วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Facebook พระมงคลชัย หน้าหลัก โพสต์ของคุณในกลุ่ม โพสต์ที่คุณสร้างในกลุ่มที่คุณเป็นสมาชิก ดูบน Facebook พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Cyber Security & IT Security ตอนนี้ใช้win xp ยุครับ แต่อยากเปลี่ยนเป็นwin7 แล้ว 32bitกับ64bit ควรลงตัวไหนดีครับมี Ram 2GB ครับ CPU 2.40 ควรลงตัวไหนดีครับ รบกวนผุผู้หน่อยคับ ม.ค. 06, 2013 10:14:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด ผมก็โสดครับ อิอิ 5555 หลังจากที่แฟนนอนหลับ ฮ่าๆ โสดๆๆๆ ดีใจๆๆ ม.ค. 06, 2013 10:18:26pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด โสดๆๆๆๆๆๆครับๆๆๆๆๆ นิสัยดีๆๆๆๆๆๆ ห้าาาาาๆๆๆๆๆ อยากมีคู่ๆๆๆๆๆ กับเขาๆๆๆๆๆ ม.ค. 09, 2013 2:37:18pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้ต้อนรับ พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เข้าสู่ Reader All Dhama ม.ค. 22, 2013 3:23:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้สร้างกลุ่ม Reader All Dhama แล้ว ม.ค. 22, 2013 3:23:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Program Zone. Fc' แอดมินครับ ขอลิงค์โหลดโปรแกรม ลงwindows xp ผ่านไฟล์iso หน่อยครัพ _____/\______ ก.พ. 20, 2013 7:57:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด อยากมีเพื่อนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆโว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มี.ค. 17, 2013 8:25:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน รวย ไม่ รู้ เรื่อง กลุ่มอะไรอะครับ เกี่ยวกับอะไรอะ เม.ย. 19, 2013 11:26:24am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Cyber Security & IT Security ตรงคำว่า "โรคและการป้องกัน"กิจกรรมภายในชุมชน"เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ"บุคลากร" ทำยังไงหรอครับ ให้กรอบมันยาวไปทางขวาอีก แบบว่าให้มันพอดี เต็มหน้าเว็บเลย ลากเมาสก็ไม่ได้ ไปกำหนดตรงไหนหรอครับ ใช้Adobe Dreamweaver cs5.5 มือใหม่ครับ ตรงคำว่า "โรคและการป้องกัน"กิจกรรมภายในชุมชน"เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ"บุคลากร" ทำยังไงหรอครับ ให้กรอบมันยาวไปทางขวาอีก แบบว่าให้มันพอดี เต็มหน้าเว็บเลย ลากเมาสก็ไม่ได้ ไปกำหนดตรงไหนหรอครับ ใช้Adobe Dreamweaver cs5.5 มือใหม่ครับ เม.ย. 24, 2013 9:22:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด มีใครเคยสงสัยและอยากรู้เหมือนผมบ้างไหมคับว่า คนในกลุ่มโสด ใครสวยใคร&หล่อที่สุด..?? พ.ค. 27, 2013 9:29:05pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Samsung Galaxy Grand Club วิธีตั้งเสียง ริงโทน แบบไม่จำกัด ให้น้องแกรนนี่ 1 สร้างfolder บน SD Card ชื่อว่า audio และเข้าไปสร้างข้างในอีก3โฟรเดอร ringtone notifications alarms หลังจากนั้นก็วางไฟล์ mp3ที่จะตั้งเป็นเสียงริงโทนไว้ในโฟรเดอร์ ringtone เสียงแจ้งเตือนก็วางไว้ในnotifications เสียงปลุกก็วางไว้ในalarms Cr:zerohate ก.ค. 03, 2013 8:23:53am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Program Zone. Fc' มีใครรู้บ้างคับ เวลาโหลดคลิบแบบHD จากYoutube ด้วยโปรแกรม Internet download manager มันไม่มีเสียงเลย โหลดแบบธรรมดาไม่เปลี่ยนความละเอียดมัน มันมีเสียงก็จริง แต่ภาพมันไม่ชัดเหมือนHDเลย ใครรู้บ้างต้องทำยัง ส.ค. 29, 2013 8:21:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Program Zone. Fc' แอดมินๆๆหรือใครก็ได้ครับ แนะนำโปรแกรมบันทึกวิดีโอหน้าจอหน่อยครับ แบบSoftwaweนะครับ ต.ค. 10, 2013 7:40:05pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Samsung Galaxy Grand Club หลายคนในกลุ่มนี้ที่ใช้ SSamsung Galaxy Grand อยากอัพขึ้นไปเวอรชั่นสูงๆใหม่ๆ เพื่อที่ว่าอัพแล้วอะไรๆจะดีขึ้น แก้บัคเอ่ย สิ่งใหม่ๆที่เขาเอาเข้าเอ่ย และให้OSดูใหม่อยู่เสมอ แต่ผมกลับอยากจะถอยกลับไปใช้ OS Android 2.3. อะครับ คิดว่าเวลาเล่นมันคล่องกว่าดีอะครับ แบตก็อยู่ได้นานขึ้น ไม่ทราบว่ามีวิธีไหนบ้างครับ ที่ให้ที่จะทำให้แกรนใช้ OS 2.3 ได้ ต.ค. 31, 2013 10:54:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน สมาคมคนโสด เวลาโสด คนมักจะไม่เชื่อ... >< พ.ย. 30, 2013 9:18:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน โปรแกรมเมอร์ไทย แลกเปลี่ยนความรู้ หางาน สอบถามวิธีการแบ่ง Partition ใน Windows 7 ผ่านคำสั่งDOSด้วยครับ เหตุผล คือผมมีอยู่3ไดร์ มีC: D: และ E: ในตอนที่ลงWindows 7 ผมจะลงที่ไดรC:แบบฟอแมตครับ แต่เผลอไปกดโดน Delete แล้วที่นี้ ตรงไดรC: มันก็ขึ้นว่า Unalloctedทันที แทนที่ผมจะกดFormat พี่ๆช่วยหน่อยครับต้องทำยังไง ธ.ค. 08, 2013 2:46:18pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด โสดดๆๆๆ ใจไม่แคบค๊าฟ อยู่จังหวัดไหนก็ได้ขอแค่เป็นคนไทยและพูดภาษกลางได้ อิอิ ธ.ค. 18, 2013 8:51:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด ในกลุ่มนี้ ใครสวยที่สุดจงออกมา5555 ธ.ค. 18, 2013 11:00:29pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด เคยไหมคับ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหล่เท่าไร่ แต่ทำไมจีบสาว เขาหาว่า มอ ถ้าเรามีแฟนอยู่แล้วเราไม่จีบใครหรอก ธ.ค. 23, 2013 7:57:15pm หัวใจ เสพติด ได้รับการเพิ่มลงใน ช่างซ่อมคอม โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ธ.ค. 25, 2013 10:05:03pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนโสด ปีใหม่ ใครโสด ม.ค. 01, 2014 8:32:26am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชาวอำเภอหัวตะพาน คิดถึงหัวตะพานเว้ย ม.ค. 06, 2014 7:03:16pm ทำใจให้ชิน อยาก กินลูกชิ้น ได้รับการเพิ่มลงใน ชาวอำเภอหัวตะพาน โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ม.ค. 10, 2014 8:35:05pm คุนชาย นอนน้อยยย ได้รับการเพิ่มลงใน ชาวอำเภอหัวตะพาน โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ม.ค. 10, 2014 8:38:40pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ช่างคอม 2012 มีโปรแกรม ตัดวิดีโอ ออกเป็นส่วนๆ โดยที่ไม่เสียความละเอียดไหมครับ คือมีไฟล์วิดีโอ1ไฟล์ขนาด390mb จะอัพลงfacebook ก็ไม่ได้ เพราะว่ามันรองรับแค่200mb ก็เลยจะตัดออกมาเป็น2ไฟล์อะครับ มี.ค. 16, 2014 7:12:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน คอมมือสอง เซียร์รังสิต มีโปรแกรม ตัดวิดีโอ ออกเป็นส่วนๆ โดยที่ไม่เสียความละเอียดไหมครับ คือมีไฟล์วิดีโอ1ไฟล์ขนาด390mb จะอัพลงfacebook ก็ไม่ได้ เพราะว่ามันรองรับแค่200mb ก็เลยจะตัดออกมาเป็น2ไฟล์อะครับ มี.ค. 16, 2014 7:12:46am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ช่างซ่อมคอม Start MeNu 8 in Windows 8 PRO /8 RTM /8.1 RTM /8.1 PRO /8 Enterprise /8.1 Enterprise #BY:Stardock.. Start MeNu 8 in Windows 8 PRO /8 RTM /8.1 RTM /8.1 PRO /8 Enterprise /8.1 Enterprise #BY:Stardock.. มี.ค. 28, 2014 7:23:10pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน สาวโสด เมืองกันทรลักษ์ ผมไม่หล่อ แต่ผมกวาดบ้าน ทำกับข้าวเป็นนะครัช คิคิคิ :p ผมไม่หล่อ แต่ผมกวาดบ้าน ทำกับข้าวเป็นนะครัช คิคิคิ :p เม.ย. 02, 2014 8:41:00am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี !!ขาย iQ3 ราคาถูก มือ1 แกะกล่องใหม่ ในราคา 4,700 บาท สนใจทัก in box เลยครับ รายละเอียดข้อมูลตัวเครื่องตามนี้นะครับ *เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ - GSM 900/1800 MHz - UMTS 850/900/2100 MHz - UMTS *เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล - 2G: EDGE/GPRS - 3G รองรับ 2 ซิมการ์ด สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน WiFi ได้ *จอแสดงผล - ระบบสัมผัส Multi-Touch - กว้าง 4.5 นิ้ว (แนวทะแยง) - ความละเอียด 540 x 960 พิกเซล * กล้องดิจิตอล 12 ล้านพิกเซล (Digital Camera) - ซูมดิจิตอล (Digital Zoom) - ปรับภาพอัตโนมัติ (Auto Focus) - ISO สูงสุด 1200 * กล้องหน้า (Front Camera) - ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล - รองรับ Video Call สนทนาแบบเห็นภาพ * บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording) - รูปแบบไฟล์วีดีโอ : MPEG-4, 3GP, AVI * เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง - รูปแบบไฟล์ : MPEG-4, 3GP, AVI - รองรับวีดีโอจาก YouTube™ * เครื่องเล่นเพลง (Music Player) * ควบคุมฟังก์ชั่นด้วยการสั่นไหวตัวเครื่อง (Motion Sensor) * วิทยุ FM Radio * บันทึกเสียงจากรายการวิทยุ พ.ค. 12, 2014 7:54:04am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ค. 12, 2014 7:54:04am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ค. 12, 2014 7:54:05am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Cyber Security & IT Security Windows 8.1 Pro ตอนเปิดเครื่องมันให้ใส่ Password ลำคานมากๆครับเสียเวลา เราจะยกเลิกตรงนี้ยังไงครับ (คือมันเกิดจากการซิงค์ Accounts Microsoft ตอนดาวน์โหลดแอพในStoreครับ ท่านผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ พ.ค. 16, 2014 10:13:01am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เปลี่ยนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของ Reader All Dhama จาก "ส่วนตัว" เป็น "สาธารณะ" พ.ค. 20, 2014 9:39:05am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้เปลี่ยนชื่อของกลุ่ม "Download All Shared." เป็น "Download Shared" Reader All Dhama พ.ค. 20, 2014 9:41:24am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพโหลดไฟล์ในกลุ่ม: Reader All Dhama ดาวน์โหลดไฟล์: files/sticker_1425082177759487.rar Sticker น้องนุ่น ( Bee talk ) พ.ค. 20, 2014 2:05:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ช่างซ่อมคอม แนะนำโปรแกรม กู้ Partition หน่อยครับ คือไปลง OS Ubuntu ทับWindows แล้วไดร์มัน รวมกัน และว่าง #แนะนำหน่อยครับ มิ.ย. 09, 2014 8:11:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ช่างคอม 2012 ใช้ windows 8 อยู่ครับ ไปลง Ubuntu แล้วไดรหายหมด คือมันเอามารวมกันแล้วว่างเปล่า แก้ยังไงดีครับ มิ.ย. 09, 2014 8:16:00pm Wanichaya Peankla ได้รับการเพิ่มลงใน คณิตมัธยมปลาย โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ มิ.ย. 18, 2014 10:09:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เปลี่ยนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของ Reader All Dhama จาก "สาธารณะ" เป็น "ส่วนตัว" มิ.ย. 29, 2014 9:50:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพโหลดไฟล์ในกลุ่ม: Reader All Dhama ดาวน์โหลดไฟล์: files/utorrentplusfullcrack_1437513159847641.rar ก.ค. 02, 2014 5:41:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพโหลดไฟล์ในกลุ่ม: Reader All Dhama ดาวน์โหลดไฟล์: files/s_thth_w_har_k_1529195463975101.xlsx ไฟล์รายชื่อพระปี57 ก.ค. 14, 2014 7:39:56am Supattra Siriwan ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:46pm Ploy-ploy Sarunya-boonprawong ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:47pm Pui Chutima ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:47pm Bellta Suttida Singtong ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:47pm กฤษณะ ชูเเก้ว ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:47pm กิติ หนูแก้ว ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:48pm กิติ หนูแก้ว ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:48pm ฉัตรมงคล เห้งาสุวรรณ ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:48pm กรรณิกา อินทร์ขาว ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:49pm ฤิทธิพร ทองมี ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:50pm ตุ๊กตา' บาร์บี้ ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:51pm Chonlachai Duangkaeo ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:51pm ทำใจให้ชิน อยาก กินลูกชิ้น ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ค. 13, 2015 5:42:51pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama มิ.ย. 15, 2015 1:47:28pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dharma-gateway.com/ubasok/dangtrin/dangtrin-11.htm www.dharma-gateway.com/ubasok/dangtrin/dangtrin-11.htm ก.ย. 05, 2015 2:54:14pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.nkgen.com/757.htm www.nkgen.com/757.htm ก.ย. 05, 2015 2:55:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.nkgen.com/patitja1.htm www.nkgen.com/patitja1.htm ก.ย. 05, 2015 2:56:26pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://archive.org/search.php?query=creator%3A%22Kengmanny https://archive.org/search.php?query=creator:"Kengmanny" ก.ย. 05, 2015 2:57:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.box.com/shared_item/https:%2F%2Fapp.box.com%2Fs%2Fnz7lqtz2c6wp5h0fok5f https://m.box.com/shared_item/https:%2F%2Fapp.box.com%2Fs%2Fnz7lqtz2c6wp5h0fok5f ก.ย. 05, 2015 2:57:55pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.visalo.org/article/D_palliative_Care.html www.visalo.org/article/D_palliative_Care.html ก.ย. 05, 2015 2:59:24pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.visalo.org/article/Col_death.htm www.visalo.org/article/Col_death.htm ก.ย. 05, 2015 2:59:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.visalo.org/article/D_dhammachatBumbud06.htm www.visalo.org/article/D_dhammachatBumbud06.htm ก.ย. 05, 2015 3:00:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.nkgen.com/6.htm www.nkgen.com/6.htm ก.ย. 05, 2015 3:01:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.nkgen.com/detail.htm www.nkgen.com/detail.htm ก.ย. 05, 2015 3:01:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.nkgen.com/772.htm www.nkgen.com/772.htm ก.ย. 05, 2015 3:01:55pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=6420&Z=6522 ทานที่อุทิศถึง www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=6420&Z=6522 ก.ย. 05, 2015 3:03:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/30755863 m.pantip.com/topic/30755863? ก.ย. 05, 2015 3:05:10pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=21&group=1&gblog=3 www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=21&group=1&gblog=3 ก.ย. 05, 2015 3:06:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.manodham.com/Edhammakos www.manodham.com/Edhammakos 2. Ariyasuth.htm ก.ย. 05, 2015 3:06:37pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/30680287 m.pantip.com/topic/30680287? ก.ย. 05, 2015 3:08:05pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://live.zodsai.com/?p=310 live.zodsai.com/?p=308 live.zodsai.com/?p=314 live.zodsai.com/?p=310 ก.ย. 05, 2015 3:09:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/buddhateach/posts/692040550829246 ก.ย. 05, 2015 3:10:26pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ท่านวางจิต ตั้งจิตแบบไหนกัน เวลาให้ทานทำบุญ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ? อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ? ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๑ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยมีความหวังผล ให้ทานโดยมีจิตผูกพันในผล ให้ทานโดยมุ่งการสั่งสม (บุญ) ให้ทานโดยคิดว่า “เราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้” เขาจึงให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องตามประทีป แก่สมณะหรือพราหมณ์ ... เขาให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าจาตุมหาราชิกา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้. ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๒ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่มีความหวังผล ให้ทานโดยไม่มีจิตผูกพันในผล ให้ทานโดยไม่มุ่งการสั่งสม (บุญ) ให้ทานโดยไม่คิดว่า “เราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้” แต่เขาให้ทานด้วยคิดว่า “การให้ทานเป็นการดี” เขาจึงให้ทาน คือ ข้าว น้ำ … ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้. ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๓ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่มีความหวังผล … ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า “การให้ทานเป็นการดี” แต่ให้ทานด้วยคิดว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ … ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่ายามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้. ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๔ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่มีความหวังผล … ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหา ไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ …ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้. ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๕ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่มีความหวังผล ... ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนก แจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ เขาให้ทาน คือ ข้าว นํ้า … ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่านิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้. ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๖ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่มีความหวังผล … ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี … ภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว นํ้า … ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้. ★★★การวางจิตเวลาให้ทานแบบที่ ๗ ★★★ สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่มีความหวังผล … ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว นํ้า … ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าพรหมกายิกา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้. สารีบุตร ! นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก. ********************************* จากหนังสือภพภูมิ หน้า ๒๔๘ สตฺตก. อํ. ๒๓/๖๐/๔๙. ********************************* ก.ย. 05, 2015 3:11:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dharma-gateway.com/ubasok/dangtrin/dangtrin-06.htm www.dharma-gateway.com/ubasok/dangtrin/dangtrin-06.htm ก.ย. 05, 2015 3:16:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/DungtrinFanClub/photos/a.172772976095201.36982.167976249908207/620108058028355/ ก.ย. 05, 2015 3:17:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama อดีตในหลวง คือ ช้างป่าเลไลยก์ อนาคตในหลวง คือ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ (1/1) phonsak: อดีตในหลวง คือ ช้างป่าเลไลยก์ อนาคตในหลวง คือ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ 1. หลวงพ่อพุธ ฐานิโย “วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก” “ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ” 2. หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า “ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม เคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ...!!!” (ช้างป่าเลไลยก์คือพระโพธิสัตว์) 3. พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง (วัดจันทาราม) อ.เมือง จ.อุทัยธานี “พระองค์ทรงมีกระแสจิตแรงมาก ฉันเองยังสู้ท่านไม่ได้” เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ (ในหลวง) ปรารถนามานาน แต่เวลานี้บารมีเป็น “ปรมัตถบารมี” เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น “วิริยาธิกะ” ต้องบำเพ็ญถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่เกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว “แสนกัป” อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ 4. หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโตที่พักสงฆ์สวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ลูกศิษย์ท่านหนึ่งยืนยันว่า หลวงปู่ท่านกล่าวด้วยตนเองว่า “ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์” ที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร กล่าวว่า: ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ...!!!” (ช้างป่าเลไลยก์คือพระโพธิสัตว์) แล้วในหลวงจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหนล่ะ??? ดูก่อน ! พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริญ สรรพสัตว์ทั้งหลาย หากยังมิได้บรรลุธรรมอันเลิศในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านี้ คือ พระศาสนาของเรา ๑ พระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระนรสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระศาสนาของพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ฯ ช้างปาลิเลยยโพธิสัตว์ จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “สุมังคละ” ในอนาคตกาล ฯ ขอท่านทั้งหลายจงปรารถนาบรรลุธรรมอันเลิศ ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “สุมังคละ”พระองค์นั้นเถิด ฯ พระยาช้างปาลิไลยกะ ปรากฏมีชื่อว่า ปาลิไลยกะหรือ ปาลิเลยกะ ใน ทสโพธิสัตตุปปัตติกถา (อนาคตวงศ์ ฉบับร้อยแก้ว) และ โสตัตถกีมหานิทาน ได้แสดงไว้ตรงกันว่า พระยาช้างปาลิไลยกะ เป็น ๑ ในพระโพธิสัตว์ ๑๐ พระองค์ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่ในอนาคต องค์ที่ ๑๐ ในลำดับต่อจาก พระยาช้างนาฬาคิรี และจะมีพระนามปรากฏว่า “พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า” อนึ่ง การถวายอุปัฏฐากแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พระยาช้างปาลิไลยกะในครั้งนั้น ในปัจจุบันได้ปรากฏเป็นปางหนึ่งของพระพุทธรูปปางนี้ว่า“ปางเลไลย์” genkung456: จิงหรอครับ เป็นข้อมูลที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เเยี่ยมมากเลยครับ phonsak: genkung เขียน: จิงหรอครับ เป็นข้อมูลที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เเยี่ยมมากเลยครับ "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย" theejutha (ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้ดี) เขียนว่า: ทำไมซ้ำกะหลวงปู่ต้นบุญนะ ตอบ เจ๊theejuthaครับ ผมอ่านกระทู้ในหลวงเป็นโพธิสัตว์มา 20 กว่าเว็บ และพระอริยะต่างๆก็บอกเช่นกัน แต่พวกท่านเหล่านั้นพูดไม่ชัด ไม่ได้เจาะจงว่า ในหลวงเป็นโพธิสัตว์องค์ไหน มีอดีตชาติเป็นอะไร ผมเลยพูดชัดๆไปเลยว่า อดิตในหลวง คือ ช้างป่าเลไลยก์ อนาคตในหลวง คือ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ นับจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าที่เป็นองค์แรก ก.ย. 05, 2015 3:18:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2007/10/31/entry-9 www.oknation.net/blog/buddhabath/2007/10/31/entry-9 ก.ย. 05, 2015 3:19:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama แต่โบราณมาได้มีข้อกำหนดต่างๆ ที่พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าพึงประฏิบัติ ในพระราชจริยาวัตรจัดเป็นพระคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งด้วย เรียกว่า ทศราชธรรม หรือคุณธรรม 10 ประการ ธรรมะข้อ 1.ทาน หมายถึง พระราชทานพัสดุสิ่งของ หรือปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงค์ชีวิต แก่ผู้สมควรได้รับ ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ และราษฎรผู้ยากไร้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ แก่พระราชวงศานุวงค์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ตามสมควรแก่ฐานะ. ธรรมะข้อ 2.ศีล หมายถึง การทรงศีล หรือการที่ทรงตั้งสังวรรักษาพระอาการ กาย วาจา ให้สะอาดปราศจากโทษอันควรครหา พระองค์ทรงมีพระราชศัทธาในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้เสด็จออกทรงผนวช เพื่อทรงศึกษาและปฎิบัติพระธรรมวินัย อุทิศพระราชกุศลพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย. ธรรมะข้อ 3.บริจาค หมายถึง การพระองค์พระราชบริจาคไทยธรรม หรือสิ่งของที่พระราชทานให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่พระราชวงศานุวงค์ และทูลข้าละอองธุลีพระบาท ตามฐานะที่ราชการฉลองพระเดชพระคุณ รวมทั้งพระราชทานแก่ประชาชนผู้ยากไร้ได้อาศัยเลี้ยงชีวิต. ธรรมะข้อ 4.อาชวะ หมายถึง ความซื่อตรง ทรงมีพระราชอัฌชาสัย อันประกอบด้วยความซื่อตรง ดำรงในสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อพระราชสัมพันธมิตรและพระราชวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ไม่ทรงคิดลวง ประทุษร้ายโดยอุบายผิดยุติธรรม. ธรรมะข้อ 5.มัททวะ หมายถึง ความอ่อนโยน ทรงมีพระราชอัฌชาสัยอ่อนโยน ไม่ดื้อดึงถือพระองค์แม้มีผู้ตักเตือนในบางอย่าง ด้วยความมีเหตุผลก็จะทรงพิจารณาโดยถี่ถ้วน ถ้าถูกต้องดีชอบก็ทรงอนุโมทนา และปฎิบัติตาม ทรงสัมมาคารวะอ่อนน้อมแก่ท่านผู้เจริญโดยวัยและโดยคุณ ไม่ทรงดูหมิ่น. ธรรมะข้อ 6.ตบะ หมายถึง ความเพียร ทรงสมาทานกุศลวัตร ด้วยการเอาพระราชหฤทัยใส่ ในการปกครองพระราชอาณาเขต และประชาชนให้มีความสุขปราศจากภยันตราย ตลอดถึงการที่ทรงมีพระอุตสาหะอันแรงกล้าในกุศลสมาทาน ระวังบาปที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และเพื่อจะกำจัดบาปกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมสูญ ไม่ตั้งอยู่ในพระสันดาน. ธรรมะข้อ 7.อักโกธะ หมายถึง ความไม่โกรธ ทรงมีพระกริยาที่ไม่โกรธโดยวิสัย มิใช่เหตุที่ควรโกรธ แม้มีเหตุที่ให้ทรงพระพิโรธ แต่ทรงข่มเสียให้อันตรธานสงบระงับไป ด้วยทรงมีพระเมตตาอยู่เสมอ ไม่ทรงปรารถนาจะก่อภัย ก่อเวรแก่ผู้ใด. ธรรมะข้อ 8.อวิหิงสา หมายถึง ความไม่เบียดบียน ด้วยทรงมีพระราชอัฌชาสัยกอปรด้วยพระราชกรุณา ไม่ทรงปรารถนาจะก่อทุกข์แก่ผู้ใดแม้กระทั้งสัตว์ ไม่ทรงเบียดเบียนพระราชวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และอาณาประชาราษฎร์ ให้ลำบากด้วยเหตุอันไม่ควรกระทำ. ธรรมะข้อ 9.ขันติ หมายถึง ความอดทน ทรงมีพระราชหฤทัยดำรงมั่นในขันติ มีความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทน เช่น อดทนต่อทุกข์ อดทนต่อเวทนาอันเกิดขึ้นในพระกาย และทรงมีพระขันติเมตตากรุณาธิคุณ งดโทษผู้มีความประมาท กระทำผิดล่วงพระอาญา และควรจะลงราชทัณฑ์ แต่ก็ทรงระงับด้วยความอดทนไว้ได้. ธรรมะข้อ 10.อวิโรธนะ หมายถึง ความเที่ยงธรรม ทรงรักษาความยุติธรรมไม่ให้แปรผันจากสิ่งที่ตรง และดำรงพระอาการไม่ยินดี ยินร้าย ต่ออำนาจคติทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่ง คือความไม่ประพฤติผิดในขัตติยราชประเพณี ทรงดำรงอยู่ในพระราชจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ก.ย. 05, 2015 3:21:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1056 www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1056 ก.ย. 05, 2015 3:22:32pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha2.html www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha2.html ก.ย. 05, 2015 3:23:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1353&Itemid=1 dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1353&Itemid=1 ก.ย. 05, 2015 3:23:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/Buddhawajana.th/posts/483176645097223 ก.ย. 05, 2015 3:24:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.ideaforlife.net/dhamma/sound/pramote/santidham.html www.ideaforlife.net/dhamma/sound/pramote/santidham.html ก.ย. 05, 2015 3:24:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.polyboon.com/worship/dhumma03_04.html การฝึกเพ่งกสิน www.polyboon.com/worship/dhumma03_04.html ก.ย. 05, 2015 3:26:58pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m2.facebook.com/notes/เรื่องที่เคยอ่าน/เล่าประสบการณ์ตรง-และเทคนิควิธีการฝึกกสิณแสงสว่าง-จนถึงฌานสี่-3/152679648133392/ m.facebook.com/notes/เรื่องที่เคยอ่าน/เล่าประสบการณ์ตรง-และเทคนิควิธีการฝึกกสิณแสงสว่าง-จนถึงฌานสี่-3/152679648133392/ ก.ย. 05, 2015 3:27:58pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.horasaadrevision.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=96388&Ntype=6 การฝึกตาทิพย์ www.horasaadrevision.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=96388&Ntype=6 ก.ย. 05, 2015 3:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.kasina.org/board_v2/index.php/topic,69.0.html www.kasina.org/board_v2/index.php/topic,69.0.html ก.ย. 05, 2015 3:30:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://taniyo.blogspot.com/search?updated-max=2011-06-03T06%3A20%3A00%2B07%3A00&max-results=10&start=20&by-date=false&m=1 taniyo.blogspot.com/search?updated-max=2011-06-03T06%3A20%3A00%2B07%3A00&max-results=10&start=20&by-date=false&m=1 ก.ย. 05, 2015 3:31:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://siampdf.wordpress.com/2013/11/21/เซฟรูปจากไฟล์-pdf/ https://siampdf.wordpress.com/2013/11/21/เซฟรูปจากไฟล์-pdf/ ก.ย. 05, 2015 3:32:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://birdkmutt.wordpress.com/2010/09/21/ทำ-hiren-boot-usb-กันดีกว่า/ https://birdkmutt.wordpress.com/2010/09/21/ทำ-hiren-boot-usb-กันดีกว่า/ ก.ย. 05, 2015 3:33:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://birdkmutt.wordpress.com/2010/09/28/มาทำ-ghost-windows-กันดีกว่า/ https://birdkmutt.wordpress.com/2010/09/28/มาทำ-ghost-windows-กันดีกว่า/ ก.ย. 05, 2015 3:34:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.varietypc.net/main/archives/654 www.varietypc.net/main/archives/654 ก.ย. 05, 2015 3:34:38pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/Infinite.Buddhanuparp/posts/220014251438999 ก.ย. 05, 2015 3:36:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammathai.org/dhammapada/dp26.php www.dhammathai.org/dhammapada/dp26.php ก.ย. 05, 2015 3:38:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=43649 www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=43649 ก.ย. 05, 2015 3:38:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/SrangsrrkhKhwamRuLaeaKhnDi/posts/613258655378258 ก.ย. 05, 2015 3:39:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20110619031203AAKy85s https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20110619031203AAKy85s ก.ย. 05, 2015 3:40:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-225.htm www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-225.htm ก.ย. 05, 2015 3:41:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5753&view=previous&sid=765741b362fdbe937fa11cbf0c904935 www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5753&view=previous&sid=765741b362fdbe937fa11cbf0c904935 ก.ย. 05, 2015 3:41:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=272 www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=272 ก.ย. 05, 2015 3:42:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=184%3A-etheric-body-&catid=50%3A2009-09-09-09-44-45&Itemid=84 www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=184%3A-etheric-body-&catid=50%3A2009-09-09-09-44-45&Itemid=84 ก.ย. 05, 2015 3:43:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.astroneemo.net/index.php?option=com_content&view=article&id=1451%3A2013-04-03-15-44-05&catid=175%3A2013-03-28-03-29-35&Itemid=341 www.astroneemo.net/index.php?option=com_content&view=article&id=1451%3A2013-04-03-15-44-05&catid=175%3A2013-03-28-03-29-35&Itemid=341 ก.ย. 05, 2015 3:44:51pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammathai.org/nithan/dbview.php?No=37 www.dhammathai.org/nithan/dbview.php?No=37 ก.ย. 05, 2015 3:45:24pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/33546099 m.pantip.com/topic/33546099? ก.ย. 05, 2015 3:46:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.vmodtech.com/main/article/windows7-32bit-memory-3gb-4gb-128gb/all/1/ www.vmodtech.com/main/article/windows7-32bit-memory-3gb-4gb-128gb/all/1/ ก.ย. 05, 2015 3:47:14pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://th.m.wikipedia.org/wiki/พระสารีบุตร th.m.wikipedia.org/wiki/พระสารีบุตร ก.ย. 05, 2015 3:48:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.nkgen.com/34.htm www.nkgen.com/34.htm ก.ย. 05, 2015 3:48:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/31245611 m.pantip.com/topic/31245611? ก.ย. 05, 2015 3:50:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/30380223 m.pantip.com/topic/30380223 ก.ย. 05, 2015 3:50:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammahome.com/webboard/topic/19849 www.dhammahome.com/webboard/topic/19849 ก.ย. 05, 2015 3:51:18pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammada.net/2015/01/20/26137/ www.dhammada.net/2015/01/20/26137/ ก.ย. 05, 2015 3:52:01pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/09/appamunya-4.html?m=1 http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/09/appamunya-4.html?m=1 ก.ย. 05, 2015 3:53:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-225.htm www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-225.htm ก.ย. 05, 2015 3:54:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://larndham.org/index.php?%2Ftopic%2F24604-อินทรีย์คืออะไรครับ%2F larndham.org/index.php?%2Ftopic%2F24604-อินทรีย์คืออะไรครับ%2F ก.ย. 05, 2015 3:55:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/33026074 m.pantip.com/topic/33026074? ก.ย. 05, 2015 3:56:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/32512177 m.pantip.com/topic/32512177? ก.ย. 05, 2015 3:56:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://th.m.wikipedia.org/wiki/ประเทศไทย th.m.wikipedia.org/wiki/ประเทศไทย ก.ย. 05, 2015 3:57:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://th.m.wikipedia.org/wiki/สังคายนาในศาสนาพุทธ th.m.wikipedia.org/wiki/สังคายนาในศาสนาพุทธ ก.ย. 05, 2015 3:58:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1&p=9 www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1&p=9 ก.ย. 05, 2015 3:58:37pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama m.exteen.com/blog/advance/20070701/dvd-cinema-craft-encoder ก.ย. 05, 2015 3:59:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โน้ตลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/notes/power-buy/-notebook-hd-/274186510063 ก.ย. 05, 2015 4:00:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.avs4you.com/guides/convert-avi-dvd.aspx www.avs4you.com/guides/convert-avi-dvd.aspx ก.ย. 05, 2015 4:01:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://forum.thaidvd.net/lofiversion/index.php/t59701.html forum.thaidvd.net/lofiversion/index.php/t59701.html ก.ย. 05, 2015 4:01:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.oknation.net/blog/thitiporn/2010/06/01/entry-1 www.oknation.net/blog/thitiporn/2010/06/01/entry-1 ก.ย. 05, 2015 4:02:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://suvarnbhumi.blogspot.com/2009/02/buddhism-in-be200-500.html?m=1 suvarnbhumi.blogspot.com/2009/02/buddhism-in-be200-500.html?m=1 ก.ย. 05, 2015 4:03:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.posttoday.com/article/351803/13000 m.posttoday.com/article/351803/13000 ก.ย. 05, 2015 4:04:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โน้ตลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://m.facebook.com/notes/กิตติคุโณ-องค์ดำ/ปุจฉาจะเอายังไงดีครับ-เห็นบางสำนักบอกว่า-พระตามวินัย-ให้ฉันหนเดียวเท่านั้น-ไม่คว/326756170826132 ก.ย. 05, 2015 4:04:38pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.tripitaka91.com/91book/book04/451_500.htm www.tripitaka91.com/91book/book04/451_500.htm ก.ย. 05, 2015 4:05:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://อาจารย์พีลองภูมิ.com/post.php?id=44 http://อาจารย์พีลองภูมิ.com/post.php?id=44 ก.ย. 05, 2015 4:06:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=908&Itemid=4 www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=908&Itemid=4 ก.ย. 05, 2015 4:07:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://2g.pantip.com/cafe/religious/topic/Y13019438/Y13019438.html 2g.pantip.com/cafe/religious/topic/Y13019438/Y13019438.html ก.ย. 05, 2015 4:08:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dhammathai.org/buddha/g47.php www.dhammathai.org/buddha/g47.php ก.ย. 05, 2015 4:09:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5421&Z=5666&pagebreak=0 อุโบสถ 84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5421&Z=5666&pagebreak=0 ก.ย. 05, 2015 4:11:45pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://fanmanutd.com/forum/thread-34-1-1.html fanmanutd.com/forum/thread-34-1-1.html ก.ย. 05, 2015 4:12:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.jetovimut.com/forum/index.php?topic=89.0 ไม่คลุกคีด้วยหมู่คณะ www.jetovimut.com/forum/index.php?topic=89.0 ก.ย. 05, 2015 4:13:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.dek-d.com/board/view/981101/ www.dek-d.com/board/view/981101/ ก.ย. 05, 2015 4:14:24pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/33651692 m.pantip.com/topic/33651692 ก.ย. 05, 2015 4:15:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/33651739 m.pantip.com/topic/33651739 ก.ย. 05, 2015 4:15:28pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/33651843 m.pantip.com/topic/33651843? ก.ย. 05, 2015 4:15:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://pantip.com/topic/33903611/comment11 pantip.com/topic/33903611/comment11 ก.ย. 05, 2015 4:16:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.thammaonline.com/ อิริยาบถ แห่งการเจริญธรรม อิริยาบถ คืออาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ในการควบคุมของใจ อิริยาบถแห่งการปฏิบัติมีอยู่หลายลักษณะมี 4 ประการ คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน มีคำอธิบายการอบรมจิตเกี่ยวกับอิริยาบถดังนี้ ... ... 1.ยืนอบรมจิต มักใช้ปฏิบัติขึ้นในระหว่างการเดินจงกรม เพื่อพักผ่อนร่างกายเป็นระยะ ๆ ไป คือ ยืนพักขาข้างหนึ่งโดยผลัดเปลี่ยนกันไปมา เมื่อขาหนึ่งเกิดเมื่อยล้า ก็เปลี่ยนพักขาหนึ่ง ในขณะที่ยืนนั้นก็ทำการอบรมจิตเรื่อยไป เมื่อปฏิบัติในอิริยาบถยืนแล้วพอสมควร ควรใช้อิริยาบถอื่นต่อไป 2. เดินจงกรม คือเดินสำรวมจิตไปมาบนทางที่ทำไว้อย่างดี ราบรื่นสะอาด กว้างประมาณ 2 ศอก หรือ 1 เมตร ยาวประมาณ 20 ศอก หรือ 20 ก้าว หรือมากกว่าตามถนัดของตน หากต้องไม่ยาวเกินไปนัก จะทำให้เผลอสติง่าย ทางเช่นนี้เรียกว่าทางจงกรม ทางจงกรมที่ดีควรทำไว้ในที่เงียบสงัด ไม่เปิดเผยเกินไป ไม่ทึบเกินไป อากาศโปร่ง ถ้ามีที่พอเหมาะพึงทำเป็นทางเฉียงตะวัน เงาของตัวเองจะไม่รบกวนสายตา และบางท่านถือคติว่าเป็นทางตัดกระแส แต่ถ้าจำเป็นด้วยพื้นที่ก็พึงทำเถิด เพราะข้อสำคัญอยู่ที่การรวมจิตมากกว่า วิธีเดินจงกรมนี้ พระบาลีไม่แสดงไว้ชัดเจน แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติกันมาอย่างเห็นผลคือ ให้เอามือกุมกันไว้ข้างหน้า ปล่อยแขนลงตามสบาย ทอดสายตาลงต่ำ มองห่างเท้าตนเอง ‘แอกหนึ่ง’ หรือประมาณ ‘วาหนึ่ง’ ทำสติสัมปชัญญะควบคุมจิตให้อยู่ในความสงบ หรือจะเอากัมมัฏฐานบทใดบทหนึ่งมาเป็นอารมณ์ก็ได้ แล้วก้าวเดินช้า ๆ ไปจนสุดทางจงกรม หยุดยืนนิดหน่อย แล้วกลับหลังก้าวเดินไปอีก โดยทำนองนี้เรื่อย ๆ ไป เมื่อเมื่อยขาพึงยืนพัก ดังที่กล่าวมาในอิริยาบถยืน หรือจะพักในอิริยาบถนั่งก็ได้ อานิสงส์จากการเดินจงกรม โบราณาจารย์ท่านรจนาไว้ว่า พระบรมศาสดาทรงตรัสยกย่องดังนี้ 1. เดินทางไกลทน 2. ทำความเพียรทน 3. เจ็บป่วยน้อย เดือดร้อนกายน้อย 4. อาหารที่ดื่มกินแล้วค่อย ๆ ย่อยไม่บูดเน่า 5. สมาธิที่ได้ด้วยการเดินจงกรม ดำรงมั่นนานกว่าไม่เคลื่อนง่าย ส่วนการเดินแบบยืดแข้งยืดขานั้น ไม่มีแบบ แล้วแต่ความถนัด การเดินชนิดนั้นท่านเรียกว่า ‘ชังฆวิหาร’ เป็นการเดินเรื่อยเปื่อยไปตามอัธยาศัยนั่นเอง ถึงกระนั้นนักปฏิบัติก็ไม่ควรละโอกาส ควรมีสติควบคุมจิตใจ หรือคิดอ่านอะไรซึ่งเป็นเครื่องอบรมจิตใจไปด้วย 3. นั่งเจริญฌาน อิริยาบถนั่งเจริญฌานนี้ พระบาลีบอกไว้สั้น ๆ เราเข้าใจกันไม่ค่อยแจ่มแจ้ง ที่ทรงแสดงไว้ในวิธีเจริญอานาปานสติว่า นั่งคู้ขา (ปลฺลงฺกํ อาภุชิตวา) จะคู้ขาแบบไหนก็ไม่ชัดอีก ทั้งนี้คงเป็นเพราะวิธีนั่งแบบนั้นเป็นที่เข้าใจง่ายในสมัยโน้น ที่ทรงใช้คำสั้น ๆ เช่นนั้นก็จะพอรู้กัน คำว่า ‘ปลฺลงฺกํ’ อาจตรงกับคำว่านั่งแท่นก็ได้ กิริยานั่งแท่นก็คือนั่งขัดสมาธินั่นเอง โดยวิธีคู้ขาท่อนล่างเข้ามา เอาขาขวาทับขาซ้ายพอให้ปลายเท้าทั้งสองจดถึงหัวเข่าพอดี วิธีนั่งแบบนี้ตรงกับแบบของโยคีที่เรียกว่า ‘ปัทมาศนะ’ นั่งแบบกลีบดอกบัว การนั่งแบบนี้ต้องบังคับให้ต้องนั่งตัวตรงจึงสบายและนั่งได้ทน สตรีไทยไม่ชอบนั่งแบบนี้ด้วยถือว่าขาดความคารวะ จึงชอบนั่งแบบ ‘พับเพียบ’ คือขาคู้ไปข้างหลังข้างหนึ่ง อีกข้างคู้มายันเข่าข้างหนึ่งไว้ แม้แต่ในหมู่บรรพชิตโดยปกติก็จะใช้ท่านั่งนี้ในยามปกติทั่วไป อีกแบบคือการนั่งตั่ง ได้แก่การนั่งเก้าอี้ห้อยเท้านั่นเอง วิธีนี้สามารถใช้ในการเจริญกสิณได้ดี นอกจากนี้ก็เป็นแบบสบาย ๆ แล้วแต่ความถนัดของบุคคล การนั่งแบบบัลลังก์ ควรนั่งตั้งตัวตรงอย่าให้เอน วางหน้าให้ตรงไม่ก้ม ไม่เงย ไม่เอียง วางมือบนตักเอามือขวาวางทับมือซ้าย พอให้หัวแม่มือจดกัน ตั้งสติมั่น สำรวมจิตเข้ามาตั้งไว้ตรงกลางทรวงอก เอาข้อกัมมัฏฐานข้อหนึ่งข้อใดที่ตนเลือกมาคิดอ่านไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ความ เมื่อได้ความแล้วจะมีจิตสงบเป็นหนึ่ง มีปีติสุขมากน้อยตามกำลังของความวิเวก อีกประการท่านอาจจะใช้อานาปานสติ ใช้ลมหายใจเป็นอารมณ์ หรือบริกรรมพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนจิตสงบก็ได้ แบบนั่งพับเพียบ เป็นแบบถนัดของสตรีไทย พึงนั่งพับเพียบวางมือบนตัก วางตัวตั้งตรงดำรงสติมั่น สำรวมจิตเช่นกันกับนั่งแบบบัลลังก์ทุกประการ นั่งตั่งก็เช่นกัน นั่งห้อยเท้าสบาย ๆ แต่ควรให้เท้าจดพื้น เพราะถ้าไม่จดพื้นจะทำให้ขาดความสบาย ควรหาอะไรมารองเท้า อย่าให้ห้อยต่องแต่ง วางมือแบบนั่งคู้บัลลังก์ นั่งแบบสบาย ๆ คือนั่งตามถนัดของตนแล้วคิดอ่านข้อกัมมัฏฐานอันใดอันหนึ่ง หรือจะตั้งสติคอยจับดูความเคลื่อนไหวของจิตก็ได้ หรือจะสังเกตลมหายใจของตนตามอัธยาศัยก็ย่อมได้ 4. การนอนเจริญฌาน อิริยาบถการนอนเจริญฌาน มีสองประการคือนอนพักผ่อนร่างกายกับการนอนเพื่อหลับ นอนพักผ่อนร่างกาย คือเมื่อเจริญฌานในอิริยาบถทั้งสามมาแล้ว เกิดความมึนเมื่อยหรือเพลีย พึงนอนเอนกายเสียบ้าง นอนในท่าที่สบาย ๆ ตามถนัด จะหลับหรือลืมตาก็ได้ กำหนดใจอยู่ในกัมมัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง หรือเอาสติคุมใจให้สงบนิ่งเฉย ๆ ก็ได้ นอนเพื่อหลับ การนอนหลับคือการพักผ่อนร่างกายเป็นของจำเป็น ที่ใคร ๆ ก็ว่างเว้นไม่ได้ เพราะแม้แต่พระอรหันต์ก็ต้องหลับนอนเช่นปุถุชน ที่ว่าพระอรหันต์ไม่หลับเลยคือ ‘จิตใจ’ ต่างหาก มิได้หมายทางกาย การหลับนอนแต่พอดีทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง มากไปจะทำให้เฉื่อยชา ถ้าเกินไปก็จะทำให้อิดโรยอ่อนเพลีย ความจำเสื่อม ง่วงซึม ประมาณเวลาที่พอดีสำหรับคนทำงานเบา ๆ เพียง 4-6 ชั่วโมง ส่วนผู้ทำงานหนักต้องถึง 8 ชั่วโมงถึงจะพอดี ในเวลาประกอบความเป็นผู้ตื่น (ชาคริยานุโยค) พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้พักผ่อนหลับนอนเพียง 4 ชั่วทุ่ม เฉพาะยามท่ามกลางของราตรียามเดียว เวลานอกนั้นเป็นเวลาประกอบความเพียรทั้งสิ้น พระตถาคตทรงกำหนดการนอนไว้เรียกว่า ‘สีหไสยา’ คือนอนอย่างราชสีห์สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม คือนอนตะแคงข้างขวา เอนไปทางด้านหลังให้หน้าหงายนิดหน่อยมือขวาหนุนศีรษะ แขนซ้ายแนบไปกับลำตัว วางเท้าทับเหลี่ยมกันเล็กน้อยพอสบาย แล้วตั้งสติอธิษฐานถึงเวลาเท่านั้นเท่านี้ จะต้องตื่นขึ้นทำความเพียรต่อไป ***************** ทั้งหมดนี้คัดลอกจากวิสุทธิมรรคของ พระอริยคุณาธาร (เส็ง) ปุสโส เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านทั้งหลายรับรู้ และมั่นใจในการนำไปปฏิบัติและเพื่อแก้ความสงสัยทั้งหลาย ขอบคุณเนื้อหาจากเว็บธรรมะ5นาทีดอทคอม, www.thammaonline.com ก.ย. 05, 2015 4:17:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=kriechenbauer&month=11-2012&date=08&group=11&gblog=115 ก.ย. 05, 2015 4:18:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://pssix.blogspot.com/2013/05/60.html?m=1 pssix.blogspot.com/2013/05/60.html?m=1 ก.ย. 05, 2015 4:19:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://pssix.blogspot.com/2010/04/kmplayer.html?m=1 pssix.blogspot.com/2010/04/kmplayer.html?m=1 ก.ย. 05, 2015 4:19:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/32814284 m.pantip.com/topic/32814284? ก.ย. 05, 2015 4:20:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://thammawairun.blogspot.com/p/blog-page_28.html?m=1 thammawairun.blogspot.com/p/blog-page_28.html?m=1 ก.ย. 05, 2015 4:20:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://84000.org/one/1/04.html พระโมคคัลา 84000.org/one/1/04.html ก.ย. 05, 2015 4:21:15pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9510000051394 www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9510000051394 ก.ย. 05, 2015 4:21:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.pantip.com/topic/33187136 m.pantip.com/topic/33187136? ก.ย. 05, 2015 4:22:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.kaolud.com/publicize/pratart/pratart.html www.kaolud.com/publicize/pratart/pratart.html ก.ย. 05, 2015 4:23:03pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://convert2mp3.net/en/index.php?p=home แปลงไฟล์90นาที Youtube to Mp3 ก.ย. 05, 2015 4:24:35pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://notebookdriverfree.blogspot.com/2012/09/driver-notebook-acer-aspire-aspire-e1_1404.html?m=1 notebookdriverfree.blogspot.com/2012/09/driver-notebook-acer-aspire-aspire-e1_1404.html?m=1 ก.ย. 05, 2015 4:25:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.onlinevideoconverter.com/ www.onlinevideoconverter.com/ ก.