไปไปเรื่อยๆนะไปถึงฌานก็มี ถ้าเป็นขั้นชานี้จะมีความสุขมากนะเป็นมันจะเป็นเย็นๆแล้วก็เป็นกระแสความสุขที่แปลกๆไม่เคยพบเคยเห็นประมาณว่ามีสุขมากไม่ต้องกินข้าวซัก 3 วันก็ได้ถ้าอยู่กับสภาวะนี้ ครับส่วนการเจริญปัญญา ก็พิจารณาเกี่ยวกับร่างกาย หรือนามธรรม กายภายในกายภายนอก เห็นผู้หญิงสวยๆหรือชายหล่อๆเราก็มองไปถึงข้างในตับไตไส้พุงกระดูกกระเดี้ยวอะไรทำนองเนี้ยแล้วก็น้องไปว่ามันเป็นภาวะที่ไม่น่ายินดีไม่น่ารักใคร่ไม่น่าให้เกิดความกำหนัด หรือว่าจะปรุงแต่งให้เกิดเป็นภาพทางใจว่าตัวเขาอ่ะมีพวกหนอนพวกแมลงวันน่ะพวกอะไรต่างๆแล้วไม่ให้เกิดความลุามลงเนี่ย อันนี้คืออสุภะนะครับที่ทำ แต่มันก็มีหลายหมวดนะครับที่เป็นอสุภอันนี้ก็คือพูดยังไม่หมด การสำรวมอินทรีย์สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายและก็ใจ ไม่ให้มันเกิดอกุศลทางใจไม่ให้มันเกิดบาปขึ้นมาเพราะว่าถ้าเราเกิดบาปขึ้นมาทางใจน่ะก็จะไปผิดศีลเกี่ยวกับทางจิตใจในองค์มรรคทันที ถ้ามีบาปทางใจแล้วเราต้องรีบละทิ้ง การพูดจาเราก็ต้องระมัดระวัง พูดด้วยใจที่หวังดี อย่าพูดด้วยใจที่หวังร้าย จะปลอดภัย เพราะลักษณะเจตสิกจะเป็นกุศลจิตถ้าเราพูดด้วยหวังดีนะมันคือวจีกรรมที่ประกอบำปด้วยเมตตา โดยเฉพาะบุคคลท่านที่มีศีลภายในองค์มรรค ถ้าเราไปด่า ด่าว่าไอ้ขอทานเนี่ยเหยียดหยามเลย ไอ้ขอทานไอ้รับเงินอย่างนี้ ต่อไปเนี่ยมันจะมีวิบากอย่างหนึ่ง ถ้าเราไปด่าว่าให้พระปัจเจกแบบนี้ กรรมจะส่งไปนรกได้ และต้องกรรมจะจะทำให้เรากลายเป็นขอทาน 500 กว่าชาติ แต่ถ้าว่าให้ผู้ที่ได้ฌานมีอภิญญา๕ อาจไม่ตกนรก แต่ตองเกิดเป็นขอทาน500ชาติ นึกขึ้นได้อย่างเช่นที่พระนางอะไรนะที่เป็นภิกษุณีนะครับ เป็นภิกษุณีอรหันต์นะครับแต่ว่าท่านเป็นคนหลังค่อมที่ท่านเป็นคนหลังค่อมก็เพราะว่ามีในสมัยหนูนานแล้วหลายชาติหลายภพหลายชาติเลย ท่านเห็นพระปัจเจกหลังค่อม แล้วท่านก็ทำอาการล้อเลียนทำท่าหลังค่อมล้อเลียนพระปัจเจก แล้วทีนี้ผลของการล้อเลียนนั้นน่ะ มันส่งผลให้ท่าน เป็นคนหลังค่อมอยู่ 500 ชาติ หรืออย่างเช่น ที่พระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เลย พระองค์กับภิกษุ500รูปที่ต้องได้ฉันแต่ข้าวแดงตลอด1พรรษา เพราะกรรมที่แต่ก่อนหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านกับภิกษุเหล่านี้เคยไปพูดกล่าวด้วยจิตที่ไม่ใช่กุศลจิตที่หวังดี ว่า"ท่านจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง" ถึงชาติที่ท่านตรัสรู้รู้ความจริงในสิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุดที่มนุษย์ควรรู้ คือการดับรูปนาม หมดทุกข์เป็นบรมสุขเรียกว่านิพพาน เป็นสิ่งที่ประเสริฐมากที่สุด