ย. 05, 2015 4:26:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://daffasoft.com/main/converter daffasoft.com/main/converter ก.ย. 05, 2015 4:27:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1&p=9 เดียถี www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1&p=9 ก.ย. 05, 2015 4:27:42pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=30&p=7 กรรมฐานไม่ถูกอัดถยาศัย www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=30&p=7 ก.ย. 05, 2015 4:28:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=5925 www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=5925 ก.ย. 05, 2015 4:29:22pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.sangtean.com/love/love-articles/194-dungtrin-answer-about-love www.sangtean.com/love/love-articles/194-dungtrin-answer-about-love ก.ย. 05, 2015 4:29:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี 5 อย่าง คือ มาตุฆาต - ฆ่ามารดา ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์ โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล สังฆเภท - ยังสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์ อนันตริยกรรม 4 ประการแรก คือ มาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต และโลหิตตุปบาท จัดเป็นสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ทั่วไปแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย หมายความว่า บรรพชิตก็ทำได้ คฤหัสถ์ก็ทำได้ ส่วนสังฆเภท เป็นอสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ไม่ทั่วไป หมายความว่า ภิกษุคือบรรพชิตเท่านั้น จึงจักกระทำสังฆเภทอนันตริยกรรม นี้ได้ ในส่วนของโทษหนักเบา และลำดับการให้ผลก่อนหลัง ของอนันตริยกรรม เรียงลำดับจากแรงที่สุดลงไป ได้ดังนี้ สังฆเภทอนันตริยกรรม (หนักที่สุด เพราะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย) โลหิตุปบาทอนันตริยกรรม (สำคัญมากแต่ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว) อรหันตฆาตอนันตริยกรรม (สำคัญปานกลาง เพราะพระอรหันต์ผู้ซึ่งไม่เบียดเบียนใครเลยและยังเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน) มาตุฆาตปิตุฆาตอนันตริยกรรม (สำคัญน้อยกว่าอนันตริยกรรมอื่น ๆ เพราะถือว่าอยู่ในเพศฆราวาส) โทษแห่งอนันตริยกรรม แก้ไข ด้วยกรรมแห่งอนันตริยกรรมทั้ง 5 ประการนี้จัดเป็นกรรมหนักหรือครุกรรม ผู้ใดทำกรรมอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นจะได้รับโทษทั้งทางโลกและทางธรรม โทษของทางโลกคือจะถูกผู้คนประณามและสาปแช่ง ไม่คบค้าสมาคมใดๆเลย และยังถูกกฎหมายบ้านเมืองลงโทษอีก(โดยเฉพาะมาตุฆาต ปิตุฆาต และอรหันตฆาตเท่านั้น ยกเว้นสังฆเภทและโลหิตตุปบาทที่กฎหมายไม่สามารถลงโทษได้) ส่วนโทษของทางธรรมคือจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปหนักบาปหนาที่สุด ฟ้าไม่อาจจะยกโทษให้เลยแม้แต่น้อย พระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดทำกรรมอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะไม่สามารถบวชเข้ามาเป็นภิกษุได้เลยเพราะถือว่าเป็นผู้ต้องปาราชิกสำหรับฆราวาสแล้วและจะไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานใดๆเลยตลอดชีวิตในชาติที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อตายจากโลกไปจะต้องตกนรกเพียงสถานเดียว ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ ต่อให้ทำกรรมดีมากมายเพียงใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากนรกไปได้ ผุ้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรกลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี ซึ่งอยู่ชั้นที่ 8 เป็นขุมนรกขุมใหญ่ที่มีการลงโทษหนักโดยไม่มีผ่อนผันหรือหยุดพักแต่ใดๆเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสและเป็นเวลายาวนานที่ไม่อาจจะนับได้เลยหรือเรียกว่า กัลป์ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ทำอนันตริยกรรมเพียงข้อใดเพียงข้อเดียว มีจิตสำนึกผิดที่ได้กระทำลงไปและได้ทำกรรมดีมากมายขณะยังมีชีวิต เมื่อตายจากโลก บุญกุศลที่ทำไว้จะนำมาหักกับบาปแห่งอนันตริยกรรมก็จะได้รับการลดโทษด้วยการไม่ไปบังเกิดไปยังมหาขุมนรกอเวจี แต่จะให้ไปเกิดขุมนรกอื่นแทนแต่ต้องได้รับโทษยาวนานเช่นกัน ตัวอย๋างเช่น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ต่อมาสำนึกผิดและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดชีวิตจนถูกพระราชโอรสลอบปลงพระชนม์ บุญกุศลที่ได้ทำไว้ทำให้พระองค์ไม่ไปบังเกิดมหาขุมนรกอเวจี แต่ให้ไปเกิดขุมนรกที่ชื่อว่า โลหกุมภีนรก เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลา 60,000 ปีนรก ส๋วนถ้าใครทำอนันตริยกรรมไว้หลายข้อ ก็จะต้องไปบังเกิดมหาขุมนรกอเวจีสถานเดียวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ทำกรรมดีเท่าใดก็ไม่พ้นและได้รับการลงโทษเป็นเวลายาวนานมากหรือหลายกัลป์ แต่บางครั้งอาจได้รับการลดโทษด้วยการลดเวลาการลงโทษเหลือเพียง 1 กัลป์ ตัวอย่างเช่นพระเทวทัตทำกรรมหนักไว้ 2 ประการคือโลหิตุปบาทและสังฆเภท พระเทวทัตสำนึกผิดจึงให้บรรดาพระลูกศิษย์พาตนไปหาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดเชตวันมหาวิหารเพื่อขอขมา แต่เมื่อไปถึงสระโบกขรณีหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร บรรดาพระลูกศิษย์ได้หยุดพักแวะอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้าเฝ้า พระเทวทัตต้องการจะอาบน้ำชำระเช่นกัน เมื่อเท้าของท่านสัมผัสกับแผ่นดิน ด้วยบาปกรรมที่หนักมากจนแผ่นดินไม่อาจรองรับไว้ได้จึงสูบเอาพระเทวทัตลงไปสู่มหาขุมนรกอเวจี ไม่มีใครช่วยได้เลย แต่ก่อนที่จะจมลงธรณี พระเทวทัตซึ่งเหลือแต่เศียรได้มองไปยังวัดเชตวันมหาวิหารที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ก็กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณและถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชาและยึดเอาพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งตลอดกาล เมื่อลงสู่มหาขุมนรกอเวจีแล้ว บุญกุศลจากการถวายกระดูกคางก็ทำให้ถูกลงโทษในนรกอเวจีเพียง 1 กัลป์เท่านั้น ก.ย. 05, 2015 4:31:34pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.jozho.net/index.php?mo=4 www.jozho.net/index.php?mo=4 ก.ย. 05, 2015 4:32:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https://dhamaprateep.wordpress.com/สารบัญ/จิต/ ก.ย. 05, 2015 4:32:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://knowledge.itoutsource.co.th/วิธีแทรกสัญลักษณ์พิเศษ-m/ knowledge.itoutsource.co.th/วิธีแทรกสัญลักษณ์พิเศษ-m/ ก.ย. 05, 2015 4:33:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก องอาจ สรัอยมาลี "สิ่งที่เกิดๆดับๆ อย่าไปหลงเชื่อมันเด็ดขาด" อย่างเช่น ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป สุขเกิดขึ้น สุขดับไป อุเบกขาเกิดขึ้น อุเบกขาดับไป พวกนี้เป็นสิ่งที่เกิดดับ สุขเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เราเป็นผู้สุขหรอก ทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เราเป็นผู้ทุกข์หรอก อุเบกขาเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เราหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ถูกผู้รู้ เข้าไปรู้เข้าไปเห็น ไม่ใช่เราสักอย่าง "นิพพานใจจะต้องเด็ดเดี่ยวมากนะ ต้องไม่ห่วงใคร จะต้องไปคนเดียว" .😭 ก.ย. 14, 2015 7:27:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ไตรสรณคมน์ สามประโยคสั้น ๆ เรื่องเล่าของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อาตมาได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนตร์ด้วยตัวอาตมาเอง ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา ๑๕ ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนตร์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า... " พุทธัง สะระณัง คัจฉามิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิ " ซึ่งมีความหมายว่า.... " ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง " อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงคำนี้ ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้ เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์ มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาอาคมเล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทมนตร์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่ นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง ๗ วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมาก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทมนตร์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้ว .😭 ก.ย. 15, 2015 6:22:29pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก อภัยทาน บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ Praneet Khampromma เนื้อคู่ มันมีอยู่แบบ ปะปนกันไปหมด บางคนดีใจ ที่ตัวเองมีเนื้อคู่ กับเขาบ้าง ตามประสามนุษย์ ผู้มีเปลือกตมบังตา แต่หาได้ตรวจสอบเนื้อคู่ของตนไม่ #เนื้อคู่นั้น ตามความจริงแล้ว มีทั้ง #คู่บุญคู่บารมี อยู่กินกันอย่างมีความสุข ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ซึ่งคู่นี้ รักกันเสมอแม่กับบุตร ที่ค่อยดูแลใส่ใจ ซึ่งกันและกัน ชอบทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และชอบศึกษาค้นคว้า ธรรม อยู่เสมอ และมีทั้งเป็น #คู่ทุกข์คู่ยาก ยิ่งอยู่ยิ่งยากไร้เข็ญใจจริงๆ #คู่กาม ซึ่งคู่นี่รักกันเพราะหวังเสพกาม #คู่เวรคู่กรรม ซึ่งคู่นี่มาอยู่ด้วยกัน เพราะต้องชดใช้เวร ที่เคยสร้างกันมา แต่ปางก่อน เห็นกันมีความสุขไม่ได้ ฉันต้องเห็นเธอทุกข์ใจ ซึ่งสามารถจำแนกได้อีก 4 ประเภท คือ 1 #เนื้อคู่แบบผีอยู่กับสาง หมายถึง คู่ครองที่ทั้งชายและหญิงเป็นคนไม่ดีทั้งคู่ ทั้งผิดศีล ติดสุรา การพนัน รักซ้อน เจ้าชู้ มีกิ๊ก ขี้โกง ชอบหลอกลวง ชอบฆ่าสัตว์ ขี้เกียจ ไม่ชอบทำงาน ฯลฯ เข้าทำนองหญิงชั่ว ชายโฉดนั่นเอง 2 #เนื้อคู่แบบผีอยู่กับเทพ หมายถึง ฝ่ายชายเป็นคนไม่ดี เจ้าชู้ผิดศีลตลอด ชอบโกหก เล่นการพนัน กินเหล้า เล่นยา มีกิ๊ก คบชู้ ฯลฯ (สารพัดความชั่ว) ส่วนฝ่ายหญิงเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม นิสัยดี อาจจะถือศีลเป็นประจำ ไม่ชอบทำบาป ชอบให้อภัย อาจจะเป็นหญิงที่มาจากครอบครัวดี มีฐานะ รูปร่างหน้าตาดี เข้าทำนอง ชายโฉดกับแม่พระ หรือเข้ากับคำที่ว่า ผู้หญิงนั้นชอบคนเลว ยิ่งเลวเท่าไรยิ่งดี มันยิ่งกระตุ้นให้เธอมอบหัวใจนั่นเอง 3 #เนื้อคู่แบบเทพอยู่กับผี หมายถึง ฝ่ายชายเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม ชอบการทำบุญ สำรวมกายวาจาใจ รักความสมถะ นิสัยดี ไม่เจ้าชู้ ให้อภัยเสมอ ชอบศึกษาและอ่านหนังสือธรรมะ ชอบไปวัด ฟังธรรม ส่วนฝ่ายหญิงตรงกันข้ามหมดอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่า เป็นรอยแถบดำบนผ้าขาว เป็นนักบุญกับคนบาปนั่นเอง 4 #เนื้อคู่แบบเทพอยู่กับเทพ หมายถึง ทั้งฝ่ายชายและหญิง ต่างเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติธรรม ชอบการทำบุญทำทานเสมอ ชอบอุทิศเวลาและทรัพย์สินเพื่อการกุศลและช่วยเหลือคนอื่น ชอบศึกษาธรรม ไม่กินเหล้า ไม่นอกใจกัน คู่ชนิดนี้สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก แต่โดยที่สุดแห่งสัจจะธรรมความจริง สามี ภรรยานั้น หรือ ลูก ด้วย จะขออยู่คู่ติดตามกันไปทุกภพชาตินั้น ไม่มี..ทางเป็นไปได้ง่ายเหมือนในละคร แม่แต่พระนางพิมพา(ยโสธรา)ที่เป็นคู่เคียงบารมีของพระโพธิสัตว์ ก็ยังเคยไปเป็นพระมเหสีของพระอานนท์เลย ถึงแม้จะรักกันจะกลืนกันแค่ไหน ไม่อยากจากกันแค่ไหน ก็ฝืนกรรมอันเป็นไปตามธรรมชาติของมันไม่ได้ เมื่อได้อยู่ด้วยกันในชาตินี้ ได้รู้จักกันในชาตินี้ ก็จงทำดีให้แก่กันและกัน ชวนกันไปทางสว่าง อย่าชวนกันไปทางเสื่อม ทางไม่ดี ที่ทำให้เข้าถึง นรก เดรัจฉาน เปตรวิสัย..  เนื้อคู่ มันมีอยู่แบบ ปะปนกันไปหมด บางคนดีใจ ที่ตัวเองมีเนื้อคู่ กับเขาบ้าง ตามประสามนุษย์ ผู้มีเปลือกตมบังตา แต่หาได้ตรวจสอบเนื้อคู่ของตนไม่ #เนื้อคู่นั้น ตามความจริงแล้ว มีทั้ง #คู่บุญคู่บารมี อยู่กินกันอย่างมีความสุข ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ซึ่งคู่นี้ รักกันเสมอแม่กับบุตร ที่ค่อยดูแลใส่ใจ ซึ่งกันและกัน ชอบทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และชอบศึกษาค้นคว้า ธรรม อยู่เสมอ และมีทั้งเป็น #คู่ทุกข์คู่ยาก ยิ่งอยู่ยิ่งยากไร้เข็ญใจจริงๆ #คู่กาม ซึ่งคู่นี่รักกันเพราะหวังเสพกาม #คู่เวรคู่กรรม ซึ่งคู่นี่มาอยู่ด้วยกัน เพราะต้องชดใช้เวร ที่เคยสร้างกันมา แต่ปางก่อน เห็นกันมีความสุขไม่ได้ ฉันต้องเห็นเธอทุกข์ใจ ซึ่งสามารถจำแนกได้อีก 4 ประเภท คือ 1 #เนื้อคู่แบบผีอยู่กับสาง หมายถึง คู่ครองที่ทั้งชายและหญิงเป็นคนไม่ดีทั้งคู่ ทั้งผิดศีล ติดสุรา การพนัน รักซ้อน เจ้าชู้ มีกิ๊ก ขี้โกง ชอบหลอกลวง ชอบฆ่าสัตว์ ขี้เกียจ ไม่ชอบทำงาน ฯลฯ เข้าทำนองหญิงชั่ว ชายโฉดนั่นเอง 2 #เนื้อคู่แบบผีอยู่กับเทพ หมายถึง ฝ่ายชายเป็นคนไม่ดี เจ้าชู้ผิดศีลตลอด ชอบโกหก เล่นการพนัน กินเหล้า เล่นยา มีกิ๊ก คบชู้ ฯลฯ (สารพัดความชั่ว) ส่วนฝ่ายหญิงเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม นิสัยดี อาจจะถือศีลเป็นประจำ ไม่ชอบทำบาป ชอบให้อภัย อาจจะเป็นหญิงที่มาจากครอบครัวดี มีฐานะ รูปร่างหน้าตาดี เข้าทำนอง ชายโฉดกับแม่พระ หรือเข้ากับคำที่ว่า ผู้หญิงนั้นชอบคนเลว ยิ่งเลวเท่าไรยิ่งดี มันยิ่งกระตุ้นให้เธอมอบหัวใจนั่นเอง 3 #เนื้อคู่แบบเทพอยู่กับผี หมายถึง ฝ่ายชายเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม ชอบการทำบุญ สำรวมกายวาจาใจ รักความสมถะ นิสัยดี ไม่เจ้าชู้ ให้อภัยเสมอ ชอบศึกษาและอ่านหนังสือธรรมะ ชอบไปวัด ฟังธรรม ส่วนฝ่ายหญิงตรงกันข้ามหมดอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่า เป็นรอยแถบดำบนผ้าขาว เป็นนักบุญกับคนบาปนั่นเอง 4 #เนื้อคู่แบบเทพอยู่กับเทพ หมายถึง ทั้งฝ่ายชายและหญิง ต่างเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติธรรม ชอบการทำบุญทำทานเสมอ ชอบอุทิศเวลาและทรัพย์สินเพื่อการกุศลและช่วยเหลือคนอื่น ชอบศึกษาธรรม ไม่กินเหล้า ไม่นอกใจกัน คู่ชนิดนี้สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก แต่โดยที่สุดแห่งสัจจะธรรมความจริง สามี ภรรยานั้น หรือ ลูก ด้วย จะขออยู่คู่ติดตามกันไปทุกภพชาตินั้น ไม่มี..ทางเป็นไปได้ง่ายเหมือนในละคร แม่แต่พระนางพิมพา(ยโสธรา)ที่เป็นคู่เคียงบารมีของพระโพธิสัตว์ ก็ยังเคยไปเป็นพระมเหสีของพระอานนท์เลย ถึงแม้จะรักกันจะกลืนกันแค่ไหน ไม่อยากจากกันแค่ไหน ก็ฝืนกรรมอันเป็นไปตามธรรมชาติของมันไม่ได้ เมื่อได้อยู่ด้วยกันในชาตินี้ ได้รู้จักกันในชาตินี้ ก็จงทำดีให้แก่กันและกัน ชวนกันไปทางสว่าง อย่าชวนกันไปทางเสื่อม ทางไม่ดี ที่ทำให้เข้าถึง นรก เดรัจฉาน เปตรวิสัย..  ก.ย. 16, 2015 7:36:50pm จันทร์สุดา เกษมสัตย์ ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:42pm BaiFern Lyy ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:42pm Bowpari Phiankla ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:43pm Bowling Sunisa Kengnok ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:43pm Browviwe Lovesick ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:45pm Amonrat Charoenying ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:45pm Benjamat Kruekongmat ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 16, 2015 9:21:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ลักษณะการพูดของอสัตบุรุษ (คนไม่ดี) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นที่รู้กันว่าเป็น อสัตบุรุษ(คนไม่ดี). ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คือ :- (๑) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษในกรณีนี้ แม้ไม่มีใคร ถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำมาเปิดเผยให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อถูกใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึง ความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่มีทาง หลีกเลี้ยวลดหย่อน แล้วกล่าวความไม่ดีของผู้อื่นอย่างเต็มที่ โดยพิสดาร. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. (๒) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ แม้ถูกใครถามอยู่ถึงความดีของบุคคลอื่น ก็ไม่เปิดเผย ให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อถูก ใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ ลดหย่อนไขว้เขว แล้วกล่าวความดีของผู้อื่นอย่างไม่พิสดาร เต็มที่. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. (๓) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ แม้ถูกใครถามถึงความไม่ดีของตน ก็ปกปิดไม่เปิดเผย ให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อถูกใคร ถามถึงความไม่ดีของตน ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ลดหย่อน ไขว้เขว แล้วกล่าวความไม่ดีของตนอย่างไม่พิสดารเต็มที่. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. (๔) ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อสัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ แม้ไม่มีใครถามถึงความดีของตน ก็นำมาโอ้อวดเปิดเผย จะกล่าวทำไมถึงเมื่อถูกใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดี ของตน ก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่ลดหย่อนหลีกเลี้ยว กล่าวความดีของตนอย่างเต็มที่โดยพิสดาร. ภิกษุ ทั้งหลาย. !ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล เป็นที่รู้กันว่าเป็นอสัตบุรุษ. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๐๐/ ก.ย. 18, 2015 8:06:12pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้เปลี่ยนชื่อของกลุ่ม "Download All Shared" เป็น "Download Reader All Dhama" Reader All Dhama ก.ย. 19, 2015 10:40:33am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ อัพเดตคำอธิบายของกลุ่ม "Reader All Dhama" ธรรมะ พุธธัง ธรรม ธัมมัง ธรรมะ สังฆัง สะระณังคัจฉามิ ก.ย. 19, 2015 10:40:34am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก Anonglak Sontong และ KimNhoey Sttw ผู้หญิงคนนี้ เขาไม่ได้สวยหรอก ดอกไม้ก็ไม่ได้สวยหรอก เขาก็รูปร่างเป็นอย่างนั้นแบบนั้นตาม ธรรมดาของเขาที่เป็นอยู่ .. ... .. .. .. .. .. .. .. .. ... .. ... .. แต่ใจที่มันกระเพื้อมไปให้ความหมายเขา "ว่าเขาสวย ว่าเขาน่ารัก น่าจีบ" ใจเมื่อไปให้ความหมายแบบนั้นแล้ว ก็ไม่กำหนดรู้ ให้มันดับไป แต่ยังหลงตามอารมณ์ที่ไปให้ความหมายเขา และไหลตามมันไปอีก จึงเกิดเป็นตัณหา "ต้องเข้าไปหาทำความรู้จักนะ" "ต้องจีบน่ะ ต้องๆ...ฯลฯ" เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์ความรู้สึกนั้น วนเวียนผุดขึ้นมาในหัวอีก ก็ไหลไปกับมันอีก เพราะไม่กำหนดรู้มัน ก็กลายเป็น ตัณหาอีก จึงเป็นทุกข์แต่งงานกันมีลูกด้วยกัน ตัณหาตามมาเพียบ เพราะ กำหนัดพอใจในรูปร่างกายผิวพรรณ อารมณ์กิเลสแท้ๆ กิเลสอวิชามันจึงเอาไปกินได้ ก.ย. 19, 2015 7:45:29pm Add Moust ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 20, 2015 5:34:12am Aew Waranya ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 20, 2015 5:34:14am Art Chanwit ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 20, 2015 5:34:14am Sakcharoon Khasemsat ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 21, 2015 9:16:55pm ศักดิ์จรูญ เกษมสัตย์ ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 21, 2015 9:16:56pm Sunita Duangkaew ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 21, 2015 9:16:56pm ปีใหม่ พรทิพย์ ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 21, 2015 9:16:57pm Pacin Duangkaew ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 21, 2015 9:16:57pm Bowling Nutcharin ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 22, 2015 10:46:20pm Janthima Pimkaree ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 22, 2015 10:46:22pm Fernly Indy ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.ย. 22, 2015 10:46:23pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: กลุ่มคนโสด http://www.youtube.com/playlist?list=PL3847631465D7CE32 ด้วยควาเป็นห่วง.. ถ้ายังไม่มีความรัก อย่าเพิ่งรีบหาความรัก แต่ให้เร่งรู้วิธีสร้างความรัก และถามตัวเองว่า ต้องการความรักแบบไหน แบบกินเนื้อหนังกันเฉยๆ (คู่กาม)" หรือ แบบคู่บุญ บารมี ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดพองกระบองยอดเพชร รักกันอย่างมีความสุข" # ผมมารู้จักใจผมจริงๆ เพราะฟัง"รู้จักรัก" ก.ย. 23, 2015 12:15:52am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama Sittha Sitthichokechai added 4 new photos. 4 hrs · Edited · . พระพุทธองค์ทรงสอนเทคนิค การเจริญอโลกกสิน(แสงสว่าง)ให้ได้ผล [๔๕๒] พ. ดูกรอนุรุทธะ พวกเธอต้องแทงตลอดนิมิตนั้นแล แม้เราก็เคยมาแล้ว เมื่อก่อนตรัสรู้ ยังไม่รู้เองด้วยปัญญาอันยิ่ง ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่าง และการเห็นรูปเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แสงสว่าง และการเห็นรูปของเราหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า วิจิกิจฉาแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็วิจิกิจฉาเป็นเหตุสมาธิของเรา จึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ การเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ ไม่เกิดวิจิกิจฉาขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๕๓] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นแลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูป อันนั้นของเราย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แสงสว่างและ การเห็นรูปของเราหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า อมนสิการแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็อมนสิการเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา และอมนสิการขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๕๔] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ถีนมิทธะแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ถีนมิทธะเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ และถีนมิทธะขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๕๕] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความหวาดเสียวแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ การเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เกิดมีคนปองร้ายเขาขึ้นที่สองข้างทาง เขาจึงเกิดความหวาดเสียว เพราะถูกคน ปองร้ายนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความหวาดเสียวแลเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ และความหวาดเสียวขึ้นแก่เราได้อีก [๔๕๖] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความตื่นเต้นแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ การเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาแหล่งขุมทรัพย์ แห่งหนึ่ง พบแหล่งขุมทรัพย์เข้า ๕ แห่ง ในคราวเดียวกัน เขาจึงเกิดความตื่นเต้น เพราะพบแหล่งขุมทรัพย์ ๕ แห่งนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความตื่นเต้นแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ความหวาดเสียวและ ความตื่นเต้นขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๕๗] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความชั่วหยาบแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความชั่วหยาบเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ความหวาดเสียว, ความตื่นเต้น และความชั่วหยาบขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๕๘] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความเพียรที่ปรารภเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ปรารภเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษเอามือทั้ง ๒ จับนกคุ่มไว้แน่น นกคุ่มนั้นต้องถึงความตายในมือนั้นเอง ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แลความเพียร ที่ปรารภเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูป จึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ, ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว, ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ และความเพียร ที่ปรารภเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๕๙] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษจับนกคุ่มหลวมๆ นกคุ่มนั้นต้องบินไปจากเมืองเขาได้ ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อน เกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว , ความตื่นเต้น, ความชั่วหยาบ, ความเพียรที่ปรารภเกินไป และความเพียร ที่ย่อหย่อนเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๖๐] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ การเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ, ความหวาดเสียว , ความตื่นเต้น , ความชั่วหยาบ , ความเพียรที่ปรารภเกินไป, ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป และตัณหาที่คอยกระซิบขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๖๑] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เรานั้นจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ, ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว , ความตื่นเต้น , ความชั่วหยาบ, ความเพียรที่ปรารภเกินไป , ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป , ตัณหาที่คอยกระซิบ และความสำคัญ สภาวะว่าต่างกันขึ้นแก่เราได้อีก ฯ [๔๖๒] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูป ของเราหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ, ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว , ความตื่นเต้น, ความชั่วหยาบ , ความเพียรที่ปรารภเกินไป , ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป , ตัณหาที่คอย กระซิบ , ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน และลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปขึ้นแก่เรา ได้อีก ฯ [๔๖๓] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นแลรู้ว่า วิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองจึงละวิจิกิจฉาตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าอมนสิการเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองจึงละอมนสิการตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าถีนมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองจึงละถีนมิทธะตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมอง จึงละความหวาดเสียว ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองจึงละความตื่นเต้นตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองจึงละความชั่วหยาบตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าความเพียรที่ปรารภเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความเพียรที่ปรารภเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองจึงละตัณหาที่คอยกระซิบ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ ฯ [๔๖๔] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแลแต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เรานั้นจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เรารู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแลแต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแลแต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า สมัยใด เราไม่ใส่ใจ นิมิตคือรูป ใส่ใจแต่นิมิตคือแสงสว่าง สมัยนั้น เราย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป ส่วนสมัยใด เราไม่ใส่ใจนิมิตคือแสงสว่าง ใส่ใจแต่นิมิตคือรูป สมัยนั้น เราย่อมเห็นรูปอย่างเดียวแล แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืน และกลางวันบ้าง ฯ [๔๖๕] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่าง อย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้างตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เรารู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่าง อย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า สมัยใด เรามีสมาธินิดหน่อย สมัยนั้นเราก็มีจักษุนิดหน่อย ด้วยจักษุนิดหน่อย เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย ส่วนสมัยใด เรามีสมาธิหาประมาณมิได้ สมัยนั้น เราก็มีจักษุหาประมาณมิได้ ด้วยจักษุหาประมาณมิได้ เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างหาประมาณมิได้ และเห็นรูปหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ฯ ดูกรอนุรุทธ เพราะเรารู้ว่าวิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละวิจิกิจฉา ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าอมนสิการเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละอมนสิการ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าถีนมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละถีนมิทธะ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความหวาดเสียวตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความตื่นเต้นตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความชั่วหยาบตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความเพียรที่ปรารภเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความเพียรที่ปรารภเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเครื่องเกาะจิต ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละตัณหาที่คอยกระซิบตัวเกาะจิต ให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความสำคัญสภาวะต่างกัน เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความสำคัญ สภาวะว่าต่างกัน ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็น เครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ เรานั้นจึงได้มีความรู้ดังนี้ว่า เครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองนั้นๆ ของเรา เราละได้แล้วแล ดังนั้น เราจึงเจริญสมาธิ โดยส่วนสามได้ในบัดนี้ ฯ [๔๖๖] ดูกรอนุรุทธ เรานั้น ได้เจริญสมาธิ มีวิตกมีวิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตก มีแต่วิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิมีปีติบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีปีติบ้าง ได้เจริญสมาธิสหรคตด้วยสุขบ้าง ได้เจริญสมาธิสหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ฯ ดูกรอนุรุทธ เพราะสมาธิชนิดที่มีวิตก มีวิจารบ้าง ชนิดที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจารบ้าง ชนิดที่ไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง ชนิดที่มีปีติบ้าง ชนิดที่ไม่มีปีติบ้าง ชนิดที่สหรคตด้วยสุขบ้าง ชนิดที่สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง เป็นอันเราเจริญแล้ว ฉะนั้นแล ความรู้ความเห็นจึงได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอนุรุทธจึงชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ _________________ อุปักกิเลสสูตร ตท(ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๓๔-๒๓๙ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ก.ย. 23, 2015 6:38:55pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama บุญมี แต่บารมี มีไม่ถึง (อันนี้ว่าให้ตัวเองนะ ไม่ได้ว่าให้ใคร) ตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย ผมเป็นคนที่ชอบเล่นอินเตอร์เน็ตมาก ชอบเล่นโน๊ตบุ๊ก โทรศัพท์ เข้าเน็ตโหลดเพลงโหลดวิดีโอ ชอบดูหนังฟังเพลง ไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไร เบื่อ... ชอบอยู่วิเวกอยู่คนเดียว จนบางครั้งถามตัวเองว่า "ทำไมอุปนิสัยเรามันถึงเป็นอย่างนี้นะ เก็บกดไม่พอใจใครหรือเปล่าวะ ก็ไม่มี) เวลาไม่พอใจใครไม่ชอบใจใคร ก็มีแต่ถอยออกมาให้ห่าง และหมอบลง หมอบเหมือนทหารรอดลวงหนามน่ะเพื่อไม่ให้ตัวเองมีอัตราย ไม่ได้หมอบเหมือนหมานะ) เพราะไม่อยากเอาใจไปวุ่นวายด้วย ไม่ต้องมีใครมาวุนวาย และลึกๆแล้วไม่ชอบพูดกับใคร (แต่ไม่ได้หมายความว่า เกลียด หรือไม่พอใจ หรือไม่ถูกกัน ไม่ได้น้อยใจ หรืออะไร แต่แค่ไม่ชอบพูดเฉยๆ (แต่ความคิดอายมันมีอิทธิพลมาก มันกลัวคนอื่นจะมองว่าไม่มีเพื่อน) คจลล ก.ย. 24, 2015 11:00:36am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama การสร้างทิพยจักษุญาณด้วยการเจริญอาโลกกสิณนั้น ท่านให้ปฏิบัติดังนี้ ท่านให้เพ่งแสงสว่างที่ลอดมาทางช่องฝาหรือหลังคาให้กำหนดจิตจดจำภาพแสงสว่างนั้นไว้ให้จำได้ดี แล้วหลับตากำหนดนึกถึงภาพแสงสว่างที่มองเห็นนั้น ภาวนาในใจ พร้อมทั้งกำหนดนึกถึงภาพนั้นไปด้วย ภาวนาว่า "อาโลกกสิณัง" แปลว่า แสงสว่าง กำหนดนึกไป ภาวนาไป ถ้าภาพแสงสว่างนั้นเลอะเลือนจากไปก็ลืมตาดูใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยไป จนภาพนั้นติดตา ติดใจ นึกคิดขึ้นมาเมื่อไร ภาพนั้นก็ปรากฏแก่ใจตลอดเวลา ในขณะที่กำหนดจิตคิดเห็นภาพนั้น ระวังอารมณ์จิตจะซ่านออกภายนอก และเมื่อจิตเริ่มมีสมาธิ ภาพอื่นมักเกิดขึ้นมาสอดแทรกภาพกสิณ เมื่อปรากฏว่ามีภาพอื่นสอดแทรกเข้ามาจงตัดทิ้งเสีย โดยไม่ยอมรับรู้รับทราบ กำหนดภาพเฉพาะภาพกสิณอย่างเดียว ภาพแทรกเมื่อเราไม่สนใจไยดี ไม่ช้าก็ไม่มารบกวนอีก เมื่อภาพนั้นติดตาติดใจ จนเห็นได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะเห็นได้แล้ว และเป็นภาพหนาใหญ่จะกำหนดจิตให้ภาพนั้นเล็ก ใหญ่ ได้ตามความประสงค์ ให้สูงต่ำก็ได้ตามใจนึก เมื่อเป็นได้อย่างนั้นก็อย่าเพิ่งคิดว่าได้แล้ว ถึงแล้วจงกำหนดจิตจดจำไว้ตลอดวันตลอดเวลา อย่าให้ภาพแสงสว่างนั้นคลาดจากจิต จงเป็นคนมีเวลา คืออย่าคิดว่าเวลานั้นเถอะเวลานี้เถอะจึงค่อยกำหนด การเป็นคนไม่มีเวลา เพราะหาเวลาเหมาะไม่ได้นั้น ท่านว่าเป็นอภัพพบุคคลสำหรับการฝึกญาณ คือเป็นคนหาความเจริญไม่ได้ ไม่มีทางสำหรับมรรคผล เท่าที่ตนปรารถนานั่นเอง ต้องมีจิตคิดนึกถึงภาพกสิณตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ไม่ยอมให้ภาพนั้นคลาดจากจิต ไม่ว่า กิน นอน นั่ง เดิน ยืน หรือทำกิจการงาน ต่อไปไม่ช้าภาพกสิณก็จะค่อยคลายจากสีเดิมเปลี่ยนเป็นสีใสประกายพรึกน้อยๆ และค่อยๆ ทวีความสดใสประกายมากขึ้น ในที่สุดก็จะปรากฏเป็นสีประกายสวยสดงดงาม คล้ายดาวประกายพรึกดวงใหญ่ ตอนนี้ก็กำหนดใจให้ภาพนั้นเล็ก โต สูง ต่ำ ตามความต้องการ การกำหนดภาพเล็ก โต สูง ต่ำ และเคลื่อนที่ไปมาอย่างนี้ จงพยายามทำให้คล่องจะเป็นประโยชน์ตอนฝึกมโนมยิทธิ คือ ถอดจิตออกท่องเที่ยวมาก เมื่อภาพปรากฏประจำจิตไม่คลาดเลื่อนได้รวดเร็ว เล็กใหญ่ได้ตามประสงค์คล่องแคล่วว่องไวดีแล้ว ก็เริ่มฝึกทิพยจักษุญาณได้แล้ว เมื่อฝึกถึงตอนนี้ มีประโยชน์ในการฝึกทิพยจักษุญาณและฝึกมโนมยิทธิ คือถอดจิตออกท่องเที่ยว และมีผลในญาณต่างๆ ที่เป็นบริวารของทิพยจักษุญาณทั้งหมด เช่น ๑. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิด ณ ที่ใด ที่มาเกิดนี้มาจากไหน ๒. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ ๓. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้ ๔. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตได้ ๕. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้ ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่า ขณะนี้อะไรเป็นอะไรได้ ๗. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหมได้ว่าเขามีสุขมีทุกข์ เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ การฝึกกสิณจนถึงระดับดีมีผลมากอย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงอย่าท้อถอย สำหรับวันเวลาหรือไม่นานตามที่ท่านคิดหรอก จงอย่าเข้าใจว่าต้องใช้เวลาแรมปี คนว่าง่ายสอนง่ายปฏิบัติตามนัยพระพุทธเจ้า สั่งสอนแล้ว ไม่นานเลย นับแต่อย่างเลวจัดๆ ก็ ๓ เดือน เป็นอย่างเลวมาก อย่างดีมากไม่เกิน ๗ วันเป็นอย่างช้า ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะท่านผู้นั้นเคยได้ทิพยจักษุญาณมาในชาติก่อนๆ ก็ได้เพราะท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรรคว่า "ท่านที่เคยได้ทิพยจักษุญาณมาในชาติก่อนๆ แล้วนั้นพอเห็นแสงสว่างจากช่องฝาหรือหลังคา ก็ได้ทิพยจักษุญาณทันที" เคยพบมาหลายคนเหมือนกัน แม้แต่มโนมยิทธิซึ่งเป็นของยาก กว่าหลายร้อยรายที่พอฝึกเดี๋ยวนั้น ไม่ทันถึงชั่วโมงเธอก็ได้เลย ทำเอาครูอายเสียเกือบแย่ เพราะครูเองก็ย่ำต๊อกมาแรมเดือน แรมปี กว่าจะพบดีเอาความรู้นี้มาสอนได้ก็ต้องบุกป่าบุกโคลนขึ้นเขาลำเนาไม้เสียเกือบแย่ แต่ศิษย์คว้าปับได้บุปอย่างนี้ ครูจะไม่อายแล้วจะไปรออายกันเมื่อไร แต่ก็ภูมิใจอยู่นิดหนึ่งว่า ถึงแม้ครูจะทึบ ก็ยังมีโอกาสมีศิษย์ฉลาดพออวดกับเขาได้ กำหนดภาพถอนภาพ เมื่อรู้อานิสงส์อาโลกกสิณแล้ว ก็จะได้แนะวิธีใช้ฌานจากฌานในกสิณต่อไป การเห็นภาพเป็นประกายและรักษาภาพไว้ได้นั้นเป็นฌาน ต้องการจะดูนรกสวรรค์ พรหมโลก หรืออะไรที่ไหน จงทำดังนี้ กำหนดจิตจับภาพกสิณตามที่กล่าวมาแล้วให้มั่นคง ถ้าอยากดูนรก ก็กำหนดจิตลงต่ำแล้วอธิฐานว่าขอภาพนี้จงหายไป ภาพนรกจงปรากฏขึ้นมาแทน เท่านี้ภาพนรกก็จะปรากฏ อยากดูสวรรค์กำหนดจิตให้สูงขึ้น แล้วคิดว่า ขอภาพกสิณจงหายไป ภาพสวรรค์จงปรากฏแทน ภาพพรหม หรืออย่างอื่นก็ทำเหมือนกัน ถ้าฝึกกสิณคล่องแล้วไม่มีอะไรอธิบายอีก เพราะภาพอื่นที่จะเห็นก็เพราะเห็นภาพกสิณก่อน แล้วกำหนดจิตให้ภาพกสิณหายไป เอาภาพใหม่มาแทน การเห็นก็เห็นทางใจเช่นเดียวกับภาพกสิณ แต่ชำนาญแล้วก็เห็นชัดเหมือนเห็นด้วยตา เล่นให้คล่อง จนพอคิดว่าจะรู้ก็รู้ได้ทันทีทันใด ไม่ว่าตื่นนอนใหม่ กำลังง่วงจะนอน ร้อน หนาว ปวด เมื่อย หิว เจ็บไข้ได้ป่วยทำได้ทุกเวลา อย่างนี้ก็ชื่อว่าท่านได้กสิณกองนี้แล้วและได้ทิพยจักษุญาณแล้ว เมื่อได้ทิพยจักษุญาณเสียอย่างเดียว ญาณต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ไม่มีอะไรจะต้องทำ ได้ไปพร้อมๆ กัน เว้นไว้แต่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ท่านว่าต้องมีแบบฝึกต่างหาก แต่ตามผลปฏิบัติพอได้ทิพยจักษุญาณเต็มขนาดแล้ว ก็เห็นระลึกชาติได้กันเป็นแถว ใครจะระลึกได้มากได้น้อยเป็นเรื่องของความขยันและขี้เกียจ ใครขยันมากก็ระลึกได้มาก ขยันน้อยก็ระลึกได้น้อย ขยันมากคล่องมาก ขยันน้อยคล่องน้อย ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/samp202.htm Share __________________ ก.ย. 27, 2015 12:34:40pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama 2.1.1 วัยทารก 1. พัฒนาการด้านร่างกาย ในระยะแรกคลอดทารกจะมีน้ำหนักตัวลดลง แต่เมื่อปรับตัวได้ดีขึ้นน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกเกิดถึง 6 เดือน หลังจาก 6 เดือนไปแล้วอัตราการเพิ่มของน้ำหนักจะลดลง ความสูงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเคลื่อนไหวของทารกในระยะแรกคลอด ทารกจะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้ การเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะปฏิกิริยาสะท้อน เช่น การดูด การกางนิ้วเท้าเมื่อถูกลูบเท้าเบาๆ การผวาเมื่อได้ยินเสียงดังๆ เป็นต้น ปฏิกิริยาสะท้อนนี้จะหายไปเมื่อทารกอายุประมาณ 6 เดือน เนื่องจากกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เริ่มพัฒนาสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น โดยการพัฒนาของกล้ามเนื้อจะเริ่มจากศีรษะ ลำตัว แขนขา และนิ้วตามลำดับ สัดส่วนและขนาดร่างกายส่วนต่างๆของทารก ในระยะแรกเกิด จะเป็นลักษณะศีรษะโต กว่าลำตัว เมื่ออายุได้ 1 ปี ศีรษะกับลำตัวจะมีขนาดเท่ากัน จนกระทั่งอายุ 5 ปี ลำตัวจึงจะโตกว่าศีรษะ การทำงานของอวัยวะต่างๆ จะเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการคลอดออกมา เช่น การทำงานของต่อมเหงื่อ เพื่อช่วยปรับอุณหภูมิของร่างกาย ประสาทสัมผัสต่างๆ ได้แก่ การรู้รส การได้กลิ่น การได้ยิน และการเห็น จะพัฒนาขึ้นจนช่วยให้เด็กแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นเป็นลำดับ ระบบย่อยอาหารพัฒนาดีขึ้น โดยทารกจะเริ่มกินอาหารที่มีความข้น และ แข็งขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถกินอาหารได้เหมือนผู้ใหญ่ 2. พัฒนาการทางอารมณ์ ในระยะแรกคลอดทารกจะมีอาการตื่นเต้น ไม่แจ่มใสและชื่นบานสลับกันไป ซึ่งแยกได้ลำบาก ต่อมาอารมณ์จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามวุฒิภาวะและการเรียนรู้อาการที่แสดงออกทางอารมณ์ของทารกวัยนี้ ทำให้เห็นได้ว่าทารกวัยนี้อารมณ์โกรธ กลัว อิจฉาริษยา อยากรู้อยากเห็น ดีใจ และรัก เช่น การส่งเสียงร้องเมื่อไม่พอใจ การถอยหนีหรือการร้องเมื่อเห็นคนแปลกหน้า การเรียกร้องความสนใจเมื่อผู้ใหญ่ให้ความสนใจน้องที่เกิดใหม่หรือคนอื่นๆ มากกว่าตนเอง การรื้อค้นสิ่งของต่างๆการหัวเราะโอบกอดพ่อแม่หรือคนที่คุ้นเคยเป็นต้น 3.พัฒนาการทางสังคม หลังจากที่ทารกคลอดได้ 2-3 สัปดาห์ จะเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงที่คุ้นหู เช่น เสียงของแม่หรือคนเลี้ยง พออายุได้ 6 เดือน ทารกจะเริ่มแยกคนที่คุ้นเคยกับคนที่แปลกหน้าได้ การได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่น ค่อยเป็นค่อยไปและได้รับความสนุกสนานไปด้วยจะทำให้มีปฏิกิริยาที่ดีกับคนแปลกหน้า 4. พัฒนาการทางสติปัญญา พัฒนาการทางสติปัญญาของทารกมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของประสาทสัมผัสกับการรับรู้และการเคลื่อนไหว เพราะกลไกเหล่านี้ทำให้ทารกสามารถรับรู้รู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ความสมบูรณ์ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน ทำให้ทารกสามารถเปล่งเสียงได้ถูกต้องและนำไปสู่การพัฒนาการทางการพูด การจดจำและรู้ความหมายของคำต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น วัยทารกเป็นวัยที่เจริญเติบโตจนเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ทารกจะสามารถปรับตัวเข้ากับบุคคลและสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้อย่างรวดเร็วแต่ทารกยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จึงต้องการการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรัก ความนุ่มนวล อ่อนโยนจากผู้เลี้ยงดูทารกที่ได้รับความรักความอบอุ่นเพียงพอ จะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว มีทัศนคติที่ดีต่อบุคคลทั่วๆไป ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการมีบุคลิกภาพที่ดีในช่วงวัยต่อ ๆ ไป 2.1.2 วัยเด็ก 1. วัยเด็กตอนต้นหรือวัยก่อนเข้าเรียน 1.1 พัฒนาการทางร่างกาย วัยนี้อัตราการเจริญเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด สัดส่วนของร่างกายจะเปลี่ยนจากลักษณะของทารกอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแขนและขาจะยาวออกไป ศีรษะจะได้ขนาดกับลำตัว ไหล่กว้าง มือและเท้าใหญ่ขึ้น โครงกระดูกแข็งขึ้น กล้ามเนื้อเติบโตและแข็งแรงขึ้น ในตอนปลายในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น เช่น รู้จักกินข้าว แต่งตัว ใส่รองเท้าและอาบน้ำ หวีผมได้เอง ในระยะ 3-4 ปี จะเริ่มเดินได้อย่างมั่นคง ต่อจากนั้นก็จะสนใจการวิ่ง กระโดด ห้อยโหน ในระยะนี้จึงสามารถหัดถีบจักรยานสามล้อ กระโดดเชือกและการฝึกการรำได้แล้วเป็นต้น 1.2 พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยนี้มักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดโมโหง่าย โมโหร้ายอย่างไม่มีเหตุผล มักขัดขืนและดื้อรั้นต่อพ่อแม่อยู่เสมอ เมื่อเด็กได้คบค้าสมาคมกับเพื่อนๆ อาการดังกล่าวจะค่อยๆ หายไป นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับอารมณ์เลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นสำคัญอีกด้วย เด็กวัยนี้มักแสดงอาการโกรธด้วยการร้องไห้ ทุบตีสิ่งกีดขวาง ทิ้งตัวลงนอน ถ้ารู้สึกตัวก็จะวิ่งหนี หลบซ่อนตัว เด็กบางคนที่มีน้องใหม่อาจอิจฉาน้องก็จะแสดงออกคล้ายๆ กับเวลาเด็กโกรธหรืออาจมีพฤติกรรมถอยกลับไปเหมือนตอนยังเล็กอยู่ เช่น ปัสสาวะรดที่นอน เป็นต้น ลักษณะเด่นอีกอย่างของเด็กวัยนี้ คือ เด็กมักจะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ และมีคำถามต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดของเด็กวัยนี้ นอกจากนี้เด็กได้รับการตอบสนองความต้องการอย่างสม่ำเสมอจะเป็นเด็กอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส หัวเราะและยิ้มง่าย และมักแสดงความรักอย่างเปิดเผยด้วยการโอบกอด 1.3 พัฒนาการด้านสังคม เด็กวัยนี้เริ่มรู้จักคบเพื่อนและเล่นกับเพื่อนได้ดีขึ้น เด็กเริ่มรู้จักกากรปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ ซึ่งจะแสดงออกโดยการให้ความร่วมมือ การยอมรับฟัง การแสดงความเป็นผู้นำ เด็กจะเริ่มรู้จักการแข่งขันเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปี เป็นต้นไป โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างกลุ่ม เด็กที่มีพี่น้องหลายคนมักจะทะเลาะเบาะแว้งกัน สาเหตุมักมาจาการแย่งของเล่นและลักษณะดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปเมื่อเด็กเติบโตขึ้น ความกล้าแสดงออกทางการคบเพื่อนหรือการพูดจาของเด็กขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูทางครอบครัวมาก นั่นคือ ถ้าภายในครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เด็กมักจะรู้สึกกล้าและมีความมั่นคงในการเข้าสังคมนอกบ้าน เป็นต้น นอกจากนั้น เด็กวัยนี้ยังชอบรวมกลุ่มกับเพศเดียวกัน และมักเปลี่ยนเพื่อนเล่นไปเรื่อยๆ 1.4 พัฒนาการทางสติปัญญา ในวัยนี้เด็กจะรู้คำศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นได้ดี เด็กจะแสดงความฉลาดของตนเองออกมาโดยการพูดโต้ตอบกับผู้ใกล้ชิด ซึ่งเรื่องที่พูดก็มักจะเป็นเรื่องของตนเองและคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตน เด็กวัยนี้จะมีความจำดีและในช่วงปลายวัยถ้าได้รับการฝึกหัดให้อ่านและเขียนหนังสือ เด็กก็สามารถจะทำได้ดีด้วย 2.