แต่ต้องเข้าถึงด้วยการบำเพ็ญบารมี10ปฏิบัติกรรมฐาน จนถึงอริยะเป็นจิตแบบพระอรหันต์ แม้จะเป็นพระหรือไม่ก็ตาม รู้สึกสงสารนักประกาศข่าวช่องๆหนึ่งที่ทำพฤติกรรมเลียนแบบเช่นนั้น ต่อไปอย่าทำอีกจะดีต่อตนเอง และประทับใจที่นักประกาศข่าวคนนี้ที่พูดได้ดีมากและเป็นประโยชน์ต่อพุทธศานาด้วย แต่ก็สงสารที่ไปเลียนแบบเช่นนั้นและคนคอมเม้นแนวเชิงลบแบบอกุศลอีกเยอะแยะเลย ที่ทำพฤติกรรมแบบนั้นก็คงตำหนิคิดว่าไม่ควร ก็ถ้าเราแสดงความคิดเห็นด้วยใจที่เป็นกลางว่าท่านทำไม่ควร มันก็ไม่บาปนะ แต่ถ้าเราแสดงความคิดเห็นด้วยมุ่งให้เสียหายหรือทำลายมันจะทำให้บาป ถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่แสดงความคิดเห็นว่าด้วยจิตที่เนื่องด้วยอกุศลจะเป็นการแสดงความคิดเห็นด้วยใจที่บริสุทธิ์ แต่นี่ไม่ระวังตัวเองเลย ถ้ามีข่าวแนวนี้ออกมาถ้าไม่ชอบอยู่เฉยๆยังจะดีกว่าไปคอมเม้นด่าพระ พระที่ใจบริสุทธิ์แต่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่สมควรก็มีนะในสมัยก่อน เช่นพระอรหันต์ไปแสดงธรรมให้นางภิกษุณีจนค่ำ แค่นี้ก็เป็นเรื่องมีมูลเหตุให้นำไปบอกพระพุทธเจ้าและก็บัญญัติสิกขาบทห้ามพระไปสอนธรรมภิกษุณีจนค่ำ ถ้าทำผิดปรับอาบัติปาจิตตีย์ คือแม้ว่าจะเป็นอรหันต์หรือพระปุถุชนไปสอนธรรมภิกษุณีจนค่ำ ก็ถูกปรับอาบัติ เนื่องด้วยเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพราะไปคนเดียวแต่อยู่กับภิกษุณีซึ่งเป็นสตรี ท่านก็เลยปรับเป็นอาบัติไว้ และเรื่องไสยศาสตร์ที่พระมีวิชาอาคมไว้ป้องกันตัวมันก็เป็นเรื่องธรรมดาๆนะ มีไว้ก็ดีนะ เช่นคาถาต่อกระดูก คาถาหยุดเลือด คากันพวกผี คาถานี่มีเยอะนะ ถ้าเป็นแต่ก่อนมีนาคนะที่ใช้ฤทธิปะทะกันกับพระสาคตะ พระสาคตะนี่ได้อภิญญามีฤทธิ์ นาคนั่นก็บังหวนไฟออกมาใส่พระสาคตะจะเอาถึงตายเลยว่างั้น ส่วนพระสาคตะก็ใช้ฤทธิบังหวนป้องกัน จนในที่สุดพระสาคตะก็ปราบนาคตัวนั้นที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนได้ นาคนั้นก็ยอมสยบพ่ายแพ้ไป แต่ถ้าเป็นในสมัยนี้นาคที่ประสงค์ร้ายต่อพระก็มีนะ เช่นในสมัยหลวงปู่มั่นกับศิษย์อยู่ในป่า ก็มีพญานาคผู้ไม่เลื่อมใสในพระ มาปล่อยพิษลงในน้ำไว้ เพื่อว่าถ้าพระกลุ่มนี้มาใช้น้ำจะได้โดนพิษของตนได้รับความทุกข์ไปจะได้หนีไปอยู่ที่อื่น แต่หลวงปู่มั่นท่านหยั่งทราบด้วยญาณจึงเรียกพญานาคตัวนั่นมาแล้วแสดงธรรมให้ฟัง แล้วบอกให้ไปถอนพิษออกจากแหล่งน้ำนั้น ก็ทำตามที่หลวงปู่มั่นบอก แต่ถ้าเป็นหลวงปู่ตื้อนี่ท่านใช้วิชาอาคมกับพญานาคด้วยนะด้วยเหตุผลของท่านบางอย่างไปหาอ่านเอาเด้อ ถ้าเป็นพระเราไปอยู่ในป่าไม่มีฤทธิ์เลยไม่มีวิชชาอาคมเลย