วัยเข้าเรียน 2.1 พัฒนาการทางร่างกาย ในช่วงวัยนี้อัตราการเจริญเติบโตจะลดน้อยลงเล็กน้อย แต่ยังเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายของเด็กจะขยายออกทางส่วนสูงมากกว่าส่วนกว้าง ลำตัวแบน แขนยาวออก อวัยวะย่อยอาหารและระบบหมุนเวียนของเลือดเจริญเกือบเต็มที่ แต่หัวใจยังเจริญช้ากว่าอวัยวะเหล่านั้น มีฟันแท้ขึ้นแทนฟันน้ำนมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฟันหน้ามักขึ้นก่อนฟันกรามโผล่พ้นเหงือกขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกันให้ฟันหน้าซี่อื่นๆ ขึ้นถูกต้องตามตำแหน่งของมัน สมองมีน้ำหนักสูงสุด มีกระดูกข้อมือ 6-7 ชิ้น ยังไม่เจริญเต็มที่ ลักษณะของตายังไม่เจริญสูงสุด สายตายังเป็นสายตายาวอยู่ การเคลื่อนไหวประสานกันไม่ดีเต็มที่ เพราะพัฒนาการของกล้ามเนื้อไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อตาของเด็กหญิงมักจะพัฒนาได้เร็วกว่าเด็กชาย เด็กวัยนี้มีพลังมากจึงไม่อยู่นิ่ง ชอบทำกิจกรรมและชอบทำอย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยมีความระมัดระวังมากนัก ทำให้ประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ ต่อมาเมื่อเด็กอายุอยู่ในช่วง 9-10 ปี การเจริญเติบโตจะมีฟันเขี้ยวที่ 1 และเขี้ยวที่ 2 ขึ้น เมื่อเด็กมีอายุ 10 ปีขึ้นไป การเจริญเติบโตจะเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก เด็กหญิงจะโตกว่าเด็กชาย ทั้งด้านร่างกายและวุฒิภาวะ ประมาณ 1-2 ปี โดยพบว่าเด็กหญิงจะปรากฏลักษณะเพศขั้นที่สองขึ้นเรื่อยๆ ได้แก่ ตะโพกผายออก ทรวงอกเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงไป จึงมักทำอะไรงุ่มง่าม เก้งก้าง นอกจากนี้เด็กหญิงจะเริ่มมีประจำเดือนระหว่างอายุประมาณ 11-12 ปี ส่วนเด็กชายไหล่กว้างขึ้น มือและเท้าใหญ่ขึ้น เริ่มมีการหลั่งอสุจิระหว่างอายุ 12-16 ปี ซึ่งเป็นการแสดงว่าวุฒิภาวะทางเพศเริ่มเจริญเต็มที่ 2.2 พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์มาก เพราะเด็กจะปรับตัวจากสภาพแวดล้อมเดิมที่บ้านไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่โรงเรียน อารมณ์กลัวจะเปลี่ยนไปจากการกลัวสิ่งที่ไม่มีตัวตน สัตว์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มากลัวสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง เช่น กลัวความอดอยาก กลัวไม่มีเพื่อน กลัวเรียนไม่ดี เป็นต้น นอกจากนี้ เด็กวัยนี้ยังต้องการเป็นที่หนึ่งหรือเป็นคนแรก ต้องการแสดงตนให้เป็นที่ชื่นชมของหมู่คณะ เด็กวัยนี้จะมีสำนึกว่าการอยู่ร่วมกับคนอื่นเดือดร้อนและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ในช่วงปลายของวัยนี้ คือช่วงอายุประมาณ 10-12 ปี เด็กจะเปลี่ยนวิธีแสดงอารมณ์โกรธจากการต่อสู้เป็นการโต้ตอบด้วยคำพูด สิ่งที่เด็กวัยนี้กลัวมากที่สุดคือ กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม ไม่ต้องการเด่นหรือด้อยกว่าคนอื่น เด็กจะมีการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกเร็วและง่าย จนบางครั้งทำให้รู้สึกขัดแย้งทางอารมณ์ขึ้น ในระยะการเปลี่ยนแปลง ความกลัวจะค่อยเปลี่ยนเป็นความกังวลในเรื่องรูปร่างของตน อยากเป็นคนแข็งแรงและสวยงาม กังวลว่าจะเกิดอันตรายกับตนเองและครอบครัวเป็นต้น 2.3 พัฒนาการด้านสังคม เมื่อเด็กเริ่มต้นไปโรงเรียน อาจมีปัญหาในการคบเพื่อนบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเด็ก แต่เมื่อได้อยู่ร่วมและเล่นกีฬากับเพื่อนๆ เด็กจะค่อยๆ ยอมรับฟังและยอมทำตามความคิดของคนอื่น เด็กชายจะชอบกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวทั้งตัว ส่วนเด็กหญิงจะชอบกิจกรรมที่ไม่ค่อยใช้กำลัง ในระยะตอนปลายของวัยนี้ เด็กจะให้ความสำคัญกับกลุ่มมาก จะรู้จักเป็นเจ้าของและซื่อสัตย์ต่อกลุ่ม เลือกคบเพื่อนที่มีอารมณ์คล้ายคลึงกันและต้องการเพื่อนที่ไว้ใจได้ ชอบเล่นกับเพื่อนเป็นหมู่มากกว่าเล่นกับวัตถุ เด็กชายชอบเล่นกีฬาที่ใช้กล้ามเนื้อและกีฬาที่มีกฎเกณฑ์ เด็กหญิงชอบเล่นอยู่กับเพื่อนสนิท 2-3 คน และเนื่องจากเด็กหญิงมีการเจริญเติบโตเร็วกว่าเด็กชาย จึงเริ่มสนใจเพื่อนต่างเพศเร็วกว่า รู้จักแต่งตัวมากขึ้นและสนใจเรื่องราวของเด็กชาย 2.4 พัฒนาการทางสติปัญญา ในระหว่างวัย 7 ปี พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญเร็วขึ้นรวดเร็ว รู้คำศัพท์เพิ่มมากขึ้น ใช้ภาษาพูดแสดงความคิดความรู้สึกได้อย่างดี ความรู้สึกทางด้านจริยธรรมเริ่มพัฒนาการในระยะนี้ มีความรับผิดชอบได้บ้างแล้ว เริ่มสนใจสิ่งถูกสิ่งผิด สนใจเรื่องราวต่างๆ แต่ยังมีมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงความจริงอาจหยิบสิ่งของของผู้อื่นมาโดยไม่ได้ตั้งใจจะขโมยมาก็ได้ เมื่อพ้นระยะนี้เด็กจะมีประสบการณ์ใหม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสิ่งยั่วยุให้มีกิจกรรมทางสมองหลายประการ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ และภาพการ์ตูน เป็นต้น ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญของเด็กวัย 8 ปี เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ เด็กจะชอบการอ่านมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เรื่องเด็ก เรื่องการผจญภัยและตลกขบขัน วัยนี้เข้าใจเรื่องเวลาดีขึ้น สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่างเวลากับกิจวัตรประจำวันได้ เช่น รู้เวลากินอาหาร รู้เวลาโรงเรียนเข้า รู้เวลานอน แต่มีความรับผิดชอบที่จะนอนเองหรือตื่นเอง เข้าใจการประหยัด เช่น เก็บเงินค่าขนมที่ตนเองอยากได้ ความสนใจของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัยได้เช่นเดียวกับความสามารถด้านอื่นๆ เด็กวัยนี้จะสนใจสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ที่มีสีสันสะดุดตา สนใจสัตว์เลี้ยง ภาพระบายสี ในช่วงปลายของเด็กวัยนี้เด็กจะเปลี่ยนความสนใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัย วิทยาศาสตร์ เรื่องที่เกิดขึ้นจริงและเรื่องของเด็กวัยเดียวกัน พัฒนาการทางสติปัญญาที่เห็นได้ชัดคือ จินตนาการสูงขึ้น เพราะได้รับรากฐานจากการอ่าน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดที่จะทำและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นงานอดิเรกและกิจกรรมในชั้นเรียน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือเด็กวัยนี้จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ดังนั้นนอกจากบรรยากาศที่ดีในครอบครัวแล้ว โรงเรียนก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ถ้าเด็กเริ่มเข้าโรงเรียนด้วยท่าทีหรือทัศนคติที่ดี รักโรงเรียน รักครู เด็กก็จะรักการเรียนและมักจะเรียนหนังสือได้ดี พ่อแม่จึงควรสร้างทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียนและครูให้แก่เด็กตั้งแต่ก่อนพาลูกไปเข้าโรงเรียนและครูก็ควรเข้าใจความรู้สึกของเด็กแต่ละคนและจัดบรรยากาศในโรงเรียนให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น มีความปลอดภัยมากที่สุด 2.1.3 วัยรุ่น 1. พัฒนาการด้านร่างกาย วัยรุ่นจะมีอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างรวดเร็วมาก อวัยวะเพศทั้งภายนอกและภายในเจริญเติบโตเกือบเต็มที่แล้ว มีการเจริญเติบโตและพัฒนาเข้าสู่วุฒิภาวะทางเพศคือมีความพร้อมที่จะเป็นพ่อเป็นแม่คนได้แล้ว ทั้งนี้ เพราะต่อมไร้ท่อต่างๆ ผลิตฮอร์โมนซึ่งทำให้ร่างกายเจริญเติบโต โดยเฉพาะส่วนสูงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ในตอนต้นๆเด็กหญิงจะมีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กชายและจะเท่ากันเมื่ออายุย่างเข้าช่วงปลายๆ ลักษณะทางเพศภายนอกปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น คือในเพศหญิงจะมีเต้านมขยายใหญ่ เอวคอดลง สะโพกผาย มีขนที่อวัยวะเพศ มีประจำเดือนครั้งแรก ในเพศชายเสียงห้าวขึ้น ไหล่ขยายกว้าง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ปรากฏให้เห็น อัณฑะสามารถผลิตอสุจิได้แล้ว 2. พัฒนาการทางร่างกาย วัยรุ่นเป็นช่วงที่มีอารมณ์รุนแรงและแปรเปลี่ยนได้ง่าย เช่น ในขณะที่มีอารมณ์ร่าเริงอยู่ จู่ๆก็อาจซึมเศร้าหรือหงุดหงิด โกรธง่ายเมื่อถูกขัดใจ และมักแสดงอาการก้าวร้าว โดยปกติวัยนี้เป็นวัยที่ร่าเริงและจะทำกิจกรรมต่างๆที่ตนเองสนใจด้วยความสุข ถ้าเมื่อใดไม่มีอิสระที่จะทำอะไรได้ตามใจก็มักเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เด็กวัยรุ่น จะมีความคิดเป็นของตนเอง และรู้สึกว่าตนเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงอยากทำอะไรตามความต้องการของตนเอง ทำให้มักเกิดความขัดแย้งกับผู้อื่นได้บ่อยๆ 3. พัฒนาการทางสังคม ในช่วงวัยรุ่นนี้ เด็กมักจะชอบแยกตัวอยู่ตามลำพังเมื่ออยู่ในครอบครัวเพราะต้องการความอิสระส่วนสังคมภายนอกเด็กจะมีเพื่อนทั้งสองเพศและกลุ่มเพื่อนจะเล็กลง การคบเพื่อนของวัยรุ่นจะมีเหตุผลมากขึ้น ชอบทำตัวเลียนแบบบุคคลอื่นที่ตนเองชื่นชอบ เช่น การแต่งกายตามอย่างดาราหรือนักร้องที่ตนชอบ บางครั้งชอบทำตัวแปลกๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ เมื่อเข้าสูช่วงปลายของวัยจะเริ่มต้องการความตัวของตัวเองมากขึ้น อิทธิพลของกลุ่มเพื่อนจะน้อยลง รู้จักควบคุมดพฤติกรรมของตนเองและเริ่มมีพฤติกรรมที่แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เช่น ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน คบเพื่อนต่างเพศ เป็นต้น 4. พัฒนาการทางสติปัญญา วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความคิดเป็นนามธรรมมากขึ้น รู้จักสังเกตและปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง ต้องการทำอะไรด้วยตนเองเพื่อหาประสบการณ์ สนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กล้าที่จะลองถูกลองผิด จึงทำให้มีการพัฒนาทางด้านสติปัญญากว้างมากขึ้น เพราะเด็กได้ลงมือทำเอง ได้พบกับปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง และถ้าทำสำเร็จเด็กก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ วัยนี้เด็กจะมีเหตุผลมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแสดงความรู้สึกของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจ รู้จักสังเกตความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นที่มีต่อตนเอง 2.1.4 วัยผู้ใหญ่ วัยผู้ใหญ่ คือ ช่วงอายุ ๒๐ – ๖๐ ในช่วงต้นของวัยจะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายอย่างเต็มที่แต่ในช่วงท้ายของวัย หรือที่เรียกว่า วัยทอง ร่างกาย จะเริ่มเสื่อมสภาพลง ในวัยผู้ใหญ่ จะมีกระบวนการคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น เริ่มรู้จักคิดไตร่ตรองมากขึ้น คนในวัยนี้มีบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ ทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นและเมื่อถึงช่วงท้ายของวัย อาจกังวลกับความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตได้ จนทำให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ วัยผู้ใหญ่ตอนต้น 1.พัฒนาการทางร่างกาย บุคคลในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีการพัฒนาทางร่างกายอย่างเต็มที่ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ร่างกายสมบูรณ์ มีการพัฒนาความสูงมาจากวัยรุ่นและจะมีความสูงที่สุดในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นนี้ รวมทั้งกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อไขมัน มีการพัฒนาอย่างเต็มที่เช่นกัน เมื่อเพศชายอายุประมาณ 20 ปี ไหล่จะกว้าง มีการเพิ่มขนาดของต้นแขนและมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากขึ้น ในเพศหญิงเต้านมและสะโพกมีการเจริญเต็มที่ ในวัยนี้ร่างกายจะมีพลัง คล่องแคล่วว่องไว การรับรู้ต่าง ๆ จะมีความสมบูรณ์เต็มที่ เช่น สายตา การได้ยิน ความสามารถในการดมกลิ่น การลิ้มรส จนกระทั่งเข้าสู่วัยกลางคนความสามารถต่าง ๆ เหล่านี้จะลดลง 2.พัฒนาการด้านอารมณ์ วัยผู้ใหญ่จะมีการควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีความมั่นคงทางจิตใจดีกว่าวัยรุ่น คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น รู้สึกยอมรับผู้อื่นได้ดีขึ้น มีพัฒนาการด้านอารมณ์รัก (Love) ได้ในหลายรูปแบบ เช่น รักแรกพบ (Infatuation) หรือรักแบบโรแมนติก (Romantic love) ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นนี้จะมีความรู้สึกแตกต่างจากในวัยรุ่น โดยจะมีความรู้สึกที่จะปรารถนาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน (Sternberg, 1985 cited in Papalia and Olds, 1995) มีการใช้กลไกทางจิตชนิดฝันกลางวัน (Fantacy) การเก็บกด (Impulsiveness) น้อยลง แต่จะใช้การตอบสนองด้วยเหตุผลทั้งกับตนเองและผู้อื่นมากขึ้น (ทิพย์ภา เชษฐ์เชาวลิต, 2541) 3.พัฒนาการด้านสังคม ทฤษฎีพัฒนาบุคลิกภาพของอิริคสัน วัยผู้ใหญ่ตอนต้นอยู่ในขั้นพัฒนาการขั้นที่ 6 คือความใกล้ชิดสนิทสนมหรือการแยกตัว (intimacy and solidarity vs. isolation) สังคมของบุคคลวัยนี้คือ เพื่อนรัก คู่ครอง บุคคลจะพัฒนาความรัก ความผูกพัน แสวงหามิตรภาพที่สนิทสนม หากสามารถสร้างมิตรภาพได้มั่นคง จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างไว้เนื้อเชื่อใจและนับถือซึ่งกันและกัน ตรงข้ามกับผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถสร้างความสนิทสนมจริงจังกับผู้หนึ่งผู้ใดได้จะมีความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย (isolation) หรือเป็นคนที่หลงรักเฉพาะตนเอง (narcissism) วัยนี้จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเพื่อนร่วมวัยลดลง จำนวนสมาชิกในกลุ่มเพื่อนจะลดลง แต่สัมพันธภาพในเพื่อนที่ใกล้ชิดหรือเพื่อนรักยังคงอยู่และจะมีความผูกพันกันมากกว่าความผูกพันในลักษณะของคู่รักและพบว่ามักเป็นในเพื่อนเพศเดียวกัน (Papalia and Olds, 1995) การสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มใช้ชีวิตครอบครัวกับคู่ของตนเอง และเกิดการปรับตัวกับบทบาทใหม่ 4.พัฒนาการทางสติปัญญา พัฒนาการทางความคิดตามแนวคิดของเพียเจท์ (Piaget’ s theory) (Papalia and Olds, 1995) กล่าวว่าวัยผู้ใหญ่มีพัฒนาการทางความคิดสติปัญญาอยู่ในระดับ Formal operations ซึ่งเป็นขั้นสูงที่สุดของพัฒนาการ มีความสามารถทางสติปัญญาสมบูรณ์ที่สุดคือคุณภาพของความคิดจะเป็นระบบ มีความสัมพันธ์กันและมีความคิดรูปแบบนามธรรม (Abstract logic) ผู้ใหญ่จะมีความคิดเปิดกว้าง ยืดหยุ่นมากขึ้น และรู้จักจดจำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี และได้มีผู้สำรวจศึกษาหลายคนที่เห็นว่าความคิดของผู้ใหญ่ นอกจากจะเป็นความคิดในการแก้ไขปัญหาดังที่เพียเจท์กล่าวไว้แล้ว ยังมีลักษณะของความคิดสร้างสรรค์และค้นหาปัญหาด้วย (พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์, 2530 อ้างถึงในทิพย์ภา เชษฐ์เชาวลิต, 2541) จึงมีผู้วิจารณ์อย่างมากว่าอาจจะอยู่ในระดับ postformal thought มากกว่า ทำให้มีผู้เชื่อว่าแนวคิดของเพียเจท์ไม่น่าจะเป็นที่ยอมรับอีกต่อไป (ศรีเรือน แก้วกังวาล, 2538 ) การปรับตัวกับบทบาทใหม่ ชีวิตการทำงาน เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นบุคคลส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงของการศึกษาระดับอุดมศึกษา หรือใกล้ที่จะสำเร็จการศึกษา จะมีการวางแผนในการเลือกอาชีพ ประกอบอาชีพที่ตนมีความรัก ความพึงพอใจในงาน และการได้พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับตนเอง ย่อมทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุข มีความพร้อมที่จะปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน และพร้อมที่จะเผชิญปัญหาและการแก้ไขปัญหาต่อไป ชีวิตคู่ ในวัยรุ่นอาจเริ่มต้นการมีสัมพันธภาพกับเพื่อนต่างเพศจนพัฒนามาเป็นความรักในวัยผู้ใหญ่ หรือบางคนเริ่มต้นมีความสนใจเรื่องความรักอย่างจริงจัง สร้างสัมพันธภาพกับคนต่างเพศรูปแบบถาวรในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยมีลักษณะคิดที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน อยากที่จะสร้างครอบครัวใหม่ เมื่อบุคคลสองคนตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกันจึงต้องมีการปรับตัวกับบทบาทใหม่ที่เกิดขึ้น ได้แก่ บทบาทของการเป็นสามีหรือภรรยา มีความรับผิดชอบในบทบาทใหม่ที่ตนได้รับ โดยการเป็นสามีที่ดี ภรรยาที่ดี มีความรักความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มีความอดทน ร่วมกันประคับประคองชีวิตคู่ รวมทั้งให้การดูแลครอบครัวเดิมของแต่ละคน ในระยะแรกของการใช้ชีวิตคู่อาจต้องมีการปรับตัวอย่างมากจนกระทั่งปรับตัวได้ดี ชีวิตคู่ก็จะมีความสุขและจะส่งเสริมให้ชีวิตในด้านอื่นมีความสุขด้วย บทบาทการเป็นบิดามารดา ผู้ใหญ่ตอนต้นมีความปรารถนาที่จะเป็นผู้มีความสามารถในการปกป้อง ดูแลผู้ที่อ่อนแอกว่า เมื่อมีชีวิตคู่จึงมีความต้องการที่จะมีบุตรเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าวประกอบความต้องการที่จะมีทายาท เมื่อมีบุตรชีวิตครอบครัวจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทอีกครั้งโดยการเพิ่มเติมบทบาทของการเป็นบิดามารดาโดยเฉพาะในผู้หญิงที่เมื่อแต่งงานแล้วแยกครอบครัวออกจากครอบครัวเดิมของตน หรือการเป็นครอบครัวเดี่ยวภายหลังการแต่งงาน การทำงานนอกบ้านกับการเพิ่มหน้าที่ของการเป็นมารดาอาจทำให้ประสบกับความยากลำบากในการปรับตัวในระยะแรก สามีจึงจำเป็นต้องมีบทบาทในการเป็นผู้ช่วยมารดาในการเลี้ยงดูบุตร การมีบุตรนี้ทำให้ทั้งสามีและภรรยาได้มีการเรียนรู้ถึงความรักอีกชนิดหนึ่งคือความรักที่มีแต่การให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ชีวิตโสด ในสังคมปัจจุบันพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยมีความสุขกับชีวิตโสดซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการอุทิศเวลาให้กับงาน มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างมาก ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตคู่ หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการมีชีวิตคู่ คนโสดต้องมีการปรับตัวเช่นกันเนื่องจากกลุ่มเพื่อนสนิทตั้งแต่ในวัยรุ่น เพื่อนร่วมงานมักมีครอบครัว คนโสดจึงต้องหาเพื่อนใหม่ที่เป็นโสดเช่นเดียวกัน ต้องมีการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ หรือเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนและตอบสนองความต้องการที่จะปกป้อง ดูแลผู้ที่อ่อนแอกว่านั่นเอง ปัญหาที่พบในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ปัญหาที่พบในวัยนี้คือปัญหาสุขภาพ เนื่องมาจากลักษณะการดำรงชีวิต (The Lifestyle) เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การรับประทานอาหารไขมันสูง ไม่มีกากใยอาหาร วิธีการจัดการกับความเครียดที่ไม่เหมาะสมและการตัดสินปัญหาด้วยการใช้อาวุธ สิ่งเหล่านี้บั่นทอนสุขภาพเป็นอย่างมาก และนำไปสู่โรคที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็ง รวมทั้งการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ การใช้อาวุธปืน เป็นต้น (Papalia and Olds, 1995) ประกอบกับในวัยนี้มีการปรับบทบาทใหม่อย่างมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเป็นปัญหาที่เกิดจากการไม่สามารถปรับเข้าสู่บทบาทใหม่ เช่น มีปัญหาในการทำงาน มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน - การเปลี่ยนงาน การผิดหวังในความรัก การสิ้นสุดการหมั้น - การสมรส ความผิดหวังจากการแท้งบุตร ความผิดหวังเกี่ยวกับเพศของบุตร เป็นต้น วัยกลางคน วัยกลางคน (Middle age หรือ Middle adulthood) คือช่วงอายุ 40 – 60 ปี เป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน ในการกำหนดบุคคลเข้าสู่วัยกลางคนนั้น มักจะพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงอายุเหล่านี้มากกว่าจะพิจารณาจากอายุปกติจริง ๆ (ทิพย์ภา เชษฐ์เชาวลิต, 2541) 1.พัฒนาการทางร่างกาย ในวัยกลางคนนี้ ทั้งเพศชายและเพศหญิงร่างกายจะเริ่มมีความเสื่อมถอยในเกือบทุกระบบของร่างกาย ผิวหนังจะเริ่มเหี่ยวย่น หยาบ ไม่เต่งตึง ผมเริ่มร่วงและมีสีขาว น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการสะสมไขมันใต้ผิวหนังมากขึ้น ระบบสัมผัส ได้แก่ ความสามารถในการมองเห็นเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่สายตาจะยาวขึ้น บางคนจะมีอาการหูตึงเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ การลิ้มรสและการได้กลิ่นเปลี่ยนแปลงไป อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ผนังเส้นเลือด หัวใจ ปอด ไต และสมอง มีความเสื่อมลงเช่นกัน ( ศรีเรือน แก้วกังวาล, 2538 ; ทิพย์ภา เชษฐ์เชาวลิต, 2541) 2.พัฒนาการทางอารมณ์ ในบุคคลที่ประสบกับความสำเร็จในชีวิตการทำงานจะมีอารมณ์มั่นคง รู้จักการให้อภัย ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มีความพึงพอใจในชีวิตที่ผ่านมา ลักษณะบุคลิกภาพค่อนข้างคงที่ บางคนจะมีอารมณ์เศร้าจากการที่บุตรเริ่มมีครอบครัวใหม่ การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น บิดา มารดา หรือคู่สมรส หรือผิดหวังจากบุตร เป็นต้น 3.พัฒนาการทางสังคม ทฤษฎีพัฒนาบุคลิกภาพของอิริคสัน วัยกลางคนอยู่ในขั้นพัฒนาการขั้นที่ 7 คือการบำรุงส่งเสริมผู้อื่นหรือการพะวงเฉพาะตน (generativity vs. self absorption) บุคคลที่มีพัฒนาการอย่างสมบูรณ์ในวัยนี้ จะแบ่งปัน เผื่อแผ่ เอื้ออาทรต่อบุคคลอื่นๆ โดยเฉพาะกับบุคคลที่เยาว์วัยกว่า สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ก่อให้เกิดความปลาบปลื้มใจ เห็นคุณค่าของตนเอง สังคมของบุคคลในวัยกลางคนส่วนใหญ่คือที่ทำงานและบ้าน กลุ่มเพื่อนที่สำคัญ ได้แก่ เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนบ้านใกล้เคียง ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นในลักษณะเฝ้าดูความสำเร็จในการศึกษา และความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงานของบุตร ในบุคคลที่เป็นโสดกลุ่มเพื่อนที่สำคัญคือเพื่อนสนิทที่ผูกพันตั้งแต่ในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ระยะปลายของวัยนี้ ส่วนใหญ่เข้าสู่วัยใกล้เกษียณอายุการทำงาน บางคนสามารถปรับตัวได้ดี บางคนไม่สามารถปรับตัวได้ รู้สึกท้อแท้ รู้สึกตัวเองด้อยคุณค่า อาจมีอาการซึมเศร้า (Lefrangois, 1996) 4.พัฒนาการทางสติปัญญา ในระยะวัยกลางคนนี้จะมีพัฒนาการทางสติปัญญาใกล้เคียงกับในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีความคิดเป็นเหตุผล รู้จักคิดแบบประสานข้อขัดแย้งและความแตกต่าง จะสามารถรับรู้สิ่งที่เป็นข้อขัดแย้งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีความอดทนและมีความสามารถในการจัดการกับข้อขัดแย้งนั้น ๆ ดังนั้นจึงมีความเข้าใจเรื่องการเมือง เล่นการเมือง รู้จักจัดการกับระบบระเบียบของสังคมและรู้จักจัดการกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างมีวุฒิภาวะ (ศรีเรือน แก้วกังวาล, 2538 ) การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง 1.วิกฤติชีวิตครอบครัว ปัญหาการหย่าร้าง เมื่อเกิดวิกฤติชีวิตครอบครัวและไม่สามารถแก้ปัญหาได้มักจะมีการหย่าร้างตามมา การหย่าร้างเป็นภาวะเครียดระดับสูงมาก และเป็นเรื่องของความสูญเสียอย่างรุนแรงถึงขั้นเป็นภาวะวิกฤตทางอารมณ์ (ฉวีวรรณ สัตยธรรม, 2532) ในครอบครัวที่ไม่มีบุตรปัญหาจากการหย่าร้างอาจไม่เกิดขึ้นเลย หรือเกิดขึ้นน้อยมากอาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับการเงิน การหย่าร้างของครอบครัวที่มีบุตรมักจะพบปัญหาผู้ที่จะดูแลบุตรต่อไป บุตรอาจเป็นที่ต้องการของทั้งบิดามารดา กรณีนี้จะมีการตกลงกันไม่ได้เนื่องจากความต้องการที่จะเลี้ยงดูบุตรของทั้งบิดามารดา บุตรที่บิดาและมารดาไม่ต้องการจะมีปัญหาตกลงกันไม่ได้เช่นกัน สำหรับบุตรที่เป็นที่ต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสามารถตกลงกันได้ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นคือความรู้สึกของเด็กที่บิดามารดาแยกจากกัน การมีครอบครัวใหม่ที่ขาดบิดาหรือมารดา และอาจเป็นครอบครัวใหม่ที่มีบุคคลอื่นทำหน้าที่บทบาทแทนบิดาหรือมารดาของตน จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กอย่างมาก 2.วัยหมดประจำเดือน ( Menopause ) ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายอันเนื่องมาจ ก.ย. 30, 2015 3:25:40pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ลูกสาวทุกข์ใจอยากให้พ่อรักษาศีล: “ยิ่งแก้ความทุกข์ของคนอื่น ความทุกข์ของตนยิ่งมีมากขึ้นไป” ถาม : หนูอยากจะให้พ่อของหนูทำทานแล้วก็รักษาศีลเจ้าค่ะ พระอาจารย์ : ทำไมถึงจะไปให้พ่อทำ ถาม : เพราะกลัวพ่อตกนรกค่ะ พระอาจารย์ : เขาตกเราไม่ได้ตกนิ เราจะไปกลัวอะไร เราควรจะน่ากลัวเราตกเสียมากกว่า ตกนรกเพราะไม่อยากให้เขาตกนรกรู้หรือเปล่า หนูกำลังตกนรกอยู่หรือเปล่า หนูสุขหรือหนูทุกข์ ถาม : ไม่ค่อยสุขเท่าไหร่ พระอาจารย์ : ก็นั่นแหละไม่สุขมันก็ต้องทุกข์ ทุกข์มันก็นรกดีๆ นี่เอง หนูไม่อยากให้คนอื่นตกนรก หนูเลยตกนรกแทนเขาหรือ ถาม :ท่านอาจารย์พอมีอุบายอะไรไหมคะ หนูอยากให้พ่อรักษาศีล พระอาจารย์ : ก็ดูพระพุทธเจ้า ถ้าท่านทำให้พวกเราไม่ตกนรกกันได้ ท่านก็คงทำให้พวกเราไม่ตกนรกกันแล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้แล้วเราจะไปทำอย่างไรได้ มันเป็น Mission Impossible ถาม : จะให้ปล่อยไปอย่างนี้หรือเจ้าคะ พระอาจารย์ : หนูก็ทำตัวของหนูไป เอาหนังสือธรรมะไปทิ้งไว้ที่บ้าน มีเวลาก็ชวนพ่อมาทำบุญ ชวนพ่อมาเข้าวัด ถ้าเขามก็ดี ถ้าเขาไม่มาก็เรื่องของเขา หนูทำตัวเองของหนู หนูบวชชีได้หรือเปล่า ถาม : ยังไม่ได้เจ้าค่ะ พระอาจารย์ : นั่นนะซิ แล้วหนูจะไปทำให้พ่อทำทาน รักษาศีลได้อย่างไร ขนาดตัวหนูเอง หนูยังบังคับให้ตัวเองทำไม่ได้แล้วหนูจะไปบังคับให้คนอื่นเขาทำได้อย่างไร เข้าใจไหม แต่ละคนก็มีความสามารถมีความเห็นไม่เหมือนกัน เขามีความเห็นว่าบุญไม่ต้องทำ ไม่ต้องรักษาศีลก็ได้ เขามีความสุขของเขาอย่างนั้น เราจะไปทุกข์กับเขาทำไมในเมื่อเขามีความสุข พ่อหนูทุกข์หรือสุขตอนนี้ ถาม : หนูไม่ทราบค่ะ สุขบ้างทุกข์บ้างมั้งคะ พระอาจารย์ : แล้วใครเป็นคนทำให้เขาสุขหรือทุกข์ละ ถาม : พ่อหนูเองค่ะ พระอาจารย์ : แล้วหนูไปบอกให้เขาทำทานได้หรือเปล่า หนูไปบอกให้เขารักษาศีลได้หรือเปล่า ถาม :ทานพอจะบอกให้ทำได้ แต่รักษาศีลคงบอกไม่ได้เจ้าค่ะ พระอาจารย์ : ไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร ถาม : หนูก็เลยมาถามท่านอาจารย์เจ้าค่ะ พระอาจารย์ : เราก็เลยถามกลับไง ถาม : ทำอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ พระอาจารย์ : รู้จักคำว่า อนัตตาไหม นี่แหละ อนัตตา ก็คือไม่อยู่ในวิสัยของเราที่จะไปทำอะไรได้ จึงเรียกว่าอนัตตา ของทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอเราอยากจะทำอนัตตาให้เป็นอัตตามันก็ทุกข์ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ อยากให้ของต่างๆ มันเป็นไปตามใจเรามันไม่ได้หรอก บางอย่างก็ทำได้ บางอย่างก็ทำไม่ได้ ทำได้ก็ทำไป ทำไม่ได้ก็ต้องหยุดทำ เหมือนตอนนี้บอกให้ฟ้าหยุดร้องได้หรือเปล่า ถาม : ไม่ได้เจ้าค่ะ พระอาจารย์ : ทำไมไม่อยากให้ฟ้าหยุดร้องละ ถาม : มันก็ไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่ค่ะ พระอาจารย์ : พ่อกับเราก็ไม่เกี่ยวกัน เราไปเกี่ยวกับเขาเองต่างหาก เขาก็เป็นคนรู้จักกันเท่านั้นเอง คนที่มีความสัมพันกันแต่เขาก็เป็นเหมือนท้องฟ้านี่แหละ เราก็ไม่สามารถที่จะไปสั่งให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้ เพราะความเกี่ยวกันมันเลยทำให้เราทุกข์ เพราะถ้าไม่เกี่ยวกันเราก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าเขาเป็นคนอื่นเราก็ไม่ทุกข์ไม่ใช่ นี่เราทุกข์เพราะอะไร เพราะเราอยากนี่เอง ถ้าเราไม่อยากเราจะทุกข์ไหม ก็อย่าไปอยากซิ อยากก็ไม่ได้ดังใจอยากแล้วไปอยากทำไม ทำดีที่สุดแล้ว ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่างตอนนี้มันมืดอยากจะทำให้มันสว่างได้ไหม ถ้าไม่ไปอยากให้มันสว่างก็ไม่เดือดร้อนใช่ไหม ถ้าอยากให้มันสว่างเราก็เดือดร้อน ต้องดูความอยากของเรา เวลาไม่สบายใจ ถามว่าตอนนี้เรากำลังอยากกับอะไร แล้วเราทำอะไรได้หรือเปล่า เราทำตามที่เราอยากได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้อย่าไปอยากไม่ดีกว่าหรือ เมื่อไม่อยากแล้วเราก็จะเฉยๆ ไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ ถ้าอยากแล้วก็เดือดร้อนแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ของทุกอย่างเขามีเหตุมีปัจจัยมีวาระของเขา เหตุปัจจัยทำให้เขาเป็นอย่างนี้ เขาก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากจะแก้เขาก็ต้องไปแก้ที่เหตุปัจจัยของเขา ปัจจัยของพ่อก็คือความหลง เห็นผิดเป็นชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่านรกไม่มีสวรรค์ไม่มี เห็นว่ากรรมไม่มี ทำบุญก็เท่ากับทำบาปไม่มีผลต่างกัน ทำบาปดีกว่าสนุกกว่า หนูต้องไปแก้ที่ตรงนั้นซิ แก้ที่ความเห็นผิดเป็นชอบของเขา ทำบาปมันมีโทษ ทำบุญไม่มีโทษ แก้ได้ไหมละ เหมือนพระพุทธเจ้าแก้ให้องคุลิมาล พระพุทธเจ้าแก้ได้ หรือเอาตัวอย่างองคุลิมาลไปใช้กับพ่อดูซิ เอาเรื่องตัวอย่างองคุลิมาลไปเล่าให้ฟังก็ได้ องคุลิมาลร้ายกกว่าพ่ออีกฆ่าคนมาแล้วตั้ง ๙๙๙ คน พอเจอพระพุทธเจ้าบอกนั่นไม่ใช่ทางไปสู่ความสุข ทางไปสู่ความทุกข์ ทางไปสู่นรก พอองคุลิมาลได้ยินเท่านี้ก็ตกใจ ไปบอกพ่อบอกทำบาปเป็นทางไปสู่นรกนะพ่อ จะบอกได้หรือเปล่า เดี๋ยวบอกแล้วโกรธกลับมาจะทำอย่างไร เป็นลูกก็ไปสอนพ่อไม่ได้อีกแหละ นอกจากพ่อถามก็บอกได้ ถ้าพ่อถามหนูมาวัดแล้วได้เรียนรู้อะไรบ้าง พูดไปเลยว่าเรียนรู้ว่าทำบาปแล้วทุกข์ ทำบุญแล้วสุข ถ้าไม่เชื่อเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ก็เอาเรื่องสุขเอาทุกข์แทน ไม่ต้องไปพูดเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ก็ได้ ถ้าทำบุญแล้วจะมีความสุขถ้าทำบาปแล้วจะมีความทุกข์ ถ้าพ่อเขาบอกฉันทำบาปฉันก็มีความสุขจะทำอย่างไร ฉันกินเหล้าฉันก็มีความสุข ฉันโกหกเมียก็มีความสุข มันก็ต้องปล่อยเขาไป ใช่ไหม ตัวหนูก็ต้องดูตัวหนูเอง หนูกำลังทุกข์ ทำไมหนูไม่แก้ความทุกข์ของหนูก่อน หนูไปแก้ความทุกข์ของคนอื่นทำไม ยิ่งแก้ความทุกข์ของคนอื่นความทุกข์ของตนยิ่งมีมากขึ้นไป ต้องแก้ความทุกข์ของตัวเองก่อนซิ เป็นหมอรักษาตัวเองไม่ได้แล้วจะไปรักษาคนอื่นได้อย่างไร ใช่ไหม หัดรักษาตัวเองให้ได้ก่อน รักษาตัวเองได้แล้วค่อยไปรักษาคนอื่น เข้าใจหรือยัง. ธรรมะบนเขา (สนทนาธรรม) วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต #คุณโบ ต.ค. 01, 2015 3:06:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธรรมชาติเขาก็กำลังบอกเราอยู่เสมอว่า.. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกธาตุ นั่นไมเที่ยงนะ มันไม่มีสิ่งที่มั่นคงเที่ยงถาวรนะ จิตใจก็ไม่เที่ยงนะ อย่ายึดสุขมากนะ อย่ายึดทุกข์มากนะ ให้เอาแบบอย่างพ่อแม่เรานะ พระอาทิตย์คือพ่อแม่เรา กล้าหาญ จะส่องแสงไปโดนอะไรถูกอะไรได้หมด ไม่กลัว ทั้งสิ่งที่ไม่ดี และสิ่งที่ดี ทั้งความสุข ความทุกข์ พระอาทิตย์ย่อมไม่ลำเอียงเลือกที่จะส่องแสงสว่างไป แม้แต่ความมืด ราคะ โทสะ โมหะ ขอแค่ออกมาให้เห็น ก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งใดเป็นสิ่งใด เพราะด้วยความสว่าง คือมีตัวทำหน้าที่รู้ คือสตินั้นเอง รู้บ่อยๆปัญญาจะเกิด ปัญาจะแหลมคม เห็นทุกข์เป็นสิ่งแปลกปลอม ธรรมชาติรอบๆตัวเรานั้น ต้นไม้เองก็โชว์ให้เห็นว่าฉันไม่เที่ยง ดอกไม้ก็พากันโชว์ให้เห็นว่าฉันไม่เที่ยง แล้วมนุษย์มันจะไปเที่ยงได้อย่างไร ! แม่แต่ดอกไม้ ก่อนจะออกมาเป็นดอก เปรียบเสมือนเด็กอยู่ในท้องแม่ เริ่มมีดอกน้อยๆออกโผ่ขึ้นมาให้เห็น เปรียบเสมือน วัยทารก ดอกเริ่มบานมีการพัฒนาโตขึ้นเป็นลำดับ เปรียบเสมือน วัยเด็ก ดอกบานสีสดใสใกล้จะสมบูรณ์ กลีบดอกเริ่มมีกลิ่นหอม เปรียบเสมือน วัยรุ่น ดอกบานเปล่งปลั่งสวยเต็มที่กลิ่นหอมเต็มที่พร้อมแล้วแหละนะที่จะล่อให้แมลงมาจับดอกเพื่อจะขยายพันธ์ต่อไป เปรียบเสมือน เริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่ ่ ดอกที่สีสันสดใสงามๆกลิ่นหอมๆเริ่ม แปรเปลียนเสือมทีละน้อยลงน้อยลง เปรียบเสมือน วัยผู้ใหญ่จะล่วงไปหาวัยทอง และดอกที่เริ่มเสื่อมลงๆเริ่มจะไม่สวยแล้ว เปรียบเสมือน เดินจะเข้าสู่ความชรา และดอกไม้ไม่ไหวจะเกาะกิ่งแล้ว จะมีลมหรือไม่มีลมมาพัด ก็มีจะหลุดร่วงลงจากต้นตกลงสู่พื้นดินกลายเป็นปุ๋ย เปรียบเสมือน วัยแก่ชรา รอเวลา..เกิดในภพใหม่ ความตายคือความเกิด ตายแล้วไม่มีการรอในภพใดภพหนึ่งเพื่อเกิด เพราะความตายคือความเกิดใหม่ ถ้าสุคติภูมิจะเกิดในพรหมโลก เทวาโลก มนุษย์โลก ถ้าทุคติภูมิจะเกิดในนรก เดรัจฉาน อสูร เปรตวิสัย #ใบไม้แห้งร่วงล่นลงดิน เปรียบเสมือน คนแก่ที่ตาย #ส่วนใบไม้ยังมีเขียวๆเหลืองๆอยู่ ร่วงล่นลงดิน เปรียบเสมือน พยามัจราชบอกว่า : "ไม่ต้องรอถึงตอนแก่กูก็เอามึงไปได้เหมือนกัน " วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ สิ่งใดเป็นกุศลรีบทำซะ สิ่งใดเป็นบาปอกุศลรีบหาวิธีลดย่อน ถอยออกมา ใช้ปัญญาหลีกเลี่ยงให้มากๆ แนะนำจากผู้โพส ควร 1+ฟังธรรมะบ่อยๆ ธรรมที่เป็นอริยสัจสี่ (แนะนำหลวงพ่อปราโมทย์สวนสันติธรรม) 2+ดูอารมณ์ความรู้สึกทางใจบ่อยๆ 3+ดูลมหายใจบ่อยๆเพื่อยืดเวลาตายไปอีก จะได้อยู่บำเพ็ญบุญกุศลได้นานหน่อย บุคคล ๑๐ จำพวก (มิคสาลาสูตร) อานนท์ ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ของเขาตามความเป็นจริง บุคคลนั้น ไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดแม้ด้วยความเห็น ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อม ไม่ถึงความเจริญ... อานนท์ ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ของเขาตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยความเห็น ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม... เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ... -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๗/๗๕. ต.ค. 01, 2015 8:41:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเหาะได้ หลวงปู่มั่นเหาะไปบิณฑบาต เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่หลวงปู่มั่น พักภาวนาที่ถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยหลวงปู่มั่นพักภาวนาอยู่ในถ้ำข้างบน พวกพระก็กระจายกันอยู่ที่ต่ำลงมาและออกไปอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง อยู่ตามถ้ำผาปล่อง ถ้ำปากเปียง อยู่กระจายกันออกไป ทำตูบใครตูบมัน โดยหลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวเพียงองค์เดียว ท่านพักภาวนาอยู่ข้างบนโดยท่านจะไม่ลงมาข้างล่างเลย เว้นระยะห่าง 4-5 วันจึงจะลงมาร่วมฉันกับพระลูกศิษย์หนึ่งครั้ง ที่นี้ก็มีเสียงลือว่าหลวงปู่มั่นท่านภาวนาโดยไม่ฉันอาหารตลอดเวลาที่อยู่ข้างบน พอลงมาจึงจะฉันเสียครั้งหนึ่ง เวลานั้นหลวงปู่ตื้อท่านยังหนุ่มยังแน่น ท่านมาพักภาวนาอยู่ที่นั่นด้วย หลวงปู่ตื้อท่านไม่เชื่อว่าหลวงปู่มั่นท่านอดข้าวในระหว่าง 4 วัน ไม่ฉันข้าวไม่ลงมาร่วมฉันเลย เมื่อหลวงปู่มั่นท่านไม่ลงมาติดต่อกันเป็นวันที่ 5 แล้ว หลวงปู่ตื้อท่านก็เลยแอบขึ้นไปตั้งแต่ตี 4 โน่น ไปดูหลวงปู่มั่น คลานขึ้นไปในถ้ำ ไปนอนลี้ (แอบ) อยู่หมอบลี้อยู่ พอฟ้าเริ่มสว่างมาพอจะมองเห็นได้แล้ว ก็เห็นหลวงปู่มั่นครองผ้าจีวร คล้องบาตร แล้วท่านก็ฌานเหาะลอยข้ามหัวหลวงปู่ตื้อออกไปบิณฑบาตที่เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อไปแอบเห็นติดต่อกัน 2 วันจนแน่ใจแล้วท่านก็ไม่ขึ้นไปดูอีก รู้แต่ว่าหลวงปู่มั่นฌานไปบิณฑบาตที่เชียงใหม่มาฉันทุกวันเลย แล้วบรรดาพระเณรพอได้ทราบความจากหลวงปู่ตื้อก็เลยหายห่วงหมดสงสัย พวกพระก็เลี้ยงกันเอง วันที่ท่านลงมาหาท่านก็เทศน์ให้บรรดาพระเณรและหลวงปู่ตื้อฟังเสียยกหนักๆ พอฟังจบแล้วก็เงียบเลย เป็นอย่างนั้น จากนั้นมาหลวงปู่ตื้อ จึงเชื่อว่าหลวงปู่มั่นได้ฌานร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ่ายทอดโดยหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อ้างอิง : จากหนังสือโครงการบูรพาจารย์เล่ม 7 #คุณปุ้ม แสงก้ว Google+ ต.ค. 01, 2015 9:29:05pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ต.ค. 03, 2015 10:51:28am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น สมเด็จโต พรหมรังสี ) #เรื่อง: บุญบริสุทธิ์ การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่หนึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็จะติดตามไปให้เสวยผลในปรภพชาติใหม่ คือเมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้วจึงจะให้ผล แต่ถ้ามีกิเลสโลภะเข้าไปเจียมากๆแล้ว บุญก็จะมีกำลังอ่อนไม่บริสุทธิ์ กว่าที่บุญจะตามให้ผลทันต้องรอเป็นหลายๆชาติ ฉะนั้นอย่าพากันทำด้วยความโลภมาก เวลาทำบุญไม่ให้ทำเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน อย่าสงสัยว่าจะได้อะไร ทำไปตามหน้าที่ของการเป็นผู้ให้นั่นแหละ สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมกลับมาสนองดีแน่นอน และสิ่งไม่ดีที่เห็นคนอื่นเขาทำ อย่าไปสาบแช่งว่าเขา เดี๋ยวกรรมไม่ดีเขามันจะผูกเกี่ยวโยงกันกับเรา ต.ค. 04, 2015 10:58:06am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น http://www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 ท่านที่มีจิตสว่างใสวในธรรมของพระพุทธองค์ ท่านใดอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มละ 5 บาท ผู้แต่ง: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาลครับ สำนักพิมพ์: dhammabookstore (เล่มละ 5 บาทครับ) จากที่ดาวน์โหลดPDFมาอ่านดูรู้สึกว่ามี 98 หน้า เป็นกระดาษA5 ) เล่มเล็กพอดีมืออ่านครับ ท่านใดต้องการสร้างทานบารมีปัญญาบารมี สั่งพิมพ์เพื่อนำไปถวายวัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม หรือมอบให้ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ หรือมอบให้แก่ญาติพี่น้องเป็นที่ละลึกได้อ่าน หรือเก็บไว้เพื่อรอแจกตามงานต่างๆที่จะมีในอนาคต(เช่นงานศพ) อานิสงค์ของการพิมพ์หนังสือธรรมะที่ถูกต้องลักษณะแบบนี้ ด้วยการที่ให้ปัญญาดับทุกข์ผู้อื่น มันจะย้อนกลับมาหาเรา เราจะมีความทุกข์น้อยลง จะฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ๆร้อนๆใจ อย่างอัศจรร อันนี้คือประสพกับตนเองครับ สนใจเข้าไปสั่งซื้อได้เลยครับ (หมดเขต 6 ตุลาคม 2558) www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 สารบัญ คำนำ วิธีสร้างบุญบารมี การทำทาน องค์ประกอบข้อที่ 1 "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์" องค์ประกอบข้อที่ 2 "เจตนาในการทำทานต้องบริสุทธิ์" ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น ร่ำรวยในวัยกลางคน องค์ประกอบข้อ 3 "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์" 2 การรักษาศีล ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 1 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 2 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 3 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 4 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 5 3 การภาวนา สมถภาวนา (การทำสมาธิ) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน ............................................................. พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มนี้ ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้เป็นสังฆบิดรของพระพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษา เพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์ ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุ และ ผล อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชน เป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุข และความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน ............................................................................................. บุญ ความหมายตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ, กุศลธรรม บารมี คือ คุณความดี ที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทาน หรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ ตํ่าที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าถือศีลไปได้, การถือศีลนั้น แม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ มากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้ เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่า การทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไร จึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุด .............................................................. "เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์" การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริง จะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัส ร่าเริง เบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังเป็นผู้ให้ผู้อื่น (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี ในทานที่ทำนั้นก็สำคัญและเนื่องมาจากเมตตาจิตที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น ให้พ้นจากความทุกข์และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตนนับว่าเป็น เจตนาที่บริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมา แล้วนี้จะทำให้ยิ่งๆบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกหากผู้ให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทาน พร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงที่ชาวโลก นิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใด โดยเฉพาะเป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของของผู้อื่นมาแล้วหลายชั่วคนซึ่งแต่ก่อนนั้นต่างก็ได้ล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ได้ยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่นๆ ต่อๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้จึงนับว่าเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลง นับว่าเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นของเราได้ถาวรตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ตั้งอยู่ในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเอง ก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เฒ่าแก่และตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาด้วยแล้ว เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมาก หากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้แต่ก็มีข้ออันควรระวังอยู่ ก็คือ การทำทานนั้น อย่าได้เบียดเบียนตนเอง...เช่นมีน้อยแต่ฝืนทำให้มากๆจนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่่อได้ทำไปแลั้วตนเองและสามีภริยารวมทั้งบุตรต้องลำบากขาดแคลน เพราะไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่ บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย และยังมีเนื้อหา...ต่ออีกครับ ฯลฯ ต.ค. 05, 2015 4:56:29am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: พุทธธรรม http://www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 ท่านที่มีจิตสว่างใสวในธรรมของพระพุทธองค์ ท่านใดอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มละ 5 บาท ผู้แต่ง: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาลครับ สำนักพิมพ์: dhammabookstore (เล่มละ 5 บาทครับ) จากที่ดาวน์โหลดPDFมาอ่านดูรู้สึกว่ามี 98 หน้า เป็นกระดาษA5 ) เล่มเล็กพอดีมืออ่านครับ ท่านใดต้องการสร้างทานบารมีปัญญาบารมี สั่งพิมพ์เพื่อนำไปถวายวัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม หรือมอบให้ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ หรือมอบให้แก่ญาติพี่น้องเป็นที่ละลึกได้อ่าน หรือเก็บไว้เพื่อรอแจกตามงานต่างๆที่จะมีในอนาคต(เช่นงานศพ) อานิสงค์ของการพิมพ์หนังสือธรรมะที่ถูกต้องลักษณะแบบนี้ ด้วยการที่ให้ปัญญาดับทุกข์ผู้อื่น มันจะย้อนกลับมาหาเรา เราจะมีความทุกข์น้อยลง จะฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ๆร้อนๆใจ อย่างอัศจรร อันนี้คือประสพกับตนเองครับ สนใจเข้าไปสั่งซื้อได้เลยครับ (หมดเขต 6 ตุลาคม 2558) www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 สารบัญ คำนำ วิธีสร้างบุญบารมี การทำทาน องค์ประกอบข้อที่ 1 "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์" องค์ประกอบข้อที่ 2 "เจตนาในการทำทานต้องบริสุทธิ์" ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น ร่ำรวยในวัยกลางคน องค์ประกอบข้อ 3 "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์" 2 การรักษาศีล ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 1 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 2 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 3 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 4 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 5 3 การภาวนา สมถภาวนา (การทำสมาธิ) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน ............................................................. พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มนี้ ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้เป็นสังฆบิดรของพระพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษา เพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์ ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุ และ ผล อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชน เป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุข และความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน ............................................................................................. บุญ ความหมายตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ, กุศลธรรม บารมี คือ คุณความดี ที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทาน หรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ ตํ่าที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าถือศีลไปได้, การถือศีลนั้น แม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ มากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้ เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่า การทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไร จึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุด .............................................................. "เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์" การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริง จะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัส ร่าเริง เบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังเป็นผู้ให้ผู้อื่น (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี ในทานที่ทำนั้นก็สำคัญและเนื่องมาจากเมตตาจิตที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น ให้พ้นจากความทุกข์และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตนนับว่าเป็น เจตนาที่บริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมา แล้วนี้จะทำให้ยิ่งๆบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกหากผู้ให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทาน พร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงที่ชาวโลก นิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใด โดยเฉพาะเป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของของผู้อื่นมาแล้วหลายชั่วคนซึ่งแต่ก่อนนั้นต่างก็ได้ล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ได้ยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่นๆ ต่อๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้จึงนับว่าเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลง นับว่าเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นของเราได้ถาวรตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ตั้งอยู่ในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเอง ก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เฒ่าแก่และตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาด้วยแล้ว เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมาก หากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้แต่ก็มีข้ออันควรระวังอยู่ ก็คือ การทำทานนั้น อย่าได้เบียดเบียนตนเอง...เช่นมีน้อยแต่ฝืนทำให้มากๆจนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่่อได้ทำไปแลั้วตนเองและสามีภริยารวมทั้งบุตรต้องลำบากขาดแคลน เพราะไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่ บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย และยังมีเนื้อหา...ต่ออีกครับ ฯลฯ ต.ค. 05, 2015 4:57:30am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: โพสขายได้ทุกอย่าง http://www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 ท่านที่มีจิตสว่างใสวในธรรมของพระพุทธองค์ ท่านใดอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มละ 5 บาท ผู้แต่ง: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาลครับ สำนักพิมพ์: dhammabookstore (เล่มละ 5 บาทครับ) จากที่ดาวน์โหลดPDFมาอ่านดูรู้สึกว่ามี 98 หน้า เป็นกระดาษA5 ) เล่มเล็กพอดีมืออ่านครับ ท่านใดต้องการสร้างทานบารมีปัญญาบารมี สั่งพิมพ์เพื่อนำไปถวายวัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม หรือมอบให้ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ หรือมอบให้แก่ญาติพี่น้องเป็นที่ละลึกได้อ่าน หรือเก็บไว้เพื่อรอแจกตามงานต่างๆที่จะมีในอนาคต(เช่นงานศพ) อานิสงค์ของการพิมพ์หนังสือธรรมะที่ถูกต้องลักษณะแบบนี้ ด้วยการที่ให้ปัญญาดับทุกข์ผู้อื่น มันจะย้อนกลับมาหาเรา เราจะมีความทุกข์น้อยลง จะฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ๆร้อนๆใจ อย่างอัศจรร อันนี้คือประสพกับตนเองครับ สนใจเข้าไปสั่งซื้อได้เลยครับ (หมดเขต 6 ตุลาคม 2558) www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 สารบัญ คำนำ วิธีสร้างบุญบารมี การทำทาน องค์ประกอบข้อที่ 1 "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์" องค์ประกอบข้อที่ 2 "เจตนาในการทำทานต้องบริสุทธิ์" ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น ร่ำรวยในวัยกลางคน องค์ประกอบข้อ 3 "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์" 2 การรักษาศีล ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 1 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 2 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 3 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 4 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 5 3 การภาวนา สมถภาวนา (การทำสมาธิ) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน ............................................................. พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มนี้ ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้เป็นสังฆบิดรของพระพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษา เพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์ ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุ และ ผล อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชน เป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุข และความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน ............................................................................................. บุญ ความหมายตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ, กุศลธรรม บารมี คือ คุณความดี ที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทาน หรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ ตํ่าที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าถือศีลไปได้, การถือศีลนั้น แม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ มากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้ เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่า การทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไร จึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุด .............................................................. "เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์" การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริง จะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัส ร่าเริง เบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังเป็นผู้ให้ผู้อื่น (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี ในทานที่ทำนั้นก็สำคัญและเนื่องมาจากเมตตาจิตที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น ให้พ้นจากความทุกข์และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตนนับว่าเป็น เจตนาที่บริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมา แล้วนี้จะทำให้ยิ่งๆบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกหากผู้ให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทาน พร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงที่ชาวโลก นิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใด โดยเฉพาะเป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของของผู้อื่นมาแล้วหลายชั่วคนซึ่งแต่ก่อนนั้นต่างก็ได้ล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ได้ยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่นๆ ต่อๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้จึงนับว่าเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลง นับว่าเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นของเราได้ถาวรตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ตั้งอยู่ในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเอง ก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เฒ่าแก่และตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาด้วยแล้ว เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมาก หากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้แต่ก็มีข้ออันควรระวังอยู่ ก็คือ การทำทานนั้น อย่าได้เบียดเบียนตนเอง...เช่นมีน้อยแต่ฝืนทำให้มากๆจนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่่อได้ทำไปแลั้วตนเองและสามีภริยารวมทั้งบุตรต้องลำบากขาดแคลน เพราะไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่ บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย และยังมีเนื้อหา...ต่ออีกครับ ฯลฯ ต.ค. 05, 2015 4:58:08am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: แยกอุรุพงษ์ http://www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 ท่านที่มีจิตสว่างใสวในธรรมของพระพุทธองค์ ท่านใดอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มละ 5 บาท ผู้แต่ง: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาลครับ สำนักพิมพ์: dhammabookstore (เล่มละ 5 บาทครับ) จากที่ดาวน์โหลดPDFมาอ่านดูรู้สึกว่ามี 98 หน้า เป็นกระดาษA5 ) เล่มเล็กพอดีมืออ่านครับ ท่านใดต้องการสร้างทานบารมีปัญญาบารมี สั่งพิมพ์เพื่อนำไปถวายวัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม หรือมอบให้ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ หรือมอบให้แก่ญาติพี่น้องเป็นที่ละลึกได้อ่าน หรือเก็บไว้เพื่อรอแจกตามงานต่างๆที่จะมีในอนาคต(เช่นงานศพ) อานิสงค์ของการพิมพ์หนังสือธรรมะที่ถูกต้องลักษณะแบบนี้ ด้วยการที่ให้ปัญญาดับทุกข์ผู้อื่น มันจะย้อนกลับมาหาเรา เราจะมีความทุกข์น้อยลง จะฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ๆร้อนๆใจ อย่างอัศจรร อันนี้คือประสพกับตนเองครับ สนใจเข้าไปสั่งซื้อได้เลยครับ (หมดเขต 6 ตุลาคม 2558) www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 สารบัญ คำนำ วิธีสร้างบุญบารมี การทำทาน องค์ประกอบข้อที่ 1 "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์" องค์ประกอบข้อที่ 2 "เจตนาในการทำทานต้องบริสุทธิ์" ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น ร่ำรวยในวัยกลางคน องค์ประกอบข้อ 3 "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์" 2 การรักษาศีล ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 1 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 2 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 3 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 4 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 5 3 การภาวนา สมถภาวนา (การทำสมาธิ) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน ............................................................. พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มนี้ ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้เป็นสังฆบิดรของพระพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษา เพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์ ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุ และ ผล อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชน เป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุข และความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน ............................................................................................. บุญ ความหมายตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ, กุศลธรรม บารมี คือ คุณความดี ที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทาน หรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ ตํ่าที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าถือศีลไปได้, การถือศีลนั้น แม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ มากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้ เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่า การทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไร จึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุด .............................................................. "เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์" การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริง จะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัส ร่าเริง เบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังเป็นผู้ให้ผู้อื่น (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี ในทานที่ทำนั้นก็สำคัญและเนื่องมาจากเมตตาจิตที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น ให้พ้นจากความทุกข์และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตนนับว่าเป็น เจตนาที่บริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมา แล้วนี้จะทำให้ยิ่งๆบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกหากผู้ให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทาน พร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงที่ชาวโลก นิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใด โดยเฉพาะเป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของของผู้อื่นมาแล้วหลายชั่วคนซึ่งแต่ก่อนนั้นต่างก็ได้ล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ได้ยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่นๆ ต่อๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้จึงนับว่าเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลง นับว่าเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นของเราได้ถาวรตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ตั้งอยู่ในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเอง ก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เฒ่าแก่และตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาด้วยแล้ว เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมาก หากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้แต่ก็มีข้ออันควรระวังอยู่ ก็คือ การทำทานนั้น อย่าได้เบียดเบียนตนเอง...เช่นมีน้อยแต่ฝืนทำให้มากๆจนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่่อได้ทำไปแลั้วตนเองและสามีภริยารวมทั้งบุตรต้องลำบากขาดแคลน เพราะไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่ บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย และยังมีเนื้อหา...ต่ออีกครับ ฯลฯ ต.ค. 05, 2015 4:59:07am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น http://www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 ท่านที่มีจิตสว่างใสวในธรรมของพระพุทธองค์ ท่านใดอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มละ 5 บาท ผู้แต่ง: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาลครับ สำนักพิมพ์: dhammabookstore (เล่มละ 5 บาทครับ) จากที่ดาวน์โหลดPDFมาอ่านดูรู้สึกว่ามี 98 หน้า เป็นกระดาษA5 ) เล่มเล็กพอดีมืออ่านครับ ท่านใดต้องการสร้างทานบารมีปัญญาบารมี สั่งพิมพ์เพื่อนำไปถวายวัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม หรือมอบให้ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ หรือมอบให้แก่ญาติพี่น้องเป็นที่ละลึกได้อ่าน หรือเก็บไว้เพื่อรอแจกตามงานต่างๆที่จะมีในอนาคต(เช่นงานศพ) อานิสงค์ของการพิมพ์หนังสือธรรมะที่ถูกต้องลักษณะแบบนี้ ด้วยการที่ให้ปัญญาดับทุกข์ผู้อื่น มันจะย้อนกลับมาหาเรา เราจะมีความทุกข์น้อยลง จะฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ๆร้อนๆใจ อย่างอัศจรร อันนี้คือประสพกับตนเองครับ สนใจเข้าไปสั่งซื้อได้เลยครับ (หมดเขต 6 ตุลาคม 2558) www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611 สารบัญ คำนำ วิธีสร้างบุญบารมี การทำทาน องค์ประกอบข้อที่ 1 "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์" องค์ประกอบข้อที่ 2 "เจตนาในการทำทานต้องบริสุทธิ์" ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น ร่ำรวยในวัยกลางคน องค์ประกอบข้อ 3 "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์" 2 การรักษาศีล ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 1 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 2 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 3 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 4 ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 5 3 การภาวนา สมถภาวนา (การทำสมาธิ) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน ............................................................. พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มนี้ ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้เป็นสังฆบิดรของพระพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษา เพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์ ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุ และ ผล อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชน เป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุข และความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน ............................................................................................. บุญ ความหมายตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ, กุศลธรรม บารมี คือ คุณความดี ที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทาน หรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ ตํ่าที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าถือศีลไปได้, การถือศีลนั้น แม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ มากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้ เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่า การทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไร จึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุด .............................................................. "เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์" การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริง จะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัส ร่าเริง เบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังเป็นผู้ให้ผู้อื่น (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี ในทานที่ทำนั้นก็สำคัญและเนื่องมาจากเมตตาจิตที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น ให้พ้นจากความทุกข์และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตนนับว่าเป็น เจตนาที่บริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมา แล้วนี้จะทำให้ยิ่งๆบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกหากผู้ให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทาน พร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงที่ชาวโลก นิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใด โดยเฉพาะเป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของของผู้อื่นมาแล้วหลายชั่วคนซึ่งแต่ก่อนนั้นต่างก็ได้ล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ได้ยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่นๆ ต่อๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้จึงนับว่าเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลง นับว่าเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นของเราได้ถาวรตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ตั้งอยู่ในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเอง ก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เฒ่าแก่และตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาด้วยแล้ว เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมาก หากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้แต่ก็มีข้ออันควรระวังอยู่ ก็คือ การทำทานนั้น อย่าได้เบียดเบียนตนเอง...เช่นมีน้อยแต่ฝืนทำให้มากๆจนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่่อได้ทำไปแลั้วตนเองและสามีภริยารวมทั้งบุตรต้องลำบากขาดแคลน เพราะไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่ บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย และยังมีเนื้อหา...ต่ออีกครับ ฯลฯ ต.ค. 05, 2015 5:37:51am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ฉลาดแต่ก็ยัง "โง่... อยู่ดี คน >_< เวลาอารมณ์ความทุกข์โคจรมาเยี่ยมทางใจ " ต้องรีบทำใจให้เหมือนเป็นตาข่าย" ต.ค. 05, 2015 8:13:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ต.ค. 06, 2015 6:07:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนาม 1. ความคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นเสี้ยนหนามของผู้ชอบความสงัด 2. การชอบมองในแง่สวยงาม เป็นเสี้ยนหนามของผู้ประกอบอสุภนิมิต (ผู้ปฏิบัติอสุภกรรมฐาน) 3. การดูการละเล่น เป็นเสี้ยนหนามของผู้สำรวมอินทรีย์ 4. การเข้าใกล้สตรี เป็นเสี้ยนหนามของพรหมจรรย์ 5. เสียง เป็นเสี้ยนหนามของฌานที่ 1 6. วิตก วิจาร เป็นเสี้ยนหนามของฌานที่ 2 7. ปีติ เป็นเสี้ยนหนามของฌานที่ 3 8. ลมหายใจ เป็นเสี้ยนหนามของฌานที่ 4 9. สัญญา (ความกำหนดหมาย) เวทนา (ความรู้สึกสุขทุกข์) เป็นเสี้ยนหนามของการเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ต.ค. 06, 2015 6:27:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ( สมเด็จโต พรหมรังสี ) #การที่เราแผ่เมตตา จะมีกระแสธาตุไฟออกจากวิญญาณ# ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อทุกครั้งที่เราแผ่เมตตาก็จะมีรัสมีพลังงานออกจากกายเราจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นรัสมีแสงพลังงานกระจายออกไปฉะนั้น ตาเนื้อมองไม่อาจเห็นได้ แต่ตาทิพย์นี่เขาเห็น และท่านผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำจะมีอายุยืน และจะจิตแน่วแน่ โรคที่เป็นอยู่ทางกายมันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้ ฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายอย่าได้มัวประมาทในชีวิตที่น้อยนี้เลย วันคืนมันก็ล่วงไปๆบัดเราทำอะไรอยู่ .😭 ต.ค. 07, 2015 6:53:12pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ต.ค. 07, 2015 9:04:46pm เบียร์บี้ เบียร์บี้ ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ต.ค. 08, 2015 10:39:19pm Natchareeya Jomhong ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ต.ค. 08, 2015 10:39:22pm Chanyaphon Saisaman ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ต.ค. 08, 2015 10:39:23pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก Mam Mam ต.ค. 10, 2015 9:10:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama อานิสงค์กุศลกรรมบถ ๑๐ ดังนี้ ๑. การเว้นจากการฆ่าสัตว์ มีอานิสงส์ ๙ ประการ คือ (๑) มีร่างกายสมบูรณ์ (๒) มีรูปพรรณสัณฐานงดงาม (๓) มีกำลังกายดี (๔) มีกำลังปัญญาไว (๕) เป็นคนองอาจ (๖) ไม่ทำลายตน หรือถูกผู้อื่นทำลาย (๗) ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน (๘) มีบริวารมาก (๙) มีอายุยืน ๒. การเว้นจากการลักทรัพย์ มีอานิสงส์ ๖ ประการ คือ (๑) มีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ (๒) มีชีวิตไม่ฝืดเคือง (๓) ไม่มีความอดอยาก (๔) ย่อมได้สิ่งที่ตนปราถนา ( ๕) มีความเจริญก้าวหน้าในการค้าขาย (๖) ไม่มีความพินาศด้วยภัยพิบัติ ๓. การเว้นจากการประพฤติผิดในกาม มีอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ (๑) มีคนรักนิยมนับถือมาก (๒) ไม่มีคนคอยปองร้าย (๓) มีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ (๔) ไม่มีความอดอยากยากจน (๕) ไม่ต้องเกิดเป็นสตรี (๖) ไม่เกิดเป็นกะเทย (๗) เกิดเป็นบุรุษในตระกูลสูง (๘) ได้รับเกียรติอยู่เสมอ (๙) มีร่างกายสมบูรณ์ (๑๐) ไม่มากไปด้วยความวิตกกังวล (๑๑) ไม่ต้องพลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก ๔. การเว้นจากการพูดเท็จ มีอานิสงค์ ๘ ประการ คือ (๑) เป็นคนพูดเสียงไพเราะชัดเจน (๒) มีฟันเรียบร้อยดี (๓) มีกลิ่นปากหอม (๔) มีไอตัวสนิท (ไม่มีกลิ่นตัวแรง) (๕) มีดวงตาสมส่วน (๖) มีปกติพูดจาด้วยความจริงใจ (๗) มีกิริยาท่าทางสง่าผ่าเผย (๘) มีจิตใจมั่นคง ๕. การเว้นจากการพูดส่อเสียด มีอานิสงส์ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นคนไม่ติเตียนตนเอง (๒) มีปกติรับฟังคำพูดจริง (๓) บัณฑิตย่อมยกย่องสรรเสริญเสมอ (๔) มีความสามัคคีกับมิตรเสมอ ๖. การเว้นจากการพูดคำหยาบ มีอานิสงส์ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นคนสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ (๒) มักจะได้ยินเสียงเป็นที่น่าพอใจ (๓) มีกายวาจาเรียบร้อย (๔) เวลาตายมีสติสมบูรณ์ ๗. การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ มีอานิสงส์ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นคนมักพูดเป็นธรรม (๒) ไม่วิกลจริต (๓) มีอำนาจวาสนาดี (๔) มีความพอใจคำพูดของตนเสมอ ๘. การเว้นจากการโลภอยากได้ของเขา มีอานิสงส์ ๔ ประการ คือ (๑) สมบูรณ์ด้วยทรัพย์และคุณความดี (๒) เกิดในตระกูลสูง (๓) ได้รับคำสรรเสริญอยู่เสมอ (๔) มีลาภสักการะสมบูรณ์ ๙. การเว้นจากการไม่พยาบาทปองร้าย มีอานิสงส์ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นคนมีรูปงาม (๒) ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน (๓) มีอายุยืน (๔) ตายตามอายุขัย ๑๐. การเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม มีอานิสงส์ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นคนอยู่ใกล้ชิดพระธรรมเสมอ (๒) มีปัญญาดี (๓) เกิดในตระกูลมีความรู้ (๔) เป็นผู้มีฐานะทัดเทียมคนที่มีฐานะดี และพระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ เกี่ยวกับ กุสลกัมมบถ 10 เป็นทางแห่งความเจริญทั้งปวง ว่า ฯลฯ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุสลกัมมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมด สิ้น อกุสลธัมมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติ ชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติ ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน ตระกูล ในบัดนี้ ฯ ฯลฯ " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา เจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุสลธัมมะ อย่า กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธัมมะ ๓ ประการ คืออธัมมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธัมมะ อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบ ในสมณะ ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน ตระกูล ควรสมาทานกุสลธัมม์นี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุสลธัมม์นี้แล้วประพฤติ เพราะ เหตุที่สมาทานกุสลธัมม์เหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วย วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคน ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ เจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ ต.ค. 12, 2015 12:22:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ผลที่อกุสลกรรมบถ ๑๐ ส่งให้ในปวัตติกาล (1)#ผลของปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) มี ๙ ประการ คือ ๑. ทุพพลภาพ ๒. รูปไม่งาม ๓. กำลังกายอ่อนแอ ๔. กำลังกายเฉื่อยชา กำลังปัญญาไม่ว่องไว ๕. เป็นคนขลาด ๖. ฆ่าตนเอง หรือถูกฆ่า ๗. โรคภัยเบียดเบียน ๘. ความพินาศของบริวาร ๙. อายุสั้น (2)#ผลของอทินนาทาน (ขโมย) มี ๖ ประการ คือ ๑. ด้อยทรัพย์ ๔. ไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา ๒. ยากจน ๕. พินาศในการค้า ๓. อดอยาก ๖. ทรัพย์พินาศเพราะอัคคีภัย อุทกภัย ราชภัย โจรภัยเป็นต้น (3)#ผลของกาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤผิดในบุคคลที่มีเจ้าของ) มี ๑๑ ประการ คือ ๑. มีผู้เกลียดชังมาก ๒. มีผู้ปองร้ายมาก ๓. ขัดสนทรัพย ๔. ยากจนอดอยาก ๕. เป็นหญิงโสเพณี ๖. เป็นกระเทย ๗. เป็นชายในตระกูลต่ำ ๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ ๙. ร่างกายไม่สมประกอบ ๑๐. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย ๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก (4)#ผลของมุสาวาท (พูดเท็จ) มี ๘ ประการ คือ ๑. พูดไม่ชัด ๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ ๒. ฟันไม่เป็นระเบียบ ๖. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้น และปลายปาก ๓. ปากเหม็นมาก ๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย ๔. ไอตัวร้อนจัด ๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายวิกลจริต (5)#ผลของปิสุณาวาท (พูดส่อเสียด) มี ๔ ประการ คือ ๑. ตำหนิตนเอง ๓. ถูกบัณฑิตตำหนิติเตียน ๒. มักจะถูกลือโดยไม่มีความจริง ๔. แตกมิตรสหาย (6)#ผลของผรุสวาท (พูดหยาบคาย) มี ๔ ประการ คือ ๑. พินาศในทรัพย์ ๓. มีกายและวาจาหยาบ ๒. ได้ยินเสียง เกิดไม่พอใจ ๔. ตายด้วยอาการงงงวย (7)#ผลของสัมผัปปลาป (พูดเพ้อเจ้อ) มี ๔ ประการ คือ ๑. เป็นอธัมมวาทบุคคล ๓. ไม่มีอำนาจ ๒. ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูดของตน ๔. จิตไม่เที่ยง คือ วิกลจริต (8)#ผลของอภิชฌา (คิดอยากได้ของๆผู้อื่น) มี ๔ ประการ คือ ๑. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดี ๓. มักได้รับคำติเตียน ๒. ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ ๔. ขัดสนในลาภสักการะ (9)#ผลของพยาบาท มี ๔ ประการ คือ ๑. มีรูปทราม ๓. อายุสั้น ๒. มีโรคภัยเบียดเบียน ๔. ตายโดยถูกประทุษร้าย (10)#ผลของมิจฉาทิฏฐิ (มีความเห็นผิด) มี ๔ ประการ คือ ๑. ห่างไกลรัศมีแห่งพระธรรม ๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร ๒. มีปัญญาทราม ๔. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน ************************** #ผลของการเสพสุราเมรัย มี ๖ ประการ คือ ๑. ทรัพย์ถูกทำลาย ๔. เสื่อมเกียรติ ๒. เกิดวิวาทบาดหมาง ๕. หมดยางอาย ๓. เป็นบ่อเกิดของโรค ๖. ปัญญาเสื่อมถอยเป็นบ้า ---------------------------------------------- ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเห็นเปตรถูกไฟไหม้ จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เปตรตนนี้เคยเป็นคนพูดส่อเสียด อยู่ในพระนครราชคึกนี่เอง ผมว่าคนที่เป็นเปตรที่ว่านี้ นอนหลับไปเลย เวลากลางวัน ไม่ต้องตื่นมาพูดส่อเสียดยังจะดีกว่า กลางคืนค่อยตื่น ทำไมคนมีบุญได้เสวยอัตภาพมนุษย์ ได้ความเลิษกว่าเทวดา ด้านสติปัญญา จึงยังแก้ปัญหาใจตัวเองไม่ได้หนอ ต.ค. 12, 2015 12:30:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama เหตุที่สัตว์เกิดมามีสภาพแตกต่างกันนั้น มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย แสดงไว้ว่า ฆ่าสัตว์ ไม่มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุสั้น ไม่ฆ่าสัตว์ มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุยืน เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคมาก ไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคน้อย มักโกรธ มีความคับแค้นใจมาก เป็นเหตุให้ ผิวพรรณทราม ไม่โกรธ ไม่มีความคับแค้นใจ เป็นเหตุให้ ผิวพรรณผุดผ่อง มีใจประกอบด้วยความริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพน้อย มีใจไม่ริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพมาก ไม่บริจาคทาน เป็นเหตุให้ ยากจน อนาถา บริจาคทาน เป็นเหตุให้ มีโภคสมบัติมาก กระด้าง ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลต่ำ ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลสูง ไม่อยากรู้ ไม่ไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญาน้อย อยากรู้ หมั่นไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญามาก ต.ค. 12, 2015 12:33:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ผลของบุญกิริยาวัตถุ 10 ๑. ทานมัย การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) เป็นที่มาของทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ๒) เป็นที่ตั้งของโภคทรัพย์ทั้งปวง ๓) ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข ๔) ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก ๕) ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีผู้อื่นไว้ได้ ๖) ทำให้เป็นผู้มีเสน่ห์น่านับถือ ๗) ทำให้เป็นที่น่าคบหาของคนดี ๘) ทำให้เข้ากับสังคมอื่นได้คล่องแคล่ว ๙) มีบุคลิกองอาจ สง่าผ่าเผย ๑๐) ทำให้มีชื่อเสียงเกียรติคุณดี ๑๑) ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ ๒. สีลมัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) ทำให้มีความสุขกาย สุขใจ ๒) ทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้ ๓) ทำให้สามารถใช้สอยทรัพย์นั้นได้เต็มอิ่ม โดยไม่หวาดระแวง ๔) ทำให้ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงทรัพย์คืน ๕) ทำให้เกียรติคุณฟุ้งขจรไป ทำให้ผู้อื่นเกิดความเชื่อถือ ๖) ทำให้ชีวิตนั้นแกล้วกล้าองอาจท่ามกลางชุมชน ๗) ทำให้ไม่เป็นคนหลงลืมสติ ๘) ตายแล้วไปเกิดในสุคตภูมิ ๓. ภาวนามัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ๒) มีผิวพรรณผ่องใส ๓) มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ๔) มีความจำดี และกำลังปัญญาว่องไว ๕) เป็นคนใจคอเยือกเย็น ๖) เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น ๗) มีบุคลิกอันน่าศรัทธา ๘) เกิดในตระกูลดี ๙) มีบุคลิกสง่างาม ๑๐) มีมิตรสหายมาก ๑๑) เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป ๑๒) เป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิต ๑๓) สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ ๑๔) ปราศจากอกุศลทั้งปวง ๑๕) ปลอดภัยจากศาสตราวุธ ๑๖) มีอายุยืน ๑๗) ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ ๔. อปจายนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ที่ควรเคารพนบนอบ (คุณวุฒิ วัยวุฒิ ชาติวุฒิ) ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) เกิดในตระกูลสูง ๒) มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ๓) มีมิตรสหายดี ๔) ได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ ๕) มีความสมบูรณ์ในทรัพย์ ๖) ได้พบเห็นแต่สิ่งที่ตนปรารถนา ๕. เวยยาวัจจะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการช่วยเหลือกิจการงานที่ชอบ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) มีความเป็นอยู่ดี สุขกายสุขใจ ๒) มีมิตรสหายมาก ๓) มีไหวพริบความจำดี ๔) มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ๖. ปัตติทานะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) ไม่มีความอดอยาก ยากจน ๒) ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ๓) มีบริวารดี ๔) เป็นที่รักของผู้พบเห็น ๕) มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ๖) มีอายุยืน ๗. ปัตตานุโมทนา บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) มีสุขภาพสมบูรณ์ ๒) มีฐานะดี ๓) มากไปด้วยลาภสักการะ ๔) พบเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ ๘. ธัมมสวนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) เกิดในตระกูลสูง ๒) มีสติปัญญาดี ๓) มีมิตรสหายดี ๔) มีความเชื่อมั่นในตนเอง ๙. ธัมมเทสนา บูญที่สำเร็จได้ด้วยการแสดงธรรม ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) ไม่มีกลิ่นปาก ๒) มีฟันขาวเรียบ ๓) บุตรบริวารมีความเชื่อฟัง ๔) มีบุคลิกสง่างาม ๕) มีความจำดี ๖) เป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้พบเห็น ๑๐.ทิฏฐุชุกรรม บุญที่สำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้ ๑) มีปัญญาดี ๒) ไม่อดอยาก ๓) ไม่ยากจน ๔) มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ๕) มีบุคลิกสง่างาม ๖) พบเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ ๗) มีฐานะความเป็นอยู่ดี ๘) มีบริวารมาก ๙) มีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ต.ค. 12, 2015 12:33:51pm Sakkaya Light ได้รับการเพิ่มลงใน Reader All Dhama โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ต.ค. 12, 2015 2:29:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ศีลนี่เป็นบาทฐานของความเจริญ เป็นเสาเป็นหลักเป็นฐาน เป็นบันได ที่พาไปสู่ความเจริญสู่บุญกุศลที่ดีงามของทุกสิ่งทุกอย่าง ศีลนี่ถ้าใครรักษาได้มากข้อ ก็จะเป็นผลอานิสงค์ที่ดีย้อนกลับมาหาตัวเราในปัจจุบัน และให้ผลต่อในอนาคตปรภพชาติต่อไป เช่นจะมาเข้าท้องเกิดเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะบุญจากศีล หรือจะไปเกิดเป็นกายทิพย์ เทพบุตร เทพธิดา ได้ ก็เพราะบุญจากศีล ศีลก็คือปกติข้อปฏิบัติเพื่อมุ่งอบรมจิตของเราให้เป็นจิตที่ดีนั้นเอง เช่นศีล ๕ ศีล ๘ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นการ มุ่งฝึกอบรมจิตใจให้ดี เพราะการรักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็คือการพยายาม ประพฤกุศลกรรมบท๑๐ในทางออ้อนั่นเอง กุศลกรรมบท๑๐ ข้อนี้ คือคุณธรรมของผู้รักษาศีล๕ ศีล๘ เข้าถึงสำเร็จแล้ว กุศลบท๑๐ข้อ ๑.ไม่ฆ่าสัตว์ ๒.ไม่ลักทรัพย ์๓.ไม่ประพฤผิดในกาม ในเมียเขา ลูกเขา หลานเขา ๔.ไม่โกหก ๕.ไม่พูดให้คนที่สามัคคีแตกกัน ๖.ไม่พูดหยาบคาย แสบเผ็ดทำร้ายจิตใจผู้อื่น ๗.ไม่พูดเพ้อเจ้อ เรื่องที่ไม่มีสาระไม่มีประโยชน์ ๘.ไม่โลภคิดอยากจะขโมยของๆผู้อื่น ๙.ไม่พยาบาท อาฆาตแค้น สาบแซงผู้อื่น ๑๐.ไม่มีความเห็นผิด เรื่องทาน ศีล สมาธิ แผ่เมตตา อุทิศบุญ ไม่มีผล นี่คือจุดมุ่งหมายของศีล๕ เพราะมุ่งมาฝึกที่จิตใจเรานี่เอง ถ้าจิตใจเราดีแล้วอย่างนี้ พอจะตายจิตดวงสุดท้ายมันจะดับ จิตเราก็จะเกาะกุศล เพราะเราเคยฝึกมาดีแล้ว ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้ารักษาศีล๕ได้ครบ แต่ยังจิตใจไม่ดีอยู่ ก็คือยังเสี่ยงอยู่ พอจะตายจิตดวงสุดท้ายจะดับ ถ้าไปเกาะอกุศล ก็จะไปเกิดในภพที่ไม่ดี เพราะว่าการจะเปลี่ยนภพภมูิ มันต้องดูที่จิตเรา เพราะจิตใจเป็นใหญ่ ตัวจะไปเกิดภพใหม่ก็คือจิต ถ้าจิตจะดับเป็นอกุศลเศร้าหมองก็จะไปเกิดภพไม่ดี ที่ผ่านมาไปรักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือบวชพระ บวชชี นุ่งขาวห่มขาว ก็เพื่อฝึกจิตให้ดี จะใส่ชุดเรียบร้อยสะอาดดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าจิตยังไม่ดียังไม่สะอาดก็ยังเสี่ยงที่จะไปนรก เปตรวิสัย เดรัจฉาน อยู่ครับ ทีนี้พวกเรายังเป็นฆราวาสอยู่ ยังต้องฆ่าสัตว์ เพื่อเลี้ยงพ่อแม่ เลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวอยู่ เราไม่สามารถจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้.. "ในสมัยพุทธกาลเขาก็ฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหารกินเหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี จะประพฤพรมจรรให้ดุจเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว ไม่ใช่ง่าย" บรรพชาเป็นโอกาสว่างที่จะประพฤพรมจรรให้เหมือนดุจสังที่ขัดดีแล้ว" สมัยก่อนเขาก็ฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าก็เทศให้รักษาศีล เขาก็เปลี่ยนมารักษาศีล และสำเร็จในกุศลกรรมบท๑๐ทางอ้อม ก็ตายไปเกิดสวรรค์ "ถ้าพระพุทธเจ้ามาเทศอยู่ต่อหน้าเรา บอกว่าให้รักษาศีล จะทำได้ไหม" เราจะทำได้เหมือนพวกเขาไหม " ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ฟังธรรมะแทนและทรงจำธรรมนั้นให้ได้ และปฏิบัติภาวนาอบรมทางจิต ให้จิตมันเป็นใหญ่ในทางกุศล "พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ถึงบุคคลบางคนยังทุศีลอยู่ ถ้าเขาฟังธรรมสั่งสมสุตะทรงจำทำนั้นไว้ได้ ก็ยังไปทางเจริญอย่างเดียว ถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ไปทางเสื่อม ทางเจริญคือตายแล้วไปเกิด เป็นมนุษย์หรือเทวดา ทางเสื่อมคือ ไปเกิดในนรก เปตร เดรัจฉาน อสูรกาย ทีนี้ถ้าพวกเราฟังธรรมบ่อยๆ มันก็คือการทำมโนกรรม มโนกรรมนี่คือกรรมที่แรง เช่นฟังธรรมะ มันก็จะได้บุญมากมาย ฟังบ่อยๆหรืออ่านบ่อยๆ มันก็จะเข้าใจและทรงจำธรรมได้ขึ้นใจ เมื่อเวลาจะตายใจเรามันคุ้นชิน อยู่กับกุศลใหญ่คือบุญที่เกิดจากฟังธรรมะ มันก็จะมีพลังกว่าบาปที่เราทำทางกาย ก็จะไปเกิดภพที่ดี บาปทางกาย เช่นฆ่าสัตว์ ก็จะขอเรียงน้ำหนักของกรรม ๑.ฆ่าสัตว์ เล็กที่อายุไขสั้นเช่นยุงก็ไม่บาปเท่าฆ่าสัตว์ที่มีอายุไขยาว เช่นเต่า ๒.ฆ่าสัตว์ที่อายุยาวก็ไม่บาปเท่าฆ่าสัตว์ใหญ่ที่มีคุณ สมัยก่อนก็ ควาย ช้าง ม้า ๓.ฆ่าสัตว์ที่อายุไขสั้นหรือยาวมีคุณหรือไม่มีคุณก็ไม่บาปเท่า ฆ่าคน ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า สัตว์เดรัจฉานนั้นมีคุณธรรม ต่ำกว่ามนุษย์ จึงบาปน้อยกว่าฆ่ามนุษย์ และสัตว์ที่มีบุญคุณ อาจไม่ใช่แค่ ควาย ม้า ช้าง เท่านั้น จะขอยกเรื่องในสมัยก่อนมาเล่าให้ฟัง เรื่ององคุลีมาลเกิดเป็นเต่า "องค์คุลีมาลนี่ในชาติโน้นท่านเกิดเป็นเต่าใหญ่อยู่กลางทะเล "เต่าตัวนี่ เป็นเต่าที่ใจดีจิตใจดีชอบช่วยคน" มีอยู่วันหนึ่ง มีเรือพ่อค้าที่จะข้ามทะเลไปขายของอีกฝากหนึ่ง เรือนั้นได้ล่มอยู่กลางทะเล พวกพ่อค้าทั้งหลาย ก็ตกอยู่กลางน้ำหาฝั่งเข้าฝั่งไม่ได้ "เต่านั้นได้เห็นพวกพ่อค้า ลอยอยู่กลางน้ำ ก็เลยไปช่วย โดยการให้เหยียบกระดอง เกาะกระดองของตนเอง แล้วพาเข้าฝั่ง " เต่านั้น ได้ช่วยพอค้าทุกคนให้ปลอดภัยจนสำเร็จ แต่ขณะที่จะถึงฝั่ง" พวกพ่อค้ามีความคิดว่า "ไปค้าขายเรือก็แตก เราควร จับเต่าตัวนีมาเป็นอาหารและนำเนื้อไปหมู่บ้าน" "ว่าแล้ว พ่อค้าก็จับเต่าตัวนั้น มาฆ่าทำเป็นอาหาร และเอาเข้าไปแบ่งกันกินในหมู่บ้าน" "คนในหมู่บ้าน คนรู้เรื่องที่มาที่ไปของเต่าตัวนี้ แล้วกินมี999คน คนที่1000คือเด็กหญิงคนหนึ่งไม่ยอมกิน ป้อนก็ไม่ยอมกิน มีแต่คายออก เพราะสงสารเต่ากินไม่ลง" ขอสรุปสั้นๆว่า คนที่กินเต่า 999คนในชาตินั้น ได้มาเกิดเป็นคน แล้วถูกองคุลีมาลฆ่าตัดเอานิ้ว ส่วนเด็กหญิงที่ไม่ยอมกินเต่าในชาตินั้น ได้มาเกิดเป็นแม่ขององคุลีมาล " ถ้าจะถามต่อไปอีกว่า ทำไม่เต่าองคุลีมาลจึงถูกฆ่า ทำไมไม่ตายตามอายุไขเหมือนเติ่าตัวอื่น "ก็จะมีคำตอบอีกครับ ถ้าถามอีกว่าทำไม ก็จะมีคำตอบอีกครับ เพระกรรมมันไม่มีที่สิ้นสุด "กรรมนี่มันน่ากลัวจริงๆครับ แม้แต่เคยเกิดเป็นแม่ลูกกัน ตายแล้วก็ลืม มาเจอกันชาติใหม่ "แม่มาเกิดเป็นโจร และฆ่าลูกตัวเอง(พระโมคคัลลา) "หลังจากนั้นโจรได้ตายแล้วไปไหมอยู่ในนรก #เพราะด้วยอำนาจของความลืม กรรมนี่น่ากลัวมาก ควรที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงนิพพานโดยเร็ว... ต.ค. 12, 2015 7:02:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แยกอุรุพงษ์ มีธรรมะดีๆมาให้อ่าน ให้ได้บุญกันทุกคนครับ.. มีธรรมะดีๆมาให้อ่าน ให้ได้บุญกันทุกคนครับ.. ต.ค. 12, 2015 9:34:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แยกอุรุพงษ์ ( สมเด็จโต พรหมรังสี ) #การที่เราแผ่เมตตา จะมีกระแสธาตุไฟออกจากวิญญาณ# ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อทุกครั้งที่เราแผ่เมตตาก็จะมีรัสมีพลังงานออกจากกายเราจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นรัสมีแสงพลังงานกระจายออกไปฉะนั้น ตาเนื้อมองไม่อาจเห็นได้ แต่ตาทิพย์นี่เขาเห็น และท่านผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำจะมีอายุยืน และจะจิตแน่วแน่ โรคที่เป็นอยู่ทางกายมันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้ ฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายอย่าได้มัวประมาทในชีวิตที่น้อยนี้เลย วันคืนมันก็ล่วงไปๆบัดเราทำอะไรอยู่ .😭 ต.ค. 13, 2015 8:27:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama พระอานนท์ถามพระผู้มีพระภาคว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในมาตุคามอย่างไร?" "การไม่เห็น" เมื่อการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัติอย่างไร? "การไม่เจรจา" เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร? "พึงตั้งสติไว้" ต.ค. 18, 2015 2:13:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.uttayarndham.org/node/969 เมื่ออ่านพระไตรปีกกจบแล้วให้มาอ่านนี้ต่ิ ต.ค. 18, 2015 2:15:24pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.thammaonline.com/ http://www.thammaonline.com/ ต.ค. 18, 2015 2:15:40pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama คนเราเกิดมามีเซลล์สมองประมาณ 1 แสนล้านตัว เดิมเชื่อกันว่าหลังจากนั้นเซลล์สมองมีแต่จะล้มหายตายจากไป ไม่มีการเพิ่มขึ้น แต่ตอนหลังนี้พบว่าไม่จริงแล้ว เซลล์สมองเกิดขึ้นใหม่ได้ เซลล์แม่ที่เรียกว่าสเต็มเซลล์ที่เที่ยวไปงอกเป็นเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ไปงอกเป็นเซลล์สมองได้ด้วย ใครๆ ก็อยากให้สมองดี และคงมีวิธีต่างๆ มากมาย ในที่นี้จะเสนอสูตร 3 ประการ ที่ทำให้สมองดี แต่ขอย้ำว่าไม่ได้มี 3 วิธีนี้เท่านั้น 3 วิธีนี้คือ 1. ใช้สมองเสมอๆ คนที่หยุดเรียนรู้ หยุดคิด สมองจะเสื่อมโดยรวดเร็ว เช่น คนที่เกษียณอายุแล้วหยุดกิจกรรมต่างๆ หมด คงที่หยุดอย่างนี้ใช่แต่สมองจะเสื่อมเร็วเท่านั้น แต่จะตายเร็วด้วย ข้าราชการหลายคนตายเมื่ออายุ 61-62 ปี เพราะเมื่อหยุดคิด ก็คงจะส่งสัญญาณไปบอกร่างกายว่าไม่จำเป็นต้องอยู่แล้ว 2. ออกกำลังกายเป็นประจำ คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้ไมโตคอนเดรียในเซลล์สมองเพิ่มขึ้น ไมโตคอนเดรียเปรียบเสมือนห้องส่งพลังงาน เมื่อมีการส่งพลังงานให้เซลล์สมองเพิ่มขึ้น ทำให้สมองเสื่อมช้าลง หรือมีเซลล์สมองใหม่งอกเพิ่มขึ้นด้วย การออกกำลังกายยังเพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้เป็นโรคติดเชื้อและมะเร็งน้อยลง 3. เจริญสติ การเจริญสติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมอง ทั้งทางโครงสร้างและหน้าที่ ทำให้ส่วนต่างๆ ของสมองทำงานบรรสานสอดคล้องบูรณาการกัน เหมือนเครื่องดนตรีทุกชิ้นเล่นเพลงเดียวกัน ทำให้เกิดความสุข และสมองดี นี้คือสูตร 3 ประการ ที่ทำให้สมองดี ที่ท่านสามารถลองดูได้ด้วยตนเอง สมองดีไม่ได้ดีแต่สมองแต่อย่างอื่นๆ ก็พลอยดีไปด้วย นพ.ประเวศ วะสี ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 397 ต.ค. 18, 2015 2:18:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://plus.google.com/+ปุ้มแสงแก้ว/posts/KLWzRaqTAGc ใช่เลย ต.ค. 19, 2015 9:02:45am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://plus.google.com/+ปุ้มแสงแก้ว ต.ค. 19, 2015 9:03:48am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://plus.google.com/+ปุ้มแสงแก้ว ต.ค. 19, 2015 9:06:18am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://plus.google.com/+ปุ้มแสงแก้ว/posts/2HsTp9gkQ9R ต.ค. 19, 2015 9:08:49am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://www.google.co.th/ https://www.google.co.th/ ต.ค. 19, 2015 9:12:44am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ต.ค. 22, 2015 7:53:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ต.ค. 22, 2015 7:53:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ร่างกายนี้... วัวหมดไปกี่คอก หมูเห็นเป็ดไก่หมดไปกี่รถ ก็เพราะตัวชิบหายตัวนี้แหละ เสื้อผ้าหมดไปกี่ชุด ก็เพราะตัวชิบหายตัวนี้แหละ ต้นไม้หมดป่าตัดเอามาสร้างบ้านเรือน ก็เพราะตัวชิบหายตัวนี้แหละอยู ่ #อย่าพากันมัวหลง กายนี้เลย เราไปตกนรก ไปเป็นเปตร ไปเป็นเดรัจฉาน มันก็ไม่ไปด้วย..! นะ อีกไม่นานกายนี้ ก็เป็นก้อนดินสลายหายไปกับดิน ต.ค. 22, 2015 7:53:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ต.ค. 22, 2015 7:53:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ถ้ามีความสุขเมื่อไร่ ให้รู้เลยว่า "จิตเรากำลัง รู้ธาตุความสุขอยู่" ซึ่งธาตุความสุขนี่มันไม่เที่ยง.. และธาตุความสุขก็ไม่ใช่ของใคร มันเป็นธาตุตามธรรมชาติที่มีอยู่เต็มโลกธาตุแห่งความปรวนแปร ลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆแรงๆ จิตจะเปลี่ยนการรับรู้ธาตุสุข มารู้ที่วาโยธาตุลม"แทน ถ้ามีความทุกข์เมื่อไร่ ให้รู้เลยว่า "จิตเรากำลัง รู้ธาตุความทุกข์อยู่" ซึ่งธาตุความทุกข์นี่..มันไม่เที่ยง และธาตุความทุกข์ก็ไม่ใช่ของใคร มันเป็นธาตุตามธรรมชาติมีอยู่เต็มโลกธาตุแห่งความปรวนแปร ลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆแรงๆ จิตจะเปลี่ยนการรับรู้ธาตุทุกข์ มารู้ที่วาโยธาตุลม"แทน ตอนนี้จิตเรากำลังรู้ธาตุอะไรอยู่ครับ ย่อๆมี ๓ ธาตุ ๑. ธาตุสุข ๒. ธาตุทุกข์ ๓. ธาตุอุเบกขา คือเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ #ถ้าจิตกำลังอยู่กับธาตุ"สุข"อยู่ ให้เปลี่ยนมาอยู่กับ "อุเบกขาธาตุ" "มันจะหายสุขก็ช่าง หรือไม่หายสุขก็ช่าง" คือวางเฉยอุเบกขาต่อความสุข #ถ้าจิตกำลังอยู่กับธาตุ"ทุกข์"อยู่ ให้เปลี่ยนมาอยู่กับ"อุเบกขาธาตุ" "มันจะหายทุกข์ก็ช่าง หรือมันไม่หายทุกข์ก็ช่าง" คือวางเฉยอุเบกขาต่อความทุกข์ ต.ค. 25, 2015 8:35:58pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama https://plus.google.com/109438879745240862142/posts/Vsbkz45cSBe ต.ค. 27, 2015 10:21:45am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ร่างกายนี้ประกอบไปด้วยธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สวย หล่อ แค่ไหนก็มีพื้นฐานมาจากธาตุดินน้ำคืออาหาร ขาดแค่ธาตุลม ก็กลายเป็นผี ไม่มีใครเอา เหลือแต่บุญกับบาปจะตามเราไป ท่านทั้งหลาย สะสมสะเบียงบุญกัน ตั้งแต่วันนี้เถิด..ให้ทาน รักษาศีล ทำวัตร สวดมนต์ ปฏิบัติเดินจงกรม สมาธิภาวนา พุทโธๆ อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงผู้ชาย ร่างกายผู้หญิงผู้ชาย ถ้าลอกเนื้อหนัง กระดูก เอาตับไตไส้พุง ปอด พังผืด อวัยวะทุกอย่างออกหมด..!! มันก็ไม่ต่างอะไรกับเราหรอก ก็จะไม่เหลืออะไรที่ว่าเป็นหญิงเป็นชาย เหลือแต่ดวงจิต ไอ้ดวงจิตนี้ มันไม่ใช่ผู้หญิงมันไม่ใช่ผู้ชาย คือมันไม่มีเพศเลย มันเป็นแต่เพียงดวงจิตเฉยๆ เป็นจิตเฉยๆเป็นธาตุรู้เฉยๆ รู้สุขรู้ทุกข์ ไม่ใช่ชายไม่ใช่หญิง ถ้าเรารักร่างกายผู้หญิง แต่รู้ว่า ดวงจิตที่ครองร่างนั้นไม่ใช่ผู้หญิงละ เพราะดวงจิตนี้ไม่ใช่เพศหญิงไม่ใช่เพศชาย เราจะรักแค่ก้อนดินที่ปั่นมาเป็นร่างกาย หลอกๆแค่นั้นหรือ #หมั่นพิจารณา ร่างกาย อยู่เนืองๆ ถอดหนังไปกองไว้อีกที่หนึ่ง ถอดอวัยวะไปกองไว้อีกกองหนึ่ง ถอดกระดูกไปกองไว้อีกกองหนึ่ง ถอดสมองไปกองไว้อีกกองหนึ่ง เหมือนถอดชิ้นส่วนรถออก ถอดกาบ ถอดล้อ ถอดท่อ ถอดเครื่องในทุกอย่างออกมา กระจัดกระจาย แล้วพิจารณาส่วนต่างๆว่า มันยังไงเป็นยังไง เอาให้ชัดว่า ไอ้ที่อวัยวะกองอยู่นั้นทั้งหมด มันใช่เราไหม เราผู้ที่กำลังรู้อยู่นี่ กับกองกระดูกกองเนื้อ มันใช่เราผู้ที่กำลังรู้ไหม? #ธรรมะครูบาอาจารย์ พ.ย. 10, 2015 7:36:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ.ย. 11, 2015 9:00:13pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama .😭 พ.ย. 22, 2015 2:05:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก ขวัญชัย รอดภัย ในหลวงจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล" มีพระนามว่า พระสุมงคลอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน" "ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ..!!!!" พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือน ญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า "การ ที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!" และความเป็น"พระโพธิสัตว์"ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ"นิยตโพธิสัตว์"ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง หน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ." ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ ในลำดับ นั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทาน ฯ เพราะด้วยเหตุที่ท่าน เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร)ซึ่งเป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจเข้าไปชมได้ในหัวข้อ"จงรักภักดีด้วยชีวิต" "พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย.." หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ครั้ง หนึ่ง มีผู้พูดถึง"ผู้ยิ่งใหญ่"ระดับประเทศบางท่านให้หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี พระมหาโพธิสัตว์ใหญ่ที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมากล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองว่า"เป็นหนึ่งในสิบแห่งอนาคตพุทธวงศ์ เบื้องหน้า"ฟัง สังเกตว่า ดูหลวงพ่ออุตตมะท่าน"เฉย"มากๆ ก่อนที่จะปรารภออกมาอย่างราบเรียบที่สุด เหมือนมิได้ไยดีใดๆว่า "เขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากเหมือนกับในหลวงหรอก "วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก" หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า... "ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ" โดย...