ถ้าโดนพวกอมนุษย์หรือนาคพวกที่ไม่ศรัทธาจะมาทำร้ายนี่เสร็จเลยนะ ถ้าเรียนไว้ป้องกันตัวนิดหน่อยก็ดีนะ เวลาเห็นพระผิดวินัยภายนอกระดับเบาเช่น ปาจิฺตติยํง ทุกกฺฏ เห็นแล้วเฉยๆนะ เพราะสิกขาบทเล็กน้อย มีบ้างข้อที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ถอนออกไม่ต้องปฏิบัติได้ เมื่อสงฆ์พร้อมใจกันจำนงถอน อันนี้คือในครั้งสมัยพุทธกาลท่านอนุญาติไว้ แต่ทางพระอรหันต์มีพระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอานนท์ และพระอรหันต์องค์อื่นๆอีกทั้งหมดมีความเห็นไม่ตรงกันว่าสิกขาบทเล็กน้อยคือทุกกฏหรือปาจิตตีย์ข้อไหนที่พระพุทธองค์หมายถึง ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า มาเรื่องพระที่ศีลภายในบริสุทธิ์ ก็จะเรียกว่าศีลในองค์มรรค แต่ถ้าศีลขอบเขตที่เป็นภายนอก ไม่บริสุทธิ์ เช่นรับเงิน จีวรล่วงอรุน ฉันอาหารที่เป็นของเมื่อวาน ถึงวันเข้าพรรษาแต่ไม่ได้เข้า เป็นต้น อันนี้คือยกตัวอย่างนะ ถ้าใจเห็นว่าเป็นธรรมจึงทำลงไป แม้ผิดภายนอกแต่ไม่มีวิบากนำไปอบาย แต่ถ้าในภายหลังใจมันเศร้าหมองเพราะเรื่องนี้แล้วตาย อันนี้ไป ดังนั้นอย่ากังวล ถ้าหาอ่านเกร็ดประวัติครูบาอาจารย์จะรู้ว่า บางองค์ท่านฉันเลยเที่ยงเพราะอนุเคราะห์ผีที่ตายแล้วก็มี ถ้าไม่รีบสงเคราะห์จะไม่ทัน ถ้าใครดูข่าวแล้ว อย่าพูดเชิงให้ตัวเองเป็นบาปมีวิบากทีหลังเหมือนเขาเหล่านั้นนะ คือย้ำอีกที ศีลที่เป็นวิบากแท้ปู่หนูไม่ได้ผิด ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก ดื่มสุรา ศีลวิบากแท้อันนี้ปู่ไม่ได้ผิด แต่ศีลประเภทที่อยู่นอกเหนือจากการให้ผลทางจิตโดยตรง เช่น รับเงิน ตัดหญ้า อาบน้ำเอากายถูต้นไม้ ไม่ได้อยู่กับผ้าจีวรแล้วล่วงคืน เป็นต้น ผลของการทำอันนี้ผิดสิกขาบทก็ยังไม่ใช่วิบากนำไปสู่อบายโดยตรง ถ้าไม่กงวลเหมือนเอกปัตตะนาคราช (ถ้าผิดศีล๕ และอกุศลกรรมบทสิบ) อกุศลกรรมบทสิบมันก็คือฝ่ายมิจฉามรรคนั่นเอง ในมรรคมีองค์แปดมันมี2ฝ่าย 1.ฝ่ายสัมมา 2.ฝ่ายมิจฉา สายอวิชชาสังขารวิญญาณนามรูปอายะตนะผัสสะฯลฯ อุปทาน ~ฯลฯ คือฝ่ายมิจฉามรรคเป็นอกุศล สายวิชชา~ฯลฯ คือฝ่ายสัมมามรรคเป็นกุศล หลวงปู่หนูนี่ท่านรู้วาระจิตด้วยนะ จึงสามารถหยั่งรู้ความคิดคนอื่นได้ และย้อนถอยไปดูเหตุการณ์อดีตของเราได้ อันนี้ประสบการณ์ตรง ท่านสามารถรู้ความคิดของคนอื่นได้เพราะมาจากธัมบันลุบันดาลหรือไม่ หรือเป็นเจโตปริญญาณอภิญญาก็ไม่ทราบ เพราะการรู้ความคิดคนอื่นได้ไม่ได้มีเฉพาะผู้ได้อภิญญาข้อเจโตปริญญาณเท่านั้นนะ มันมีอีกวิชชาหนึ่งในพระไตรปิฏกบอกไว้อยู่ ทำให้สามารถรู้ใจคนอื่นได้ โดยที่ไม่ใจเจโตปริญญาณ ส่วนธรรมบรรลุบันดาลที่เป็นธรรมเก่าภาษาเก่าแก่ มันเป็นประโยชน์ในการใช้สร้างบารมีของท่าน ในการช่วยคนอื่น ที่ท่านทำก็มีเยอะนะ คนที่โดนมนต์ดำท่านก็แก้ออกให้ดำ แก้คุณไสย์ ฯลฯ ท่านอยู่ในสายขาวนะ ไม่ใข่สายดำที่ทำของใส่คน ท่านก็พิจารณากายลงไตรลักษณ์นะตามที่ฟังท่านเทศณ์ ลูกศิษย์บางองค์ของท่านที่เรียนธัมบันลุบันดาลก็สามารถสวดได้และมีความรู้พิเศษสัมผัสรู้เรื่องเกี่ยวกับคนอื่นได้ แม้ไม่ได้อภิญญาข้อเจโตปริญญาณเลย หรือญาณที่ทำให้รู้เกี่ยวกับนิสัยคนอื่นเลย บางองค์ก็สามารถรับรู้เกี่ยวกับตัวของคนๆหนึ่งได้โดยสัมผัสจากการต้องจับแขน ดังเช่นครูบากลิ้งลูกศิษย์หลวงปู่หนู ปัจจุบันลาสิกขาไปแล้ว แต่หลวงปู่หนูนี่ไม่ต้องจับก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเราได้.. ปกติในเวลาที่เห็นองค์อื่นมีวิชาด้านอื่นด้วยก็เงียบๆ เช่นอ่านประวัติหลวงปูตื้อสมัยท่านบำเพ็ญเพียร ก็มีวิชาอาคมนะตามที่อ่าน การที่พระท่านไปทางอื่นด้วยก็คงมีเหตุผลของท่าน หรืออาจจะ เช่น อาจเป็นกรรมจัดสรรให้ต้องได้รู้และเรียนเกี่ยวกับธรรมบันลุบันดาน เช่น ไปกล่าวกับพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะว่า ท่านจงเรียนมนต์แนวนี้ๆสวดมนต์แนวนี้ใน(แบบสัมปยุตประกอบพร้อมด้วยอกุศลจิตเจตสิก) เมื่อวิบากให้ผลจะทำให้ต้องได้เล่าเรียนมนต์แบบนี้สวดมนต์แบบนี้ (เทียบกับ เหมือนในพระสูตรที่ว่า "แต่ก่อนพระองค์กับภิกษุ500รูปนี้ เคยไปพูดบอกแนวอกุศลจิตกับภิกษุสงฆ์ที่มีพระอริยะอยู่ในนั้น "ท่านจงเคี้ยวจงกินแต่ข้าวแดง" ผลกรรมอันนั้นมาส่งผลในชาติที่เป็นพระพุทธะเจ้าแล้ว ทำให้ท่านกับภิกษุ500รูปได้ฉันแต่ข้าวแดงตลอด1พรรษา (ไม่ได้ฉันเนื้อฉันผักเลย) ส่วนเรื่องดวงธรรมประทับ มันเป็นสิ่งที่ชาวเทพเทวาไม่อยากให้มนุษย์รู้มากในเรื่องนี้ แต่จะพูดนิดหน่อย ดวงธรรมคือ มีหลายรูปร่าง แต่เป็นพลังงานทิพย์เหมือนกัน ต่างกันที่ความละเอียด ดวงวงกลมสีสว่างจ้า ดวงวงกลมสีขาว สีอื่นๆเป็นต้น เหล่านี้คืออัตภาพทิพย์ของผู้อยู่ในสุคติภูมิที่เนรมิตให้อัตภาพเป็นเช่นนั้น สามารถเนรมิตให้เท่าปลายเข็มก็ได้ ดั่งในเวลาฟังธรรม เทวดาจะเนรมิตกายให้เล็กๆแล้วมีแสงรัสมีออกมาที่เห็นเป็นดวงสว่างๆนั่นแหละ พญานาค เทวดา ก็เนรมิตแปลงกายได้เหมือนกัน แต่ไม่ลงร่างมนุษย์มั่วชัวนะ ยิ่งคนถือศีลปฏิบัติธรรม ลงประทับแล้วเบียดเบียนไม่ได้เลยเพราะจะโดนลงทัณฑ์ มนุษย์บางคนก็ถูกร่ายมนต์เปิดก่อนเพื่อให้เข้าประทับร่างได้ โดยที่ไม่ต้องรับขันธ์ เช่นเวลาเรานอนแล้วฝันว่ามีคนมาบอกให้ทำบุญให้หน่อย หรือ ฝันว่าซื้อเลขตัวนี้นะหนู หรือต่อไปให้ระมัดระวังตัวนะจะมีอันตราย เป็นต้น แล้วพอตื่นขึ้นมานึกย้อนหลัง ฝันว่าอะไรนะ ความจริงมันมีทั้งปรุงแต่งไปเอง