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านฯ เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า "มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย (ในหลวง) บ้าง???" เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วง เนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่ คุณ แม่บุญเรือน(พระอริยะเจ้ามหาอุบาสิกา-ฆราวาสนักปฏิบัติธรรมชั้นสูงผู้เมตตา ทรงอภิญญา และฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งในยุคนั้น) ก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า “ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ” (ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้) เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ทรงพระเจริญ และ แคล้วคลาดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จึงได้กำหนดที่จะไปเข้า "นิโรธสมาบัติ" คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา(เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย"สร่างซา"ลงไป) ของนางสาววาย(เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง"วาย"หายสูญ ไป) วิทยานุกรณ์(น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์) ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม โดยเวลานั้น คุณแม่บุญเรือน ได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่านในช่วงเวลานั้นเป็นอันเด็ด ขาด...!!! ที่มา...หนังสืออนุสรณ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. ๒๕๕๑ "มีแต่คนที่ไม่ฉลาดเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่า ในหลวงพระองค์นี้ดีอย่างไร" โดย...พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร “เรา อย่าเห็นสิ่งปลีกย่อยดีกว่าส่วนรวมส่วนใหญ่นะ ส่วนใหญ่นั่นล่ะเป็นของสำคัญ พ่อกับแม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นหลักของชาติ เป็นหัวใจของชาติให้พากันรักกันสงวน อย่าพากันทำลาย ลูกเต้าจะอวดดีกว่าพ่อกว่าแม่มันไม่ดีละ คิดดูในพุทธศาสนา พระเจ้าอชาตศัตรูทำลายพระราชบิดา ก็ไม่เห็นเจริญอะไร ท่านว่า เย เกจิ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺสนฺ อบายภูมิ พวกสัตว์ทั้งหลายถ้านึกลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความเทิดทูนในสิ่งที่ดีงามที่มีคุณมีประโยชน์ทั้งหลายแล้ว ผู้นั้นเจริญ ผู้ใดไปทำลายหลักใหญ่แล้วจะเอาให้ส่วนเล็กๆนี้ขึ้นครองบ้านครองเมืองมันก็ ไม่ดี ให้พากันรักษาหลักใหญ่เอาไว้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือหัวใจของชาติไทยเรา นี่ให้พากันจำเอาไว้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนี้คือหัวใจของ ชาติไทยเรา ให้พากันเทิดทูน อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี นี่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ของพวกเราคือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ให้พากันทะนุถนอมนะ อย่าพากันไปทำลาย จะมีแต่ลูกหยอมแหยมๆ พ่อแม่ผู้ให้ความร่มเย็นไม่มีมันไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ ในประเทศไทยเราก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติให้พากันเคารพเทิดทูน อะไรที่เป็นหลักใหญ่ของชาติของส่วนรวมให้พากันรักษา พากันเทิดทูน อย่าพากันทำลายโดยอวดดี ดังที่ท่านว่าอึ่งอ่างกับวัวนั่นละ เราก็เห็นในนิทานอีสปแต่ก่อนเรียนหนังสือ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้นนี่ วัวมันตัวขนาดไหน ลูกอยู่ในรู แม่ไปหากิน ลืมแล้วนิทานอีสป มันเป็นอย่างไรละทีนี้ (ลูกเห็นวัว พอแม่กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าเจอตัวอะไรไม่รู้ใหญ่มาก แม่ก็พองตัว ลูกว่าใหญ่กว่านี้อีก) ได้ไหมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือพุงแตก นี่ระวังนะ ตัวเล็กๆ อย่าไปพองตัว มันไม่สมควรจะพอง อึ่งอ่างกับวัว วัวมันตัวใหญ่ขนาดไหน อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น มาพอง มันตัวเท่านี้ไหมๆ เรื่อย สุดท้ายเลยตาย เข้าใจไหม นี่อึ่งอ่างกับวัวมันไม่ดีอย่างนั้นละ” โดย...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี #โครงการพระราชดำริอะไรก็ตามที่ในหลวงทรงประกาศ เช่นโครงการเศษฐกิจพอเพียง และโครงการอื่นๆ มากมาย ให้เราทำให้เราพากันรวมมือ และให้เป็นคนดี จะได้มีส่วนเกี่ยวโยงเกี่ยวพันธ์กับพระองค์ จะเป็นเหตุให้ได้เกิดในสมัยพระองค์ตรัสรู้ .😭 ธ.ค. 06, 2015 7:29:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://m.tarad.com/product/6398064 m.tarad.com/product/6398064 ธ.ค. 20, 2015 9:31:53am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: Reader All Dhama ม.ค. 01, 2016 1:07:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama เจตนารมณ์ของอาตมา อยากให้คนที่ได้ซีดีนี้แล้ว อยากจะขอรบกวนให้ช่วยส่งต่อให้คนอื่นต่อได้ไหม อาจจะวิธีบูทูล หรือไรท์แจก *********************& ในโฟเดอร์ที่5 การปฏิบัตจิตตะวิปัสนาญาณ ถ้าใครได้ภาวนาตามที่หลวงพ่อสอน ผู้นั้นอาจจะมีตาทิพย์ หูทิพย์ ในอภิญญาหกเกิดขึ้น สามารถรู้จิตคือรู้ความคิดผู้อื่นได้ มีตาทิพย์คือสามารถมองเห็นต่างภพภูมิได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ หรือภาวนาไปแล้ว จิตบรรลุโสดาบัน กลายเป็นบุคคลที่พ้นอบายภูมิ ๔ ๑.นรก ๒.เดรัจฉาน ๓.เปตร ๔.อสูรกาย อย่างถาวรไม่ต้องไปเกิดเป็นจำพวกเหล่านี้ และกลายเป็นบุคคลที่อุบัติจุติมั่นคง คือ สวรรค์กับมนุษย์ ไม่พลาดลงต่ำไปอบายแน่นอน ถ้าพ้นนรกถาวรมันดีอย่างนี้ ในเรื่องภพชาติก็ปลอดภัย ไม่ต้องกังวน ######## ส่วนประโยชน์ที่เด็กจะได้รับคือ เขาจะเข้าใจเรื่องของความรักแบบฉลาดในปัญหาที่เกิดจากรัก และเรื่องวุ่นๆของวัยรุ่น และเมื่อรักมันไม่สมหวังก็จะไม่ทุกข์มาก จะเข้าใจพื้นฐานของเรื่องกฏแห่งกรรม ซึ่งเมื่อเขาได้รับฟังแล้ว จิตใจเขาก็จะดี ความประพฤทางกายก็จะดีขึ้น ม.ค. 20, 2016 12:26:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ######## ส่วนประโยชน์ที่เด็กจะได้รับคือ ๑.เขาจะเข้าใจเรื่องของความรักแบบใจดวงใหม่ที่มีความเฉลี่ยวฉลาดเพิ่มขึ้นมา ในการแก้อุปสรรค์ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในระว่างมีรัก เขาจะแก้ได้ ๒.เขาจะมีความคิดด้านบวกที่จะแก้ปัญหา ในชีวิตในเหตุการณ์ต่างๆที่จะต้องเจอ ในแต่ละวันของเขา เช่น อิจฉากัน ขัดคอกัน เหยียบตีนล้ำเส้นกันไม่พอใจ ทะเลาะกัน ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่มั่นใจ ท้อแท้ ไม่มีกำลังใจ ทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องแฟน เรื่องพ่อแม่ไม่เข้าใจ ครูไม่เข้าใจไม่ถูกใจครู เรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นในแต่ละวันนั้นมีมาก เขาจะแก้ได้ ๓.เรื่องของการทำงานเขาจะนิ่งขึ้น เดี๋ยวมีคนนั้นคนนี้รบกวน เดี๋ยวไม่พอใจ คนนู้นไม่พอใจคนนี้ คนโน้นอิฉา คนโน้นชอบหาเรื่อง ไม่มีสมาธิกระจิตกระใจที่จะเรียน เบื่อหน่ายไม่อยากพัฒนาตนเอง อุปสรรค์มากมายเหลือเกิน เขาจะแก้ได้ ๔.เขาจะเข้าใจพื้นฐานของเรื่องกฏแห่งกรรม ทำเหตุอย่างนี้จะได้ผลออกมาแบบนี้ *ชอบข่มเหงรังแกผู้น้อยจะได้ผลออกมา คือชาติใหม่เกิดมาเตี้ยขาสั้นเหมือนขาโต๊ะสนุ๊ก รูปร่างเล็กชวนให้น่ารังแก *ชอบช่วยเหลือคนด้วยกำลังกายของตน ผลจะออกมาคือชาติใหม่จะมีนิ้วมือใหญ่ ดูมีความเป็นผู้นำ สังเกตดูจะเห็นว่าคนที่เป็นผู้นำมักจะมีนิ้วมือใหญ่ *การงานที่ต้องใช้กำลังกาย ไม่ค่อยอยากทำ ไม่สู้งานนั่นเองผลจะออกมาคือ มีนิ้วมือที่เล็ก *ตาไม่สวย เพราะเหตุคือมองคนมองสัตว์ด้วยความประทุษร้าย คือมั่นไส้ มองคนอื่นด้วยความอาฆาตเป็นต้น *ตาสวย เพราะเหตุคือ มองคนด้วยความเมตตา มุทิตา โอบอ้อมอารี ไม่มองด้วยความประทุษร้าย บางคนจะว่าตาสวยก็ไม่ใช่ ตาไม่สวยก็ไม่ใช่ เพราะมองคนที่รักด้วยความเมตตา มองคนที่ไม่รักด้วยความเกลียดไม่ชอบใจ ขอยกมาเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเขาได้รับฟังแล้ว จิตใจเขาก็จะดี ก็จะหลีกเลี่ยงลดหย่อนการกระทำที่ไม่ดี เพราะกลัวต่อผลของกรรม ความประพฤทางกายก็จะดีขึ้น ทางคำพูดก็จะดีขึ้น ทางใจความคิดก็จะสร้างสรรค์ดีขึ้น ๕.เขาจะเข้าใจชีวิตจิตใจตนเองผู้อื่น ผู้ที่ทำให้ทุกข์ ผู้ที่ไปหลงทุกข์ ผ่านการภาวนาในชีวิตประจำวันของเขา เมื่อตามองสิ่งที่ไม่น่าพอใจไม่น่าชอบใจ มากระทบเขาจะไม่ทุกข์กับสิ่งที่เห็นมาก เมื่อหูได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจไม่น่าชอบใจ เขาจะไม่ทุกข์ไปกับเสียงนั้นมาก เมื่ออารมณ์ที่ไม่น่าปราถณาไม่น่าพอใจ มาปรากฏ มาโชว์เขาจะไม่ทุกข์ไปกับ มันมาก และทางด้านการเรียน เขาจะมีสมาธิมากขึ้น ความจำดีขึ้น จะคิดอะไรก็ทะลุปุโปร่งกว่าเดิม เพราะไม่มีอารมณ์ขยะมาถ้วงไว้ ในเมื่อธรรมะนำไป ใช้แก้ความทุกข์บาดแผลทางใจได้เหมือน ยาในโรงพยาบาลดีขนาดนี ้ เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ได้ออกบวชปฏิบัติภาวนาดูจิต ได้สร้างบารมีปูทางเตรียมรองรับไว้ภพหน้า ฆราวาสที่ไม่ได้ภาวนา ถอดออกไปก่อน ส่วนฆราวาสที่ภาวนาควบคู่ไปกับทางโลกด้วยชื่อว่าเกิดมาไม่โมฆะ ไม่เกิดมาเล่นๆเปล่าๆ ม.ค. 20, 2016 12:41:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama โยมทุกวันนี้ชอบกล่าววาจารุกรานพระ เห็นท่านทำอย่างนั้น ถ้าไม่เหมาะไม่สมควร ก็ให้เขาไปถามเข้าไปคุยตรงๆเลย บางที่พระท่านทำอย่างหนึ่ง แต่จิตใจท่านเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วที่นี้ไปว่าท่านแบบนั้น ศีลท่านรักษากี่ข้อ ยิ่งมากข้อ คุณธรรมภายในจิตใจท่านยิ่งมาก แล้วศีลตัวเองเป็นยังไง ครบไหมศีล๕ ม.ค. 20, 2016 2:34:45pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ม.ค. 22, 2016 8:59:23pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: Reader All Dhama ม.ค. 22, 2016 9:19:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama - Boris, ช่วยบอกเหตุผลที่ทำคนไม่สบาย? - การเจ็บป่วยเกิดมาจากการไม่ใช้ชีวิตของผู้คนให้ อยู่อย่างถูกต้องและมีความสุข คุณต้องได้รับครึ่งหนึ่งของพลังงานจักรวาล คุณไม่ควรไปก้าวก่ายและไปลบล้างความต้องการของคน อื่นๆ ผู้คนไม่ควรทุกข์เพราะความผิดพลาดที่ผ่านมาของพวก เขา แต่ควรพยายามทำสิ่งที่ถูกตั้งไว้สำหรับภารกิจของพวก เขา และพยายามที่จะเข้าถึงสิ่งสูงสุดเหล่านั้น และไปเพื่อพิชิตฝันของพวกเขา (คำเหล่านี้เป็นคำพูดที่เขาใช้ทั้งหมด) คุณต้องได้รับการเพิ่มเติมกำลังใจและความอบอุ่น ในกรณีที่มีคนต่อต้านคุณกอดศัตรูของคุณเสีย ขอโทษตัวคุณเองและเขา ในกรณีที่มีคนเกลียดคุณ รักเขาเสียด้วยความรัก ทั้งหมดที่คุณมี และความจงรักภักดีและขอขมาต่อเขา เหล่านี้เป็นกฎแห่งความรักและความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณรู้หรือไม่ว่าทำไม ชาวLemurians ตาย? นอกจากนี้ผมต้องติอยู่อย่าง พวกเขาไม่ ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณมากกว่านี้อีก พวกเขาหลงผิดไปจากเส้นทางที่ตั้งไว้จึงถูกทำลายโลก ส่วนรวมทั้งหมด เส้นทางของพลังวิเศษคือการนำไปสู่การหยุดตาย( หยุดเวียนว่ายตายเกิด) และ รักคือ พลังวิเศษที่แท้จริง! สิ่งที่ต้องทำทั้งหมดนี้เธอรู้ได้อย่างไร? - ผมรู้ ... Kailis ... - เธอพูดว่าอะไร? - ผม กล่าวว่า"สวัสดีครับ"นี่ เป็นภาษาของดาวเคราะห์ของผม ... (Kailis) ม.ค. 25, 2016 10:40:26am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ม.ค. 27, 2016 5:48:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ม.ค. 27, 2016 5:48:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น [ผู้ใดยังไม่เคยสร้างวัด เหมือนนางวิสาขา ] เหมือน อนาถบิณฑกะ, **ขอเชิญ ร่วมสร้างเสนาสนะภายในวัด ศาลาการเปรียญ สร้างห้องน้ำ และเสนาสนะอื่นฯลฯ ภายในวัด เนื่องจากวัดภูหินต่าง ยังขาดแคลนเสนาสนะอยู่มาก ยังไม่มีศาลาที่เป็นหลักจริงๆมีเพียงศาลาเก่าเล็กๆหลังเดียวซึ้งสร้างไว้นานแล้ว ก็เสื่อมไปตามกาลของมันเหมือนอายุของคนที่มีผลต่อร่างกาย ฉันใดก็ฉันนั้น) ตอนนี้ยังขาดปัจจัยในการสร้างกุฏิพระ วัดภูหินต่างนี้เป็นวัดป่า ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดได้ ลำบากมากกับเส้นทางเข้าวัดมาก เพราะตลอดสองข้างทางนั้นเป็นป่า ถนนหนทางก็ขุขระมีหลุ่มบอ (จึงไม่ค่อยมีคนเข้าไปทำบุญ) จึงอยากจะชวนเชิญ ผู้มีเจตนาอยากจะร่วมในกุศลครั้งนี้ด้วย เผื่อว่าชาติใหม่เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะได้กลับมาเกิดในเขตบวรพุทธศาสนา ... .... ... ... ... ... ... ... ... ... .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ถ้ามีความคิดอยากจะร่วมหรืออยากจะทำอะไรที่มันสว่าง ที่ดี ที่มันเป็นกุศล ไม่ว่าจะกาลไหนๆหรือที่ใดๆก็ตาม ในปัจจุบันก็ดี ในอนาคตก็ดี ให้รู้ว่า "จิตใจเป็นบุญขึ้นมาแล้ว" แต่ยังมิใช่ กุศล เพราะยังไม่ครบองค์ ("เพียงแค่คิดก็เป็นบุญแล้วน่ะ ,เรียกปุญญาภิสังขาร") "แต่เมื่อมีการกระทำจะเกิด"กุศล,บารมี) บุญ ส่งได้ถึง สวรรค์ในชั้นกามภพ ๖ ชั้น แต่กุศลนั้นส่งได้ถึงพรหมโลกเลย หรือส่งออกจากวัฏฏะสงสารได้ วัฏฏะคือวน วิวัฏฏะคือไม่วนมีแต่จะวิมุตหลุดพ้น เข้าถึงความไม่ตาย หรือธรรมธาตุ หรือนิพพานหรืออะมะตะธาตุ (ชื่อแทนนิพพานมีหลายชื่อ) และอานิสงค์ของการสร้างวัดไว้ในพุทธศาสนาเท่าที่เทียบเปรียบดูในพระสูตรเรื่องทาน การที่ให้ทานหรือสนับสนุนพระในแบบที่ จะให้ศาสนาดำรงตั้งอยู่ได้นานๆ และให้มีเด็กรุ่นหลังที่บวชเป็นพระ พระรุ่นหลังๆนั้นที่บวชเข้ามา ได้มาสืบต่ออายุพระศาสนาอีก ได้เจริญภาวนาสร้างบารมีในการหลุดพ้น ซึ่งมีสถานที่หรือวัดเป็นสนามฝึกจิต หรือเพื่อให้ภิกษุหรือชีหรืออุบาสก อุบาสิกาหรือชาวบ้านได้มาประพฤปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบารมี ุ อานิสงค์ เมื่อตายอาจจะเข้าถึงสวรรค์ชั้นที่๔ ดุสิต เพราะว่าให้ทานแบบที่๔ เจตนาแบบที่ ๔ สมณะ(พระ) ท่านไม่หุงหากิน แต่เราหุงหากิน ไม่ให้ไม่ควร จึงให้ทาน เมื่อตายเข้าถึงสวรรค์ชั่นดุสิต ชั้นเดียวกับพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลายเลย คนที่เค้าเคียอยู่กับธรรมะอยู่กับศาสนา พระไม่มีจะกินก็หาเอาอาหารไปถวาย พระไม่มีที่อยู่ก็หาที่อยู่อำนวยให้มี เพื่อให้ท่านมีที่พักที่อยู่ให้ท่านมีกำลังกาย ในการปฏิบัติสมณะธรรม พวกนี้น่าจะเข้าถึงชั้น๔ ชั้นดุสิตหมด อาจได้ฟังเทศพระโพธิ์สัตว์ที่มีบารมีแก่กล้า แสดงธรรมแล้วอาจ)ได้บรรลุ ธรรมขั้นต่างๆก็เป็นได้ โสดา สกิทา ฯลฯ เพราะพวกนี้เกี่ยวข้องกับพระในแบบเกื้อกูล ไม่ใช่เกี่ยวแบบ มีไว้เอาไว้เพิ่มคะแนนอย่างเดียว เหมือนการให้ทานของคนในลักษณะแบบที่๑ ให้ทานวางจิตลักษณะที่๑ ให้ทานโดยการหวังผล มีจิตผูกพันในผล มุ่งการสั่งสมบุญ คิดว่าเราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้ จึงให้ทาน พวกนี้หวังเอาประโยชน์คะแนนอย่างเดียวเลย แต่ก็ดีไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ ดีกว่าคนไม่ทำทานเลย ครั้น ตายแล้วก็จะเข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นที่๑ จาตุมหาราชิกา เจตนาแบบที่๒ ให้ทานโดยการไท่หวังผล ไม่มีจิตผูกพันธในผล ไม่มุ่งการสั่งสมบุญ สรุปคือ แค่คิดว่า"ดี" ทำเพื่อส่วนรวมแล้วดี ก็เข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นดาวดึง เหมือนพระอินทร์ตอนเป็นมนุษย์ สร้างสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะทำสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะชน ไม่เจาะจงทำกับผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ทำกับมหาชนเลย ทีนี้กรรมดีที่ทำกับคนหมู่มาก ผลมันก็มากตาม แล้วหลังจากนั้น ในสมัยนั้นท่านตายลง แล้วไปเกิดเป็นท้าวสักกะจอมเทวดา ชั้นดาวดึง หรือพระอินทร์ เจตนาแบบที่๓ ให้ทานโดยทำตามประเพณี ปู่ย่าตายายเคยพาทำ จึงทำตามประเพณีนั้น เมื่อตายแล้วเข้าถึงสวรรค์ชั้นยามา ชั้น๓ เจตนาแบบที่ ๕ คือให้ทานทำตามคำบอกสอนของฤษีในสมัยครั้งเก่าก่อน ตายแล้วเขาถึงชั้นนิมมานรดี ชั้น๕ เจตนาแบบที่ ๖ ให้ทานโดยคิดว่าจิตจะเกิดความเลื่อมใส่ ปลื้มปิติใจปราโมทย์ จึงให้ทาน เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้น๖ เจตนาแบบที่๗ ให้ทานโดยคิดว่า จะละความตระหนี่ เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุธาตุในโลก ที่มนุษย์พากันหวงแหนยึดติดตระนี่ และเป็นเหยื่อที่ดึงจิตไว้ไม่ให้พ้นโลกได้ จึงให้ทานเพื่อละ... เมื่อตายจะไปเกิดเป็น "พรหมมกายิกา" เมื่อหมดอายุไขทิพย์ จะไปเกิดในชั้นสุทธาวาส (เป็นอนาคามี อริยะบุคคลขั้นที๓) หลังจากนั้นรอเวลาพ้นสุทธาวาส ก็บรรลุอรหันต์นิพพานเข้าถึงความไม่ตายเป็นอะมะตะ อันเป็นบรมสุขที่แท้จริง สุขเหนือสุขเรียกว่าบรมสุข #คำสอนหลวงปู่หนู๑ "ถ้าเรามองลงไปพื้นดินใกล้ๆเท้าเรา เราก็จะเห็นดินแค่นี้ สายตาสุดพื้นแค่นี้ สิ่งต่างๆที่เห็นก็จะมีแค่นี้ ความโลภ ความทะยานอยาก ในกิเลสก็จะมีเท่านี้ แต่เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งต่างๆ ก็เห็นนั้นเห็นนี้ เยอะแยะ....ไปหมด ความโลภความทะยานอยาก ในกิเลส ก็จะมีเยอะแยะไปหมด" #คำสอนหลวงปู่หนู๒ ความเก่าความหลังที่ไม่ดี ให้ทิ้งให้เหยียบใส่ตม อย่าไปขุดค้นมาดองจิตให้เศร้าหมอง" ปู่หนู ใจดีมีเมตตาสูง คนเดือดร้อนไปหาท่าน ท่านก็มักจะช่วยเหลือเสมอ สำหรับผู้จะโอนปัจจัย สร้างเสนาสนะวัด (ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 205-054-7484 ) พระเดือนชัย สร้างสุระ {พระอาจารย์หนูเดือนชัย ธมฺมวิจโย เจ้าอาวาส วัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่าง บ้านโคกหินกอง ต.หนองสูงใต้ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร.} # ถ้าแชร์ก็จะดีครับ ม.ค. 27, 2016 5:48:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แยกอุรุพงษ์ [ผู้ใดยังไม่เคยสร้างวัด เหมือนนางวิสาขา ] เหมือน อนาถบิณฑกะ, **ขอเชิญ ร่วมสร้างเสนาสนะภายในวัด ศาลาการเปรียญ สร้างห้องน้ำ และเสนาสนะอื่นฯลฯ ภายในวัด เนื่องจากวัดภูหินต่าง ยังขาดแคลนเสนาสนะอยู่มาก ยังไม่มีศาลาที่เป็นหลักจริงๆมีเพียงศาลาเก่าเล็กๆหลังเดียวซึ้งสร้างไว้นานแล้ว ก็เสื่อมไปตามกาลของมันเหมือนอายุของคนที่มีผลต่อร่างกาย ฉันใดก็ฉันนั้น) ตอนนี้ยังขาดปัจจัยในการสร้างกุฏิพระ วัดภูหินต่างนี้เป็นวัดป่า ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดได้ ลำบากมากกับเส้นทางเข้าวัดมาก เพราะตลอดสองข้างทางนั้นเป็นป่า ถนนหนทางก็ขุขระมีหลุ่มบอ (จึงไม่ค่อยมีคนเข้าไปทำบุญ) จึงอยากจะชวนเชิญ ผู้มีเจตนาอยากจะร่วมในกุศลครั้งนี้ด้วย เผื่อว่าชาติใหม่เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะได้กลับมาเกิดในเขตบวรพุทธศาสนา ... .... ... ... ... ... ... ... ... ... .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ถ้ามีความคิดอยากจะร่วมหรืออยากจะทำอะไรที่มันสว่าง ที่ดี ที่มันเป็นกุศล ไม่ว่าจะกาลไหนๆหรือที่ใดๆก็ตาม ในปัจจุบันก็ดี ในอนาคตก็ดี ให้รู้ว่า "จิตใจเป็นบุญขึ้นมาแล้ว" แต่ยังมิใช่ กุศล เพราะยังไม่ครบองค์ ("เพียงแค่คิดก็เป็นบุญแล้วน่ะ ,เรียกปุญญาภิสังขาร") "แต่เมื่อมีการกระทำจะเกิด"กุศล,บารมี) บุญ ส่งได้ถึง สวรรค์ในชั้นกามภพ ๖ ชั้น แต่กุศลนั้นส่งได้ถึงพรหมโลกเลย หรือส่งออกจากวัฏฏะสงสารได้ วัฏฏะคือวน วิวัฏฏะคือไม่วนมีแต่จะวิมุตหลุดพ้น เข้าถึงความไม่ตาย หรือธรรมธาตุ หรือนิพพานหรืออะมะตะธาตุ (ชื่อแทนนิพพานมีหลายชื่อ) และอานิสงค์ของการสร้างวัดไว้ในพุทธศาสนาเท่าที่เทียบเปรียบดูในพระสูตรเรื่องทาน การที่ให้ทานหรือสนับสนุนพระในแบบที่ จะให้ศาสนาดำรงตั้งอยู่ได้นานๆ และให้มีเด็กรุ่นหลังที่บวชเป็นพระ พระรุ่นหลังๆนั้นที่บวชเข้ามา ได้มาสืบต่ออายุพระศาสนาอีก ได้เจริญภาวนาสร้างบารมีในการหลุดพ้น ซึ่งมีสถานที่หรือวัดเป็นสนามฝึกจิต หรือเพื่อให้ภิกษุหรือชีหรืออุบาสก อุบาสิกาหรือชาวบ้านได้มาประพฤปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบารมี ุ อานิสงค์ เมื่อตายอาจจะเข้าถึงสวรรค์ชั้นที่๔ ดุสิต เพราะว่าให้ทานแบบที่๔ เจตนาแบบที่ ๔ สมณะ(พระ) ท่านไม่หุงหากิน แต่เราหุงหากิน ไม่ให้ไม่ควร จึงให้ทาน เมื่อตายเข้าถึงสวรรค์ชั่นดุสิต ชั้นเดียวกับพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลายเลย คนที่เค้าเคียอยู่กับธรรมะอยู่กับศาสนา พระไม่มีจะกินก็หาเอาอาหารไปถวาย พระไม่มีที่อยู่ก็หาที่อยู่อำนวยให้มี เพื่อให้ท่านมีที่พักที่อยู่ให้ท่านมีกำลังกาย ในการปฏิบัติสมณะธรรม พวกนี้น่าจะเข้าถึงชั้น๔ ชั้นดุสิตหมด อาจได้ฟังเทศพระโพธิ์สัตว์ที่มีบารมีแก่กล้า แสดงธรรมแล้วอาจ)ได้บรรลุ ธรรมขั้นต่างๆก็เป็นได้ โสดา สกิทา ฯลฯ เพราะพวกนี้เกี่ยวข้องกับพระในแบบเกื้อกูล ไม่ใช่เกี่ยวแบบ มีไว้เอาไว้เพิ่มคะแนนอย่างเดียว เหมือนการให้ทานของคนในลักษณะแบบที่๑ ให้ทานวางจิตลักษณะที่๑ ให้ทานโดยการหวังผล มีจิตผูกพันในผล มุ่งการสั่งสมบุญ คิดว่าเราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้ จึงให้ทาน พวกนี้หวังเอาประโยชน์คะแนนอย่างเดียวเลย แต่ก็ดีไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ ดีกว่าคนไม่ทำทานเลย ครั้น ตายแล้วก็จะเข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นที่๑ จาตุมหาราชิกา เจตนาแบบที่๒ ให้ทานโดยการไท่หวังผล ไม่มีจิตผูกพันธในผล ไม่มุ่งการสั่งสมบุญ สรุปคือ แค่คิดว่า"ดี" ทำเพื่อส่วนรวมแล้วดี ก็เข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นดาวดึง เหมือนพระอินทร์ตอนเป็นมนุษย์ สร้างสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะทำสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะชน ไม่เจาะจงทำกับผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ทำกับมหาชนเลย ทีนี้กรรมดีที่ทำกับคนหมู่มาก ผลมันก็มากตาม แล้วหลังจากนั้น ในสมัยนั้นท่านตายลง แล้วไปเกิดเป็นท้าวสักกะจอมเทวดา ชั้นดาวดึง หรือพระอินทร์ เจตนาแบบที่๓ ให้ทานโดยทำตามประเพณี ปู่ย่าตายายเคยพาทำ จึงทำตามประเพณีนั้น เมื่อตายแล้วเข้าถึงสวรรค์ชั้นยามา ชั้น๓ เจตนาแบบที่ ๕ คือให้ทานทำตามคำบอกสอนของฤษีในสมัยครั้งเก่าก่อน ตายแล้วเขาถึงชั้นนิมมานรดี ชั้น๕ เจตนาแบบที่ ๖ ให้ทานโดยคิดว่าจิตจะเกิดความเลื่อมใส่ ปลื้มปิติใจปราโมทย์ จึงให้ทาน เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้น๖ เจตนาแบบที่๗ ให้ทานโดยคิดว่า จะละความตระหนี่ เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุธาตุในโลก ที่มนุษย์พากันหวงแหนยึดติดตระนี่ และเป็นเหยื่อที่ดึงจิตไว้ไม่ให้พ้นโลกได้ จึงให้ทานเพื่อละ... เมื่อตายจะไปเกิดเป็น "พรหมมกายิกา" เมื่อหมดอายุไขทิพย์ จะไปเกิดในชั้นสุทธาวาส (เป็นอนาคามี อริยะบุคคลขั้นที๓) หลังจากนั้นรอเวลาพ้นสุทธาวาส ก็บรรลุอรหันต์นิพพานเข้าถึงความไม่ตายเป็นอะมะตะ อันเป็นบรมสุขที่แท้จริง สุขเหนือสุขเรียกว่าบรมสุข #คำสอนหลวงปู่หนู๑ "ถ้าเรามองลงไปพื้นดินใกล้ๆเท้าเรา เราก็จะเห็นดินแค่นี้ สายตาสุดพื้นแค่นี้ สิ่งต่างๆที่เห็นก็จะมีแค่นี้ ความโลภ ความทะยานอยาก ในกิเลสก็จะมีเท่านี้ แต่เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งต่างๆ ก็เห็นนั้นเห็นนี้ เยอะแยะ....ไปหมด ความโลภความทะยานอยาก ในกิเลส ก็จะมีเยอะแยะไปหมด" #คำสอนหลวงปู่หนู๒ ความเก่าความหลังที่ไม่ดี ให้ทิ้งให้เหยียบใส่ตม อย่าไปขุดค้นมาดองจิตให้เศร้าหมอง" ปู่หนู ใจดีมีเมตตาสูง คนเดือดร้อนไปหาท่าน ท่านก็มักจะช่วยเหลือเสมอ สำหรับผู้จะโอนปัจจัย สร้างเสนาสนะวัด (ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 205-054-7484 ) พระเดือนชัย สร้างสุระ {พระอาจารย์หนูเดือนชัย ธมฺมวิจโย เจ้าอาวาส วัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่าง บ้านโคกหินกอง ต.หนองสูงใต้ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร.} ม.ค. 27, 2016 6:40:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม [ผู้ใดยังไม่เคยสร้างวัด เหมือนนางวิสาขา ] เหมือน อนาถบิณฑกะ, **ขอเชิญ ร่วมสร้างเสนาสนะภายในวัด ศาลาการเปรียญ สร้างห้องน้ำ และเสนาสนะอื่นฯลฯ ภายในวัด เนื่องจากวัดภูหินต่าง ยังขาดแคลนเสนาสนะอยู่มาก ยังไม่มีศาลาที่เป็นหลักจริงๆมีเพียงศาลาเก่าเล็กๆหลังเดียวซึ้งสร้างไว้นานแล้ว ก็เสื่อมไปตามกาลของมันเหมือนอายุของคนที่มีผลต่อร่างกาย ฉันใดก็ฉันนั้น) ตอนนี้ยังขาดปัจจัยในการสร้างกุฏิพระ วัดภูหินต่างนี้เป็นวัดป่า ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดได้ ลำบากมากกับเส้นทางเข้าวัดมาก เพราะตลอดสองข้างทางนั้นเป็นป่า ถนนหนทางก็ขุขระมีหลุ่มบอ (จึงไม่ค่อยมีคนเข้าไปทำบุญ) จึงอยากจะชวนเชิญ ผู้มีเจตนาอยากจะร่วมในกุศลครั้งนี้ด้วย เผื่อว่าชาติใหม่เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะได้กลับมาเกิดในเขตบวรพุทธศาสนา ... .... ... ... ... ... ... ... ... ... .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ถ้ามีความคิดอยากจะร่วมหรืออยากจะทำอะไรที่มันสว่าง ที่ดี ที่มันเป็นกุศล ไม่ว่าจะกาลไหนๆหรือที่ใดๆก็ตาม ในปัจจุบันก็ดี ในอนาคตก็ดี ให้รู้ว่า "จิตใจเป็นบุญขึ้นมาแล้ว" แต่ยังมิใช่ กุศล เพราะยังไม่ครบองค์ ("เพียงแค่คิดก็เป็นบุญแล้วน่ะ ,เรียกปุญญาภิสังขาร") "แต่เมื่อมีการกระทำจะเกิด"กุศล,บารมี) บุญ ส่งได้ถึง สวรรค์ในชั้นกามภพ ๖ ชั้น แต่กุศลนั้นส่งได้ถึงพรหมโลกเลย หรือส่งออกจากวัฏฏะสงสารได้ วัฏฏะคือวน วิวัฏฏะคือไม่วนมีแต่จะวิมุตหลุดพ้น เข้าถึงความไม่ตาย หรือธรรมธาตุ หรือนิพพานหรืออะมะตะธาตุ (ชื่อแทนนิพพานมีหลายชื่อ) และอานิสงค์ของการสร้างวัดไว้ในพุทธศาสนาเท่าที่เทียบเปรียบดูในพระสูตรเรื่องทาน การที่ให้ทานหรือสนับสนุนพระในแบบที่ จะให้ศาสนาดำรงตั้งอยู่ได้นานๆ และให้มีเด็กรุ่นหลังที่บวชเป็นพระ พระรุ่นหลังๆนั้นที่บวชเข้ามา ได้มาสืบต่ออายุพระศาสนาอีก ได้เจริญภาวนาสร้างบารมีในการหลุดพ้น ซึ่งมีสถานที่หรือวัดเป็นสนามฝึกจิต หรือเพื่อให้ภิกษุหรือชีหรืออุบาสก อุบาสิกาหรือชาวบ้านได้มาประพฤปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบารมี ุ อานิสงค์ เมื่อตายอาจจะเข้าถึงสวรรค์ชั้นที่๔ ดุสิต เพราะว่าให้ทานแบบที่๔ เจตนาแบบที่ ๔ สมณะ(พระ) ท่านไม่หุงหากิน แต่เราหุงหากิน ไม่ให้ไม่ควร จึงให้ทาน เมื่อตายเข้าถึงสวรรค์ชั่นดุสิต ชั้นเดียวกับพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลายเลย คนที่เค้าเคียอยู่กับธรรมะอยู่กับศาสนา พระไม่มีจะกินก็หาเอาอาหารไปถวาย พระไม่มีที่อยู่ก็หาที่อยู่อำนวยให้มี เพื่อให้ท่านมีที่พักที่อยู่ให้ท่านมีกำลังกาย ในการปฏิบัติสมณะธรรม พวกนี้น่าจะเข้าถึงชั้น๔ ชั้นดุสิตหมด อาจได้ฟังเทศพระโพธิ์สัตว์ที่มีบารมีแก่กล้า แสดงธรรมแล้วอาจ)ได้บรรลุ ธรรมขั้นต่างๆก็เป็นได้ โสดา สกิทา ฯลฯ เพราะพวกนี้เกี่ยวข้องกับพระในแบบเกื้อกูล ไม่ใช่เกี่ยวแบบ มีไว้เอาไว้เพิ่มคะแนนอย่างเดียว เหมือนการให้ทานของคนในลักษณะแบบที่๑ ให้ทานวางจิตลักษณะที่๑ ให้ทานโดยการหวังผล มีจิตผูกพันในผล มุ่งการสั่งสมบุญ คิดว่าเราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้ จึงให้ทาน พวกนี้หวังเอาประโยชน์คะแนนอย่างเดียวเลย แต่ก็ดีไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ ดีกว่าคนไม่ทำทานเลย ครั้น ตายแล้วก็จะเข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นที่๑ จาตุมหาราชิกา เจตนาแบบที่๒ ให้ทานโดยการไท่หวังผล ไม่มีจิตผูกพันธในผล ไม่มุ่งการสั่งสมบุญ สรุปคือ แค่คิดว่า"ดี" ทำเพื่อส่วนรวมแล้วดี ก็เข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นดาวดึง เหมือนพระอินทร์ตอนเป็นมนุษย์ สร้างสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะทำสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะชน ไม่เจาะจงทำกับผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ทำกับมหาชนเลย ทีนี้กรรมดีที่ทำกับคนหมู่มาก ผลมันก็มากตาม แล้วหลังจากนั้น ในสมัยนั้นท่านตายลง แล้วไปเกิดเป็นท้าวสักกะจอมเทวดา ชั้นดาวดึง หรือพระอินทร์ เจตนาแบบที่๓ ให้ทานโดยทำตามประเพณี ปู่ย่าตายายเคยพาทำ จึงทำตามประเพณีนั้น เมื่อตายแล้วเข้าถึงสวรรค์ชั้นยามา ชั้น๓ เจตนาแบบที่ ๕ คือให้ทานทำตามคำบอกสอนของฤษีในสมัยครั้งเก่าก่อน ตายแล้วเขาถึงชั้นนิมมานรดี ชั้น๕ เจตนาแบบที่ ๖ ให้ทานโดยคิดว่าจิตจะเกิดความเลื่อมใส่ ปลื้มปิติใจปราโมทย์ จึงให้ทาน เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้น๖ เจตนาแบบที่๗ ให้ทานโดยคิดว่า จะละความตระหนี่ เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุธาตุในโลก ที่มนุษย์พากันหวงแหนยึดติดตระนี่ และเป็นเหยื่อที่ดึงจิตไว้ไม่ให้พ้นโลกได้ จึงให้ทานเพื่อละ... เมื่อตายจะไปเกิดเป็น "พรหมมกายิกา" เมื่อหมดอายุไขทิพย์ จะไปเกิดในชั้นสุทธาวาส (เป็นอนาคามี อริยะบุคคลขั้นที๓) หลังจากนั้นรอเวลาพ้นสุทธาวาส ก็บรรลุอรหันต์นิพพานเข้าถึงความไม่ตายเป็นอะมะตะ อันเป็นบรมสุขที่แท้จริง สุขเหนือสุขเรียกว่าบรมสุข #คำสอนหลวงปู่หนู๑ "ถ้าเรามองลงไปพื้นดินใกล้ๆเท้าเรา เราก็จะเห็นดินแค่นี้ สายตาสุดพื้นแค่นี้ สิ่งต่างๆที่เห็นก็จะมีแค่นี้ ความโลภ ความทะยานอยาก ในกิเลสก็จะมีเท่านี้ แต่เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งต่างๆ ก็เห็นนั้นเห็นนี้ เยอะแยะ....ไปหมด ความโลภความทะยานอยาก ในกิเลส ก็จะมีเยอะแยะไปหมด" #คำสอนหลวงปู่หนู๒ ความเก่าความหลังที่ไม่ดี ให้ทิ้งให้เหยียบใส่ตม อย่าไปขุดค้นมาดองจิตให้เศร้าหมอง" ปู่หนู ใจดีมีเมตตาสูง คนเดือดร้อนไปหาท่าน ท่านก็มักจะช่วยเหลือเสมอ สำหรับผู้จะโอนปัจจัย สร้างเสนาสนะวัด (ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 205-054-7484 ) พระเดือนชัย สร้างสุระ {พระอาจารย์หนูเดือนชัย ธมฺมวิจโย เจ้าอาวาส วัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่าง บ้านโคกหินกอง ต.หนองสูงใต้ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร.} # ถ้าแชร์ต่อก็เหมือนบอกบุญ ม.ค. 27, 2016 6:51:42pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama ก.พ. 03, 2016 8:03:44pm วัน สุข ได้รับการเพิ่มลงใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ก.พ. 03, 2016 8:18:23pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ปริศนาธรรม พระอริยะเจ้า" "เรือรั่วให้รีบ ขนของใส่" .. .. .. .. .. .. .. .. ตัวเรือที่รั่ว นั้นหมายถึงร่างกายนี้ ที่กำลังมีความเสื่อมทีละหน่อยๆ อยู่ตลอดเวลา" ไม่เคยมีการหยุด ขนของใส่ นั้นหมายถึง พยายามสร้างบารมีทั้ง10 ข้อ ตามเหตุตามโอกาสที่ควร 1.ทาน การให้ เราให้แล้วเราต้องสอนให้คนอื่นทานด้วย ้ 2.ศีล การรักษาศีลให้เป็นปกติ เรารักษาแล้ว เราต้องชักชวนให้คนอื่นให้มีศีลด้วย ิ 3.เนกขัมมะ การออกจากกามคุณ5 เราออกแล้ว เราชวนคนอื่นออกจากกามคุณด้วย 4.ปัญญา เรามีความรู้หรือปัญญาแล้ว เราต้องช่วนคนอื่นให้มีปัญญาด้วย 5.วิริยะ ความเพียร เรามีความเพียรแล้ว เราต้องชวนคนให้มีความเพียรด้วย 6.ขันติ ความอดทนอดกลั้น เราตั้งอยู่ในขันติธรรมแล้ว ต้องแนะให้คนอื่นมีตั้งอยู่ในขันติด้วย 7.สัจจะ ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ เราตั้งอยู่ในสัจจะแล้ว ต้องแนะให้คนอื่นมีสัจจะด้วย 8.อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง เราตั้งอยู่ในสัจจะอธิฐานแล้ว ต้องแนะให้คนอื่นมีด้วย 9.เมตตา ความรักด้วยความปรานี เรามีเมตตาแล้ว ต้องชวนคนอื่นให้มีความเมตตาด้วย 10.อุเบกขา ความวางเฉย สิ่งใดที่ควรวางเฉย จะได้ไม่ทุกข์ไปกับมัน เราก็ควรมี อุเบกขาบารมี 11.รวมถึงการภาวนาด้วย ไม่ใช่แค่..ทำแค่ด้านให้ทาน แต่ยังอาฆาตพยาบาตไม่เลิก ก.พ. 04, 2016 8:12:01pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama http://www.kanlayanatam.com/tammabook.htm หนังสือ "ธรรมะ " หลากลาย ระดับ (เด็ก-วัยรุ่น-ผู้ใหญ่) ก.พ. 22, 2016 12:12:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama สมถะกรรมฐาน วิปสนา (สมาชิกเว็บพลังจิตรวมในแบของเขา) http://audio.palungjit.org/f65/ธรรมเทศนาการปฏิบัติกรรมฐาน-และเจริญสติ-2995.html ก.พ. 22, 2016 12:16:12pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๓ คลิกขวาเมนู เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ท่านทรงแสดงแก่ปริพาชกชื่อทีฆนขะ จึงมีชื่อว่าทีฆนขสูตร ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ และในขณะที่พระองค์ท่านทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระสารีบุตรผู้จะได้เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาของพระพุทธเจ้าและเป็นเอตทัคคะในทางมีปัญญามากในภายภาคหน้า ก็ได้เข้าเฝ้าถวายงานพัดอยู่ด้วยในขณะนั้น จึงได้ฟังธรรมแสดงมาถึง เวทนา ๓ ใน เวทนาปริคคหสูตร ด้วย จนเกิดสัมมาญาณ จิตหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน สำเร็จพระอรหันตผลในขณะฟังธรรมนั้นเอง เวทนาปริคคหสูตร แสดงการเกิดขึ้นของเวทนาอย่างปรมัตถ์ กล่าวแสดง ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และอทุกขมสุขเวทนาอันไม่สุขไม่ทุกข์ ว่าล้วนเกิดขึ้นแต่มีเหตุเป็นปัจจัยปรุงแต่งขึ้นทั้งสิ้น จึงย่อมล้วนเป็นสังขาร จึงย่อมมีความเสื่อมไป คลายไป สิ้นไป ดับไปเป็นธรรมดา ตามความในพระสูตรนี้ อันเป็นสภาวธรรมของสังขารทั้งปวง จึงย่อมเนื่องถึงเวทนาทั้ง ๓ จึงย่อมอยู่ภายใต้อำนาจพระไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามหรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์หรือสังสารวัฏเพราะการแสวงหาและยึดมั่นในสุขทุกข์(เวทนา)อย่างไม่รู้จักจบ อย่างไม่รู้จักสิ้น อันเป็นเหตุให้พระสารีบุตรผู้ถวายงานพัดโดยใกล้ชิดและดำริคิดพิจารณาไตร่ตรองตามไปด้วยนั้น เกิดสัมมาญาณขึ้นในขณะนั้น จากการได้ปฏิบัติสั่งสมมาก่อนแล้วด้วยนั้น จึงเป็นปัจจัยให้เกิดนิพพิทาญาณความหน่าย จึงเป็นปัจจัยให้คลายกำหนัด จิตจึงหลุดพ้น สำเร็จอรหัตตผลในบัดนั้น และในขณะแสดงธรรมเดียวกันนั้นเองท่านทีฆนขะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเนื่องจากปัญญาเห็นชอบในระดับโลกุตระ กล่าวคือ เกิดสัมมาญาณในระดับหนึ่งขึ้น คือมีความเห็นเข้าใจอย่างมั่นคงเกิดขึ้นแล้วว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม(สังขาร)มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว สิ่งนั้นๆทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" ทีฆนขสูตร [๒๖๙].......(ทรงแสดงธรรมเรื่องทิฏฐิ เรื่องความเชื่อ,ความเห็น เป็นเหตุให้เกิดการวิวาท ทุ่มเถียงกัน ก่อน)...... [๒๗๒] อัคคิเวสสนะ ก็กายนี้มีรูป เป็นที่ประชุมมหาภูตทั้งสี่ มีมารดาบิดาเป็น แดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุกและขนมสดต้องอบและขัดสีกันเป็นนิจ (กายจึง)มีความแตกกระจัดกระจาย เป็นธรรมดา ท่านควรพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ เป็นดังผู้อื่น(ทุกบุคคลเขาเรา ด้วยอาทีนวะ) เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า เป็นของมิใช่ตน เมื่อท่านพิจารณาเห็นกายนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ เป็นดังผู้อื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า เป็นของมิใช่ตนอยู่ ท่านย่อมละความพอใจในกาย ความเยื่อใยในกาย ความอยู่ในอำนาจของกายในกายได้. เวทนาปริคคหสูตร (แสดงเวทนา ๓) [๒๗๓] อัคคิเวสสนะ เวทนาสามอย่างนี้ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑. อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น. ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น. ในสมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ได้เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น. อัคคิเวสสนะ สุขเวทนาไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัย(จึง)เกิดขึ้น(ได้) (จึงเป็นสังขาร จึง)มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. แม้ทุกขเวทนาก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. [กล่าวคือ เวทนาทั้งปวง ล้วนเป็นสังขาร ที่เกิดขึ้นมาแต่มีเหตุหรือสิ่งดังต่อไปนี้ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันจึงเกิดขึ้นได้ เป็นไปดังนี้ อายตนะภายนอก กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป อายตนะภายใน การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ จึงมี วิญญาณ๖ การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ เรียกว่า ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี สัญญา เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา กล่าวคือ เกิดความรู้สึกเป็นสุข, ทุกข์, อทุกขมสุข อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น เป็นธรรมดา เมื่อเป็นสังขารแล้ว จึงย่อมดำเนินเป็นไปภายใต้ธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือแปรผันได้เลย] อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่าย ทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี(อีกแล้ว). อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฏฐิ. [๒๗๔] ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรนั่งถวายอยู่งานพัด ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ พระผู้มีพระภาค. ได้มีความดำริว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตรัส(ถึง)การละธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาอันยิ่ง แก่เราทั้งหลาย ได้ยินว่า พระสุคตตรัส(ถึง)การสละคืนธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาอันยิ่ง แก่เราทั้งหลาย เมื่อท่านพระสารีบุตรเห็นตระหนักดังนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน (และ)ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ทีฆนขปริพาชก ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา. (แสดงสภาวธรรมหรืออสังขตธรรมว่า สังขารไม่พ้นจากความเป็นอย่างนี้ไปได้ ซึ่งเที่ยงแท้ และอกาลิโกไม่ขึ้นกับกาล) ทีฆนขปริพาชกแสดงตนเป็นอุบาสก [๒๗๕] ลำดับนั้น ทีฆนขปริพาชกมีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันถึงแล้ว มีธรรมอันทราบแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อต่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล. จบ ทีฆนขสูตร ที่ ๔. ความจริงที่น่ารู้เกี่ยวกับเวทนา เพื่อนิพพิทาญาณในเวทนา สุขเวทนา แม้เป็นสุขหรือสุขยิ่งก็จริงอยู่ แต่ด้วยอนิจจังไม่เที่ยง จึงทุกขังต้องดับไปเป็นอาสวะกิเลส ที่รอวันกำเริบเสิบสานให้เป็นทุกข์อันเจ็บปวดดังต้องศรในภายหน้า กล่าวคือ สุขโดยความเป็นทุกข์ หรือความสุขจึงมีความทุกข์แฝงอยู่ดังนี้ ทุกขเวทนา เจ็บปวดดังต้องศร แต่ต้องมีปัญญาอันยิ่งว่า เป็นเพียงสภาวธรรมของชีวิต มันเป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา และล้วนอนิจจังไม่เที่ยง จึงต้องทุกขังดับไปเป็นอาสวะกิเลสก็ตามที แต่สามารถกำเริบเสิบสานให้เป็นทุกข์ดังต้องศรขึ้นอีกได้ อทุกขมสุขเวทนา อันละเอียดอ่อน ด้วยอนิจจังอันไม่เที่ยง จึงแปรปรวนปรุงแต่งจนเป็นสุขทุกขเวทนาในที่สุด แล้วจึงต้องเป็นทุกข์ดังต้องศรขึ้นได้เป็นที่สุดแก่ผู้ที่ประมาท เมื่อมีชีวิตอยู่ เวทนาทั้งปวงนั้น ไม่เที่ยง จึงไม่น่าเพลิดเพลิน ไม่น่าหมกมุ่น เมื่อตายไป เวทนาทั้งปวง อันไม่น่าเพลิดเพลิน ไม่น่าหมกมุ่นเหล่านี้ จักเป็นความเย็นในโลกนี้ทีเดียว (เคลัญญสูตร) ก.พ. 22, 2016 1:18:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama จากกระทู้ธรรมในเว็บ ควรพิจารณาก่อนเช่อ (อารมณ์เกิดดับ และสติเป็นเครื่องกั้นกระแส) เวลาที่เราฝึกหัดเจริญสติไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว บางท่านอาจจะรู้สึกหรือเกิดความเข้าใจว่า “อารมณ์ดับ เมื่อสติเกิด ถ้าสติเกิดเร็ว อารมณ์ก็ดับเร็ว อารมณ์ที่ดับเร็ว เป็นผลของสติที่เกิดเร็ว” ขอเรียนว่าความเข้าใจเช่นนี้ยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากพระธรรมคำสอนนะครับ ผมขออนุญาตอธิบายไว้ในกระทู้นี้ ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่น เราควรจะพิจารณาความหมายของคำว่า “อารมณ์” เสียก่อน ซึ่งจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) “อารมณ์” หมายความว่า เครื่องยึดหน่วงของจิต สิ่งที่จิตยึดหน่วง หรือสิ่งที่ถูกรู้หรือถูกรับรู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ในภาษาไทยความหมายเลื่อนไปเป็น ความรู้สึก หรือความเป็นไปแห่งจิตใจ ในขณะหรือช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่นกล่าวว่า อย่าทำตามอารมณ์ วันนี้อารมณ์ดี อารมณ์เสีย เป็นต้น http://www.84000.org/..3%EC&original=1 จากความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ข้างต้นได้ให้ ๒ ความหมายคือ ๑. สิ่งที่ถูกรู้หรือถูกรับรู้ ได้แก่อายตนะภายนอก ๖ (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์) และ ๒. ความรู้สึก (ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้กันในภาษาไทยโดยความหมายเคลื่อนไป) เราลองพิจารณาความหมายแรกก่อนนะครับ ถามว่าอายตนะภายนอก ๖ นี้ดับเพราะสติเกิดหรือเปล่า? ตอบว่า ไม่ใช่ เพราะตามพระธรรมคำสอนแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงสอนว่า ทั้งอายตนะภายในและอายตนะภายนอกล้วนแต่เป็นไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา (อายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ซึ่งการที่อายตนะภายในและอายตนะภายนอกนั้นไม่เที่ยง ก็เพราะว่าทั้งอายตนะภายในและอายตนะภายนอกมีสภาพเกิดและดับอยู่แล้ว โดยขอยกพระสูตรมาอ้างอิงดังต่อไปนี้ครับ ใน “อัชฌัตติกอนิจจสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค) สอนว่าอายตนะภายในเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง http://www.84000.org/..=25&pagebreak=0 ใน “อัชฌัตติกทุกขสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค) สอนว่าอายตนะภายในเป็นทุกข์ http://www.84000.org/..=34&pagebreak=0 ใน “อัชฌัตติกอนัตตสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค) สอนว่าอายตนะภายในเป็นอนัตตา http://www.84000.org/..=42&pagebreak=0 ใน “พาหิรอนิจจสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค) สอนว่าอายตนะภายนอกเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง http://www.84000.org/..=53&pagebreak=0 ใน “พาหิรทุกขสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค) สอนว่าอายตนะภายในเป็นทุกข์ http://www.84000.org/..=61&pagebreak=0 ใน “พาหิรอนัตตสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค) สอนว่าอายตนะภายในเป็นอนัตตา http://www.84000.org/..=68&pagebreak=0 สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นอายตนะภายนอกหรืออายตนะภายในก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพเป็นไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ซึ่งสภาพความไม่เที่ยงก็คือสภาพเกิดดับนี่เอง ในความหมายที่สองที่บอกว่า อารมณ์ หมายถึงความรู้สึก ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้กันในภาษาไทย โดยความหมายเคลื่อนไปนั้น ก่อนอื่นเราควรพิจารณาก่อนว่า ความรู้สึก คืออะไร? หากเราจะเปรียบเทียบในขันธ์ ๕ แล้ว ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ หรือเฉย ๆ คือเวทนา ส่วนความรู้สึกที่เป็นอาการปรุงแต่งต่าง ๆ เช่น ดีใจ เสียใจ รัก โลภ โกรธ หลง เหงา เศร้า วังเวง ตกใจ ตื่นเต้น เป็นต้น คือสังขาร ดังนี้ ไม่ว่าเราจะใช้คำว่า “ความรู้สึก” ในความหมายของเวทนา หรือสังขารก็ตาม เราก็ย่อมถือได้ว่า “ความรู้สึก” เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ในเมื่อความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ดังที่กล่าวแล้ว ถามว่าขันธ์ ๕ นี้ดับเพราะสติเกิดหรือเปล่า? ตอบว่า ไม่ใช่ เพราะตามพระธรรมคำสอนแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงสอนว่า ขันธ์ ๕ เป็นไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา และแม้เหตุปัจจัยที่ทำให้ขันธ์เกิดขึ้นก็เป็นไตรลักษณ์เช่นกัน ซึ่งการที่ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง จึงย่อมมีสภาพเกิดและดับอยู่แล้ว โดยขอยกพระสูตรมาอ้างอิงดังต่อไปนี้ครับ ใน “อนิจจสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) สอนว่าขันธ์ ๕ เป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง http://www.84000.org/..472&pagebreak=0 ใน “ทุกขสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) สอนว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ http://www.84000.org/..479&pagebreak=0 ใน “อนัตตสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) สอนว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา http://www.84000.org/..488&pagebreak=0 ใน “อนิจจเหตุสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) สอนว่าเหตุปัจจัยที่ให้ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นก็เป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง http://www.84000.org/..528&pagebreak=0 ใน “ทุกขเหตุสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) สอนว่าเหตุปัจจัยที่ให้ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ http://www.84000.org/..538&pagebreak=0 ใน “อนัตตเหตุสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) สอนว่าเหตุปัจจัยที่ให้ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นก็เป็นอนัตตา โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าเราจะแปลว่าอารมณ์ว่าหมายถึงอายตนะภายนอกก็ดี หรือจะแปลว่าหมายถึงความรู้สึก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ก็ดี อารมณ์นั้นก็ถือเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง และเกิดดับโดยสภาพ เป็นทุกขัง คือมีสภาพที่ทนอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตา คือเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้แล้ว ความเข้าใจว่าอารมณ์ดับ เมื่อสติเกิดนั้น จึงคลาดเคลื่อน เพราะไม่ว่าสติจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม อารมณ์ก็เกิดดับโดยสภาพอยู่แล้ว เพราะว่าอารมณ์เป็นอนิจจัง ทุกขัง และเป็นอนัตตา เพียงแต่ว่าเวลาที่เรามีสติเกิดขึ้นนั้น เราย่อมสามารถเห็นอารมณ์เกิดดับได้ ถ้าเรามีสติเกิดขึ้นบ่อย เราก็สามารถเห็นอารมณ์เกิดดับได้บ่อย ถ้าเรามีสติเกิดขึ้นเร็ว เราก็สามารถเห็นอารมณ์เกิดดับได้เร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าสติเกิดดับเร็ว อารมณ์จะเกิดดับเร็วตาม ไม่ใช่เช่นนั้น กรณีเสมือนกับว่าเราอยู่ในสนามแข่งรถ และรถกำลังวิ่งแข่งกันอยู่ ถ้าเราหลับตา เราก็ไม่เห็นการแข่งรถ แต่เมื่อเราลืมตาดู เราก็เห็นการแข่งรถ ถ้าเราลืมตาบ่อย เราก็เห็นการแข่งรถบ่อย กรณีไม่ใช่ว่าเมื่อเราลืมตาดู การแข่งรถ ก็เริ่มแข่ง และเมื่อเราหลับตาไม่ดู การแข่งรถ ก็หยุดแข่ง ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เราจะดูหรือไม่ดูก็ตาม รถแข่งในสนาม ก็แข่งไปตามเรื่องของเขา ในเรื่องการเกิดดับของอารมณ์ก็ทำนองเดียวกัน ถ้าเรามีสติดู เราก็เห็น ถ้าเราขาดสติ เราก็ไม่เห็น แต่ไม่ว่าเราจะมีสติดูหรือขาดสติก็ตาม อารมณ์ก็เกิดดับเพราะสภาพแห่งความเป็นอนิจจังอยู่แล้ว ในหลักการของการภาวนาแล้ว ถามว่าเราภาวนาเพื่ออะไร? ตอบว่า เราภาวนาเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นที่ถูกต้อง ถามว่าเห็นถูกต้องว่าอย่างไร? ตอบว่าเห็นว่าขันธ์ ๕ หรือรูปนามอยู่ภายใต้ความเป็นไตรลักษณ์ คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา แต่ถ้าเราภาวนาไปแล้ว เรากลับเกิดความเข้าใจว่าอารมณ์เที่ยง คงอยู่โดยตัวมันเอง แล้วอารมณ์จะดับไปต่อเมื่อเรามีสติเกิดขึ้นมา เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนแล้ว ในประเด็นนี้ ผมจะขออธิบายในอีกมุมหนึ่ง คือในเวลาที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันนั้น ในพระสูตรต่าง ๆ เช่น “ทีฆนขสูตร” (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์) จะใช้คำว่า ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” http://www.84000.org/..768&pagebreak=0 เช่นนี้แล้วการที่เราหมั่นฝึกฝนภาวนามีสติรู้รูปนามตามความเป็นจริง ก็เพื่อให้จิตยอมรับความจริงว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” แต่หากเราภาวนาไปแล้ว เราเกิดความเข้าใจว่าอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว อารมณ์ไม่ดับ อารมณ์เที่ยง และต่อเมื่อเรามีสติเกิด อารมณ์จึงจะดับ เช่นนี้ย่อมเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และไม่ตรงกับความจริงของรูปนาม ดังนี้แล้ว สติไม่ได้ทำให้อารมณ์ดับ แต่อารมณ์เกิดดับเพราะมีสภาพเป็นอนิจจัง แต่ทีนี้ กรณียังมีบางท่านสับสนว่า อ้าว ถ้าสติไม่ได้ทำให้อารมณ์ดับ แล้วทำไมพระธรรมคำสอนว่าจึงกล่าวว่า "สติเป็นเครื่องกั้นกระแส" ล่ะ ตรงนี้ถ้าไม่เคยภาวนาแบบเจริญสติมาก่อน และอ่านแต่พระสูตรแล้ว ย่อมจะแยกความแตกต่างได้ยากหรืออาจจะทำเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะว่าไม่เคยเห็นของจริง ในประเด็นนี้ ขอยก “อชิตปัญหา” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต) ซึ่งเล่าว่า อชิตมาณพทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาคว่า “กระแสทั้งหลายย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสบอกเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย กระแสทั้งหลายอันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยธรรมอะไร” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกรอชิตะ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสในโลก เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยปัญญา” http://www.84000.org/..005&pagebreak=0 ในเวลาที่อ่าน “อชิตปัญหา” เราอาจจะสงสัยว่า คำว่า “กระแสทั้งหลาย” นี้คือกระแสอะไร ซึ่งหากเราลองพิจารณาในอรรถกถาของ “อชิตปัญหา” แล้ว จะพบคำอธิบายว่า “กระแสทั้งหลายย่อมแล่นไปในอารมณ์ทั้งปวง คือกระแสมีตัณหาเป็นต้น ย่อมแล่นไปในอายตนะทั้งหลายมีรูปายตนะเป็นต้นทั้งปวง” http://www.84000.org/...php?b=25&i=425 นอกจากนี้ เราลองพิจารณา “อชิตมาณวกปัญหานิทเทส” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส) จะพบคำอธิบายว่า “กระแสเหล่านี้ใด เราบอกแล้ว เล่าแล้ว แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แต่งตั้งแล้ว เปิดเผยแล้ว จำแนกแล้ว ทำให้ตื้นแล้ว ประกาศแล้ว คือกระแสตัณหา กระแสทิฏฐิ กระแสกิเลส กระแสทุจริต กระแสอวิชชา” คำว่า “ในโลก” คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก “สติ” คือ ความระลึก ความตามระลึก ความระลึกเฉพาะ ความไม่หลงลืม เป็นเครื่องกั้น คือ เป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องรักษา เป็นเครื่องคุ้มครอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น ในเมื่อกระแสตัณหา กระแสทิฏฐิ กระแสกิเลส กระแสทุจริต หรือกระแสอวิชชาไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง สติความระลึกได้ย่อมเป็นตัวกั้นกระแสเหล่านั้น ยกตัวอย่างว่า สมมุติว่าเรามีอารมณ์โกรธใครสักคนหนึ่ง ในเวลานั้น จิตใจเราก็หมกมุ่นครุ่นคิดโกรธคนนั้นไปเรื่อย ถามว่าในเวลานั้นอารมณ์โกรธไม่เกิดดับหรือ? ตอบว่าอารมณ์โกรธก็เกิดดับตามสภาพความเป็นอนิจจัง แต่ด้วยความเป็นอนัตตาหรือเป็นไปตามเหตุปัจจัยแล้ว ในเมื่อมีเหตุปัจจัยให้ความโกรธนั้นเกิดขึ้น ความโกรธก็เกิดขึ้นไปเรื่อย แต่ด้วยความที่เราขาดสติ เราจึงไม่เห็นความโกรธเกิดดับต่อเนื่องนั้น ความโกรธจึงเกิดดับอย่างต่อเนื่องเสมือนกระแสไหลไปในอารมณ์ในใจเรา (แต่ในเวลานั้นที่เราไม่มีสติ เราก็รู้สึกเหมือนกับว่าความโกรธมีตัวเดียวอยู่ต่อเนื่อง) ทีนี้ ต่อมา เมื่อเราเกิดมีสติขึ้น สติย่อมเป็นเครื่องกั้นกระแสความโกรธนั้น โดยที่ผ่านมาความโกรธเกิดดับอย่างต่อเนื่องเป็นกระแสกิเลสต่อเนื่อง แต่เมื่อมีสติเกิดขึ้น เกิดกุศลขึ้นมา สติย่อมเป็นตัวกั้นกระแสกิเลสดังกล่าวได้ เมื่อกิเลสกั้นกระแสความโกรธไม่ให้ไหลเข้าไปในอารมณ์แล้ว อารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่สติกั้นกระแสกิเลสแล้ว จึงไม่ใช่อารมณ์โกรธนั่นเอง อย่างไรก็ดี ในการภาวนาจริงของเรานั้น บางทีสติเราก็กั้นกระแสกิเลสได้ไม่นานนะครับ โดยเรามีสติรู้สึกตัวเพียงครู่เดียว แล้วกระแสกิเลสก็ย้อนกลับมาลากพาเราไปอีกแล้ว ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ตอบว่า เพราะอินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ของเรายังอ่อนครับ โดยเราก็ต้องฝึกฝนและพัฒนาไตรสิกขาไปเรื่อย ๆ และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ อินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ มีพลังแก่กล้าพอแล้ว สติก็ย่อมจะมีแรงที่จะกั้นกระแสได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุปโดยรวมนะครับว่า อารมณ์เป็นอนิจจังและเกิดดับโดยสภาพ ไม่ได้เกิดดับเพราะสติเกิด แต่เมื่อกระแสกิเลสไหลไปในอารมณ์ทั้งปวงอย่างต่อเนื่องแล้ว สติย่อมเป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลสเหล่านั้น การที่สติเป็นเครื่องกั้นกระแสไม่ได้แปลว่าทำให้อารมณ์เกิดดับ สติเป็นเครื่องกั้นกระแส หมายถึง เป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหา กระแสทิฏฐิ กระแสกิเลส กระแสทุจริต หรือกระแสอวิชชาที่ไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ส่วนอารมณ์นั้นก็เกิดดับไปตามสภาพความเป็นไตรลักษณ์ครับ จะเข้าใจตรงนี้ได้ ต้องหมั่นภาวนาเจริญสติให้เห็นของจริงครับ โดยเห็นกระแสของอารมณ์ที่เกิดดับ เห็นกระแสกิเลส เห็นสติเกิดและกั้นกระแส หากอ่านแต่พระสูตรจะไม่เข้าใจครับ ขอนอบน้อมแต่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า ก.พ. 22, 2016 1:22:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ไม่จริงหรอก ก.พ. 22, 2016 1:23:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama 13÷43-7-+duggດນີajstsuc@#$&+(9764+= ก.พ. 22, 2016 1:24:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama เสียงธรรมหลวงพ่อสมภพ ทั้งหมดทั้งชีวิต http://www.luangporsompob.com/ ก.พ. 22, 2016 1:25:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama 13÷43-7-+duggດນີajstsuc@#$&+(9764+= ก.พ. 22, 2016 1:26:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑๔ วิธีอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสเวทนานุปัสสนา ๙ วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขเวทนา ความว่า ภิกษุกำลังเสวยเวทนาที่เป็นสุข ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา. จะวินิจฉัยในคำนั้น แม้เด็กทารกที่ยังนอนหงาย เมื่อเสวยสุขในคราวดื่มน้ำนมเป็นต้น ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนา ก็จริงอยู่. แต่คำว่า สุขเวทนาเป็นต้นนี้ มิได้ตรัสหมายถึงความรู้ชัดอย่างนั้น. เพราะความรู้ชัดเช่นนั้น ไม่ละความเห็นว่าสัตว์ ไม่ถอนความสำคัญว่าเป็นสัตว์ ไม่เป็นกัมมัฏฐานหรือสติปัฏฐานภาวนาเลย. ส่วนความรู้ชัดของภิกษุนี้ ละความเห็นว่าสัตว์ ถอนความสำคัญว่าเป็นสัตว์ได้ ทั้งเป็นกัมมัฏฐาน เป็นสติปัฏฐานภาวนา. ก็คำนี้ตรัสหมายถึงความเสวยสุขเวทนาพร้อมทั้งที่รู้ตัวอยู่ อย่างนี้ว่า ใครเสวย ความเสวยของใคร เสวยเพราะเหตุไร. สักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น ถามว่า ใครเสวย ตอบว่า มิใช่สัตว์หรือบุคคลไรๆ เสวย. ถามว่า ความเสวยของใคร ตอบว่า มิใช่ความเสวยของสัตว์หรือบุคคลไรๆ. ถามว่า เสวยเพราะเหตุไร ตอบว่า ก็เวทนาของภิกษุนั้นมีวัตถุเป็นอารมณ์อย่างเดียว เหตุนั้น เธอจึงรู้อย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเสวยเวทนา เพราะทำวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งเวทนามีสุขเวทนาเป็นต้นนั้นๆ ให้เป็นอารมณ์. ก็คำว่า เราเสวยเวทนา เป็นเพียงสมมติเรียกกัน เพราะยึดถือความเป็นไปแห่งเวทนานั้น. เธอกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลายเสวยเวทนาเพราะทำวัตถุให้เป็นอารมณ์ อย่างนี้ พึงทราบว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา เหมือนพระเถระรูปหนึ่ง ซึ่งสำนักอยู่ที่จิตตลบรรพต. พระเถระผู้เสวยทุกขเวทนา ได้ยินว่า พระเถระทุรนทุรายกลิ้งเกลือกอยู่ด้วยเวทนากล้าแข็ง คราวอาพาธไม่ผาสุก. ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเรียกถามว่า ท่านเจ็บตรงไหนขอรับ. ท่านตอบว่า บอกที่เจ็บไม่ได้ดอกเธอ ฉันทำวัตถุเป็นอารมณ์ เสวยเวทนา. ถามว่า ตั้งแต่เวลารู้ชัดอย่างนั้น ท่านอดกลั้นไว้ไม่ควรหรือขอรับ. ตอบว่า ฉันจะอดกลั้นนะเธอ. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า อดกลั้นได้ก็ดีนะสิ ขอรับ. พระเถระก็อดกลั้น (ทุกขเวทนา). โรคลมก็ผ่าแล่งจนถึงหัวใจ ไส้ของพระเถระก็ออกมากองบนเตียง. พระเถระชี้ให้ภิกษุหนุ่มดู ถามว่า อดกลั้นขนาดนี้ควรไหม. ภิกษุหนุ่มก็นิ่ง. พระเถระก็ประกอบความเพียรสม่ำเสมอ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นพระอรหัตสมสีสี ปรินิพพานแล้ว. อนึ่ง ภิกษุผู้เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น เสวยทุกขเวทนา ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิสอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิส เหมือนเมื่อเธอเสวยสุขเวทนาแล. เวทนาเป็นอรูปกัมมัฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสรูปกัมมัฏฐานด้วยประการฉะนี้แล้ว เมื่อจะตรัสอรูปกัมมัฏฐาน แต่เพราะที่ตรัสด้วยอำนาจผัสสะ หรือด้วยอำนาจจิต กัมมัฏฐานไม่ปรากฏชัด ปรากฏเหมือนมืดมัว ส่วนความเกิดขึ้นแห่งเวทนาทั้งหลายปรากฏชัด กัมมัฏฐานปรากฏชัดด้วยอำนาจเวทนา ฉะนั้น จึงตรัสอรูปกัมมัฏฐานด้วยอำนาจเวทนา แม้ในพระสูตรนี้ เหมือนอย่างในสักกปัญหสูตร. กถามรรค ในพระสูตรนี้นั้น พึงทราบโดยนัยที่ตรัสไว้ในสักกปัญหสูตรแล้วนั่นแลว่า ก็กัมมัฏฐานมี ๒ อย่าง คือรูปกัมมัฏฐาน และอรูปกัมมัฏฐาน ดังนี้เป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ในคำว่า สุขเวทนา ดังนี้เป็นต้น มีปริยาย (ทาง) แห่งความรู้ชัดอีกอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้. ข้อว่า สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา ความว่า เมื่อเสวยสุขเวทนา เพราะขณะเสวยสุขเวทนา ไม่มีทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาดังนี้. เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าเวทนาไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะในขณะที่ไม่มีทุกขเวทนาที่เคยมีมาก่อน และเพราะก่อนแต่นี้ ก็ไม่มีสุขเวทนานี้. เธอรู้ตัวในสุขเวทนานั้นอย่างนี้. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ (ในทีฆนขสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย) ดังนี้ว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ สมัยใด เสวยสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยทุกขเวทนาไม่ หาเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่ ย่อมเสวยสุขเวทนาเท่านั้น สมัยใด เสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยสุขเวทนาไม่ หาเสวยทุกขเวทนาไม่ เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น ดูก่อนอัคคิเวสสนะ แม้สุขเวทนาแล ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้ทุกขเวทนาเล่า ฯลฯ แม้อทุกขมสุขเวทนาเล่า ไม่เที่ยง ฯลฯ มีความดับไปเป็นธรรมดา ดูก่อนอัคคิเวสสนะ อริยสาวกสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ในสุขเวทนา แม้ในทุกขเวทนา แม้ในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็ทำเสร็จแล้ว กิจอย่างอื่นเพื่อเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกดังนี้. เวทนาที่เป็นสามิสและนิรามิส จะวินิจฉัยในข้อว่า สามิสํ วา สุขํ หรือสุขเวทนาที่มีอามิส เป็นต้น โสมนัสสเวทนาอาศัยอามิสคือกามคุณ ๕ อาศัยเรือน ๖ ชื่อว่าสามิสสุขเวทนา โสมนัสสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ ๖ ชื่อว่านิรามิสสุขเวทนา โทมนัสสเวทนาอาศัยเรือน ๖ ชื่อว่าสามิสทุกขเวทนา โทมนัสสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ ๖ ชื่อว่านิรามิสทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนาอาศัยเรือน ๖ ชื่อว่าสามิสอทุกขมสุขเวทนา อุเบกขาอันอาศัยเนกขัมมะ ๖ ชื่อว่านิรามิสอทุกขมสุขเวทนา. อนึ่ง การจำแนกเวทนาแม้เหล่านั้นท่านกล่าวไว้ในสักกปัญหสูตรแล้วแล. เวทนาในเวทนานอก ข้อว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายของตน ในเวทนาทั้งหลายของคนอื่น หรือในเวทนาทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดสุขเวทนาเป็นต้น อย่างนี้อยู่. ส่วนในข้อว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิด (ในเวทนาทั้งหลาย) นี้ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุเมื่อเห็นความเกิด และความเสื่อมแห่งเวทนาทั้งหลายด้วยอาการอย่างละ ๕ ว่า เพราะอวิชชาเกิด จึงเกิดเวทนาดังนี้เป็นต้น พึงทราบว่า เธอพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในเวทนาทั้งหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในเวทนาทั้งหลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในเวทนาทั้งหลาย ตามกาลอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในเวทนาทั้งหลาย ตามกาลอยู่. ข้อต่อจากนี้ไปก็มีนัยดังที่กล่าวมาแล้วในกายานุปัสสนานั่นแล. สติกำหนดเวทนาเป็นอริยสัจ ๔ แต่ในเวทนานุปัสสนานี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติที่กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้นแล้ว พึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์. คำที่เหลือก็มีความเช่นนั้นเหมือนกัน. จบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๙ วิธี อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสจิตตานุปัสสนา ๑๖ วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตตานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น. จำแนกอารมณ์ของจิต บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า จิตมีราคะ คือจิตที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ ๘ อย่าง. บทว่า จิตปราศจากราคะ คือจิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ. แต่ข้อนี้เป็นการพิจารณา มิใช่เป็นการชุมนุมธรรม เพราะฉะนั้น ในคำว่า จิตมีราคะ นี้ จึงไม่ได้โลกุตตรจิต แม้แต่บทเดียว. อกุศลจิต ๔ ดวงที่เหลือ จึงไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง. บทว่า จิตมีโทสะ ได้แก่จิต ๒ ดวง ที่เกิดพร้อมด้วยโทมนัส. บทว่า จิตปราศจากโทสะ ได้แก่จิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ. อกุศลจิต ๑๐ ดวงที่เหลือ ไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง. บทว่า จิตมีโมหะ ได้แก่จิต ๒ ดวง คือจิตที่เกิดพร้อมด้วยวิจิกิจฉาดวง ๑ ที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะดวง ๑. แต่เพราะโมหะย่อมเกิดได้ในอกุศลจิตทั้งหมด ฉะนั้น แม้อกุศลจิตที่เหลือก็ควรได้ในบทว่า จิตมีโมหะ นี้โดยแท้. จริงอยู่ อกุศลจิต ๑๒ (โลภมูล ๘ โทสมูล ๒ โมหมูล ๒) ท่านประมวลไว้ในทุกกะ (หมวด ๒) นี้เท่านั้น. บทว่า จิตปราศจากโมหะ ได้แก่จิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ. บทว่า จิตหดหู่ ได้แก่จิตที่ตกไปในถีนมิทธะ. ก็จิตที่ตกไปในถีนมิทธะนั้น ชื่อว่า จิตหดหู่. บทว่า ฟุ้งซ่าน ได้แก่จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะ. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะนั้น ชื่อว่า จิตฟุ้งซ่าน. บทว่า จิตเป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร. บทว่า จิตไม่เป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร. บทว่า สอุตฺตรํ จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร. บทว่า อนุตฺตรํ จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร. แม้ในจิตเหล่านั้น จิตที่ชื่อว่า สอุตตระ ได้แก่จิตเป็นรูปาวจร จิตชื่อว่า อนุตตระ ได้แก่ จิตที่เป็นอรูปาวจร. บทว่า สมาหิตํ จิตตั้งมั่นแล้ว ได้แก่อัปปนาสมาธิหรืออุปจารสมาธิ. บทว่า อสมาหิตํ จิตไม่ตั้งมั่น ได้แก่จิตที่เว้นจากสมาธิทั้งสอง. บทว่า วิมุตฺตํ จิตหลุดพ้น ได้แก่จิตหลุดพ้นด้วยตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ. บทว่า อวิมุตฺตํ จิตไม่หลุดพ้น ได้แก่จิตที่เว้นจากวิมุตติทั้งสอง. ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ ไม่มีโอกาสในบทนี้เลย. จิตในจิตนอก คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า ภิกษุโยคาวจรกำหนดจิตที่เป็นไปในสมัยใดๆ ด้วยการกำหนดจิตมีราคะเป็นต้นอย่างนี้ ชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตของตน หรือในจิตของคนอื่น ในจิตของตนตามกาล หรือในจิตของคนอื่นตามกาลอยู่. ก็ในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดนี้ พึงนำความเกิดและความเสื่อมแห่งวิญญาณออกเทียบเคียงด้วยอาการอย่างละ ๕ ว่า เพราะเกิดอวิชชา วิญญาณจึงเกิดดังนี้เป็นต้น. ข้อต่อไปจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วแล. สติกำหนดจิตเป็นอริยสัจ ๔ แต่ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ มีข้อแตกต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความว่า สติที่กำหนดจิตเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้เป็นต้น แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดจิตเป็นอารมณ์. คำที่เหลือก็เช่นเดียวกันนั่นแล. จบจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก.พ. 22, 2016 1:27:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https:// ก.พ. 22, 2016 1:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https:// ก.พ. 22, 2016 1:31:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama สัมมาทิฏฐิ ๑๖ ความรู้จักเวทนา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ม้วนที่ ๕๗/๑ อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ ] บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม จะแสดงสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบตามพระเถราธิบาย ของท่านพระสารีบุตร อันมาในสัมมาทิฏฐิสูตรที่ได้แสดงมาโดยลำดับ ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ฟังท่านแสดงมาโดยลำดับ ก็ได้กราบเรียนถามท่านยิ่งขึ้นไปอีกว่า ยังมีปริยายคือทางแสดงอันอื่นอยู่อีกหรือ ที่จะทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ มีความเห็นตรง ทำให้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ท่านพระสารีบุตรก็ได้ตอบว่า ก็ยังมีปริยายคือทางที่พึงแสดงอธิบายต่อไปอีก และท่านก็จับแสดงต่อไปอีก จากที่ได้นำมาอธิบายแล้วว่า สัมมาทิฏฐิเห็นชอบ ก็คือรู้จักเวทนา รู้จักเหตุเกิดเวทนา รู้จักความดับเวทนา รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา เมื่อท่านแจกเป็น ๔ ดั่งนี้ ท่านก็อธิบายไปทีละข้อว่า รู้จักเวทนา ก็คือรู้จักเวทนา ๖ อันได้แก่ จักขุสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส สัมผัสทางตา โสตะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากโสตะสัมผัส คือสัมผัสทางหู ฆานะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากฆานะสัมผัส คือสัมผัสทางจมูก ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น กายะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากกายะสัมผัส สัมผัสทางกาย มโนสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัส สัมผัสทางใจ รู้จักเหตุเกิดเวทนา ก็คือรู้จักว่าสัมผัสเป็นเหตุเกิดเวทนา รู้จักความดับเวทนา ก็คือรู้จักว่าเวทนาดับเพราะดับสัมผัส รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น จึงจะได้อธิบายเรื่องเวทนา อันเป็นข้อแรกของ ๔ ข้อ ที่ท่านพระสารีบุตรได้ยกขึ้นอธิบายว่า เมื่อรู้จักก็ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิคือเห็นชอบ เวทนา ๓ เวทนานั้นโดยทั่วไปได้จำแนกไว้เป็น ๓ คือ สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข ทางกาย ทางใจ ทุกขเวทนา คือเป็นคือเวทนาที่เป็นทุกข์ ทางกาย ทางใจ อทุกขมสุขเวทนา คือเวทนาที่ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ คือเวทนาที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ทางกาย ทางใจ ฉะนั้น เวทนาจึงหมายถึงขันธ์ ๕ ข้อที่ ๒ ซึ่งเป็นความรู้เสวย เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ดังกล่าว เป็นไปได้ทางกายทางใจ ที่ทุกคนได้ประสบอยู่เป็นประจำ และเวทนานี้นับเป็นข้อ ๒ ของขันธ์ ๕ คือ ต่อจากรูป ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงขันธ์ ๕ สำหรับให้ยกขึ้นพิจารณาทางวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าอัตภาพนี้ อันที่จริงนั้นเป็นสมมติเป็นบัญญัติ ซึ่งก็นับว่าเป็นความจริงอย่างหนึ่ง เป็นความจริงโดยสมมติ หรือโดยบัญญัติ แต่โดยปรมัตถ์ คือโดยอรรถะ คือเนื้อความอย่างยิ่ง คืออย่างละเอียด ก็หาใช่เป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ จึงได้ตรัสสอนให้จำแนกอัตภาพ อันเป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าอัตตาตัวเรานี้ ว่าเป็นขันธ์ ๕ คือเป็นกองทั้ง ๕ มารวมกันอยู่ ได้แก่ กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเรียกว่านาม รูปก็เป็นรูป ย่อลงจึงเป็นนามรูป ดังที่ทราบกันอยู่ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีตัวเราของเรา มีแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ประกอบกันอยู่ เวทนาซึ่งเป็นข้อ ๒ นั้น ตรัสแสดงไว้เป็นข้อ ๒ ก็เพราะว่า กำหนดได้ง่าย เกิดขึ้นเป็นไปทั้งทางกายทั้งทางใจ คือเกิดขึ้นเป็นไปทั้งทางรูป รูปกาย และทางนามกายคือทางใจ จึงกำหนดได้ง่าย เวทนา ๕ และได้มีจำแนกไว้อีกนัยยะหนึ่งเป็นเวทนา ๕ คือ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา เมื่อแจกออกเป็น ๕ ดั่งนี้ สุข จึงหมายถึงสุขทางกาย ทุกข์ จึงหมายถึงทุกข์ทางกาย โสมนัส หมายถึงสุขทางใจ โทมนัส หมายถึงทุกข์ทางใจ อุเบกขา ก็หมายถึงเวทนาที่เป็นกลางๆ มิใช่สุข มิใช่ทุกข์ มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข เพราะฉะนั้นแม้แจกเป็น ๕ ดั่งนี้ ก็คงย่อลงเป็น ๓ นั้นเอง ดังกล่าวมาข้างต้น แต่ว่าเมื่อแจกออกเป็น ๕ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา สุขและทุกข์ก็มีความหมายจำกัดเข้ามา จำเพาะที่เป็นไปทางกาย โสมนัส โทมนัส ก็เป็นไปทางใจ อุเบกขาก็เป็นเช่นเดียวกัน คือเป็นกลางๆ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ดังกล่าว เวทนา ๖ ส่วนในที่นี้ ท่านพระสารีบุตรท่านยกเอาเวทนา ๖ คือยกเอาเวทนา ๓ หรือเวทนา ๕ ดังกล่าวแล้วนั่นแหละ แจกออก ที่เกิดจากสัมผัสคือความกระทบ ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายและทางมนะคือใจ คือยกเอาสัมผัสทั้ง ๖ นี้เป็นที่ตั้ง จึงเป็นเวทนา ๖ และเมื่อแจกเป็นเวทนา ๖ ดั่งนี้แล้ว จึงได้มีอธิบายให้ละเอียดต่อไปอีกว่า สำหรับเวทนาที่เกิดจากจากสัมผัส ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และที่เกิดจากสัมผัสทางใจ ทั้ง ๕ นี้ เป็นเวทนาทางใจ คือเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขทางใจ เฉพาะข้อเวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส สัมผัสทางกาย จึงเป็นเวทนาทางกาย คือเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกาย ฉะนั้น ในการพิจารณานั้น จึงให้ทำความเข้าใจว่า ที่ว่าเวทนาที่เกิดจากสัมผัสในทางทั้ง ๕ เป็นไปทางใจ ย่อมมีความหมายดังเช่นว่า เมื่อตากับรูปมาประจวบกัน ก็เกิดความรู้รูป คือเห็นรูป และเมื่อตากับรูปและความรู้รูป คือเห็นรูป อันเรียกว่าวิญญาณทั้ง ๓ นี้มาประชุมกัน ก็เรียกว่าสัมผัส จึงเป็นเหตุให้เกิดเวทนา หากรูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของสุข ก็ให้เกิดสุขเวทนา รูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของทุกข์ ก็ให้เกิดทุกขเวทนา รูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของมิใช่ทุกข์มิใช่สุข คือเป็นกลางๆ ก็ให้เกิดอทุกขมสุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหูทางจมูกทางลิ้นและทางใจ ก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เมื่อมีความอธิบายดั่งนี้ เวทนาที่เกิดจากสัมผัสในทางทั้ง ๕ ดังกล่าว จึงเป็นเวทนาทางใจอย่างเดียว หากจะมีปัญหาว่า ผงเข้าตาก็เจ็บ หรือเอาน้ำลูบตาก็เย็น ดั่งนี้จะเป็นเวทนาอะไร จะเป็นจักขุสัมผัสสชาเวทนาหรืออย่างไร ก็ตอบว่าในลักษณะดังกล่าวไม่เรียกว่าจักขุสัมผัสสชาเวทนา แต่เรียกว่ากายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกาย เพราะว่าผงเข้าตาก็หมายถึงตาส่วนที่เป็นกาย ไม่ใช่หมายถึงตาส่วนที่เห็นรูป หมายถึงตาส่วนที่เป็นกาย จึงจัดว่าเป็นกายสัมผัสสชาเวทนา เป็นไปทางกาย แม้ทางหูเป็นต้นก็เช่นเดียวกัน มีอะไรมากระทบหู หรือทิ่มตำที่หูก็เกิดความเจ็บ หรือเอาน้ำล้างน้ำลูบก็เย็นสบาย ดั่งนี้ก็เป็นหูส่วนที่เป็นกายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่หูส่วนที่เป็นประสาทรับเสียงได้ยินเสียง จึงนับเป็นกายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกาย เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกายนี้มีเป็นอันมาก ความที่ได้รับความสุขทางกายต่างๆ อันเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ หรือเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้องต่างๆ อันทำให้กายสบาย ก็นับว่าเป็นสุขทางกาย ความที่ต้องกระทบกับดินฟ้าอากาศส่วนที่ให้เกิดทุกข์เช่นต้องตากแดดตากฝนประกอบการงาน หรือว่าต้องนั่งนานๆ เดินนานๆ ยืนนานๆ หรือแม้นอนนานๆ ก็เป็นทุกข์ขึ้นมา หรือว่าอาพาธป่วยไข้ต่างๆ เกิดความทุกข์ ก็เป็นทุกขเวทนาทางกาย เพราะฉะนั้น ทุกขเวทนาทางกายก็มีมาก สุขก็มีมาก และที่เป็นกลางๆ ที่ไม่ทำให้สุขให้ทุกข์ ก็นับว่าเป็นกลางๆ ได้ ก็มีอยู่ แต่บางท่านก็มีอธิบายว่าที่เป็นกลางๆ ทางกายนั้นไม่มี เพราะถ้าเป็นปรกติก็นับว่าเป็นสุข เหมือนดังเช่นความหนาวความร้อน ความเย็นความร้อนของดินฟ้าอากาศ ที่ร้อนไปหรือเย็นไป ก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์ทางกาย เมื่อมีความร้อนหรือความเย็นที่อำนวยให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขสบาย ก็ทำให้เกิดสุขเวทนาทางกาย หรือที่แม้ไม่ทำให้เกิดความสุขชัดนัก คือไม่ร้อนมากไม่เย็นมาก เรียกว่าเป็นปรกติ ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสุข หรือไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์อย่างไร เป็นปรกติ แม้ดั่งนี้ ก็น่าจะเรียกว่าเป็นกลางๆ ได้ แต่ท่านแสดงว่า จัดว่าเป็นสุขเหมือนกัน แต่ว่าบางท่านก็แสดงว่า ที่มีลักษณะเป็นปรกติดังกล่าว ที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็นับว่าเป็นกลางๆ ได้ ส่วนทางใจนั้นย่อมมีชัดทั้ง ๓ อย่าง เมื่อสัมผัสดังกล่าวเป็นที่ตั้งของสุขก็ให้เกิดสุข เป็นที่ตั้งของทุกข์ก็ให้เกิดทุกข์ และแม้เป็นที่ตั้งของสุขของทุกข์ดังกล่าว เมื่อใจวางเฉยได้ มีอุเบกขาได้ ก็เป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุขทางใจ หรือสัมผัสดังกล่าวนั้นเองที่ไม่ทำให้รู้เป็นสุข หรือรู้เป็นทุกข์ ชัดเจน เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ ก็นับว่าเป็นเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ยกตัวอย่างเช่นว่า ตากับรูปมาประจวบกัน หูกับเสียงมาประจวบกัน คือได้ยินอะไร ได้เห็นอะไร วันหนึ่งๆ มากมายนักหนา แต่ที่ทำให้เป็นสุขหรือทำให้เป็นทุกข์นั้นไม่ใช่ทั้งหมด ในส่วนที่เห็นแล้วก็แล้วไปไม่ได้ใส่ใจถึง ได้ยินแล้วก็แล้วไปไม่ได้ใส่ใจถึง มีอยู่เป็นอันมาก ในลักษณะดังกล่าวนี้มิใช่ว่าไม่เกิดเวทนา เกิดเวทนาเหมือนกัน แต่ว่าเป็นเวทนาที่เป็นกลางๆ คือไม่พอที่จะให้รู้เป็นสุข ไม่พอที่จะให้รู้เป็นทุกข์ ก็เฉยๆ ความเฉยๆ นี้ก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง เมื่อเป็นความรู้อย่างหนึ่งก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง และเวทนาที่เป็นความรู้เฉยๆ ดังกล่าวมานี้ มักจะมิได้พิจารณาถึง มักจะมิได้คำนึงถึง อทุกขมสุขเป็นที่ตั้งของโมหะ ท่านจึงแสดงว่าเวทนาดังกล่าวมานี้เป็นที่ตั้งของโมหะคือความหลง สุขเวทนานั้นเป็นที่ตั้งของราคะความติดใจยินดี ทุกขเวทนานั้นเป็นที่ตั้งโทสะความโกรธแค้นขัดเคือง ส่วนเวทนาที่เป็นกลางๆ ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโมหะความหลง เพราะว่าเฉยๆ แต่ก็เป็นเฉยๆ ด้วยความไม่รู้ คือไม่ได้กำหนดพิจารณาให้รู้ ว่านี่ก็เป็นเวทนาเหมือนกัน และเป็นเวทนาที่เมื่อไม่กำหนด ก็เป็นเวทนาที่ไม่รู้ ไม่รู้จัก เมื่อไม่รู้จักก็เป็นโมหะคือความหลง ตั้งต้นแต่หลงว่าไม่รู้จักว่าเป็นเวทนา ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นที่ตั้งของราคะบ้าง เป็นที่ตั้งของโทสะบ้างดังกล่าว เวทนาปริคคหกรรมฐาน เวทนานี้เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้ทำสติกำหนดเป็น เวทนานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาเวทนา ตามรู้ตามเห็นเวทนา อันเป็นสติปัฏฐานข้อที่ ๒ และได้มีตรัสสอนเอาไว้ให้กำหนดเวทนานี้ สำหรับที่จะได้ดับทุกขเวทนาได้อีกด้วย ดังที่มีเรื่องเล่าถึงพระนางสามาวดีที่ถูกไฟครอกสิ้นพระชนม์ในปราสาท โดยที่มีผู้ริษยาจุดไฟเผาปราสาทที่พระนางได้ประทับอยู่ และปิดกั้นประตูมิให้ออกได้ ได้มีแสดงว่าพระนางได้เจริญ เวทนาปริคคหกรรมฐาน คือกรรมฐานที่กำหนดเวทนา กำหนดดูเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะที่ถูกไฟเผาร่างกาย และเมื่อได้ตั้งใจกำหนดดูจริงๆ ก็จะมีความแยกระหว่างกาย กับผู้ดูผู้รู้ คือ ผู้ที่กำหนดเวทนานั้นชื่อว่าเป็นผู้ดูผู้รู้ สิ่งที่ถูกกำหนดดูก็คือกาย และเมื่อแยกออกจากกันได้ อันหมายความว่า สติที่กำหนดดูกำหนดรู้นั้นมีกำลัง เวทนาที่เป็นทุกข์จึงอยู่แค่กาย คืออยู่ที่กาย มิใช่อยู่ที่จิตใจ หรือมิใช่อยู่ที่ผู้กำหนดดูกำหนดรู้ เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงชื่อว่าแยกกายออกจากใจได้ เมื่อแยกกายออกจากใจได้ ใจก็ไม่ต้องรับเป็นทุกขเวทนาทางใจ ทุกขเวทนาก็เป็นทุกขเวทนาของกาย แต่ว่าไม่เป็นทุกขเวทนาของใจ สติที่กำหนดดูกำหนดรู้เวทนานี้จึงแยกได้ดั่งนี้ และแม้จะได้รับทุกขเวทนาอย่างอื่น หรือแม้ได้รับสุขเวทนาก็ตาม เมื่อตั้งสติกำหนดดูกำหนดรู้ให้เป็น เวทนาปริคคหกรรมฐาน กรรมฐานที่กำหนดเวทนาอยู่ เมื่อสติที่กำหนดมีกำลังก็ย่อมจะแยกได้เช่นเดียวกัน สำหรับเวทนาที่เป็นทางกายนั้น เมื่อตั้งสติหัดปฏิบัติกำหนดดูกำหนดรู้อยู่บ่อยๆ จนมีความชำนาญ ย่อมอาจจะแยกได้ง่ายกว่าเวทนาทางใจ เพราะเวทนาทางใจนั้นอยู่ที่ใจเอง แต่เวทนาทางกายนั้นอยู่ที่กาย ถ้าใจไม่ไปยึดไม่ไปถือ เวทนาทางกายก็อยู่แค่กาย ไม่เข้าถึงใจ แต่ที่เวทนาเข้าถึงใจนั้น คือใจเป็นทุกข์ไปด้วยกับกาย ก็เพราะว่ายังแยกกันมิได้ เวทนาปริคคหกรรมฐาน กรรมฐานที่กำหนดเวทนานี้แหละที่จะแยกได้ แต่ว่าจะต้องตั้งสติกำหนดให้มีกำลัง ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป ก.พ. 22, 2016 1:31:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama อายตนะ ๖ ตัณหาเกิดจากตรนี้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/01/Y6206855/Y6206855.html ก.พ. 22, 2016 1:34:01pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama แจกฟรี ซีดีธรรมะ "รวมแสดงธรรมและธรรมเทศนา พระปราโมทย์ ปาโมชโช" กระผมมีความประสงค์ที่จะแจกซีดีธรรมะ เพื่อเป็นธรรมทาน แก่ผู้ที่สนใจทุกท่าน โดยซีดีแผ่นนี้ เป็นการรวบรวมจากการที่ผมได้ฟังซีดีของของ ท่านพระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชโช ทั้งการแสดงธรรมและธรรมเทศนา ที่ผมมีทั้งหมดประมาณ 20 แผ่น และ ผมได้คัดเลือกและรวบรวมไฟล์ ที่ผมคิดว่ามีเนื้อหาครอบคลุมและครบถ้วน สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาการปฏิบัติธรรม ในแนวทางดูจิต ของท่านพระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชโช มารวมกันไว้ อยู่ในแผ่นเดียว รวมทั้งได้มีการเรียงลำดับเนื้อหา การฟังก่อน-หลัง ที่ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุด ซีดีนี้เหมาะสำหรับทั้ง ท่านที่ต้องการศึกษาการปฏิบัติธรรม ในแนวทางดูจิต ของท่าน พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช รวมถึงท่านปฏิบัติอยู่แล้ว และต้องการมีซีดีที่มี เนื้อหาครอบคลุมและครบถ้วนอยู่ในแผ่นเดียว ไว้เพื่อฟังซ้ำไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้สะดวก และประหยัดเวลาในการศึกษามากยิ่งขึ้น โดยในซีดี "รวมแสดงธรรมและธรรมเทศนา พระปราโมทย์ ปาโมชโช" ประกอบด้วยไฟล์ ดังนี้ 1. แสดงธรรม เรื่อง วิธีการปฏิบัติ ที่สวนสันติธรรม วันที่ 13 กรกฎาคม 2549 2. แสดงธรรม ที่ศาลาลุงชิน ครั้งที่ 1 วันที่ 21 พฤษภาคม 2549 3. แสดงธรรม ที่ศาลาลุงชิน ครั้งที่ 3 วันที่ 16 กรกฎาคม 2549 4. แสดงธรรม ที่ศาลาลุงชิน ครั้งที่ 8 วันที่ 21 มกราคม 2550 5. แสดงธรรม ที่ศาลาลุงชิน ครั้งที่ 16 วันที่ 16 ธันวาคม 2550 6. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 15 เมษายน 2550 7. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 13 พฤษภาคม 2550 8. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550 9. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 24 มีนาคม 2550 10. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 19 กันยายน 2550 11. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 15 มิถุนายน 2550 ช่วงที่ 1 12. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 15 มิถุนายน 2550 ช่วงที่ 2 13. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 2 มีนาคม 2550 14. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 30 กรกฎาคม 2549 15. ธรรมเทศนา ที่สวนสันติธรรม วันที่ 5 พฤษภาคม 2550 (ไฟล์ที่ 1- 15 เป็น MP3 สามารถฟังด้วยเครื่องเล่น MP3 หรือ คอมพิวเตอร์) และมีแถมไฟล์ หนังสือ “วิมุตติปฏิปทา” โดย พระปราโมทย์ ปาโมชโช สามารถเปิดอ่านด้วยคอมพิวเตอร์ โดยโปรแกรม Microsoft Word และสั่งพิมพ์ ออกมาเป็นหนังสือได้ ซีดีนี้เผยแพร่เป็นธรรมทาน เมื่อท่านได้รับแล้ว ขอความกรุณาศึกษา โดยการฟังทั้งแผ่น อย่างน้อย 1 ครั้ง ด้วยครับ ซึ่งคาดว่าจะเกิดประโยชน์แก่ทุกท่านเป็นอย่างมาก สำหรับท่านที่ต้องการซีดี กรุณาแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ โดยละเอียด และจำนวนที่ต้องการ (กรุณาตรวจสอบให้รอบคอบ เพื่อป้องกัน การส่งผิดพลาด) โดยสามารถแจ้งได้ทั้งทาง บนหน้าเว็บบอร์ดนี้ หรือ ส่ง E-mail มาที่ bud454545@yahoo.com ผมจะดำเนินการส่งซีดีไปให้ครับ 0 กลับสู่ด้านบน ก.พ. 22, 2016 1:34:55pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama Dungtrin June 5, 2014 at 7:58am · Edited · *** สรุปปิดโครงการทำบุญสร้างโรงพยาบาล *** ยอดเงินบริจาครวมทั้งหมด 13,353,710.98 บาท คิดแยกเป็นยอดเงินสดเข้าบัญชีธนาคาร กับมูลค่าของบริจาคโดยตรง ดังนี้ ยอดเงินบริจาคเข้าบัญชีนายศรันย์ ไมตรีเวช (รวมยอดโอนจากโครงการหนังสือ ‘มหาสติปัฏฐานสูตร’ และ ‘อนาพาธ’) 12,019,710.98 บาท มูลค่าพาหนะและอุปกรณ์ทางการแพทย์บริจาคเข้าโรงพยาบาล รถพยาบาล (โดยประมาณ) 1,000,000 บาท เครื่องกระตุ้นหัวใจ (โดยประมาณ) 300,000 บาท เครื่องควบคุมการไหลของสารน้ำ (โดยประมาณ) 30,000 บาท เครื่องพ่นยา (โดยประมาณ) 4,000 บาท สรุปเงินที่ใช้จ่ายแล้ว ณ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ๑) ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำนวน 1,795,710.- บาท ๒) การต่อเติม/ปรับปรุงอาคารเดิม จำนวน 280,000.- บาท ๓) ชำระค่าก่อสร้างบ้านพักใจดี งวดที่ 1 จำนวน 436,240.- บาท ๔) ชำระค่าถมดินของอาคาร ‘ธรรมะประทาน’ และ ‘บ้านพักใจดี’ จำนวน 98,200.- บาท รายละเอียดค่าใช้จ่ายขั้นต่อๆไป จะนำมาแสดงหลังจากมีการใช้จ่ายเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ตลอดจนก่อสร้าง ‘อาคารธรรมะประทาน’ และ ‘บ้านพักใจดี’ สำเร็จเรียบร้อย ข้างบนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘ตัวเลข’ ข้างล่างต่อไปนี้อยากชวนคุยเกี่ยวกับ ‘ตัวบุญ’ บ้างครับ ทราบดีว่าหลายท่าน ‘ไม่ได้คิดอะไร’ นอกจากได้ ‘เป็นสุขในการให้เปล่า’ ร่วมกัน แต่ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า การให้เปล่าแบบไม่คิดอะไรเลยนั้น ดีในแง่ที่ได้ทำทานโดยไม่เจืออยู่ด้วยโลภะ ซึ่งนับเป็นทานชั้นสูง ทว่าถ้าทำบุญแล้วไม่มองให้เข้าอกเข้าใจองค์ประกอบบุญบ้าง ก็ไม่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับกรรมวิบากเพิ่มขึ้น นับว่าเสียโอกาส ทั้งที่ตรงนี้คือจังหวะโอกาสอันดีที่จะเรียนรู้ร่วมกัน นอกจากร่วมกันทำมหาทานโดยให้ปัจจัย ๔ กับผู้คนไม่เลือกหน้าแล้ว ขอแถมปัญญาระดับโลกยีสัมมาทิฏฐิ จากประสบการณ์ตรงในทีเดียวเลยก็แล้วกัน พวกเราส่วนใหญ่คงจะยังมีชีวิตไปอีกหลายสิบปี ทำบุญอีกหลายร้อยหลายพันครั้ง จึงอาจลืมเลือนเกี่ยวกับการทำบุญครั้งนี้ แต่ถ้าการทำบุญครั้งนี้ เป็นชนวนให้เกิดความเข้าใจเรื่องบุญอย่างถ่องแท้ จิตของคุณจะต่างไป และวิธีทำบุญจะไม่เหมือนเดิม คัดท้ายคุมทิศเส้นทางกรรมให้ไปดีถึงที่สุดได้ เพื่อ ‘เข้าใจเรื่องบุญ’ ผมขอตั้ง ‘ข้อสังเกตบุญ’ อันเกิดจากการร่วมสร้างโรงพยาบาลไว้ดังนี้ ๑) บุญอันเกิดจากการให้ทานนั้น ที่จะถือว่าเป็น ‘บุญใหญ่’ ได้ ต้องเกิดจากคนหลายคน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีทั้งผูุ้ให้และผู้รับ ไม่มี ‘ทาน’ ครั้งไหนเกิดขึ้นได้จากผู้ให้ตามลำพัง ไม่มี ‘มหาทาน’ ครั้งไหนเกิดขึ้นได้จากผู้รับเพียงคนเดียว ครั้งนี้ ‘ตัวตั้ง’ คือประชาชนจำนวนมาก ในถิ่นที่ขาดโอกาสทางการรักษาตัว ส่วน ‘ตัวต่อ’ คือบุคลากรน้ำใจงาม มีการศึกษาสูงพอจะเป็นแพทย์ พยาบาล และพนักงานซึ่งทำหน้าที่สำคัญต่างๆในสถานรักษา อันไม่ใช่บุคคลที่หาได้ง่ายๆ เงื่อนไขให้เกิดทาน คือ ความขาดแคลนอุปกรณ์และอาคาร (ตอนต้นไม่มีเครื่องมืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันครับ ทั้งโรงพยาบาลมีหูฟังแพทย์แค่สองสามชุด ผลัดกันยืมไปยืมมา) ส่วนกิริยาในการทำทาน คือ พวกเรานี้ ร่วมกันรับรู้ ร่วมกันอยากให้เกิด ‘โรงพยาบาลของจริง’ จากนั้นจึงเกิดกำลังใจ เกิดความพยายามจากหลายๆฝ่ายในการช่วยกันอนุเคราะห์ สุดท้าย ผลลัพธ์ของการทำทาน คือ กองเงินกองหนึ่ง สามารถบันดาลเครื่องมือแพทย์ที่สำคัญ ให้ได้ไปถึงมือผู้รับ และอาคารที่จำเป็น ก็กำลังลงหลักปักเสา จะแล้วเสร็จภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ๒) สิ่งที่พวกเรา ‘ได้’ กันจริงๆ คือ ‘ความรับรู้’ ว่า มีคนเจ็บป่วยที่เคยด้อยโอกาสอยู่จริงๆ ได้กลายเป็นคนเจ็บที่มีโอกาสหายเจ็บแล้วจริงๆ การไม่อาจเพ่งเล็งว่าจะช่วยบุคคลหน้าตาแบบไหน ตลอดจนการไม่รู้ปริมาณคนเจ็บที่แน่นอน รวมแล้วกลายเป็นการ ‘ช่วยแบบไม่เลือกหน้า’ จึงยังผลให้จิตเปิดแผ่ กว้างขวางไม่มีประมาณ นอกจากนั้น การได้รู้สึกว่าเราช่วยกันสร้างถาวรวัตถุ คืออาคารรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอายุยืน ก็เป็นเหตุให้ทราบด้วยใจว่า ทานครั้งนี้จะช่วยผู้คนได้อีกนาน ‘สภาพทางใจ’ ของคุณหลังให้ทาน จึงมีความมั่นคง นึกถึงเมื่อใดก็มีความสุข มีความอุ่นใจขึ้นมาเมื่อนั้น ๓) สำหรับคนที่มักบ่นว่า ทำบุญอยู่เรื่อยๆ แต่รู้สึกเฉยๆ หรือกระทั่งจิตใจเหี่ยวแห้งไม่มีน้ำไม่มีนวล แล้วเป็นห่วงตัวเองว่าทำบุญผิดวิธีหรือเปล่า ครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่จะพินิจดูใจตนเองครับว่า ถ้าต่อยอดบุญให้เป็น ‘บุญครบวงจร’ จะยังเฉยๆอีกไหม การ ‘ให้ไม่เลือกหน้า’ กับทั้ง ‘ให้แบบไม่ได้หน้า’ ครั้งนี้ ปรุงแต่งให้ผลทางใจเปิดโล่งและสว่างกว้างแบบมหาทาน ซึ่งความเป็นมหาทานนั้น เทียบเท่ากับการรักษาศีล ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใดรักษาศีล ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้กระทำมหาทาน เหตุเพราะให้ความปลอดภัย ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตไม่เลือกหน้า นั่นแปลว่า หลังจากทำมหาทาน สร้างโรงพยาบาลครั้งนี้ ขอเพียงคุณคิดต่อยอด ตั้งใจรักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ คุณจะรู้สึกเป็นของง่าย มีจิตสอดคล้อง กลมกลืนกัน และนั่นก็มีผลให้เกิดปีติสุข อิ่มเอิบ และจิตตั้งมั่นง่าย ให้สังเกตว่า ขณะระลึกถึงทานกับศีลแล้วเป็นสุขอยู่นั่นเอง ถ้าลองหลับตา คุณจะสามารถรู้สึกถึงลมหายใจได้เด่นๆโดดๆ อาการแบบนั้นเองคือชนวนของสมาธิ อันประกอบด้วยวิตกวิจาร จิตเกิดความสามารถรู้ตามจริงไม่ผิดเพี้ยน และเมื่อรู้ตามจริง ย่อมสามารถเจริญสติเห็นกายใจตามที่มันเป็น คือ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน นี่แหละ บุญครบวงจรตามแบบฉบับของพุทธศาสนา คือ ให้ทาน รักษาศีล และเจริญสติ ตามลำดับ ๔) การร่วมบุญกัน ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆต่อกัน แม้ไม่เห็นหน้า ไม่เคยพบตัว คุณก็รู้สึกถึงความผูกพันอันเกิดขึ้นจริงในระหว่างพวกเรา ค่าที่ได้ช่วยเปิดหูเปิดตากันและกันให้เห็นโลกต่างไป เมื่อรู้สึกว่าโลกนี้ยังดีได้ ก็เกิดกำลังใจดีๆขึ้นได้มาก กับทั้งเห็นโอกาสในการคิดทำบุญอื่นๆได้ไม่จำกัด สามารถข้ามผ่านความรู้สึกคับแคบ เช่น ไม่อยากเป็นคนดีอยู่คนเดียวในโลก ทำดีแล้วจะได้อะไร ทำบุญไม่เห็นรวยสักที ฯลฯ เพราะได้มาถึงมุมมองที่ว่า จะเวลาไหน จะอยู่ห่างกันเพียงใด ใครๆก็ยังเต็มใจทำอะไรดีๆร่วมกันอยู่ ขอให้รู้เถอะ เมื่อใดทำดีร่วมกัน เมื่อนั้นก็เป็นสุขร่วมกัน เบิกบานอยู่ในกองภูเขาแห่งบุญร่วมกัน ตลอดจนสามารถแยกย้ายไปช่วยกัน ทำโลกนี้ให้ดีขึ้นตามกำลังของแต่ละคน ได้ซาบซึ้งว่าธรรมะและความดีเป็นของไม่จำกัดกาล ไม่ใช่ของหมดยุคหมดสมัยไปแล้วดังที่ลือๆกัน ๕) ในส่วนของเครื่องมือแพทย์ที่สำคัญ และมีความจำเป็นต่อการช่วยพยุงชีวิต ถือเป็นบุญที่พวกเราทำสำเร็จบริบูรณ์แล้ว กล่าวคือ เจตนาให้ทานได้เกิดแล้ว วัตถุทานได้เกิดแล้ว วัตถุทานถึงมือผู้รับแล้ว กับทั้งเกิดความรับรู้ด้วยการมองเห็นทางตาแล้ว แต่สำหรับอาคารธรรมะประทานและบ้านพักใจดี แม้จะมอบเงินค่าก่อสร้างไปแล้ว ทว่าก็เป็นบุญที่ต้องรอเวลาสำเร็จตามการสร้างอาคาร ฉะนั้น เมื่ออาคารธรรมะประทานและบ้านพักใจดีสร้างเสร็จ ผมก็จะมา ‘ทำให้เกิดการรับรู้ด้วยตา’ อีกครั้งว่าสำเร็จครบบริบูรณ์แล้ว ถึงเวลานั้นค่อยสังเกตเอาว่า ความรู้สึกต่างกันแค่ไหนกับตอนนี้ที่รอเสร็จ นี่เป็นส่วนที่จะก่อให้เกิดมุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมดีขึ้น กล่าวคือ แม้มีความพยายามในการกระทำแล้ว ก็อาจจะยังก่อกรรมไม่สำเร็จครบ หากเป้าหมายยังไม่ลุล่วง เหมือนเช่นที่กรรมในการฆ่ายังไม่นับว่าสมบูรณ์ แม้ยิงแล้ว แทงแล้ว แต่คนหรือสัตว์ยังไม่ตายจริง กรรมในการขโมยยังไม่นับว่าสมบูรณ์ แม้ปีนรั้วแล้ว เปิดตู้เซฟแล้ว แต่เจ้าของบ้านตื่นมาเห็น จึงหนีไปเสียก่อน เป็นต้น ๖) ธรรมเนียมการทำบุญใหญ่ของไทยเรา มักพ่วงท้ายด้วยการอธิษฐาน หากอยากทราบว่า ระหว่างทำบุญแล้วอธิษฐานกับไม่อธิษฐาน อย่างไรจึงเป็นสิ่งที่ควรทำกันแน่ ลองไปอ่านที่ผมเคยเขียนไว้ได้ที่ https://www.facebook.com/dungtrin/posts/709307185793109 ถ้าคิดว่าควรอธิษฐาน จะอธิษฐานอย่างไรให้คุ้ม https://www.facebook.com/dungtrin/posts/708837929173368 ๗) ยังมีสถานพยาบาลดีๆอีกมากที่รอความช่วยเหลือ และคนดีย่อมรู้จักคนดี ขอให้ติดต่อสอบถามผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีณรงค์ นายแพทย์วุฒิชัย แป้นทอง โทรศัพท์ (085) 025-1008, (044) 509-212, (044) 509-214 หรือหากปรารถนาจะช่วยเสริมสร้างโรงพยาบาลศรีณรงค์อีก ก็ขอให้โอนเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขาสังขะ ชื่อบัญชี เงินบำรุงโรงพยาบาลศรีณรงค์ บัญชีออมทรัพย์ 0-201-0-479141-1 อนุโมทนาในมหาทานร่วมกันครับ -- สมัครเพื่ออ่านสเตตัสของดังตฤณทุกวันโดยคลิก Like และเลือก Get Notifications กับ Show in News Feed -- อ่านหนังสือทั้งหมดของดังตฤณได้ที่ http://dungtrin.com/ http://dungtrin.net/ Lily ยัยตัวร้าย หนูได้ร่วมบุญครั้งนี้ด้วย หนูทำบุญอุทิศให้พ่อแม่มีสุขภาพแข็งแรง ถ้าป่วยก้อขอให้หายไวๆ จากหนักเป็นเบา อย่างนี้หนูทำโดยเจือโลภะไหมคะ?? แต่หนูตั้งใจทำบุญสร้างโรงพยาบาลมากๆเรยนะคะ Edited · Like · 9 · Reply · More · Jun 5, 2014 Dungtrin Lily ยัยตัวร้าย ไม่ใช่โลภะครับ เป็นความเผื่อแผ่เพื่อบุพการี เป็นบุญที่เจืออยู่ด้วยกตัญญุตตา ก.พ. 22, 2016 1:37:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama แปลง DVD 9 to dvd 5 (4.7 GB) http://www.dvd-guides.com/guides/copydvdtodvd/247-how-to-copy-a-dvd-9-to-dvd-5 http://yamload.blogspot.com/2010/03/dvdfab-dvd9-dvd5-2.html?m=1 https://translate.googleusercontent.com/translate_c?depth=1&nv=1&rurl=translate.google.co.th&tl=th&u=http%3A%2F%2Fwww.dvd-guides.com%2Fguides%2Fcopydvdtodvd%2F247-how-to-copy-a-dvd-9-to-dvd-5&usg=ALkJrhgPt26NxDpVQlqpAm317FgfPFFvQA ก.พ. 22, 2016 1:46:14pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama มงล 38ประการ ประกอบเสียงดนตรี เสียงผูหญิงเว็บสังฆทาน https://archive.org/details/mongkon_38 ก.พ. 22, 2016 2:02:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ไม่จริงหรอก ก.พ. 22, 2016 2:06:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ไม่มีจริง ก.พ. 22, 2016 2:08:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama กสินไฟ...โดยหลอดไฟ....เปลวเทียนไหว......(จุดไฟ...กลัวไฟไหม้)....หลอดไฟฉาย....แล้วก็....หลอด LED ........มีสีแดง...สีเขียว....สีส้ม...แล้วก็สีเหลือง....ใช้ได้หมด...แต่สีแดง เขียว ส้ม เหลือง ไม่ใช่ กสินไฟแล้ว เป็นกสินเหมือนกัน...แต่เป็นกสินอื่น.....ถ้าเพ่งเปลวเทียนให้เพ่งดูที่มีแสงทึบ...แล้วอย่าเพ่งเปลวไฟที่เคลื่อนไหว...(กำหนดจิต..เพ่งหมายเอา)...เพ่งจนติดตาติดใจ....เพ่งจนหลับตาก็เห็น....จะลืมตาก็เห็น...ประเภทไปไหนข้าไปด้วย(แม้ในขณะอยู่ในสถานที่อื่น...นอกเหนือจากที่ฝึก)...ฝึกเอาจนนึกก็เห็น...(ลืมตาข้างเดียวก็เห็นได้.....อันนี้พูดเล่น ที่จริงถ้าเพ่งจนชำนาญแล้ว...มัน..นึก..คิด.หรือมันอยู่ไหนหว่า...มันก็เห็นแล้ว)กำหนด...จิต...เอานิมิตนั้นไว้ในตัวเรา...(ไม่ส่งจิต ออกนอก)ไม่ว่าจะหน้าอก.....หน้าผาก.....ศรีษะ....หรือศูนย์กลางกาย....ตอนแรกมันจะเป็นดวงออกสีค่อนข้างแดงก่อน.....ต่อมาสีมันจะเปลี่ยน.....ก็อย่าตกอกตกใจเข้าล่ะ.....ประคองนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น....ไม่ต้องไปอยากเห็น อยากรู้อะไร หรือไปสงสัยมันเข้า มันอาจจะกัดเอาได้...พูดเล่นอีกแล้ว....ให้นิ่ง...เฉย...ไว้...ให้มันเป็นไปของมันเอง....กำหนดจิต..รู้อยู่ที่เรา...ไม่ใช่ไปอยู่ที่นิมิตที่เห็น....เพ่งฝึกไปเรื่อยๆ...สำคัญ..นิ่งเฉยเข้าไว้...เพ่งนิมิตแบบสบายๆๆ...(สำคัญต้องสบาย...สบายอย่างไร......อันนี้ไม่อธิบายแล้ว....เพราะว่ามันสบาย) ทำตามหน้าที่..คือ...มีหน้าที่เพ่ง...กำหนด...นิมิตก็เพ่ง..ฝึกไปเรื่อยๆ...ส่วนคำบริกรรมภาวนาก็ว่าไปเรื่อยๆ..ๆ.....เตโชกสินัง.....เตโชกสินัง....ฯ (ถ้าคำภาวนามันหายไปก็ช่างมันปล่อยให้มันหายไป...อย่าไปตามมันกลับมาเข้าล่ะ...นิ่งเฉยเข้าไว้...ปล่อยให้เป็นไปของมันเอง.....) นิมิตหรือดวงที่เห็นก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว......จากขาวก็ค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ....ใสจนไม่มีอะไรเจือปน......ก็...ฝึกไปเรื่อยๆ...จากใสก็มีประกาย....พรึก.........เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน.....การเพ่งเทียนนิมิตที่เห็นจะไม่ค่อยกลม...เออ...จะเป็นวงรี.....ต้องค่อยฝึก....ตอนอุคหนิมิต....หรือตอนไหนผู้ฝึก...กำหนดหมายเอาเอง...ให้เห็นเป็นดวงกลม...ซึ่งก็ต้องลำบาก...ลำบน..พอสมควร...ส่วนการเพ่งกสินไฟโดยใช้หลอดไฟฟ้านั้น...(สะดวกดี.....และก็การฝึกก็เหมือนเพ่งเทียน)..ในเว๊ปก็เห็นมีคนกล่าวถึงไว้แล้ว....และก็ประสพพบเห็นก็มากมาย.....แม้กระทั้งตัวผู้เขียนเองก็ยังใช้เลย.......(โลกมันเปลี่ยนไป....ยุคสมัยก็เปลี่ยนไปแล้ว....เอาเป็นว่า...คำนึงถึงผลที่เกิด..ที่ได้ดีกว่า)...ก็...ขอเกริ่นเอาไว้เปรียบเทียบ...ไว้คิด....พิจารณา....ลองไปปฏิบัติใช้....ดู...หรือศึกษาไว้เป็นข้อมูลก่อนก็ได้....(ส่วนตัวผู้เขียน....ล่อ...ลอง...ปฏิบัติ...ไป.....ไม่...หมด....เพราะฝึกทุกอย่างไปเรื่อยๆไม่เห็นหมดสักที...มีมาให้ฝึกเรื่อยๆทั้งสมถกับวิปัสสนากรรมฐาน...รวมถึงทั้งมารมาทดสอบ...ทำบททดสอบให้)หลอดไฟที่จะใช้..ก็น่าจะเป็นหลอดกลม....(ประเภทหลอดปิงปอง) ทึบ...หรือหลอดฝ้าสีขาว...ถ้าเป็นไปได้อย่าเอาที่มีพิมพ์ยี่ห้อ...ติดกับหลอดไฟ...เพราะนิมิตที่เห็นมันจะติดไปด้วย(เนื่องจากมีคนฝึก...แล้วนิมิตที่เห็นติดยี่ห้อไปด้วย......อันนี้ไม่ใช่ผู้เขียนนา....คนอื่น....ผู้เขียนรู้และระวังไว้ก่อนแล้ว)ไม่ควรใช้หลอดใส....วัตต์ก็ใช้วัตต์น้อยๆ....ผู้เขียนถ้าจำไม่ผิดล่อ...100...แล้วลดลงมาเรื่อยๆ 60 แล้วก็ 40 วัตต์.....แล้วก็ 25 วัตต์....ก็แสบตาน่าดู....(เมื่อก่อน..นานมา....ก็เป็นสิบกว่าปีแล้ว....ก็เพ่งเทียน........มาเรื่อยๆ....ประเภทฝึกบ้าง.... ไม่ฝึกบ้าง...เหมือนกัน.......แล้วก็หลอดไฟ....แล้วก็ดวงอาทิตย์...แล้วก็หลอดไฟ..ฯลฯ..หลังๆใช้นึกกำหนดเห็นเอา....)ที่สำคัญเพ่งพอประมาณ....ก็หลับตาลง......ให้เห็นนิมิต...ถ้าหายไปก็เพ่งใหม่.....จนติดตา..ติดใจ...รู้สึกแสบตาหรือไม่ไหวแล้วก็หยุดเสีย...(ให้รู้ว่าตามันรับได้แต่ไหน....ไม่ใช่ยายน่ะ) สำหรับดวงอาทิตย์นั้นอย่าเพ่งตอนกลางวันให้เพ่งตอนเช้า...พระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือกำลังตกดิน...เพราะแสงไม่สว่างจ้าจนเกินไป....และให้เพ่งระยะเวลาอันสั้น....แล้วค่อยเริ่มพรุ่งนี้ใหม่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ...(ให้ระมัด...ระวังด้วยเดี๋ยวตาจะบอด....ไม่ใช่ยายบอด...เพราะยายแกไม่รู้เรื่องด้วย)......กสินไฟก็มีประโยชน์และโทษเหมือนกัน...ลองฟังความคิดเห็นของผู้เขียนดู...การฝึกกสินไฟนั้นถ้าเป็นคนอารมณ์ร้อน...หรือประเภทขี้โมโห..หรือหงุดหงิดง่าย..หรือหุนหันพลันแล่น ก็จะเพิ่มดีกรี หรือความรุนแรงเพิ่มขึ้น ต้องระวังควบคุมอารมณ์ไว้ให้ดี...(สำคัญอย่าประมาท.....หรือทะนงตน)...ต้องหรือใช้กรรมฐานอื่นแก้เพื่อบรรเทาให้สงบระงับ...เช่นพรหมวิหารสี่ซึ่งเป็นกรรมฐานเย็น...ต้องคอยฝึกกำกับไว้ให้..ได้ตลอดเวลาก็จะเป็นการดี...หรือการฝึกกสินน้ำ...ไว้....ลด..บรรเทาอาการความลุ่มร้อน..ให้สงบระงับ(อันนี้ไม่ค่อยอยากจะแนะนำ ควรที่จะฝึกให้ได้เป็นอย่างๆไปจะดีกว่า ซึ่งจะสำเร็จได้ง่ายและเร็ว....ซึ่งต้องใช้การวางจิต...กำหนดจิตที่ดี ถึงจะเป็นผล) อีกอย่างหนึ่งก็คือความร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา.....การฝึกกสินไฟพอฝึกไปได้สักระยะ....พอมีผล...ก็จะเกิดอาการปวดแสบ...ปวดร้อน...