และมีจิตภายนอกเข้ามาแทรกหัว แล้วฝังเรื่องราวทิ้งไว้ พอตื่นขึ้นมานึกย้อนหลังไปดูเข้าใจว่าเป็นฝัน แต่ความจริงคือมันคือความรู้ของเทพที่ทิ้งไว้ในหัวก็มี เรื่องที่เห็นว่าเป็นหลวงปู่เดินหมุนๆ70กว่ารอบนั่นคือจิตภายนอกเขามาประทับทำพิธี จะว่าท่านเป็นคนวนหมุน70กว่ารอบคงไม่ได้นะและเสียงที่ร้องออกมาด้วย คือเวลาเทพจีนลงประทับก็จะพูดภาษาจีน ถ้าเป็นเทพเก่าๆอินเดียก็จะพูดแบบที่แตกต่างกันออกไป ก็คิดว่าท่านกำลังบำเพ็ญบารมีข้อให้คนอื่นได้มีทรัพย์ จัดสงเคราะห์เข้าในทะสะบารมีข้อ เมตตาช่วยคนให้มีทรัพย์ เป็นต้น คนเราแต่ละคนเคยบำเพ็ญบารมีกันมาหมดทุกคน แต่เต็มแล้วหรือยังอันนี้รู้ได้ยากยุ เช่นให้เงินขอทาน เรียกว่าทานบารมี เช่น บริจากเลือด เรียกว่าทานอุปบารมี ใครว่าปู่หนูมีธัมบันลุบันดาลไม่ใช่นะ ในสมัยช่วงที่มีพระบวชใหม่ไปอยู่กับปู่หนูปู่หนูก็บอกให้ไปอยู่กุฏิแล้วบริกรรมพุทโธ ต่อมาพระองค์นั้นก็พุทโธๆ แล้วจนถึงภาวะลมหายใจไม่ปรากฏ แล้วตกใจ ต่อมาในที่สุดพระองค์นั้นก็ถึงภาวะไม่มีลมหายใจปรากฏ อันนี้คือพระองค์นั้นเล่าให้ฟัง ถ้านำมาตีความน่าจะเป็นสภาวะในฌาน ถ้าใจบริสุทธิ์เป็นศีลอยู่ณภายใน คือรักษาจิตไม่ให้เกิดนิวรณ์๕ ครอบงำ แล้วไปสงเคราะห์ช่วยผี คือมีโยมเอาอาหารมาถวายท่านในเวลาที่ไม่ลงตัวเท่าไร แล้วท่านเมตตาฉันอาหารหารนั้นซึ่งเป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว ถ้าท่านไม่รีบสงเคราะห์ผีตัวนี้ จะไม่ทัน(ผีตัวนี้อาจจะไปเกิดใหม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ) แล้วท่านก็ฉันในเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว ต่อมาจนกลายเป็นเรื่องเกิดขึ้น ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ จึงนำไปเล่าให้ หลวงปู่ดู่พรหม ปัญโญ ฟัง หลวงปู่ดู่ ก็ได้พูดประมาณว่า "อย่าไปติเตียนหรือว่าให้ท่านเป็นคนไม่ดี เดี๋ยวจะเป็นบาปเป็นกรรม ท่านทำเพื่อสงเคราะห์ช่วนผี" ถ้าอีกองค์คือ หลวงปู่เจี๊ยะ อันนี้ก็มีเรื่องประมาณว่าทำไม่เหมาะสม พระก็นำไปเล่าให้หลวงตาพระมหาบัวฟัง หลวงตาพระมหาบัวก็บอกว่า "อย่าไปติเตียนท่านนะ มันจะเป็นบาปเป็นกรรม" พูดถึงวิชาธัมบันลุบันดาล มันก็มีประโยชน์ในทางช่วยคนอยู่นะ เช่น ถ้านักข่าวโดนมนต์ดำ โดนของ โดนจ้างให้ทำคุณไสย์ใส่ โดนทำเสน่ใส่ ก็ถอนได้แก้ได้ และอื่นๆอีก ถ้าไปถามเรื่องแนวนี้กับพระในวัดองค์ที่ไม่มีการประพฤติปฏิบัติทางจิต อยู่แค่ศีล มีแต่ฉันแล้วก็จำวัดนอนไม่เจริญสมาธิปัญญาขึ้นไป จะรู้นั้นรู้นี่ยาก ถ้าไม่มีผู้เล่าให้ฟัง #สาธุ รวมมาให้อ่าน การช่วยเหลือเป็นบุญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น