ตามร่างกาย....หรือบางทีพอนึกกำหนดเท่านั้น ก็ร้อนขึ้นมาทันที...(ร้อนมาก ร้อนน้อยก็คงแล้วแต่สมาธิที่กำหนด)บางทีหน้าแดง...ตัวร้อนเหมือนจะเป็นไข้....ร้อนตามเนื้อตามตัว...ต้องกำหนดจิต...ไว้ว่าร้อนคือเรา..เราคือร้อน...หรือเป็นส่วนหนึ่งของเรา อะไรทำนองนี้แหละก็จะบรรเทา..ไปได้...บ้าง...บางทีอาจ....ก่อนเพ่งให้หาน้ำใส่ขวดแบน.....มองผ่านซะก่อน...ไปที่ดวงไฟที่เพ่ง...ก็จะพอลด...บรรเทาอาการร้อนไปได้บ้างเหมือนกัน(หาวิธีเอาเอง..ตามถนัด...ไว้บ้างก็จะดี)......ถ้าอยู่ในฤดูหนาวฝึกเพ่งกสินไฟ...ก็ลดภาระของความร้อนไปได้บ้าง...แถมอบ...อุ่น...อีกต่างหาก.....(เนื่องจากผู้เขียนอยู่ภาคเหนือ)ที่สำคัญอย่าอยากได้...อยากมี...อยากจะเป็น...ที่กำหนดจะให้ร้อนน่ะ.....มันจะหายไป...ฝึกไปเรื่อยๆก็จะรู้เอง(เป็นปัจจัตตัง.....ไม่ใช่สตางค์เที่ยวไปจ่ายแจกใครได้)........อึม...ชักจะนอกเรื่องไปกันทั้งใหญ่และเล็ก....เพราะถามเรื่องหลอดไฟ.....เลยเป็นไฟลามทุ่งไปเสีย......เขียนและพิมพ์มาเป็นคุ้งเป็นแควเลย......เอาเป็นว่าอย่าเชื่อ..คนที่จะต้องแก่เลย.....ศึกษาไว้เป็นข้อมูล...สำหรับเตรียม...สำหรับเปรียบเทียบ...หรืออ่านเล่นเอาดีกว่า......แบบเพลินๆสบายๆ...(แต่ถ้าจะฝึกตามนี้ก็ไม่ว่ากัน) เนื่องจากผู้เขียนก็ยังจะต้องฝึกตน...เอง....อีกมาก....ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเป็นเรื่อง....เป็นราวเหมือนกัน.......กิเลสมันไม่ยอมหด...ไม่ยอมหาย...หมด...ไปเสียที....ผุดๆ...โผล่....อยู่อย่างนั้น.....ก็เลยเบื่อ.....โลกมนุษย์......ไม่อยากจะมาเกิด....มาทุกข์......ทรมานอีก......แต่.....ก็ต้องสู้...และทน...(วิริยบารมี...ขันติบารมี) เพื่อตนเองและผู้อื่นต่อไป สุดท้ายฝากสุภาษิตไว้คิดไว้อ่านดังนี้ สีลสมาธิคุณานํ ขนฺติ ปธานการณํ สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ขนฺตฺยาเยว วฑฺฒนฺติ เต. ขันติเป็นประธาน เป็นเหตุแห่งคุณศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวง ย่อมเจริญ เพราะขันติเท่านั้น ความรูโยม จาร ก.พ. 22, 2016 2:25:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama http://www.veeshop.net/product/74/หลอดไฟ-led-5v-5w-ขั้ว-usb ก.พ. 22, 2016 2:25:28pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama คำสอนหลวงปู่มั่น (Full) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=38952 ก.พ. 22, 2016 2:26:23pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้เปลี่ยนชื่อของกลุ่ม "Download Reader All Dhama" เป็น "Reader All Dhama" Reader All Dhama ก.พ. 23, 2016 10:43:02am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ก.พ. 23, 2016 10:44:16am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ อัพเดตรูปภาพหน้าปกของกลุ่ม Reader All Dhama ก.พ. 23, 2016 12:05:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https://m.facebook.com/notes/ดังตฤณ-dungtrin-fan-club/รวบรวมวาทะ-อดังตฤณ-4-พ่อ-แม่-ลูก/342156289185107/ มี.ค. 04, 2016 9:31:28am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https://m.facebook.com/dungtrin/photos/a.172991172758049.44204.169990773058089/1022389864484838/?type=3 มี.ค. 04, 2016 9:34:45am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์เพจลงในกลุ่ม: Reader All Dhama ดังตฤณ AskDungtrinfacebook.com • พ่อแม่คือรากของชีวิต ถ้าไม่บำรุงราก ชีวิตก็ยากจะเจริญ • น้ำหนักของกรรมดีที่คุณทำกับพ่อแม่ จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้ายๆเล่นงาน ก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร : ถ้าจะถามว่าใครเป็นคนกำหนดให้ต้องนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ ก็ต้องตอบว่าธรรมชาตินั่นแหล่ะที่กำหนด และฝังไว้ในสำนึกว่าการรู้คุณพ่อแม่เป็นคุณสมบัติของผู้มีใจสูง คนเราจะทราบว่าตนมีใจสูงหรือใจต่ำ ก็ดูง่ายๆว่าจำได้หรือเปล่าว่าพ่อแม่สำคัญแค่ไหน "เพราะพ่อแม่มีชีวิตต่อได้ถ้าไม่มีคุณ แต่คุณมีชีวิตขึ้นมาไม่ได้ถ้าขาดพ่อแม่" • สำหรับพ่อแม่เป็นข้อยกเว้นพิเศษ ไม่ว่าจะดีเลวอย่างไร ถ้าทำคุณกับพวกท่านก็ได้ผลเป็นความสุขความเจริญ เพราะได้ชื่อว่ารู้คุณคน ได้ชื่อว่าตอบแทนผู้ควรตอบแทน ได้ชื่อว่าใช้หนี้อันควรใช้ ตราบใดไม่ใช้หนี้ตามสมควร ตราบนั้นชีวิตย่อมเต็มไปด้วยแรงกดดัน • เมื่อใช้หนี้พ่อแม่ด้วยความสุข มีความปลาบปลื้มยินดี แรงกดดันย่อมแปรเป็นขั้วตรงข้าม คือกลายเป็นแรงหนุนส่งให้ขึ้นสูงได้ยิ่งๆขึ้น • เนื่องจากพ่อแม่และพระอรหันต์เป็นของใหญ่ ทรงคุณสูงสุดทำอะไรกับพวกท่านไว้เป็นประจำ จึงให้ผลคงเส้นคงวาไปทั้งชีวิตในชาติถัดมา • การอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณให้อยู่สุขสบาย จะเป็นตัวตั้ง เป็นหลักประกันว่าทั้งชาตินี้และชาติหน้า จะเจริญรุ่งเรืองในการทำมาหากินยิ่งๆขึ้นไป กับทั้งเป็นผู้ได้รับมรดกจากผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ถูกแย่งชิงหรือมีเหตุให้เสียมรดกไปอย่างไม่สมควร : นี่เป็นหลักการสะท้อนให้เห็นว่า ทุกคนเป็นทายาทแห่งกรรมของตน ทุกคนจะเป็นผู้รับมรดกที่ตนสร้างทำไว้อย่างเป็นรูปธรรม . . . . . . . . . . . . . . . . • กรรมที่ลืมบุญคุณคน ก็จะทำให้เป็นผู้ไม่ได้รับความเห็นใจช่วยเหลือในยามลำบาก แต่หากถึงขั้นเนรคุณได้นี่จะต้องโดนโทษหนัก ทำอะไรต่อให้เจริญแค่ไหนก็จะกลับตกต่ำอย่างไม่คาดฝัน : คนอกตัญญู แม้ได้รับมรดกก็ต้องตกไปอยู่ในห้วงของการแย่งชิง ทำนองศึกสายเลือดหรือมีเหตุให้สมบัติพินาศลง หรือแม้สมบัติไม่พินาศก็กลายเป็นของร้อนที่ครอบครองแล้ว ไม่เป็นสุขเนื่องจากสมบัติบันดาลจากบุญเก่า โดยปราศจากบุญใหม่อันได้แก่ความกตัญญูมารักษาความสงบเย็น • ถ้าเคยคิดว่ากรรมที่ทำไว้กับพ่อแม่ไม่เท่าไหร่ รีบเปลี่ยนความคิดเถอะครับ เพราะตอนรับผลตรงๆ เป็นความเดือดเนื้อร้อนใจเกี่ยวกับลูกหลาน แล้วจำได้เป็นฉากๆว่าไอ้ที่ประสบอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เคยทำไว้กับพ่อแม่อย่างไร บางทีอาจสายเกินกว่าจะแก้อะไรแล้ว ต้องแบกวิบากอ่วมอรทัยกันยืดเยื้อยาวนานแล้ว • โทษของการกดหัวใช้ผู้คนเยี่ยงทาสเป็นจำนวนมาก ยังนับว่าเบากว่า การกดหัวใช้พ่อแม่ด้วยจิตสกปรกเห็นพ่อแม่เป็นคนใช้ และการกดหัวใช้พ่อแม่ไปทั้งชาติ ก็อาจได้น้ำหนักประมาณเดียวกันกับการกดใช้พระอรหันต์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์สักระยะหนึ่ง • กรรมที่เหวี่ยงให้ไปเกิดในตระกูลต่ำ ต้องเป็นข้าทาสบริวารชนิดเลี่ยงไม่ได้ ดิ้นรนไม่รอดนั้น ได้แก่การกดหัวใช้ผู้ทรงศีล กดหัวใช้พ่อแม่ หรือกดหัวใช้ผู้คนจำนวนมาก คำว่า ‘กดหัวใช้’ ในที่นี้ ผมหมายถึงการมีความคิดเหยียด มีใจเย่อหยิ่งจองหอง ถือสิทธิ์หรือถือโอกาสที่อยู่ในฐานะเหนือกว่า วางอำนาจใช้สอยคนด้วยใจคิดข่มขี่ข่มเหง • พ่อแม่คือรากของความเป็นคุณ คนเราถ้าบำรุงรากให้เจริญขึ้นได้ หรืออย่างน้อยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ก็คือทำตัวเองให้รุ่งโรจน์ขึ้นนั่นเอง คิดข้ามช็อตดีกว่า อย่ากลัวบาปจากการทะเลาะกับพ่อแม่ หันมากลัวไม่ได้บุญจากการมีส่วนเปลี่ยนพ่อแม่ให้เย็นลงกันเถอะ! . . . . . . . . . . . . . . . . . • การคิดเลี้ยงดูให้พ่อแม่สุขทั้งกายสบายทั้งใจ นับเป็นการตอบแทนครึ่งเดียว หากจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น คุณต้องมีโอกาสด้วย โอกาสที่ว่านั้นคือพ่อ และ/หรือ แม่ของคุณยังไม่มีที่พึ่งให้ตนเอง ได้แก่ความรู้ความศรัทธาในเรื่องกรรมและการให้ผลกรรม ยังไม่มีความตั้งมั่นในทาน ยังไม่มีความตั้งมั่นในศีล แล้วคุณสามารถโน้มน้าว ชักชวนให้พวกท่านมาศรัทธากรรม ฝึกให้ทานจนไม่ให้แล้วเหมือนขาดอะไรไป ฝึกถือศีลจนประพฤติผิดแล้วรู้สึกผิดรุนแรง นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าตอบแทนคุณท่านอย่างสมน้ำสมเนื้อ • ธรรมชาติพิเศษของการใช้หนี้บุญคุณมีอยู่ประการหนึ่ง คือยิ่งหนี้สูงแล้วคุณใช้คืนอย่างสมน้ำสมเนื้อ คุณจะได้คะแนนบวกมหาศาล น้ำหนักของกรรมดีที่คุณทำกับพ่อแม่จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้ายๆเล่นงาน ก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร • หากคุณไม่ตอบแทนพ่อแม่เลย ลูกของคุณจะทำหน้าที่ทวงแทน คือกรรมของคุณจะไปดึงดูดเอาพวกที่จะมาเป็นลูกล้างลูกผลาญ และไม่สำนึกบุญคุณ หากคุณไม่มีลูกก็ทบหนี้ไปถึงชีวิตหน้าในเกมต่อไป ในทางกลับกัน หากคุณมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบดูแลลูกเมียให้ดี มันอาจหมายถึงการเลื่อนเวลาชดใช้หนี้เก่าก็ได้ ต้องแยกให้ออกว่าลูกอาจติดหนี้น้ำกามของคุณ แต่คุณเองก็อาจเคยติดหนี้เขาไว้ก่อน (และโดยมากจะเป็นเช่นนั้น) หากเขามาทวงหนี้คืนแล้วไม่ใช้ ชาติต่อไปคุณก็มีสิทธิ์สูงที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบ เลี้ยงดูแบบทิ้งๆขว้างๆ หรือฝากคนอื่นเลี้ยงจนคุณว้าเหว่และมีปัญหาตั้งแต่เล็ก • พระพุทธเจ้าให้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ด้วยที่พึ่งอันแท้จริงคือความเข้าใจธรรม ตั้งมั่นในทานและศีล แต่ที่เราควรทำให้ตนคือภาวนาไป . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . • ทำอย่างไรจึงจะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ดี ? : คำตอบคือทำแต่กรรมที่ดีๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์มีกรรมเป็นแดนเกิด ฉะนั้นอย่าน้อยใจ และอย่าชะล่าใจ กับกรรมเก่าที่ส่งเรามาอยู่กับพ่อแม่ดีหรือไม่ดีในชาติปัจจุบัน อยากมีพ่อแม่แบบไหนในครั้งหน้า ก็ขอให้ประพฤติตัวแบบนั้นมากๆไปจนชั่วชีวิตก็แล้วกัน กรรมที่คุณทำเป็นอาจิณนั่นแหละตัวเลือกแดนเกิด ตัวเลือกเผ่าพันธุ์ใหม่ให้ . . . . . . . . . . . . . . . . . . • เรื่องการเลี้ยงสัตว์ก็ดี เรื่องการเลี้ยงลูกก็ดี ต้องคำนึงมากๆครับว่า เหล่านั้นคือสิ่งมีชีวิต เราให้เขามีชีวิตอย่างไร เมื่อถึงเวลาย้อนกลับมาถึงตาเราชีวิตเราก็เป็นอย่างนั้นด้วย • ธรรมชาติบีบให้คนทั่วไปอยากมีลูก เว้นแต่คนที่อยากเป็นอิสระ หาเลี้ยงตัวยังไม่ได้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งอย่างพ่อ ขาดความอ่อนโยนอย่างแม่ ~ นอกจากนั้น.. คนที่สั่งสมบารมีในการหลุดพ้นมากๆ ที่เกิดชาติสุดท้ายจะไม่อยากมีลูก ทั้งที่ก็เลี้ยงตัวได้ มีคุณสมบัติเป็นพ่อเป็นแม่ได้ : มีลูกยังไม่ได้ตัดสินว่ามีบุญหรือมีบาป ถ้าลูกทำความสบายใจให้เป็นส่วนใหญ่ จึงถือว่ามีบุญที่เป็นแดนเกิดให้คนมีบุญครับ • เราทำอะไรดีหรือไม่ดีไว้กับใคร จะเห็นตัวเองชัดที่สุดตอนลูกทำกับเรานั่นแหละครับ ถ้าไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูเขาเราก็โดนทบดอกเบี้ยอีก • ลูกไม่มีสิทธิ์คาดหวังว่าหน้าตาคุณจะเป็นอย่างไร แต่เขามีสิทธิ์คาดหวังว่า หน้าตาคุณอ่อนโยนขนาดไหนในเวลาที่ยื่นหน้าไปหาเขา • ความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก เป็นปัญหาคู่โลก เป็นความขัดแย้งทางความคิด ไม่ถือว่าบาป เพียงแต่เราต้องไม่คิดหรือพูดต่อกันด้วยโทสะ หรืออารมณ์โกรธ สำหรับพ่อแม่ หากคุณเลี้ยงลูกในสิ่งที่คุณอยากให้เป็น คุณจะไม่มีทางได้รู้จักลูก หรือตัวตนที่แท้จริงของลูก และสำหรับลูก เราควรพูดกับพ่อแม่ดีๆ ให้ท่านเข้าใจในตัวตนของเรา จะได้ไม่ต้องเถียงกัน พูดด้วยเหตุด้วยผล • พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิดฉะนั้นกรรมจะเป็นผู้รู้ และเข้าใจครับว่าต้องจัดสรรพ่อแม่แบบไหนมาให้เด็ก ไม่ใช่เราอยากได้เด็กแบบไหนแล้วจะมีวิธีให้ได้ดังใจ • ทำบุญขอมีลูกที่ดีที่สุด ได้ผลที่สุดที่เห็นมาหลายราย คือทำด้วยการตั้งใจว่า ถ้าเทวดาไหนอยากมาต่อบุญ ต่อศีล ต่อภาวนา เราจะเป็นแดนเกิดให้ • ไม่มีเด็กคนไหนดื้อ มีแต่เด็กที่ไม่เข้าใจว่า ผู้ใหญ่ขอให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปทำไม เพราะผู้ใหญ่ไม่อดทนพอจะอธิบายให้ฉลาดหน่อย • เด็กจะสนใจทุกคำตอบที่เขาสงสัย แต่จะเพิกเฉยกับทุกคำสอนที่สร้างความสงสัยว่า ทำไมเขาต้องทนฟัง • การสอนที่ล้าสมัยทำให้เด็กจมอยู่กับอดีต การสอนที่ล้ำสมัยทำให้เด็กอยากสร้างอนาคต การสอนที่ทันสมัยทำให้เด็กอยู่กับปัจจุบันเป็น • ทำให้เด็กมีปัญหา แล้วโลกจะมีปัญหากว่านั้น ทำให้เด็กหมดปัญหา แล้วโลกจะมีคนพยายามทำปัญหาให้หมดไป ดังตฤณ http://www.facebook.com/AskDungtrin เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก สมมุติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูกเมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก ...สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อนให้ใจเย็น ใจดี มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่า ใจเราพร้อมแล้ว และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อมแต่ลูกยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟังจึงเกิดประโยชน์เป็นการสอน... ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก . . . . . . . . . . . . . . . . . . 『 TUNYAR 』• Admin Fanpage ~ เรียบเรียง ~ มี.ค. 04, 2016 9:50:16am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama 13÷43-7-+duggດນີajstsuc@#$&+(9764+= มี.ค. 04, 2016 9:50:56am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama พระโพธิ์สัตว์..เป็นผู้มีบุญคุณอันเลิศยิ่ง เป็นผู้เสียสละ..เสียสละอย่างใหญ่หลวงโอฬา เป็นเวลายาวนาน...มากหลายอสงไขมากหลายแสนกัป ที่ต้องเกิดที่ต้องตาย...หลาย...แห่งหนในหลาย..ภพ กว่าจะเกี่ยวเก็บบารมีสามสิบทัตที่งดงามให้เต็มเปี่ยม เมื่อเต็มแล้ว...จะถึงความเป็นผู้ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่งในภพทั้งหลาย สมดั่งที่พระตถาคตเจ้าพยากรณ์ไว้ว่า.. เธอ.เป็นผู้ที่จะงดงามในอนาคตกาลเบื้องหน้า อย่างแน่แท้ คือว่า..จะได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ่งถึงความสิ้นทุกข์ก่อนใครๆในกัปนั้นอย่างสมบูรณ์ จะเป็นผู้ยอดเยื่อมที่สุดในโลก ไม่มีใครเหมือนได้ ทั้งในเดชแห่งญาณคือปัญญาที่แตกฉานอย่างเฉียบแหลม ไม่มีจำกัด... สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสัจจะควาจริงอันสุดยอด ที่เหล่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้รู้จากเธอ และในเดชแห่งฤทธิ์ ทั้งมนุษย์ เทวดา มาร ไม่มีใครจะข่มได้ พระตถาคตเจ้าในบัดนั้นคือเธอในบัดนี้ เธอจะเป็นผู้งามสมบูรณ์ที่สุดแห่งโลกทั้งหลายในบัดนั้น ทั้งคำสอนที่เป็นธรรมอมตะไม่มีใครเหมือน คำสอนนั้นพ่วงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงแดนเกษมแห่งความปลอดภัย ทั้งมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายในบัดนั้นควรแท้ที่จะได้ดื่มรสแห่งธรรมอมตะนั้นอันหลุดพ้น.. เหมือนกับธรรมที่เราแสดงประกาศแล้วในตอนนี้ กล่าวคือ..ธรรมที่หลุดพ้นจากเครืองผูกแห่งจิตใจ ดับไม่เหลือ ทั้งราคะ โทสะ โมหะเครืองเศร้าหมอง หลุดจากอาสวะทั้งสิ้น หลุดแล้วหลุดเลย... ข้าพระเจ้าขอกราบสำนึกบุญคุณพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่อยู่ในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์อยู่ก็ดี เป็นเทพเทวดาอยู่ก็ดี เป็นพรหมอยู่ก็ดี ทั้งที่อยู่ในทุคติภูมิ ขอให้หลุดจากภพเหล่านั้นโดยเร็ว แล้วเกิดในสุคติภูมิและมีธาตุขันธ์ที่แข็งแรงเป็นสัมมาทิฏฐิ มีศีลมีสติปัญญาในการสร้างบารมีให้เต็ม .... สาธุ ..../\..... สาธุ พระโพธิ์สัตว์..เป็นผู้มีบุญคุณอันเลิศยิ่ง เป็นผู้เสียสละ..เสียสละอย่างใหญ่หลวงโอฬา เป็นเวลายาวนาน...มากหลายอสงไขมากหลายแสนกัป ที่ต้องเกิดที่ต้องตาย...หลาย...แห่งหนในหลาย..ภพ กว่าจะเกี่ยวเก็บบารมีสามสิบทัตที่งดงามให้เต็มเปี่ยม เมื่อเต็มแล้ว...จะถึงความเป็นผู้ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่งในภพทั้งหลาย สมดั่งที่พระตถาคตเจ้าพยากรณ์ไว้ว่า.. เธอ.เป็นผู้ที่จะงดงามในอนาคตกาลเบื้องหน้า อย่างแน่แท้ คือว่า..จะได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ่งถึงความสิ้นทุกข์ก่อนใครๆในกัปนั้นอย่างสมบูรณ์ จะเป็นผู้ยอดเยื่อมที่สุดในโลก ไม่มีใครเหมือนได้ ทั้งในเดชแห่งญาณคือปัญญาที่แตกฉานอย่างเฉียบแหลม ไม่มีจำกัด... สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสัจจะควาจริงอันสุดยอด ที่เหล่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้รู้จากเธอ และในเดชแห่งฤทธิ์ ทั้งมนุษย์ เทวดา มาร ไม่มีใครจะข่มได้ พระตถาคตเจ้าในบัดนั้นคือเธอในบัดนี้ เธอจะเป็นผู้งามสมบูรณ์ที่สุดแห่งโลกทั้งหลายในบัดนั้น ทั้งคำสอนที่เป็นธรรมอมตะไม่มีใครเหมือน คำสอนนั้นพ่วงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงแดนเกษมแห่งความปลอดภัย ทั้งมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายในบัดนั้นควรแท้ที่จะได้ดื่มรสแห่งธรรมอมตะนั้นอันหลุดพ้น.. เหมือนกับธรรมที่เราแสดงประกาศแล้วในตอนนี้ กล่าวคือ..ธรรมที่หลุดพ้นจากเครืองผูกแห่งจิตใจ ดับไม่เหลือ ทั้งราคะ โทสะ โมหะเครืองเศร้าหมอง หลุดจากอาสวะทั้งสิ้น หลุดแล้วหลุดเลย... ข้าพระเจ้าขอกราบสำนึกบุญคุณพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่อยู่ในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์อยู่ก็ดี เป็นเทพเทวดาอยู่ก็ดี เป็นพรหมอยู่ก็ดี ทั้งที่อยู่ในทุคติภูมิ ขอให้หลุดจากภพเหล่านั้นโดยเร็ว แล้วเกิดในสุคติภูมิและมีธาตุขันธ์ที่แข็งแรงเป็นสัมมาทิฏฐิ มีศีลมีสติปัญญาในการสร้างบารมีให้เต็ม .... สาธุ ..../\..... สาธุ มี.ค. 06, 2016 11:31:32pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น เห็นอะไรไหม..? ในชีวิต" ..................................... ..................................... #ควรแท้ที่จะสลดสังเวช แล้วเริ่มปฏิบัติธรรม เห็นอะไรไหม..? ในชีวิต" ..................................... ..................................... สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความหนุ่มสาว ..................................... #ควรแท้ที่จะสลดสังเวช แล้วเริ่มปฏิบัติธรรม มี.ค. 07, 2016 8:44:22am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https://portal.weloveshopping.com/product/L90372984 มี.ค. 11, 2016 10:42:33am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/watch?v=CTUmMw0YW2o [เทปรายการกรรมลิขิต] 'ตอนกรรมตามสนอง' คือเป็นเรื่องคนตกปลาฆ่าไปขาย พ่อค้าขายปลา : ฆ่าสัตว์ท้งๆที่เจตนาเราไม่ได้ทำเพราะความสนุกเลยนะ เราทำเพราะว่าเป็นอาชีพ เพื่อเอามาขาย เพื่อเอามาแลกเงิน แต่ในช่วงนั้นเวลาเราได้เราดีใจ อู้ดีใจแล้วอยากจะได้เยอะๆ นั้นแหละตรงนั้นละมั้งที่ทำให้เราต้องมารับชดใช้ผลของกรรมตรงนี้ ท่าน ว วชิระเมธี : พระพุทธเจ้าเวลาพระองค์ค์ตรัสว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาปเหมือนกันทั้งหมด แต่บาปไม่เท่ากันทังหมด ที่บอกว่าบาปเหมือนกันก็เพราะว่า เขาเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกันกับเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปทำร้ายทพลายเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตในทุกๆกรณี ก็ถทือว่าเป็นบาปเหมือนกัน จะหนักจะเบาจะมากจะน้อยให้วัดกันที่ เจตนาเป็นสำคัญ ถ้าในกรณีที่สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ถึงตาย เขาก็จะเป็นที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง อาจจะเจ็บอ๋อดๆแอ๋ดๆ พยายามจะรักษาอย่างไร ก็รักษาไม่หาย เพราะโรคชนิดนั้นมีสมุฐติ้ฐานมาจากโรคเวรโรคกรม เศษกรรมนั้นติดเนื้อติดตัวเขามานะ แต่ว่าถ้าไม่ทำสัตวืเหล่านั้นถึงตาย แล้วก็ยินดีในความตายของเขา เป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดาสนุขสนานก็จะมีอายุสั้น เช่นอาจจะปกระสบอุบัติเหตุ ทั้งๆที่กำลังรุ่งโรจน์ การตัดกรรมที่แท้จริงก็คือการตัดพฤติกรรมที่ไม่ดีทิ้งเสีย เราเบียดเบียนเขามากเราก็ต้องแผ่เมตตาให้เขามากๆ รักษาศีลทำบุญ บำเพ็ญสมาธิ ภาวนา แผ่เมตตาดรุณาคืนไปให้กับเขา ทำได้อย่างนี้ก็จะสามารถผ่อนหนักเป้นเบาได้อย่างแน่นอน https://www.youtube.com/watch?v=CTUmMw0YW2o มี.ค. 11, 2016 2:08:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น {พระพุทธเจ้าชาติที่เป็นโพธิ์สัตว์ยังมืได้ตรัสรู้ เคยเกิดในประเทศไทยหลายครั้งนะ} “บารมี ๑๐ ทัศของพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน ท่านอาจารย์ตื้อ (อจลธัมโม)ได้บอกไว้ว่า.. - ทานบารมี เสวยพระชาติเป็น “พระเวสสันดร” อยู่มหาชัยจำปาศักดิ์ - ศีลบารมี เสวยพระชาติเป็น “พญานาคเผือกภูริทัตต์” อยู่อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ - เนกขัมมบารมี เสวยพระชาติเป็น “เตมียะใบ้” อยู่เมืองพาราณสี - ปัญญาบารมี เสวยพระชาติ “เป็นมโหสถ” กรุงเทวหะ - วิริยบารมี เสวยพระชาติเป็น “มหาชนก” ตกน้ำว่ายน้ำอยู่กลางทะเล ๗ มื้อ ๗ คืน เป็นไทเงี้ยว - ขันติบารมี เสวยพระชาติเป็น “จันทกุมาร” เมืองญวน ตุมวังฟ้ารอนหาด ตังเง้ชายง่วนเดี่ยว - สัจจบารมี เสวยพระชาติเป็น “วิธุรบัณฑิต” จังหวัดสุโขทัย - อธิษฐานบารมี เสวยพระชาติเป็น “เนมิราช” เมืองม่านอ่างวะหงสา - เมตตาบารมี เสวยพระชาติเป็น “สุวรรณสาม” จังหวัดอุตรดิตถ์ - อุเปกขาบารมี เสวยพระชาติเป็น “พรหมนารท” กรุงกบิลพัสดุ์ อย่าสงสัย ด้วยเหตุนี้เองศาสนาพุทธยังย้ายมาอยู่เมืองไทยตั้งมั่นอยู่ได้... ชาติที่เกิดเป็น “นกยูงทอง” ก็อยู่วัดพระเจ้าน้ำโมง ท่าบ่อ หนองคาย ชาติที่เกิดเป็น “ลิงเผือก” ก็อยู่วัดหินหมากเป้ง หนองคาย ชาติที่เกิดเป็น “นกคุ่มเท่าดุมเกวียน” ก็อยู่ธาตุพนม นครพนม ชาติที่เป็น “ พญากระต่าย “สสบัณฑิต” ” ให้ทานเนื้อ ก็อยู่วัดป่าบ้านห้วยทราย นี่ล่ะ หลายภพหลายชาติก็อยู่เมืองเหนือ... ...บำเพ็ญบารมีเกิดตายในเมืองไทยนี้มากนะ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ปัจจุบันนี้... เมืองไทยจึงเป็นเมืองของพระโพธิสัตว์เกิดมาบำเพ็ญบารมี ” ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร "และอานิสงส์ของการเป็นพระนิยตโพธิสัตว์" คัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินี กล่าวว่าพระนิยตโพธิสัตว์ (ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว) จะได้อานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอดจนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แdj ๑.ไม่ตาบอด หูหนวก มาแต่กำเนิด ๒.ไม่เป็นคนบ้า ๓.ไม่เป็นคนใบ้ ๔.ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน ๕.ไม่เกิดในท้องนางทาส (ไม่เป็นทาสในเรือนเบี้ย) ๖.ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ ๗.ไม่เปลี่ยนแปลงเพศ ๘.ไม่ทำอนันตริยกรรม ๙.ไม่เป็นโรคเรื้อน ๑๐.ไม่เป็นเดรัจฉานที่มีกายเล็กกว่านกกระจาบ และไม่โตกว่าช้าง ๑๑.ไม่เกิดเป็นขุปปิปาสิกเปรตและนิชฌานตัณหิกเปรต ๑๒.ไม่เกิดเป็นกาลกัญชิกาสูร ๑๓.ไม่เกิดในอเวจีนรก ๑๔.ไม่เกิดในโลกันตริกนรก ๑๕.ไม่เกิดเป็นมาร ๑๖.ไม่เกิดในอสัญญสัตตาภูมิ ๑๗.ไม่เกิดในสุทธาวาสภูมิ ๑๘.ไม่เกิดในอรูปภูมิและไม่เกิดในจักรวาลอื่น จริยธรรม 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ประกอบด้วย ๑.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ๒.พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย ๓.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ๔.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ ๕.พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว ๖.พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน ๗.พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง ๘.พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน ๙.พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ ๑๐.พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้ . มี.ค. 11, 2016 9:31:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น อย่าให้จิตที่มี (สติ) กลายเป็นจิตที่มี"โมหะ"(ความหลง) ไหลไป(โทสะ)ปรุงความโกธร * ความขัดคือง * ความคับแค้น * โกธรคนนั้นที โกรธคนโน้นที กลายเป็น"อสูรกายพาลนักโกธร" โกธรคน โกธรสัตว์ โกธรสิ่งของไปทั่ว โกธรคนเดิน โกธรนนั้ง โกธรคนนอน โกธรคนที่ทำท่าคลื่อนไหวต่างๆทางกาย นิดๆหน่อยๆก็โกธร สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราเห็นได้ด้วยตา มันก็ต้องมีความเคลือนไหวเป็นธรรมดา ใจมันหลงอยากโกธร เราอย่าโกรธตามมันไม่ได้เหรอ ใจเป็นธาตุอย่างหนึ่ง เรียกว่า(มโนธาตุ) ที่เราบางครั้งก็บังคับมันได้นะ เช่น ใจดวงที่แล้วมันประกอบด้วยโมหะความหลง จะสร้างการใหญ่คือความโกรธขึ้นมาเผาตนเอง นี่คือมันหลง แต่เราจิตดวง ณ ปัจจุบันนี้ ประกอบขึ้นด้วยสติ เมื่อมีสติ ปัญญาจะตามมา ต้องมาคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ของจิตดวงที่แล้ว คือจะดับความโกธร ที่จิตดวงที่แล้วเป็นผู้หลงสร้าง เราจะไม่ยอมน้อมไปไม่ยอมสานต่อ ไม่สร้างผลงานความโกรธขึ้นมาไหม้ต่อแล้ว แต่เราจะทำให้มอดลงดับมันด้วย"สติ" ความโกรธคือไฟทางใจ เราจะเอาน้ำเย็นคือ สติ เทใส่มัน รดใส่มัน ราดใส่มัน ด้วยน้ำสติ จนในที่สุดมันก็จะค่อยมอดลง เราก็จะเป็นผู้เย็นเป็นผู้ชนะ" ถึงจะดับเชื้อ คือ โมหะความหลง หลงไปโกรธ หลงไปเกลียด หลงขัดเคือง ถึงจะดับเชื้อ คือ โมหะ ออกจากสันดานขันธ์ยังไม่หมด แต่ก็ควรจะภูมิใจว่า ตนได้ทำความเพียร ตามพระพุทธเจ้าสอนแล้ว ทำตามพระธรรมคำสอนเราไม่ไปทางเสื่อมแน่นอน. (T_T) มี.ค. 17, 2016 8:11:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #การโน้มน้อมใจไปหา ทุกข์ พระพุทธเจ้า เรียกว่า อนุสัย ก็คืออาการความเคยชินที่ไม่ดี อะไรกระทบกระทั่งนิดๆหน่อยๆ ทางตา ทางเสียง ก็โน้มไปพิงแต่ทุกข์ ตายไปถ้าเกิดชาติใหม่ อนุสัยตัวนี้ก็จะติดไปด้วย เราต้องฝึกใจ น้อมไปอุเบกขา คือวางเฉยต่ออารมณ์ทั้ง๒ ๑.สุข ๒. ทุกข์ ไม่เพลิดเพลิน มี.ค. 17, 2016 8:31:22pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 เม.ย. 11, 2016 10:00:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้ตั้งให้ Sakkaya Light เป็นผู้ดูแลของกลุ่ม "Reader All Dhama" เม.ย. 12, 2016 5:14:14pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama ที่อื่นดี เม.ย. 12, 2016 9:06:29pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama มรรคผลนิพพานจากอรหันต์สาวกทุกรุ่นทั้งหลายไม่มี เม.ย. 15, 2016 10:30:28am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama . เม.ย. 15, 2016 10:51:40am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama 13÷43-7-+duggດນີajstsuc@#$&+(9764+= เม.ย. 19, 2016 3:38:01pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama http://www.jbonpremium.com/สินค้า-202-เครื่องชาร์จโทรศัพท์_พลังงานแสงอาทิตย์_ไฟ_led_พรีเมี่ยม_premium.html 13÷43-7-+duggດນີajstsuc@#$&+(9764+= เม.ย. 21, 2016 1:01:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: Reader All Dhama เม.ย. 24, 2016 7:47:13pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Reader All Dhama https://portal.weloveshopping.com/product/L90460181 เม.ย. 26, 2016 4:48:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ระหว่างที่เกิด ถึงตาย จะจนหรือรวย จะสวยหรือหล่อ ระหว่างที่เกิดถึงตายนี้ สาระของเขาอยู่ตรงนี้ ๑.บุญกุศล (จากการให้ทาน จากการรักษาศีล จากการเจริญภาวนา) ๒.สติ ระลึกได้ในกายในใจในปัจจุบัน ๓.ปัญญาในการเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายบุคคลอื่นก็ไม่ใช่ของเขา 4.เห็นอารมรมณ์ทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยน กันมาให้เรารู้ ทั้งสุข, ทุกข์, เฉยๆ, ผ่านมาผ่านไปเหมือนลมพัดจิต ลมเย็นพัดผ่านมาก็รู้สึกสุข ลมร้อนพัดผ่านมาก็รู้สึกทุกข์ ลมไม่เย็นไม่ร้อนผ่านมาก็รู้สึกเฉยๆ ลมทั้ง 3 อย่างนี้ คือ (สุข) (ทุกข์) (เฉยๆ)ผ่านมาผ่านไปไม่แครใคร ใครจะยึดก็หายไป ใครจะไม่ยึดก็จะหายไป เพราะมีหน้าที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป "ผู้ใดสะสมความเห็นบ่อยๆว่า..นั่น"สุข"มันมาอีกแล้ว เราจะเป็นผู้สังเกตดู"สุขนั้น"หายไป ความสุขนั้นเหมือนลมเย็น..ไม่นานมันก็แปรปรวนหายไป เราจะมีสติเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูสุขมันหายไป ผู้ใดสะสมความเห็นบ่อยๆว่า..นั่น"ทุกข์"มันมาอีกแล้ว เราจะเป็นผู้สังเกตดู"ทุกข์นั้น"หายไป ความทุกข์นั้นเหมือยลมร้อน..ไม่นานมันก็แปรปรวนหายไป เราจะมีสติเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูทุกข์มันหายไป #ผู้ที่เจริญภาวนา มีสติ ดูสุข ดูทุกข์ อย่างนี้สม่ำเสมอนี้แหละคือผู้เกิดมาไม่ตายเปล่าๆเสียประโยชน์ทิ้ง ไม่เกิดมาเล่นๆเปล่าๆ คือเกิดมาไม่ได้สาระที่ประเสริฐเลย พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "โมฆะบุรุษ"ก็คือคนที่เกิดมาโมฆะชีวิต" #กายนี้เจริญไปหาความตายแท้ๆ พระก็เจริญไปหาความตายในคาบผ้าเหลือง ฆราวาสก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแบบชาวบ้าน คนทำงานก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแบบคนงาน คนรวยก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้าดีๆในบ้านหลังใหญ่ๆมีเงินรวยๆ คนจนก็เจริญไปหาความตายในสภาพคนจน ต้นไม้ทุกต้นก็เกิดมาเจริญไปหาความตายแท้ๆ แล้วอะไรคือประโยชน์ที่สูงสุดของชีวิตนี้ ที่ควรจะทำให้มี ก่อนที่ชีวิตนี้จะนับถอยหลังจบ เพราะมันนับถอยหลังมาตั้งแต่เกิดแล้ว เหมือนระเบิดเวลา โอ้.... ควรแท้ ที่จะมุ่งถือเอาประโยชน์จาก 4 ข้อนี้ เพลง: ตราบลมหายใจสุดท้าย (อสุภกรรมฐาน) - Official MV - YouTube http://bit.ly/1OnEXng ระหว่างที่เกิด ถึงตาย จะจนหรือรวย จะสวยหรือหล่อ ระหว่างที่เกิดถึงตายนี้ สาระของเขาอยู่ตรงนี้ ๑.บุญกุศล (จากการให้ทาน จากการรักษาศีล จากการเจริญภาวนา) ๒.สติ ระลึกได้ในกายในใจในปัจจุบัน ๓.ปัญญาในการเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายบุคคลอื่นก็ไม่ใช่ของเขา 4.เห็นอารมรมณ์ทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยน กันมาให้เรารู้ ทั้งสุข, ทุกข์, เฉยๆ, ผ่านมาผ่านไปเหมือนลมพัดจิต ลมเย็นพัดผ่านมาก็รู้สึกสุข ลมร้อนพัดผ่านมาก็รู้สึกทุกข์ ลมไม่เย็นไม่ร้อนผ่านมาก็รู้สึกเฉยๆ ลมทั้ง 3 อย่างนี้ คือ (สุข) (ทุกข์) (เฉยๆ)ผ่านมาผ่านไปไม่แครใคร ใครจะยึดก็หายไป ใครจะไม่ยึดก็จะหายไป เพราะมีหน้าที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป "ผู้ใดสะสมความเห็นบ่อยๆว่า..นั่น"สุข"มันมาอีกแล้ว เราจะเป็นผู้สังเกตดู"สุขนั้น"หายไป ความสุขนั้นเหมือนลมเย็น..ไม่นานมันก็แปรปรวนหายไป เราจะมีสติเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูสุขมันหายไป ผู้ใดสะสมความเห็นบ่อยๆว่า..นั่น"ทุกข์"มันมาอีกแล้ว เราจะเป็นผู้สังเกตดู"ทุกข์นั้น"หายไป ความทุกข์นั้นเหมือยลมร้อน..ไม่นานมันก็แปรปรวนหายไป เราจะมีสติเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูทุกข์มันหายไป #ผู้ที่เจริญภาวนา มีสติ ดูสุข ดูทุกข์ อย่างนี้สม่ำเสมอนี้แหละคือผู้เกิดมาไม่ตายเปล่าๆเสียประโยชน์ทิ้ง ไม่เกิดมาเล่นๆเปล่าๆ คือเกิดมาไม่ได้สาระที่ประเสริฐเลย พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "โมฆะบุรุษ"ก็คือคนที่เกิดมาโมฆะชีวิต" #กายนี้เจริญไปหาความตายแท้ๆ พระก็เจริญไปหาความตายในคาบผ้าเหลือง ฆราวาสก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแบบชาวบ้าน คนทำงานก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแบบคนงาน คนรวยก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้าดีๆในบ้านหลังใหญ่ๆมีเงินรวยๆ คนจนก็เจริญไปหาความตายในสภาพคนจน ต้นไม้ทุกต้นก็เกิดมาเจริญไปหาความตายแท้ๆ แล้วอะไรคือประโยชน์ที่สูงสุดของชีวิตนี้ ที่ควรจะทำให้มี ก่อนที่ชีวิตนี้จะนับถอยหลังจบ เพราะมันนับถอยหลังมาตั้งแต่เกิดแล้ว เหมือนระเบิดเวลา โอ้.... ควรแท้ ที่จะมุ่งถือเอาประโยชน์จาก 4 ข้อนี้ เพลง: ตราบลมหายใจสุดท้าย (อสุภกรรมฐาน) - Official MV - YouTube http://bit.ly/1OnEXng พ.ค. 13, 2016 7:51:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คนฆ่าตัวตาย คนข่มขืนลูกตัวเอง ก็มีสาเหตุมาจากจิตไปยึดเกาะธาตุเหล่านี้ไว้ แทนที่จะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใคร่ควรพิจารณาว่า "สิงทั้งหลายทั้งปวงไม่เทียง อันใครๆไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น" เอาละเข้าเรื่องดีกว่า.. ผู้ที่เจริญวิปัสนา เป็นผู้รู้ผู้ดูเฉยๆ จะเห็นสภาวะผัสสะเป็นล้านๆ ที่ผ่านมาแล้วก็แก่ชรา และมรณะดับไป สภาวะเป็นล้านๆแต่ไม่รู้จะเอาคำสมมุติบัญญัติทางโลกคำไหนมาบัญญัติให้พอให้ครบได้หมด สภาวะพวกนี้เกิดจาก อายตนะภายในและอายตนะภายนอกประสานกัน ถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ไปตั้งที่ลูกตา จะมีปรากฏธาตุภาพ ธาตุเห็น ธาตุขยับ ธาตุเคลือนไหวเร็ว ธาตุเคลือนไหวช้า ธาตุแสง ธาตุจุดสี ธาตุสีเขียว ธาตุสีเหลือง ธาตุสีฟ้า ธาตุสีแดง ธาตุสีเงิน ธาตุสีชมพู ธาตุสีดำ ธาตุสีมวง ธาตุสีขาว ธาตุสีส้ม ธุาตทรวดทรง ธาตุทรงกลม ธาตุทรงแบน ธาตุทรงโค้ง ธาตุทรงเอียง ธาตุทรงเบี้ยว ธาตุทรงเป็นรู ธาตุทรงไม่เป็นรู และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากตา ไปเกิดที่หู จะมีปรากฏธาตุเสียง ธาตุได้ยิน ธาตุเสียงสูง ธาตุเสียงต่ำ ธาตุเสียงดับ ธาตุเสียงเกิด ธาตเสรรเสิญ ธาตุนินทา ธาตุไพเราะ ธาตุชม ธาตุไม่ไพเราะ ธาตุเสียงด่า และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากหู ไปเกิดที่จมูก จะมีปรากฏธาตุกลิ่น ธาตุได้กลิ่น ธาตุกลิ่นหอม ธาตุกลิ่นเหม็น ธาตุกลิ่นฉุน ธาตุกลิ่นเน่า ธาตุกลิ่นตุ๋ๆ และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากจมูกไปเกิดที่ลิ้น จะมีปรากฏธาตุรส ธาตุหวาน ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุขม ธาตุจืด ธาตุจาง ธาตุเผ็ด ธาตุกลมกล่อม ธาตุอุมะมิ และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากลิ้นไปตั้งที่กาย จะมีปรากฏธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุอ่อนนุ่ม ธาตุแหลม ธาตุคม ธาตุแข็ง ธาตุนิ่ม ธาตุชา ธาตุปวด ธาตุหิว ธาตุอิ่ม ธาตุธาตุร้อน ธาตุเย็น ธาตุหนาว ธาตุสบาย ธาตุลมพัดเข้า ธาตุลมพัดออก ธาตุไม่สบาย และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากรูปขันธ์ ไปตั้งที่นามขันธ์ จะมีปรากฏธาตุธรรมารมณ์ ธาตุอยากเห็น ธาตุไม่อยากเห็น ธาตุอยากได้ยิน ธาตุไม่อยากได้ยิน ธาตุอยากลิ่มรส ธาตุไม่อยากลิ่มรส ธาตุอยากถูกต้องผัสสะ ธาตุไม่อยากถูกต้องผัสสะ ธาตุราคะ ธาตุโทสะ ธาตุโมหะดับ ธาตุโกธร ธาตุเกลียด ธาตุเคียด ธาตุอาฆาต ธาตุลังเล ธาตุสงสัย ธาตุชิงชัง ธาตุซึ่มเศร้า ธาตุอิจฉา ธาตุวิตกกังวล ธาตุหงุดหงิด ธาตุหมั่นไส้ ธาตุโออวด ธาตุอยากประชด ธาตุร้อนใจ ธาตุเพ่งโทษ ธาตุท้อแท้ ธาตุไม่พอใจ ธาตุระแวง ธาตุหวาดกลัว ธาตุง่วง ธาตุน้อยใจ ธาตุเศร้าใจ ธาตุริเริ่ม ธาตุกล้าหาร ธาตุสนใจ ธาตุเสียใจ ธาตุขี้เกลียด ธาตุองอาจ ธาตุเกลียดคร้าน ธาตุหลับ ธาตุหมดสติ ธาตุตื่นรู้ ธาตุคิด ธาตุยุ่ง ธาตุทุกข์ระทมใจ ธาตุรังเกลียด ธาตุหดหู่ ธาตุเศร้าหมอง ธาตุขุ่นเคือง ธาตุคับแค้น ธาตุชวนหัวเราะ ธาตุลำคาญใจ ธาตุอยากให้รู้ ธาตุไม่อยากให้รู้ ธาตุเสียใจ ธาตุห่วง ธาตุหวง ธาตุเบื่อ ธาตุอึดอัด ธาตุเจ็บ ธาตุแสบ ธาตุคัน ธาตุอยากเกา ธาตุทุเลา ธาตุวุ่นวาย ธาตุฟุ้งซาน ธาตุอิ่มใจ ธาตุเอิบอิ่ม ธาตุกำลังใจ ธาตุซึมลง ธาตุอาย ธาตุปัจจุบัน ธาตุเขิล ธาตุหวาดกลัว ธาตุตกใจ ธาตุมึนงง ธาตุนึกอดีต ธาตุนึกอนาคต ธาตุสับสน ธาตุอยากละ ธาตุไม่อยากละ ธาตุสงสัย ธาตุอยากเอา ธาตุไม่อยากเอา ธาตุไม่ชอบ ธาตุเบา ธาตุว่าง ธาตุโปร่งโล่ง ธาตุเฉย ธาตุสงบ ธาตุนิ่ง ธาตุหนักใจ ธาตุอยากทำ ธาตุไม่อยากทำ ธาตุอาลัย ธาตุอาวร ธาตุสุข ธาตุอิ่มเอม ธาตุเกษม ธาตุปรีดา ธาตุปภัทสร ธาตุโสมนัส ธาตุโทมนัส ธาตุแช่มชื่น ธาตุชุมช่ำ ธาตุุเหงา ธาตุเบิกบาน ธาตุเหนื่อย ธาตุสำราญใจ ธาตุปิติ ธาตุยินดี ธาตุปราโมทย์ ธาตุร่าเริง ธาตุดีใจ ธาตุคิดว่าเรา ธาตุคิดว่าเขา ธาตุถูกใจ ธาตุชื่นใจ ธาตุใจพองขึ้น ผู้เรียนจิตตะสิกขา จะเห็นธาตุอารมณ์เป็นล้านๆ ทั้งที่เกิดจากวิบากกรรม และทั้งที่ไม่ได้เกิดจากวิบากกรรม ทั้งที่เกิดจากผัสสะในอินทรีย์ห้า(ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีใจเป็นที่หก แต่ว่าใครจะมีปัญญาญาณแจ้งจริงๆว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่ถูกเรารู้ตังหาก ไม่ใช่อันเดียวกันกับเรา พอถึงตรงนี้ ผัสสะไรจะมาก็ok ไม่ต่อต้าน ไม่ยึดถือ แต่เมื่อใดเผลอขาดสติ ก็จะโง่ทันที คือยึดทันทีว่ามันกับเราเป็นอันเดียวกัน :สมมุติว่า(จิตเราหรือว่าวิญญๅณเรา) ไปตั้งอยู่นอกโลกกลางอาวะกาศโล่งๆ และสภาวะต่างๆในธรรมารมณ์ อุปมาก็ไม่ต่างจากดวงดาวทั้งหลายในจักรวาลที่เคลื่อน ที่ไหลผ่านใจตลอดเวลา คนฆ่าตัวตาย คนข่มขืนลูกตัวเอง ก็มีสาเหตุมาจากจิตไปยึดเกาะธาตุเหล่านี้ไว้ แทนที่จะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใคร่ควรพิจารณาว่า "สิงทั้งหลายทั้งปวงไม่เทียง อันใครๆไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น" เอาละเข้าเรื่องดีกว่า.. ผู้ที่เจริญวิปัสนา เป็นผู้รู้ผู้ดูเฉยๆ จะเห็นสภาวะผัสสะเป็นล้านๆ ที่ผ่านมาแล้วก็แก่ชรา และมรณะดับไป สภาวะเป็นล้านๆแต่ไม่รู้จะเอาคำสมมุติบัญญัติทางโลกคำไหนมาบัญญัติให้พอให้ครบได้หมด สภาวะพวกนี้เกิดจาก อายตนะภายในและอายตนะภายนอกประสานกัน ถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ไปตั้งที่ลูกตา จะมีปรากฏธาตุภาพ ธาตุเห็น ธาตุขยับ ธาตุเคลือนไหวเร็ว ธาตุเคลือนไหวช้า ธาตุแสง ธาตุจุดสี ธาตุสีเขียว ธาตุสีเหลือง ธาตุสีฟ้า ธาตุสีแดง ธาตุสีเงิน ธาตุสีชมพู ธาตุสีดำ ธาตุสีมวง ธาตุสีขาว ธาตุสีส้ม ธุาตทรวดทรง ธาตุทรงกลม ธาตุทรงแบน ธาตุทรงโค้ง ธาตุทรงเอียง ธาตุทรงเบี้ยว ธาตุทรงเป็นรู ธาตุทรงไม่เป็นรู และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากตา ไปเกิดที่หู จะมีปรากฏธาตุเสียง ธาตุได้ยิน ธาตุเสียงสูง ธาตุเสียงต่ำ ธาตุเสียงดับ ธาตุเสียงเกิด ธาตเสรรเสิญ ธาตุนินทา ธาตุไพเราะ ธาตุชม ธาตุไม่ไพเราะ ธาตุเสียงด่า และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากหู ไปเกิดที่จมูก จะมีปรากฏธาตุกลิ่น ธาตุได้กลิ่น ธาตุกลิ่นหอม ธาตุกลิ่นเหม็น ธาตุกลิ่นฉุน ธาตุกลิ่นเน่า ธาตุกลิ่นตุ๋ๆ และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากจมูกไปเกิดที่ลิ้น จะมีปรากฏธาตุรส ธาตุหวาน ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุขม ธาตุจืด ธาตุจาง ธาตุเผ็ด ธาตุกลมกล่อม ธาตุอุมะมิ และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากลิ้นไปตั้งที่กาย จะมีปรากฏธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุอ่อนนุ่ม ธาตุแหลม ธาตุคม ธาตุแข็ง ธาตุนิ่ม ธาตุชา ธาตุปวด ธาตุหิว ธาตุอิ่ม ธาตุธาตุร้อน ธาตุเย็น ธาตุหนาว ธาตุสบาย ธาตุลมพัดเข้า ธาตุลมพัดออก ธาตุไม่สบาย และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากรูปขันธ์ ไปตั้งที่นามขันธ์ จะมีปรากฏธาตุธรรมารมณ์ ธาตุอยากเห็น ธาตุไม่อยากเห็น ธาตุอยากได้ยิน ธาตุไม่อยากได้ยิน ธาตุอยากลิ่มรส ธาตุไม่อยากลิ่มรส ธาตุอยากถูกต้องผัสสะ ธาตุไม่อยากถูกต้องผัสสะ ธาตุราคะ ธาตุโทสะ ธาตุโมหะดับ ธาตุโกธร ธาตุเกลียด ธาตุเคียด ธาตุอาฆาต ธาตุลังเล ธาตุสงสัย ธาตุชิงชัง ธาตุซึ่มเศร้า ธาตุอิจฉา ธาตุวิตกกังวล ธาตุหงุดหงิด ธาตุหมั่นไส้ ธาตุโออวด ธาตุอยากประชด ธาตุร้อนใจ ธาตุเพ่งโทษ ธาตุท้อแท้ ธาตุไม่พอใจ ธาตุระแวง ธาตุหวาดกลัว ธาตุง่วง ธาตุน้อยใจ ธาตุเศร้าใจ ธาตุริเริ่ม ธาตุกล้าหาร ธาตุสนใจ ธาตุเสียใจ ธาตุขี้เกลียด ธาตุองอาจ ธาตุเกลียดคร้าน ธาตุหลับ ธาตุหมดสติ ธาตุตื่นรู้ ธาตุคิด ธาตุยุ่ง ธาตุทุกข์ระทมใจ ธาตุรังเกลียด ธาตุหดหู่ ธาตุเศร้าหมอง ธาตุขุ่นเคือง ธาตุคับแค้น ธาตุชวนหัวเราะ ธาตุลำคาญใจ ธาตุอยากให้รู้ ธาตุไม่อยากให้รู้ ธาตุเสียใจ ธาตุห่วง ธาตุหวง ธาตุเบื่อ ธาตุอึดอัด ธาตุเจ็บ ธาตุแสบ ธาตุคัน ธาตุอยากเกา ธาตุทุเลา ธาตุวุ่นวาย ธาตุฟุ้งซาน ธาตุอิ่มใจ ธาตุเอิบอิ่ม ธาตุกำลังใจ ธาตุซึมลง ธาตุอาย ธาตุปัจจุบัน ธาตุเขิล ธาตุหวาดกลัว ธาตุตกใจ ธาตุมึนงง ธาตุนึกอดีต ธาตุนึกอนาคต ธาตุสับสน ธาตุอยากละ ธาตุไม่อยากละ ธาตุสงสัย ธาตุอยากเอา ธาตุไม่อยากเอา ธาตุไม่ชอบ ธาตุเบา ธาตุว่าง ธาตุโปร่งโล่ง ธาตุเฉย ธาตุสงบ ธาตุนิ่ง ธาตุหนักใจ ธาตุอยากทำ ธาตุไม่อยากทำ ธาตุอาลัย ธาตุอาวร ธาตุสุข ธาตุอิ่มเอม ธาตุเกษม ธาตุปรีดา ธาตุปภัทสร ธาตุโสมนัส ธาตุโทมนัส ธาตุแช่มชื่น ธาตุชุมช่ำ ธาตุุเหงา ธาตุเบิกบาน ธาตุเหนื่อย ธาตุสำราญใจ ธาตุปิติ ธาตุยินดี ธาตุปราโมทย์ ธาตุร่าเริง ธาตุดีใจ ธาตุคิดว่าเรา ธาตุคิดว่าเขา ธาตุถูกใจ ธาตุชื่นใจ ธาตุใจพองขึ้น ผู้เรียนจิตตะสิกขา จะเห็นธาตุอารมณ์เป็นล้านๆ ทั้งที่เกิดจากวิบากกรรม และทั้งที่ไม่ได้เกิดจากวิบากกรรม ทั้งที่เกิดจากผัสสะในอินทรีย์ห้า(ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีใจเป็นที่หก แต่ว่าใครจะมีปัญญาญาณแจ้งจริงๆว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่ถูกเรารู้ตังหาก ไม่ใช่อันเดียวกันกับเรา พอถึงตรงนี้ ผัสสะไรจะมาก็ok ไม่ต่อต้าน ไม่ยึดถือ แต่เมื่อใดเผลอขาดสติ ก็จะโง่ทันที คือยึดทันทีว่ามันกับเราเป็นอันเดียวกัน :สมมุติว่า(จิตเราหรือว่าวิญญๅณเรา) ไปตั้งอยู่นอกโลกกลางอาวะกาศโล่งๆ และสภาวะต่างๆในธรรมารมณ์ อุปมาก็ไม่ต่างจากดวงดาวทั้งหลายในจักรวาลที่เคลื่อน ที่ไหลผ่านใจตลอดเวลา พ.ค. 25, 2016 5:33:26pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น เราทั้งหลาย อย่ามัวแต่ปล่อยชีวิตไปตามเวรตามกรรม มีแต่ให้กรรมคอยชักจูงเล่นเหมือนหุ่นเชิด ถ้าว่าจะไปทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ต้องรอให้กรรมเก่าใช่ไหมมาดลบันดาลถีบส่งให้ไป กรรมเก่ามีอิทธิพลได้แค่50% อีก50%นั้นขึ้นอยู่กับเราทำกรรมใหม่ในปัจจุบัน แต่เราควรสร้างกรรมไม่ดำไม่ขาว มีผลคือนิพพาน สติปัฏฐานสี่ อิทธิบาทสี่ สัมมัปธานสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด อริยมรรคมีองค์แปด โดยย่นย่อแล้ว คือเจริญภาวนา #อยากให้อ่านโพสนี้ จะเข้าใจว่ามันง่ายมาก "ระหว่างที่เกิด ถึงตาย จะจนหรือรวย จะสวยหรือหล่อ ระหว่างที่เกิดถึงตายนี้ สาระของเขาอยู่ตรงนี้ ๑.บุญกุศล (จากการให้ทาน จากการรักษาศีล จากการเจริญภาวนา) ๒.สติ ระลึกได้ในกายในใจในปัจจุบัน ๓.ปัญญาในการเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายบุคคลอื่นก็ไม่ใช่ของเขา 4.เห็นอารมรมณ์ทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยน กันมาให้เรารู้ ทั้งสุข, ทุกข์, เฉยๆ, ผ่านมาผ่านไปเหมือนลมพัดจิต ลมเย็นพัดผ่านมาก็รู้สึกสุข ลมร้อนพัดผ่านมาก็รู้สึกทุกข์ ลมไม่เย็นไม่ร้อนผ่านมาก็รู้สึกเฉยๆ ลมทั้ง 3 อย่างนี้ คือ (สุข) (ทุกข์) (เฉยๆ)ผ่านมาผ่านไปไม่แครใคร ใครจะยึดก็หายไป ใครจะไม่ยึดก็จะหายไป เพราะมีหน้าที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป "ผู้ใดสะสมความเห็นบ่อยๆว่า..นั่น"สุข"มันมาอีกแล้ว เราจะเป็นผู้สังเกตดู"สุขนั้น"หายไป ความสุขนั้นเหมือนลมเย็น..ไม่นานมันก็แปรปรวนหายไป เราจะมีสติเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูสุขมันหายไป ผู้ใดสะสมความเห็นบ่อยๆว่า..นั่น"ทุกข์"มันมาอีกแล้ว เราจะเป็นผู้สังเกตดู"ทุกข์นั้น"หายไป ความทุกข์นั้นเหมือยลมร้อน..ไม่นานมันก็แปรปรวนหายไป เราจะมีสติเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูทุกข์มันหายไป #ผู้ที่เจริญภาวนา มีสติดูสุข ดูทุกข์ อย่างนี้แหละคือผู้เกิดมาไม่ตายเปล่าๆเสียประโยชน์ทิ้ง ไม่เกิดมาเล่นๆเปล่าๆ คือเกิดมาไม่ได้สาระที่ประเสริฐเลย พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "โมฆะบุรุษ"ก็คือคนที่เกิดมาโมฆะชีวิต" #กายนี้เจริญไปหาความตายแท้ๆ พระก็เจริญไปหาความตายในคาบผ้าเหลือง ฆราวาสก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแบบชาวบ้าน คนทำงานก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแบบคนงาน คนรวยก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้าดีๆในบ้านหลังใหญ่ๆมีเงินรวยๆ คนจนก็เจริญไปหาความตายในสภาพคนจน ต้นไม้ทุกต้นก็เกิดมาเจริญไปหาความตายแท้ๆ แล้วอะไรคือประโยชน์ที่สูงสุดของชีวิตนี้ ที่ควรจะทำให้มี ก่อนที่ชีวิตนี้จะนับถอยหลังจบ เพราะมันนับถอยหลังมาตั้งแต่เกิดแล้ว เหมือนระเบิดเวลา โอ้.... ควรแท้ ที่จะมุ่งถือเอาประโยชน์จาก 4 ข้อนี้ พ.ค. 25, 2016 5:54:10pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #กรรมที่ทำให้พบคนรักไม่ถูกใจ อยู่ด้วยกันแล้วเป๋นทุกข์ มีเหตุให้ต้องระหองระแหงเสียความรู้สึกบ่อยๆ หรือเข้ากันได้ ตั้งต้นเป็นศัตรูจ้องเอารัดเอาเปรียบหรือฉกฉวยกัน ครองเนือนมีลูกหลานแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แก่การมีศรัทธาความเชื่อที่แตกต่างกัน มีศีลสูงต่ำกว่ากัน มีน้ำใจเสียสละผิดกัน ตลอดจนมีปัญญาห่างชั้นกัน ตัดสินใจครองรักกันอย่างวู่วามด้วยเหตุผลตื้นๆ เช่นอยากมีเพศสัมพันธ์กัน หรือเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาถูกใจ หรือเพียงเพื่อให้ชีวิตดูสมบูรณ์แบบ หรือเพียงเพราะเหตุผลเกี่ยวกับการเงิน เป็นต้น #กรรมที่ทำให้พบคนรักที่เข้ากันได้อย่างสนิทแน่นแฟ้น เต็มใจอยู่กันไปจนตาย และเที่ยงที่จะได้พบกันอีกในชาติถัดๆไป ได้แก่ การมีศรัทธาความเชื่อที่เสมอกัน มีศีลที่เสมอกัน มีความเสียสละที่เสมอกัน และมีปัญญาที่เสมอกัน เรียกว่าคุยกันรู้เรื่องเพราะพื้นความเชื่อไม่แตกต่างกันเข้าใจกันได้หมด ตกลงกันได้หมด เอออวยกันได้หมด มีแต่ช่วยเหลือเกือกูลไม่เอารัดเอาเปรียบกันไปหมด คนรักประเภทนี้มักถูกมองว่าเป็นเนื้อคู่ หรือคู่แท้ถาวร ซึ่งมีเองอยู่แล้วในธรรมชาติ ขอให้ทราบว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในกฏแห่งกรรมนั้น ต้องสานต่อเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ ถ้าเหตุปัจจัยหมด ผลก็หมดตาม #การเป็นผู้ค้าขายได้กำไรนั้น เป็นไปฌามเหตุปัจจัยหลายประการ เช่นความตาแหลม รู้จักจัดหาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ ฉลาดตั้งราคาให้ได้กำไรคุ้มทุนโดยที่ลูกค้าก็ไม่นึกเกี่ยงงอน นอกจากนั้นยังสร้างความน่าเชื่อถือเป็น เช่นจ่ายหนี้ตามนัด ตลอดจนเลี้ยงครอบครัวและบริวาลให้อยู่เป็นสุข ไม่มีปัญหาขัดแย้งหรือเรื่องระส่ำระสายภสยในกิจการ อย่างไรก็ตามยังมีกรรมเก่าเป็นตัวช่วยพิเศษ ที่ประกันความมีลาภในการค้าขาย คือการได้เคยอาสากับสมณะว่าถ้าต้องการสิ่งใดขอให้บอก เมื่อสมณะบอกขอแล้วก็จัดให้ตามประสงค์ เช่นนี้ถ้าเลือกเป็นพ่อค้าจะขายได้กำไรเสมอ แต่ถ้าถวายเกินกว่าที่ท่านประสงค์ก็จะได้กำไรสูงเหนือความคาดหมาย ในทางตรงข้ามหากสมณะบอกขอแล้วไม่ให้ครบตามคำขอ ก็จะค้าขายไม่ได้กำไรดังหวัง ยิ่งหากแกล้งทำเป็นลืม ไม่ให้ตามที่ท่านขอ อย่างที่ก็มีแต่ค้าขายขาดทุนท่าเดียว จากหนังสือ เกมกรรม หน้า ๑๒๑ (นอกจากนี้ ศีลยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการค้าขายดีด้วย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ "สีเลนะ โภคะสัมปะทา" แปลว่า ศีลเป็นหตุให้มีโภคทรัพย์ หรือ ศีลเป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์ เพราะจิตที่ประกอบไปด้วยศีลย่อมสว่างบริสุทธิ์ ดึงดูดพลังดีเข้ามา เหมือนภาชนะที่มั่นคงดี รองรับน้ำฝน ภาชนะก็คือศีล น้ำฝนคือโภคทรัพย์ ยิ่งถ้าพวกพ่อค้า รักษาศีลได้มากข้อยิ่งดีใหญ่ ข้อที่ไม่ควรผิดเลยคือ อนินนาทานา เอาของๆผู้อื่นด้วยอาการแห่งขโมย และควรมีสัจจะกับคำพูดของตนเองอย่างยิ่ง ปากจะได้มีความศักดิ์สิทธ์ ในการพูด พ.ค. 26, 2016 8:00:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น โรเสนโต เนวะ โกเปติ โรเสเหวะ นะ กุชฌะติ โรคานัง ราคะอาทีนัง โรคะหันตัง นะมามิหัง พุทโธ เอเตนะสัจจะวัตเชนะ โหตุโว ชัยยะมังคะลัง พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่ทรงโกรธผู้ที่โกรธพระองค์ และไม่ทรงพลอยโกรธไปกับพวกคนโกรธทั้งหลาย ข้าพพระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ทรงกำจัดโรคแห่งโรคทางทั้งหลาย มีราคะ เป็นต้น ด้วยสัจจะวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง พ.ค. 26, 2016 9:18:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #วิบากกรรมของผู้ทำทานแล้วเสียดาย ในกาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสด็จไปเฝ้าศาสดา และได้กราบทูลว่า ที่พระองค์เสด็จมาช้านั้น ก็เพราะเมื่อเช้านี้ คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี เป็นผู้ไม่มีบุตร ได้เสียชีวิต หาทายาทมิได้ ท้าวเธอจึงได้รับสั่งให้ขนทรัพย์สมบัติไปเก็บไว้ในราชสำนัก จากนั้นท้าวเธอได้กราบทูลถึงประวัติของเศรษฐีผู้นี้ว่า แม้ว่าจะเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ไม่เคยทำบุญให้ทาน ไม่ยอมจับจ่ายใช้สอยทรัพย์แม้เพื่อตนเอง อาหารที่รับประทานในแต่ละวันก็มีแต่ข้าวปลายเกรียน และน้ำผักดอง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าราคาถูกๆ รถที่ใช้โดยสารก็เป็นรถเก่าๆ เมื่อทรงสดับประวัติของเศรษฐีแล้ว พระศาสดาได้ตรัสกับพระราชาและประชาชนที่มาชุมนุมเพื่อฟังธรรม ถึงอดีตชาติของเศรษฐีผู้นี้ ซึ่งแม้ในครั้งนั้นก็เกิดเป็นเศรษฐีเหมือนกัน ว่า วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้มายืนบิณฑบาตอยู่ที่หน้าบ้านของเศรษฐี เศรษฐีได้บอกภรรยาให้นำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ฝ่ายภรรยาคิดว่านานๆ ครั้งที่สามีจะอนุญาตให้นางให้สิ่งใดหนึ่งหนึ่งแก่ใครๆ นางจึงได้นำอาหารอย่างดีไปใส่ลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อเศรษฐีเดินกลับมาพบพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้มองไปที่บาตรของท่าน เมื่อเห็นแต่อาหารดีๆ อยู่ในบาตร ก็คิดว่า “พวกทาสหรือพวกกรรมกรกินอาหารนี้ยังดีกว่า เพราะว่าพวกเขาครั้นกินอาหารนี้แล้ว จะทำการงานให้เรา ส่วนสมณะนี้ครั้นไปกินแล้วก็จะนอนหลับ อาหารบิณฑบาตของเราสูญเปล่า” นอกจากนั้นแล้ว เศรษฐีผู้นี้มีน้องชายซึ่งเป็นเศรษฐีเหมือนกัน ต้องการจะแย่งชิงสมบัติของน้องชายมาเป็นของตนทั้งหมด จึงได้วางแผนฆ่าบุตรชายของน้องชายซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของตนจนเสียชีวิต และเมื่อน้องชายเสียชีวิตแล้ว ก็ได้ยึดทรัพย์ทั้งหมดของน้องชายมาเป็นของตน เพราะกุศลกรรมจากการที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้เขาได้เป็นเศรษฐีในชาติปัจจุบัน แต่เพราะอกุศลกรรมคือนึกเสียใจที่ภรรยาได้ให้อาหารดีๆ แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้เขาไม่ต้องการจ่ายทรัพย์ใดๆ เพื่อตัวเขาเอง และเพราะผลของอกุศลกรรมที่ฆ่าหลานชายเพื่อฮุบสมบัติ ทำให้เขาไปตกนรกอยู่เป็นเวลานานแสนนาน และเพราะผลกรรมที่เหลือ ทำให้เขาถูกยึดทรัพย์สมบัติไปเป็นของหลวง พฤติกรรมของเศรษฐีเข้าทำนองที่ว่า บุญเก่าหมดไป และบุญใหม่ไม่สั่งสม และเมื่อสิ้นชีวิตก็ได้ไปเสวยทุกข์ในมหาโรรุวนรก พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว จึงกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า น่าอัศจรรย์ นี้เป็นกรรมอันหนัก เศรษฐีนั้นเมื่อโภคะมีอยู่มากมาย แต่ไม่ใช้สอยด้วยตนเองเลย เมื่อพระพุทธเจ้าเช่นกับพระองค์ประทับอยู่ในวิหารใกล้ๆ ก็มิได้ทำบุญกรรม” พระศาสดาตรัสว่า “จริงอย่างนั้น มหาบพิตร ชื่อว่าผู้มีปัญญาทราม ได้โภคะทั้งหลายแล้ว ย่อมไม่แสวงหานิพพาน อนึ่ง ตัณหาซึ่งเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะทั้งหลาย ย่อมฆ่าคนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน” จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า โภคะทั้งหลาย ย่อมฆ่าคนทรามปัญญา แต่ไม่ฆ่าคนผู้แสวงหาฝั่งโดยปกติ คนทรามปัญญา ย่อมฆ่าตนเหมือนฆ่าคนอื่น เพราะความทะยานอยากในโภคะ. "เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่มิได้ขนออกไป ย่อมไหม้ในไฟนั้น ฉันใด โลก (คือหมู่สัตว์) อันชราและมรณะเผาแล้ว ก็ฉันนั้น ควรนำออก (ซึ่งโภคสมบัติ) ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้วนั้นย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็นเหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบได้ เพลิงยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้ อนึ่งบุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วยสิ่งเครื่องอาศัยด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญารู้ชัด ดั่งนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน เข้าถึง สถานที่อันเป็นสวรรค์" มิ.ย. 17, 2016 9:03:05pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 มิ.ย. 25, 2016 9:17:28pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 มิ.ย. 25, 2016 9:17:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น เวลาโกธร ยากที่จะพูดออกมาแล้วเป็นกุศล เวลาโกธร ง่าย ที่จะพูดออกมาแล้วเป็นอกุศล เวลาโกธร ยากที่จะพูดออกมาแล้ว คนฟังรู้สึกดีด้วย เวลาโกธร ง่ายที่จะพูดออกมาแล้ว คนฟังรู้สึกไม่ดี เวลาโกธร ยากที่จะพูดออกมาแล้วเป็นคำภาษิต เวลาโกธร ง่ายที่จะพูดออกมาแล้วเป็นคำทุพภาษิต เวลาโกธร ยากที่จะพูดออกมาแล้ว เป็นคำที่ดูชวนเป็นมิตร เวลาโกธร ง่ายที่จะพูดออกมาแล้ว เป็นคำที่ดูชวนเป็นศัตรู ถ้ามีคนพาลนักโกธร ชอบโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ มาด่าว่าให้เรา ถ้าเราโกธรนั่นแสดงว่าเรารับเชื้อไฟมาจากใจเขาแล้ว จึงเหมือนมีไฟคือความร้อนใจแผดเผาอยู่ภายใน เหมือนในใจเขา ซึ่งเป็นเชื้อโรคทางใจที่อันตรายมาก เพราะเมื่อมันมีอยู่กับใครแล้ว จะพูดวาจาใดย่อมเป็นไปในทางบาป เช่นพูดเสียดสีทำร้ายจิตใจผู้อื่น ด่าตอบ จะทำอะไรย่อมเป็นไปในทางบาป เช่น ฆ่าเขา จะคิดอะไรย่อมเป็นไปในทางบาป เช่น พยาบาตอาฆาตแค้น สาบแช่งหักแข้งหักขาเขา ดังนั้น เราควรดับไฟคือความโกธรนี้เสีย โดยการไม่เพิ่มเชื้อไฟใส่เข้าไปเพิ่ม แต่เติมน้ำเย็นรดลงไป เหมือนกับว่าในตัวเรานั้น มีกองไฟกำลังไหม้อยู่ภายใน แล้วเราก็ไม่ส่งเชื้อเข้าไป คือ พวกฟืน,ไม้แห้ง กิ่งไม้ เศษใบไม้ เศษหญ้าแห้ง ไม่ใส่เข้าไปเพิ่ม ในที่สุดมันก็ค่อยๆดับหายไปเอง เติมน้ำเย็นคือ การที่เรามีสติ หลั่งรินกระแสเมตตาออกมา หลั่งรินกระแสแห่งอุเบกขาการวางเฉยออกมา ก็จะเป็นการไม่ใส่เชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม และรดด้วยน้ำเย็นคือน้ำพระเมตตาพรหมวิหาร ในสมัยพุทธกาล พราหมณ์ ถาม : "ท่านพระโคตม บุคคลฆ่าอะไรแล้วอยู่เป็นสุข" พระพุทธเจ้า ตอบ: "บุคคลฆ่าความโกธร แล้วพึงอยู่เป็นสุข พราหมณ์" มิ.ย. 30, 2016 9:29:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภาพหาชมยาก รวมภาพกุฏิหลวงปู่ หลวงพ่อ ๑.ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ๒.หลวงปู่แหวน ๓.หลวงพ่อพุทธทาส ๔.หลวงปู่มั่น ๕.หลวงพ่อชา พระดี พระอริยะ อยู่กันแบบนี้ มิใช่เป็นค่อนโด โรงแรม หรือตึกร้อยชั้นพันชั้น ส.ค. 05, 2016 3:44:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ส.ค. 05, 2016 3:44:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ส.ค. 05, 2016 3:44:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ส.ค. 05, 2016 3:44:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ส.ค. 05, 2016 3:44:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ส.ค. 05, 2016 3:44:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น รวมงานพระนิพนธ์สมเด็จพระญารสังวร ไฟล์ PDF กว่าร้อยเรื่อง โหลดไว้อ่านไว้ศึกษาครับ ลิงค์ดาวโหลด : http://bit.ly/2bh913N รวมงานพระนิพนธ์สมเด็จพระญารสังวร ไฟล์ PDF กว่าร้อยเรื่อง โหลดไว้อ่านไว้ศึกษาครับ ลิงค์ดาวโหลด : http://bit.ly/2bh913N ส.ค. 11, 2016 2:57:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ่อแม่คือสิ่งที่สะท้อนวิบากกรรมของเราได้แรงที่สุด #ควรอ่านนะจะได้ปฏิบัติถูกต่อท่าน หากคุณไม่ตอบแทนพ่อแม่เลยจะเป็นอย่างไร ถ้าเคยคิดว่ากรรมที่ทำไว้กับพ่อแม่ไม่เท่าไหร่ รีบเปลี่ยนความคิดเถอะครับ เพราะตอนรับผลตรงๆ เป็นความเดือดเนื้อร้อนใจเกี่ยวกับลูกหลาน กรรม แปลว่า :การกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ) วิบาก แปลว่า : ผล วิบาก+กรรม แปลว่า: ผลของการกระทำกรรม เช่น ทางกาย • คือถ้าเราโกธรแล้วเอาเท้าถีบแม่ตนเอง จะสำเร็จเป็นกรรมทางกายทันที ก็จะมีวิบากคือบาป เป็นบาปที่มากกว่าเอาเท้าถีบแม่ของคนอื่นหลายเท่ามากมาย ทางวาจา • คือถ้าเราด่าท่านด้วยความโมโห..กริ้วโกธร จะสำเร็จเป็นกรรมทางวาจาทันที ก็จะมีวิบากคือบาป เป็นบาปที่มากกว่าไปด่าแม่ของผู้อื่นหลายเท่าเลย ทางใจ • คือการมีความผูกอาฆาตพยาบาทต่อท่าน คิดประทุษร้ายต่อท่านด้วยใจ ไม่ยอมให้อภัย • เพราะพ่อแม่คือรากของชีวิต ถ้าไม่บำรุงราก ชีวิตก็ยากจะเจริญ • น้ำหนักของกรรมดีที่คุณทำกับพ่อแม่ จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้ายๆเล่นงาน ก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร : ถ้าจะถามว่าใครเป็นคนกำหนดให้ต้องนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ ก็ต้องตอบว่าธรรมชาตินั่นแหล่ะที่กำหนด และฝังไว้ในสำนึกว่าการรู้คุณพ่อแม่เป็นคุณสมบัติของผู้มีใจสูง คนเราจะทราบว่าตนมีใจสูงหรือใจต่ำ ก็ดูง่ายๆว่าจำได้หรือเปล่าว่าพ่อแม่สำคัญแค่ไหน "เพราะพ่อแม่มีชีวิตต่อได้ถ้าไม่มีคุณ แต่คุณมีชีวิตขึ้นมาไม่ได้ถ้าขาดพ่อแม่" • สำหรับพ่อแม่เป็นข้อยกเว้นพิเศษ ไม่ว่าจะดีเลวอย่างไร ถ้าทำคุณกับพวกท่านก็ได้ผลเป็นความสุขความเจริญ เพราะได้ชื่อว่ารู้คุณคน ได้ชื่อว่าตอบแทนผู้ควรตอบแทน ได้ชื่อว่าใช้หนี้อันควรใช้ ตราบใดไม่ใช้หนี้ตามสมควร ตราบนั้นชีวิตย่อมเต็มไปด้วยแรงกดดัน • เมื่อใช้หนี้พ่อแม่ด้วยความสุข มีความปลาบปลื้มยินดี แรงกดดันย่อมแปรเป็นขั้วตรงข้าม คือกลายเป็นแรงหนุนส่งให้ขึ้นสูงได้ยิ่งๆขึ้น • เนื่องจากพ่อแม่และพระอรหันต์เป็นของใหญ่ ทรงคุณสูงสุดทำอะไรกับพวกท่านไว้เป็นประจำ จึงให้ผลคงเส้นคงวาไปทั้งชีวิตในชาติถัดมา • การอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณให้อยู่สุขสบาย จะเป็นตัวตั้ง เป็นหลักประกันว่าทั้งชาตินี้และชาติหน้า จะเจริญรุ่งเรืองในการทำมาหากินยิ่งๆขึ้นไป กับทั้งเป็นผู้ได้รับมรดกจากผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ถูกแย่งชิงหรือมีเหตุให้เสียมรดกไปอย่างไม่สมควร : นี่เป็นหลักการสะท้อนให้เห็นว่า ทุกคนเป็นทายาทแห่งกรรมของตน ทุกคนจะเป็นผู้รับมรดกที่ตนสร้างทำไว้อย่างเป็นรูปธรรม . . . . . . . . . . . . . . . . • กรรมที่ลืมบุญคุณคน ก็จะทำให้เป็นผู้ไม่ได้รับความเห็นใจช่วยเหลือในยามลำบาก แต่หากถึงขั้นเนรคุณได้นี่จะต้องโดนโทษหนัก ทำอะไรต่อให้เจริญแค่ไหนก็จะกลับตกต่ำอย่างไม่คาดฝัน : คนอกตัญญู แม้ได้รับมรดกก็ต้องตกไปอยู่ในห้วงของการแย่งชิง ทำนองศึกสายเลือดหรือมีเหตุให้สมบัติพินาศลง หรือแม้สมบัติไม่พินาศก็กลายเป็นของร้อนที่ครอบครองแล้ว ไม่เป็นสุขเนื่องจากสมบัติบันดาลจากบุญเก่า โดยปราศจากบุญใหม่อันได้แก่ความกตัญญูมารักษาความสงบเย็น • ถ้าเคยคิดว่ากรรมที่ทำไว้กับพ่อแม่ไม่เท่าไหร่ รีบเปลี่ยนความคิดเถอะครับ เพราะตอนรับผลตรงๆ เป็นความเดือดเนื้อร้อนใจเกี่ยวกับลูกหลาน แล้วจำได้เป็นฉากๆว่าไอ้ที่ประสบอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เคยทำไว้กับพ่อแม่อย่างไร บางทีอาจสายเกินกว่าจะแก้อะไรแล้ว ต้องแบกวิบากอ่วมอรทัยกันยืดเยื้อยาวนานแล้ว • โทษของการกดหัวใช้ผู้คนเยี่ยงทาสเป็นจำนวนมาก ยังนับว่าเบากว่า การกดหัวใช้พ่อแม่ด้วยจิตสกปรกเห็นพ่อแม่เป็นคนใช้ และการกดหัวใช้พ่อแม่ไปทั้งชาติ ก็อาจได้น้ำหนักประมาณเดียวกันกับการกดใช้พระอรหันต์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์สักระยะหนึ่ง • กรรมที่เหวี่ยงให้ไปเกิดในตระกูลต่ำ ต้องเป็นข้าทาสบริวารชนิดเลี่ยงไม่ได้ ดิ้นรนไม่รอดนั้น ได้แก่การกดหัวใช้ผู้ทรงศีล กดหัวใช้พ่อแม่ หรือกดหัวใช้ผู้คนจำนวนมาก คำว่า ‘กดหัวใช้’ ในที่นี้ ผมหมายถึงการมีความคิดเหยียด มีใจเย่อหยิ่งจองหอง ถือสิทธิ์หรือถือโอกาสที่อยู่ในฐานะเหนือกว่า วางอำนาจใช้สอยคนด้วยใจคิดข่มขี่ข่มเหง • พ่อแม่คือรากของความเป็นคุณ คนเราถ้าบำรุงรากให้เจริญขึ้นได้ หรืออย่างน้อยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ก็คือทำตัวเองให้รุ่งโรจน์ขึ้นนั่นเอง คิดข้ามช็อตดีกว่า อย่ากลัวบาปจากการทะเลาะกับพ่อแม่ หันมากลัวไม่ได้บุญจากการมีส่วนเปลี่ยนพ่อแม่ให้เย็นลงกันเถอะ! . . . . . . . . . . . . . . . . . • การคิดเลี้ยงดูให้พ่อแม่สุขทั้งกายสบายทั้งใจ นับเป็นการตอบแทนครึ่งเดียว หากจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น คุณต้องมีโอกาสด้วย โอกาสที่ว่านั้นคือพ่อ และ/หรือ แม่ของคุณยังไม่มีที่พึ่งให้ตนเอง ได้แก่ความรู้ความศรัทธาในเรื่องกรรมและการให้ผลกรรม ยังไม่มีความตั้งมั่นในทาน ยังไม่มีความตั้งมั่นในศีล แล้วคุณสามารถโน้มน้าว ชักชวนให้พวกท่านมาศรัทธากรรม ฝึกให้ทานจนไม่ให้แล้วเหมือนขาดอะไรไป ฝึกถือศีลจนประพฤติผิดแล้วรู้สึกผิดรุนแรง นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าตอบแทนคุณท่านอย่างสมน้ำสมเนื้อ • ธรรมชาติพิเศษของการใช้หนี้บุญคุณมีอยู่ประการหนึ่ง คือยิ่งหนี้สูงแล้วคุณใช้คืนอย่างสมน้ำสมเนื้อ คุณจะได้คะแนนบวกมหาศาล น้ำหนักของกรรมดีที่คุณทำกับพ่อแม่จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้ายๆเล่นงาน ก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร • หากคุณไม่ตอบแทนพ่อแม่เลย ลูกของคุณจะทำหน้าที่ทวงแทน คือกรรมของคุณจะไปดึงดูดเอาพวกที่จะมาเป็นลูกล้างลูกผลาญ และไม่สำนึกบุญคุณ หากคุณไม่มีลูกก็ทบหนี้ไปถึงชีวิตหน้าในเกมต่อไป ในทางกลับกัน หากคุณมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบดูแลลูกเมียให้ดี มันอาจหมายถึงการเลื่อนเวลาชดใช้หนี้เก่าก็ได้ ต้องแยกให้ออกว่าลูกอาจติดหนี้น้ำกามของคุณ แต่คุณเองก็อาจเคยติดหนี้เขาไว้ก่อน (และโดยมากจะเป็นเช่นนั้น) หากเขามาทวงหนี้คืนแล้วไม่ใช้ ชาติต่อไปคุณก็มีสิทธิ์สูงที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบ เลี้ยงดูแบบทิ้งๆขว้างๆ หรือฝากคนอื่นเลี้ยงจนคุณว้าเหว่และมีปัญหาตั้งแต่เล็ก • พระพุทธเจ้าให้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ด้วยที่พึ่งอันแท้จริงคือความเข้าใจธรรม ตั้งมั่นในทานและศีล แต่ที่เราควรทำให้ตนคือภาวนาไป . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . • ทำอย่างไรจึงจะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ดี ? : คำตอบคือทำแต่กรรมที่ดีๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์มีกรรมเป็นแดนเกิด ฉะนั้นอย่าน้อยใจ และอย่าชะล่าใจ กับกรรมเก่าที่ส่งเรามาอยู่กับพ่อแม่ดีหรือไม่ดีในชาติปัจจุบัน อยากมีพ่อแม่แบบไหนในครั้งหน้า ก็ขอให้ประพฤติตัวแบบนั้นมากๆไปจนชั่วชีวิตก็แล้วกัน กรรมที่คุณทำเป็นอาจิณนั่นแหละตัวเลือกแดนเกิด ตัวเลือกเผ่าพันธุ์ใหม่ให้ . . . . . . . . . . . . . . . . . . • เรื่องการเลี้ยงสัตว์ก็ดี เรื่องการเลี้ยงลูกก็ดี ต้องคำนึงมากๆครับว่า เหล่านั้นคือสิ่งมีชีวิต เราให้เขามีชีวิตอย่างไร เมื่อถึงเวลาย้อนกลับมาถึงตาเราชีวิตเราก็เป็นอย่างนั้นด้วย • ธรรมชาติบีบให้คนทั่วไปอยากมีลูก เว้นแต่คนที่อยากเป็นอิสระ หาเลี้ยงตัวยังไม่ได้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งอย่างพ่อ ขาดความอ่อนโยนอย่างแม่ ~ นอกจากนั้น.. คนที่สั่งสมบารมีในการหลุดพ้นมากๆ ที่เกิดชาติสุดท้ายจะไม่อยากมีลูก ทั้งที่ก็เลี้ยงตัวได้ มีคุณสมบัติเป็นพ่อเป็นแม่ได้ : มีลูกยังไม่ได้ตัดสินว่ามีบุญหรือมีบาป ถ้าลูกทำความสบายใจให้เป็นส่วนใหญ่ จึงถือว่ามีบุญที่เป็นแดนเกิดให้คนมีบุญครับ • เราทำอะไรดีหรือไม่ดีไว้กับใคร จะเห็นตัวเองชัดที่สุดตอนลูกทำกับเรานั่นแหละครับ ถ้าไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูเขาเราก็โดนทบดอกเบี้ยอีก • ลูกไม่มีสิทธิ์คาดหวังว่าหน้าตาคุณจะเป็นอย่างไร แต่เขามีสิทธิ์คาดหวังว่า หน้าตาคุณอ่อนโยนขนาดไหนในเวลาที่ยื่นหน้าไปหาเขา • ความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก เป็นปัญหาคู่โลก เป็นความขัดแย้งทางความคิด ไม่ถือว่าบาป เพียงแต่เราต้องไม่คิดหรือพูดต่อกันด้วยโทสะ หรืออารมณ์โกรธ สำหรับพ่อแม่ หากคุณเลี้ยงลูกในสิ่งที่คุณอยากให้เป็น คุณจะไม่มีทางได้รู้จักลูก หรือตัวตนที่แท้จริงของลูก และสำหรับลูก เราควรพูดกับพ่อแม่ดีๆ ให้ท่านเข้าใจในตัวตนของเรา จะได้ไม่ต้องเถียงกัน พูดด้วยเหตุด้วยผล • พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิดฉะนั้นกรรมจะเป็นผู้รู้ และเข้าใจครับว่าต้องจัดสรรพ่อแม่แบบไหนมาให้เด็ก ไม่ใช่เราอยากได้เด็กแบบไหนแล้วจะมีวิธีให้ได้ดังใจ • ทำบุญขอมีลูกที่ดีที่สุด ได้ผลที่สุดที่เห็นมาหลายราย คือทำด้วยการตั้งใจว่า ถ้าเทวดาไหนอยากมาต่อบุญ ต่อศีล ต่อภาวนา เราจะเป็นแดนเกิดให้ • ไม่มีเด็กคนไหนดื้อ มีแต่เด็กที่ไม่เข้าใจว่า ผู้ใหญ่ขอให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปทำไม เพราะผู้ใหญ่ไม่อดทนพอจะอธิบายให้ฉลาดหน่อย • เด็กจะสนใจทุกคำตอบที่เขาสงสัย แต่จะเพิกเฉยกับทุกคำสอนที่สร้างความสงสัยว่า ทำไมเขาต้องทนฟัง • การสอนที่ล้าสมัยทำให้เด็กจมอยู่กับอดีต การสอนที่ล้ำสมัยทำให้เด็กอยากสร้างอนาคต การสอนที่ทันสมัยทำให้เด็กอยู่กับปัจจุบันเป็น • ทำให้เด็กมีปัญหา แล้วโลกจะมีปัญหากว่านั้น ทำให้เด็กหมดปัญหา แล้วโลกจะมีคนพยายามทำปัญหาให้หมดไป ดังตฤณ http://www.facebook.com/Dungtrin ส.ค. 12, 2016 8:54:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น การที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จสักที คือการกระทำของตนเองในปัจจุบัน ไม่ใช่เอะอะก็เพราะกรรมเก่าๆท่าเดียว นั่งสมาธิมาเป็นปีๆ ไม่เคยได้คุณวิเศษ หูทิพย์ ตาทิพย์เลย เพราะทำไม่เสม่ำเสมอ และเพราะความอยากมันมีมาก พอทำไปความอยากมันลดลง เหลือแต่ความว่าง มันจึงจะเกิด จิตเมื่อนิ่งแล้ว ย่อมมีพลัง การฝึกสมาธิ ข้อสำคัญคือการฝึกจิต จิตมันวิ่ง จิตมันวุ่น ถ้าเราฝึกมันบ่อยๆ จิตเราก็จะนิ่ง เมื่อนิ่งแล้วจะเกิดความว่าง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จุดนั้นแหละที่จะมีพลังมหาศาล ความจริงของการทำสมาธิ คือ การวาง ,การทำความว่าง พวกนิมิตที่เราเห็น คือมายาจอมปลอม อย่าไปหลง ไปเชื่อ ไปยึดมัน เมื่อเห็นก็ให้รู้ว่าเห็น รู้ เห็น ปล่อยวาง แล้วทำความว่างต่อไป อย่างปู่ หรือบรรดาฤษี เขาฝึกอะไรกัน ไม่ได้ฝึกเอาอะไร เขานั่งสมาธิให้เกิดความว่างเท่านั้น เมื่อมีอภิญญา ญาณหยั่งรู้แล้ว อย่าทะนง มีได้ก็ดับได้ เมื่อกิเลสเข้าครอบงำ ยึดครองว่าตัวกูของกู เมื่อนั้น เสื่อมทันที วิชาขั้นสูง ก็คือการครองสติ ได้ตลอดเวลาของอารมณ์ ทั้งหลับและตื่น ต้องรู้ตลอดเวลา แบบนี้แหละเขาเรียกว่า สมาธิชั้นสูง เดิน กิน นั่ง นอน มีสติ ครองรับรู้อารมณ์ ไม่หลุด แบบนี้สิถึงจะเรียกว่า สมาธิชั้นสูง เมื่อทรงอารมณ์แบบนี้ได้ ปัญญาเกิด มันรู้ไปหมด รู้พิจาณาปล่อยวาง หายใจเข้า หายใจออก แล้วดับ จริงมั้ย มันหยุดก่อนจะหายใจเข้า นี้สติมันอยู่ระหว่างกลางนี้ ทรงอารมณ์ให้มันได้ ก็พอ ฤทธิ์ ฌาณ มันเสื่อมกันได้ อย่างเช่น มีฤษีตนหนึ่ง มีฤทธิ์สูง เหาะไปไหนก็ได้ แต่พอเหาะผ่าน สตรีนอนแก้ผ้าอยู่ สติในอารมณ์หาย หลุ่นตุ๊บลงมา เป็นยังไงละ สติหายสติหายอะไรก็หายไปหมด เห็นมั้ย นี้คือตัวสำคัญมาก จำไว้ การฝึกภาวนาต้องทำกันบ่อยๆ อย่าให้ขาดช่วงนาน หน้าที่ความรับผิดชอบทางโลกมีอะไรบ้าง ก็ทำไป ทางธรรมก็ควบคู่กันไป ให้ดูพอดี อย่าให้ตึงเกิน จนคุยกับใครไม่รู้เรื่อง หรือหย่อนเกิน จนต้องมาเริ่มนับ 1 ใหม่อยู่ตลอด อย่าลืมว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมวิหาร ๔ ข้อนี้ เป็นสิ่งหนุนสมาธิโดยตรง ถ้าไม่ชอบใคร ให้ลองหยุดไตร่ตรอง มองเขาด้วยความเมตตา อย่างที่ปู่เคยบอกแล้ว เราก็คน เขาก็คน ทำอะไรไม่ถูกใจกันบ้างก็ให้อภัยเขาไป มองด้วยความเมตตา ถ้านึกไม่ออกว่าทำยังไง ก็ให้นึกไว้ "ไม่เป็นไร" "ช่างมันเถอะ" ทำบ่อยๆ คิดแบบนี้บ่อยๆ จิตจะชินกับการให้อภัยไปเอง คนในโลกนี้ เวียนว่ายตายเกิดไปพบเจอ ประสบทุกข์ ประสบเรื่องราวต่างๆกันมาในภพต่างๆ นิสัยจึงไม่เหมือนกัน ใจจึงคิดไปกันคนละทางกัน จิตใจสวนทางกัน ก็ย่อมเป็นธรรมดา จะให้ได้ดั่งใจเราท่าเดี่ยว ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย อุเบกขาวางเฉยเสียบ้าง ลำพังเขาเกิดมาก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว เกิดมาเห็นผิด(ไม่รู้) เป็นมิจฉาทิฐิ นี่ก็ยิ่งน่าสงสารเขาไปอีก เราพอที่จะมีความเมตตากรุณา อนุเคราะห์เขาได้ ให้เขาดีขึ้น ก็ควร เพื่อให้ทุกข์เขาน้อยลง การนั่งสมาธิ ควรสิหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์โผ่ขึ้นสื่อใด๋ให้หันไปสื่อนั่นหละ เดินจงกรม ก็เหมือนกันให้เดินตามไปทางดวงอาทิตย์ขึ้น และทางดวงอาทิตย์ตก พระอริยะในสมัยพุทธกาลท่านเดินจงกรมไปแนวทิศทางแบบนี้ ท่านนั่งสมาธิหันหน้าไปนั้น #ธรรมะ ครูบาอาจาย์ เรียบเรียงโดยผู้โพส ส.ค. 13, 2016 8:39:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้ต้อนรับ พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เข้าสู่ ภิกขุยุครัตนโกสินทร์ ส.ค. 22, 2016 9:54:06am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้สร้างกลุ่ม ภิกขุยุครัตนโกสินทร์ แล้ว ส.ค. 22, 2016 9:54:06am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้ต้อนรับ พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เข้าสู่ ภิกษุ ยุครัตนโกสินทร์ ส.ค. 22, 2016 9:58:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้สร้างกลุ่ม ภิกษุ ยุครัตนโกสินทร์ แล้ว ส.ค. 22, 2016 9:58:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 ส.ค. 22, 2016 7:59:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 ต.ค. 04, 2016 10:45:36am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น เชื่อหรือไม่มนุษย์เรามีเวลาสั่งสม บุญหรือบาป เพียง 13,687 วัน เท่านั้นเอง *ผู้ที่อ่านบทความนี้จนจบ จะรู้สึกเลยว่า เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาที มันช่างมีค่า และความหมายมากเพียงใด และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่เราปล่อยผ่านไปปล่าวๆ ให้กลับคืนได้อีกเลยตลอดกาล* สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพ อายุของมนุษย์ในยุคนั้นคือ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว อายุขัยของมนุษย์เมื่อล่วงเลยไปทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เพราะฉนั้นอายุขัยของมนุษย์ในปัจจุบันได้ดลงไปแล้ว 25 ปี อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2548 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ วันหนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้ากันเถอะ แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า " เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ " โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้ท่านคิดเช่นนั้น แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ อดีตชาติของท่านอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่ท่าน "จุติ" จากชาติที่แล้ว จนท่านมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าท่านจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ ไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกดันเสือกตาย" โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %) การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ 1) การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป ที่มีอาการครบ 32 (ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่ ประเทศเนปาล-อินเดีย นะครับ) 2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ ในอนาคตกาล) 3) การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ 4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา "สติปัฏฐาน 4" โดยพิจารณา กาย-เวทนา-จิต-ธรรม เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน จนเกิด "ญาณ 16" ซึ่งจะนำเราไปสู่ความเป็น "พระโสดาบัน") พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10) 1) ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน 2) สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล 3) ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (การเจริญ "สติปัฏฐาน 4" จนได้ "ญาณ 16") 4) อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม 5) ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ 6) ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ 7) ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ 8) ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม 9) ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา 10) ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี-พระศรีอริยเมตรไตรย์มี , เชื่อว่าทรัพย์สมบัติติดตัวไปไม่ได้-เอาไปได้แค่บุญกุศล , ร่างกายมนุษย์มีไว้สร้างบุญบารมี-ไม่ได้เอาไว้หาความสุขสำราญ) อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย โลกมนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริงและค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์ สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้ ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!! *ก่อนจะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะครับ !!!* **ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก** ***พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ...คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มันให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงท่านจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอกครับ .. หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง ท่านจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ" ท่านสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได่รับกรรมเช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่กฏแห่งกรรมมันไม่ขึ้นกับความเชื่อของท่านหรอก เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ*** "ญาณ ๑๖" ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นพระอริยะบุคคลระดับ "พระโสดาบัน" ขอขอบคุณมี่มาจาก www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14172.0%3Bwap2 ต.ค. 09, 2016 9:12:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น อายตนะภายนอกนั่นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่าอายตนะภายในไม่เที่ยง รูปนั่นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่า อายตนะภายในคือตา ไม่เที่ยง เสียงนั่นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่า อายตนะภายในคือหูไม่เที่ยง กลิ่นนั่นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่า อายตนะภายในคือจมูกไม่เที่ยง อายตนะภายนอกคือรสนั่นแหละ จะเป็นเหตุให้รู้ว่าอายตนะภายในคือลิ้นไม่เที่ยง อายตนะภายนอกคือโผฏฐัพพะนั้นแหละ จะเป็นเหตุให้รู้ว่าอายตนะภายในคือกายนี้ไม่เที่ยง อายตนะภายนอกคือธรรมารมณ์นั้นแหละ จะเป็นเหตุให้รู้ว่าอายตนะภายในคือวิณญาณไม่เที่ยง เวทนานั้นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่าวิญญาณไม่เที่ยง สัญญานั้นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่าวิญญาณไม่เที่ยง สังขารความคิดปรุงแต่งนั้นแหละจะเป็นเหตุให้รู้ว่าวิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกขขัง เป็นอนัตตา อายตนะภายนอกก็เป็นเหตุให้บอก ให้รู้ว่าอายตนะภายในไม่เที่ยง เป็นทุกขัง อนัตตา อายตนะภายในก็เป็นเหตุบอกให้รู้ว่า อายตนะภายนอกไม่เที่ยง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา #ก๊อปวาง ต.ค. 23, 2016 7:59:34pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มันสิดิ้นหาหยังน้อ.. "พระอนาคามีคือผู้สงบรำงับ มิใช่ผู้ดิ้น" พระสกิทาคามีก็ไม่ใช่ผู้ดิ้น มีแต่ปฏิบัติเพื่อไม่ดิ้น" พระโสดาบันก็เช่นเดียวกัน พระอริยะเจ้าทั้งหลายมีแต่ปฏิบัติเพื่อไม่ดิ้น" ถ้ายังดิ้นอยากเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ สวนทางกลับพระอริยะแล้วนะ จะดิ้นหาเอาอะไร ต่อไปนี้ไม่ต้องดิ้น.. ให้ปฏิบัติเพื่อหยุดดิ้น #เตือนตน ต.ค. 23, 2016 8:56:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คนในโลกนี้ มีจิตคิดส่งใจมุ่งไปทางต่างๆ ที่ต่างกัน ทางไหนดี ทางไหนควรไป คิดไปทางไหนดี ดำเนินชีวิตไปทางไหนดี บ้างว่าวิทยาศาตร์เป็นทางที่ดี ยกใจเทให้หมด บ้างว่าพุทธศาสตร์เป็นทางที่ดี ยกใจเทให้หมด บ้างว่าเขาพาทำ ก็ทำๆตามเขาแล้วแต่สังคมจะพาเป็นไป ไม่ว่าจะเป็นหมู่เพื่อน ยกใจให้ค่านิยมไปหมด ก็เพราะไม่รู้ว่า อะไรมันคืออะไร อะไรมันเป็นอะไร ไม่เข้าใจความจริง แม้ข้าพระเจ้าเองก็ยังไม่เข้าใจสัจธรรมสูงสุด ตอนนี้ธรรมของโลกียะ(ธรรมฝ่ายเข้า) นั้นเหมือนจะรุ่นแรงมาก คืออย่างเช่น เห็นเขาแต่งรถ ก็ต้องการดิ้นรนขวานขวายแต่งรถ คือเห็นเขาเอาเมีย ก็ต้องการเอาเมียเหมือนเขา คือเห็นเขาเอาผัว ก็ต้องการเอาผัวเหมือนเขา เห็นเขามีแฟน ก็ต้องการจะมีแฟนเหมือนเขา เห็นเขามียศ ก็ต้องการจะมียศเหมือนเขา เห็นเขารวย ก็ต้องการจะรวยเหมือนเขา และอื่นๆ ฯ รวมความแล้ว หรือย่นย่อลงมา ก็คือ ธรรมฝ่ายเข้า,ฝ่ายยึดติด ใน อายตนะภายนอก คือรูป ยึดเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ และอายตนะภายในอีก ส่วนที่ไม่เหมือนใครมีศาตร์เดียว คือธรรมฝ่ายเวียนออก โลกุตระนั้นเอง ถ้าพูดย่นย่อก็คือ ออกจาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ออกจากการรู้แจ้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นธรรมหมุ่นออก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก และแปลกประหลาด อัศจรรย์ ว่ามีธรรมแบบนี้ด้วย นี่คือแยกประเภทธรรมทุกศาตร์ทั้งโลก ทุกศาสนา เป็น๒ส่วน มีหมุ่นเข้า มีหมุ่นออก ธรรมหมุ่นออกนั้น ตามคำภีย์ท่านกล่าวว่า ผู้ที่จะเกิดมาสอนธรรมแบบนี้หาได้ยากเกิดขึ้นได้ยาก คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตะมะ ส่วนธรรมฝ่ายเข้านั้น มีมากมายก่ายกองในโลก ผู้ฉลาดก็ต้องเลือกแล้วแหละ จะดำเนินจิตไปทางไหน มีฝ่ายเข้า กับฝ่ายออก ถ้าฝ่ายออกคือหลุดพ้น ท่านกล่าวว่าเป็นบรมสุข เป็นอมตะ ถ้าฝ่ายเข้า ท่านกล่าวว่า เป็นทุกข์(ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้)เป็นอยู่อย่างนี้ร่ำไปทุกชาติ ท่านกล่าวว่า เราทุกคนเคยเกิดมานับครั้งไม่ได้ มากกว่าเม็ดดินหรือทรายในโลก เม็ดดินหรือเม็ดทรายในโลกมีอยู่เพียงเท่าใด กี่ล้านเม็ด ภพชาติที่เราเคยเกิดมากกว่านั้นอีก พัดพรากจากสิ่งที่ยึดทุกชาติ ธรรมฝ่ายเข้า เป็นไปเพื่อเกิดตาย ไม่แล้วเสร็จเป็น ไม่มีที่สิ้นสุดเลย ธรรมฝ่ายออก เป็นไปเพื่อเกิดแล้วไม่ตาย ชื่อของนิพพาน ,อะมะตะ,นิพพาน,วิมุต,วิราคะ,อสังขะตะ) เลือกเอาแล้วแหละ ถ้าเลือกธรรมฝ่ายออก อย่าลีลอชักช้า เพราะปฏิปทาผู้บอกผู้สอนนั้นหมดไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ผ่านไปแล้ว 2,559 ปี ถ้าจะรอพระศรีอายรเมตไตรยังประมาทอยู่ กินอาหารเลี้ยงร่างกายเพื่อให้ ดำเนินทางจิตไปได้ " ภายนอกอย่างหนึ่ง ภายในอย่างหนึ่ง " กายแตกทำลาย จิตสะสมการเห็นไตรลักษณ์ กี่ครั้ง ๆ ท่านกล่าวว่า ก็เป็นเหตุให้ภพชาติสั้นลง อุปทานก็คลายไป ใกล้นิพพานเข้าไปเรื่อยๆ หมดภพหมดชาตินั้นแหละ เรียกว่าอมตะ หรือนิพพาน #วิจารธรรมของโลก :คุณกำลังคิดอะไรอยู่? พ.ย. 04, 2016 7:59:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ.ย. 12, 2016 1:56:34pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #พุทธศาสนาได้รับรางวัลศาสนาที่ดีที่สุดในโลก เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฏาคม คศ.๒๐๐๙ subject : Buddhism won the best religion in the world award 15 Jul 2009, Tribune de Geneve. หนังสือพิมพ์"ตรีบูน เดอ เจแนฟ" ได้ลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฏาคม คศ.๒๐๐๙(พศ.๒๕๕๒) ว่า พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก คณะกรรมการเพื่อความก้าวหน้าทางศาสนา และจิตวิญญาณ(Internation Coalition for the Advancement of Religious and Spirituality(ICARUS) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอแลนด์ ได้ลงมติ ให้รางวัล "ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก" แก่สังคมชาวพุทธ. ผู้นำศาสนากว่า ๒๐๐ คน จากทุกๆหน่วยงานที่เกี่ยว กับจิตวิญญาณ ได้ลงมติให้รางวัลนี้ ในที่ประชุมโต๊ะกลมแห่งหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้นำศาสนาจำนวนมากได้ลงมติ ให้แก่พุทธศาสนายิ่งกว่าศาสนาของตนเอง แม้ว่า จะมีชาวพุทธที่เป็นส่วนน้อยในคณะกรรมการนี้ ต่อไปนี้จะเป็นความเห็นจากคณะกรรมการบางท่าน Johnne Hult ผู้อำนวยฝ่ายค้นคว้าของ ICARUS กล่าวว่า "ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ชาวพุทธได้รับรางวัลนี้ เพราะว่าชาวพุทธไม่เคยมีสงครามศาสนากับใครๆ ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนจะเก็บปืนไว้ ในตู้เสื้อผ้า ในกรณีที่พระเจ้าทำผิดขึ้นมา เรา ไม่เคยเห็นชาวพุทธในกองทัพประชาชนเหล่านี้(ชาวพุทธ) ปฏิบัติธรรมเหมือนกับดังที่เขา(ศาสนาอื่น)สอน ซึ่งเรา ไม่เคยพบในศาสนาอื่นๆ สาธุคุณ Ted O Shanghnessy บาทหลวงคาทอลิคผู้หนึ่ง ได้กล่าวที่เมือง Belfast ว่า "ถึงแม้ฉันจะรัก และนับถือศาสนาคาทอลิก แต่ก็รู้สึก ไม่สบายใจที่เราพร่ำสอนให้คนรักกัน แต่เมื่อถึงคราวที่ จะฆ่ามนุษย์ชาติด้วยกัน ก็อ้างว่า เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงขอลงมติ ให้ชาวพุทธ." พระมุสลิมจากปากีสถานชื่อ Tal Bin Wassad ได้กล่าวผ่านล่ามว่า "แม้ข้าพเจ้าจะเป็นมุสลิมที่เคร่งครัด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมีการโกรธแค้นและหลั่งเลือด โดยศาสนา แทนที่จะมีการเจรจาตกลงกัน ในระดับบุคคลต่อบุคคล" Bin Wassad ซึ่งเป็นสมาชิกจากปากีสถานของ ICARUS ได้กล่าวต่อไปอีกว่า ความจริงเพื่อนที่ดีของข้าพเจ้าบางคนก็เป็นชาวพุทธ Robbi Shmuel Wassestein ได้กล่าวที่เจรูซาเล็มว่า"แน่ละ ข้าพเจ้ารักศาสนายิว และคิดว่าเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ในโลก แต่ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าปฏิบัติวิปัสสนาทุกวันก่อนสวดมนต์ทางศาสนายิวของผม " อย่างไรก็ดีมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งว่า ICARUS ไม่รู้ว่า จะมอบรางวัลนี้ให้แก่ผู้ใด เพราะชาวพุทธทั้งหมดตอบว่าไม่ ต้องการรางวัลนั้น เมื่อถามว่า ทำไมสังคมชาวพุทธในพม่าจึง ไม่ยอมรับรางวัลนี้ พระBhante Ghurata Hanta จากพม่า ได้กล่าวว่า "เราขอขอบคุณในรางวัลนี้ แต่เราถือว่ารางวัลนี้เป็นของมนุษย์ชาติทั้งมวล และพระพุทธคุณได้อยู่ในใจของเราชาวพุทธทุกคนแล้ว" Grochlichen กล่าวต่อไปว่า เราจะพยายามติดต่อ กับชาวพุทธต่อไป และจะแจ้งให้ท่านทราบ เมื่อ ได้พบชาวพุทธซึ่งยินดีรับรางวัลนี้. (หมายเหตุ ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) #จาก oknation.nationtv.tv/blog/pierra/2009/10/26/entry-1 พ.ย. 17, 2016 5:36:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 .😭 ธ.ค. 12, 2016 9:01:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 .😭 ธ.ค. 12, 2016 9:05:55pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธ.ค. 12, 2016 9:31:24pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พระพุทธเจ้าทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์ ว่ามีความเป็นต่างๆนาๆ ไม่เหมือนกัน จริตนิสัยแตกต่างกัน ตอนโปรดภิกษุปัจวัคคีย์ ทรงรู้ว่ามีอัศธยาศัยอย่างนี้ จึงยกขันธ์๕ขึ้นมาแสดง คืออนัตตาลักขณะสูตร เพราะเหมาะกับ ภิกษุทั้ง๕รูป แสดงธรรมนั้นแล้วบรรลุอรหันต์หมด ตอนไปโปรดชฎินสามพี่น้อง พร้องบริวารของเขา ๑,๐๐๐ คน ทรงยก อายตนะ๑๒ ขึ้นมาแสดง คืออาทิตตปริยายสูตร แสดงธรรมนั้นแล้วหลุดพ้นสำเร็จอรหันต์หมด หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต แสดงธรรม ความหลุดพ้นโดยธรรมายตนะ ( อายตนะ ๑๒ ) ขอเชิญรับฟัง หรือดาวน์โหลดลงเครื่องครับ https://youtu.be/gS2mnEQgfvI ดาวน์โหลดแบบ.MP3 ที่ https://www.dropbox.com/s/ilw09ug8bcwvpin/หลวงปู่หล้า%3A%3Aอายตน.mp3?dl=0&m ธ.ค. 21, 2016 2:07:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธ.ค. 22, 2016 2:11:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ ของภูตสัตว์ทั้งหลาย, หรือว่า เพื่ออนุเคราะห์แก่สัมภเวสีสัตว์ทั้งหลาย. อาหาร ๔ อย่างเป็นอย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ (๑) กพฬีการาหาร ที่หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง, (๒) ผัสสะ, (๓) มโนสัญเจตนา, (๔) วิญญาณ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของภูตสัตว์ทั้งหลาย, หรือว่า เพื่ออนุเคราะห์แก่สัมภเวสีสัตว์ทั้งหลาย. ภิกษุโมลิยผัคคุนะ ได้ทูลถามขึ้นว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ใครเล่า ย่อมกลืนกินซึ่งวิญญาณาหาร พระเจ้าข้า ? ” พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสตอบว่า “นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย : เราย่อมไม่กล่าวว่า ‘บุคคลย่อมกลืนกิน’ ดังนี้ : ถ้าเราได้กล่าวว่า ‘บุคคลย่อมกลืนกิน’ ดังนี้ นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า ‘ก็ใครเล่า ย่อมกลืนกิน (ซึ่งวิญญาณาหาร) พระเจ้าข้า ?’ ดังนี้. ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น, ถ้าผู้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้ กล่าวอย่างนั้นเช่นนี้ว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่ออะไรเล่าหนอ’ ดังนี้แล้ว, นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา. คำเฉลยที่ควรเฉลย ในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า ‘วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ต่อไป . เมื่อภูตะ (ความเป็นภพ) นั้น มีอยู่, สฬายตนะย่อมมี; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ (การสัมผัส)’, ดังนี้”. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ใครเล่า ย่อมสัมผัส พระเจ้าข้า ?” นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย : เราย่อมไม่กล่าวว่า “บุคคลย่อมสัมผัส” ดังนี้ : ถ้าเราได้กล่าวว่า “บุคคล ย่อมสัมผัส” ดังนี้ นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า “ก็ใครเล่า ย่อมสัมผัส พระเจ้าข้า ? ” ดังนี้. ก็เรามิได้ กล่าวอย่างนั้น, ถ้าผู้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า “ผัสสะมี เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย พระเจ้าข้า ?” ดังนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา. คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า “เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา (ความรู้สึกต่ออารมณ์)”, ดังนี้. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ใครเล่า ย่อมรู้สึกต่ออารมณ์ พระเจ้าข้า ?” นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย : เราย่อมไม่กล่าวว่า “บุคคลย่อม รู้สึกต่ออารมณ์” ดังนี้ : ถ้าเราได้กล่าวว่า “บุคคลย่อมรู้สึกต่ออารมณ์” ดังนี้ นั่นแหละ จึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า “ก็ใครเล่า ย่อมรู้สึกต่ออารมณ์ พระเจ้าข้า ? ” ดังนี้. ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น, ถ้าผู้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า “เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีเวทนาพระเจ้าข้า ?” ดังนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหา ที่ควรแก่ความเป็นปัญหา. คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า “เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา (ความอยาก)”, ดังนี้. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ใครเล่า ย่อมอยาก พระเจ้าข้า ?” นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย : ย่อมไม่กล่าวว่า “บุคคลย่อมอยาก” ดังนี้ : ถ้าเราได้กล่าวว่า “บุคลลย่อมอยาก” ดังนี้ นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า “ก็ใครเล่า ย่อมอยาก พระเจ้าข้า ?” ดังนี้. ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น, ถ้าผู้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า “เพราะมีอะไรเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา พระเจ้าข้า ?” ดังนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา. คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า “เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน (ความยึดมั่น)”, ดังนี้. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ใครเล่า ย่อมยึดมั่น พระเจ้าข้า ?” นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย : เราย่อมไม่กล่าวว่า “บุคคล ย่อมยึดมั่น” ดังนี้ : ถ้าเราได้กล่าวว่า “บุคคลย่อมยึดมั่น” ดังนี้ นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหา ในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า “ก็ใครเล่า ย่อมยึดมั่น พระเจ้าข้า ? ” ดังนี้. ก็เรามิได้กล่าว อย่างนั้น ถ้าผู้ใดจะพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า “เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน พระเจ้าข้า ?” ดังนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็น ปัญหา. คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า “เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ” ดังนี้; เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะ - ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ดูก่อนผัคคุนะ ! เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งผัสสายตนะ (แดนเกิดแห่งสัมผัส) ทั้ง ๖ นั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งผัสสะ; เพราะ มีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา; เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมี ความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้, ดังนี้ แล. ______________________________ สูตรที่ ๒ อาหารวรรค นิทานสังยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๕/๓๑, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. หมายเหตุผู้รวบรวม : สูตรนี้ทั้งสูตร แสดงว่า ไม่มีบุคคลที่กลืนกินวิญญาณาหาร ไม่มีบุคคลที่เป็นเจ้าของอายตนะ ไม่มีบุคคลที่กระทำผัสสะ ไม่มีบุคคลที่เสวยเวทนา ไม่มีบุคคลที่อยากด้วยตัณหาไม่มีบุคคลที่ยึดมั่นถือมั่น, มีแต่ธรรมชาติที่เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรมอย่างหนึ่ง ๆ เป็นปัจจัย สืบต่อแก่กันและกันเป็นสายไป เท่านั้น ธ.ค. 23, 2016 5:46:00am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธ.ค. 24, 2016 2:51:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น "การที่เราคอยรู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ จุดมุ่งหมายหลักของเราคือ เราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของกายของใจ เราไม่ได้ภาวนาเพื่อที่จะให้กายหรือใจเป็นสุข หรือว่าคงที่อยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้น กายหรือใจเป็นอะไรก็ได้ จะดีหรือไม่ดีก็ได้ ทั้งดีและไม่ดีก็จะเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นเอง" #คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร www.dhamma.com/download/khunmaeoranuch/ "การที่เราคอยรู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ จุดมุ่งหมายหลักของเราคือ เราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของกายของใจ เราไม่ได้ภาวนาเพื่อที่จะให้กายหรือใจเป็นสุข หรือว่าคงที่อยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้น กายหรือใจเป็นอะไรก็ได้ จะดีหรือไม่ดีก็ได้ ทั้งดีและไม่ดีก็จะเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นเอง" #คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร www.dhamma.com/download/khunmaeoranuch/ ธ.ค. 25, 2016 10:16:04am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็สอนให้หลุดพ้นอาสวะกิเลสได้เหมือนกัน แต่ไม่เปิดสอนโดยสาธารณะ คือไม่ตั้งศาสนาขึ้น ประวัติของพระสุสิมะปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองไพสาลี พระเจ้าพิมพิสารจัดการบูชาใหญ่ มีการปราบพื้นที่ทั่ง 2 ฝั่ง 8 โยชน์ โรยดอกไม้ 5 สี แค่เข่า แล้วก็พากันจัดฉัตรให้มีการบูชากันหนัก ฉะนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นธรณีเมืองไพสาลีเป็นครั้งแรก เกิดฝนตกหนัก บรรดาพระสงฆ์นั่งประชุมกันว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ บรรดาเพื่อนทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้านี่เราอยู่กับท่านมาปีเศษ ยังไม่เคยเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ แสดงปาฎิหารย์อย่างคราวนี้ เป็นอัศจรรย์มาก ต่างคนต่างชม เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในพระมหาวิหาร อาศัยความเป็นทิพย์ของโสตประสาท สมเด็จพระบรมโลกนาถฟังพระคุยกันก็เข้าใจ ฟังรู้เรื่องหมด สมเด็จพระบรมสุคตจึงมาพิจารณาว่า เราไปเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง จะมีประโยชน์กับพวกเธอบ้างไหม ? ก็ทราบว่าเมื่อคุยจบ เล่าเรื่องนี้จบ อานิสงส์จบ บรรดาท่านที่ฟังอยู่ทั้งหลายเหล่านั้น อย่างน้อยจะได้พระโสดาบันถึงอรหันต์ เมื่อเห็นว่าประโยชน์มี องค์สมเด็จพระชินศรีก็เสด็จไป เมื่อเข้าไปใกล้ถึงที่นั่นแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ปูอาสนะ คือปูผ้าอาราธนาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วประทับนั่ง โดยจริยาของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ต้องทำตาม ท่านรู้ทุกอย่างแต่ก็ต้องถามว่า เธอนั่งคุยกันเรื่องอะไร บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลให้ทรงทราบ สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เขาปราบทางให้ราบเรียบก็ดี 8 โยชน์ โรยดอกไม้ 5 สีก็ดี กั้นร่มก็ดี เวลาเหยียบ แผ่นดินฝั่งโน้น ฝนตกก็ดี อันนี้ไม่ใช่บารมีที่ตถาคตบำเพ็ญบารมีมาดีเต็มแล้วเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ ไม่ใช่อานุภาพของเทวดาหรือพรหม หรือนาคบันดาล แต่ว่าเป็นผลความดีในกาลก่อนของตถาคตที่ทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ว่ามีผลมาก เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรัสอย่างนี้แล้วก็ทรงหยุดอยู่ ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อาราธนาองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ให้ดำรัสเรื่องราวความเป็นมา ท่านจึงตรัสว่าในกาลก่อนนี้ ท่าน (ยังเป็นพระโพธิสัตว์ กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีอยู่) ได้เกิดที่เมืองตักสิลา เป็นพราหมณ์ มีชื่อว่า สังขะ มีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า สุสิมะ ต่อมาเมื่อสุสิมะโตอายุ 16 ปี ก็อยากจะเรียน ไตรเพท เพราะพราหมณ์เขาถือว่าเรียนไตรเพทแล้ว ถ้าจบเป็นพราหมณ์ชั้นดี พ่อก็บอกว่ามีพราหมณ์เป็นเพื่อนของพ่ออยู่ในเมือง เขาเก่งมาก ก็พาเขาเข้าไปหาเพื่อนของพ่อที่เป็นพราหมณ์ เพื่อนของพ่อที่เป็นพราหมณ์ก็ดีมาก รู้ว่าเป็นลูกของเพื่อนก็เต็มใจสอนด้วยความเต็มใจ ท่านสุสิมะเรียนไม่ช้าไม่นาน เรียนจบเร็ว มีความฉลาดมาก เพื่อนของพ่อดีใจมาก รักมาก แต่ว่า ท่านสุสิมะ เป็นคนมีปัญญาสูง มีบารมีเต็ม เมื่อเรียนไตรเพทจบ ก็มาใคร่ครวญว่า ความรู้ที่เราเรียนนี้มันได้แต่ในเบื้องต้น กับท่ามกลางความเห็นเท่านั้นเอง เห็นเบื้องต้นกับท่ามกลาง แต่ไม่เห็นที่สุด (เบื้องต้นคือการเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ท่ามกลางคือการเกิดเป็นพรหม แล้วที่สุดนั้นหมายความว่า หนีจากการเกิดต่อไปคือนิพพาน วิชาของพราหมณ์ไม่มี) ท่านสุสิมะ พิจารณาใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก แต่มันไม่ถึงที่สุด มองไม่เห็นที่สุดว่ามันจะไปจบชีวิตเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าไอ้เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่มันน่าเบื่อ เราไม่ควรจะเกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไป มันควรความรู้ที่เรียน ควรจะพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ กาตาย จึงเข้าไปหาอาจารย์ ท่านลุงครับ ความรู้ที่ศึกษานี่ ผมมองเห็นแต่เบื้องต้นกับท่ามกลาง แต่ก็ไม่เห็นที่สุด พอจะเข้าใจไหมครับ ที่สุดพอจะสอนผมได้ไหม ท่านพ่อบุญธรรมหรือท่านลุงบอกว่า ฉันก็เห็นแค่นั้นเหมือนกัน เห็นได้แค่เบื้องต้นกับท่ามกลาง ที่สุดก็มองไม่เห็น ท่านสุสิมะ ก็ถามว่า ใครครับที่จะเห็นท่านพ่อ ท่านเพื่อนของพ่อก็บอกเลยว่า ฤาษีในป่า ฤาษีในป่าเห็นที่สุด ท่านสุสิมะ ก็ลาไปหาฤาษีในป่า แต่ความจริงพราหมณ์เขาคิดว่าเป็นฤาษี แต่ความจริงเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลานั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก เพราะมันเป็นเวลาว่างจากพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้า บรรลุขึ้นมา ไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ถามถึงที่สุดแห่งการปฎิบัติให้พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระปัจเจกพุทธเจ้า บอกคณะของเรามี คณะของเราทุกคนนี่ศึกษาถึงที่สุดด้วยกันทั้งหมด แล้วเมื่อศึกษาถึงที่สุดแล้ว ต่อไปขึ้นชื่อว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มี มีแต่ความสุข มีชีวิตอยู่ก็มี ความสุข ตายไปแล้วก็พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อไป ท่านสุสิมะ ก็ขอศึกษา บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นอาวุโสก็บอกว่า ศึกษาได้ นี่ไม่หวง ใครอยากจะศึกษา ศึกษาได้ ก็ขอเรียนเดี๋ยวนั้น ท่านบอกเรียนเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก เพราะแต่งตัวไม่เหมือนกัน คนจะเรียนวิชานี้ต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันเรียนไม่ได้ ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่า สุสิมะศึกษาวิชาของพราหมณ์ แต่งตัวแบบพราหมณ์ ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ถือว่าเป็น ความรู้ที่ต่ำ และพราหมณ์ทะนงตน ว่าเป็นพวกพรหม เป็นเพศที่สูง เป็นตระกูลที่สูง มานะมันยังมีอยู่ ท่านจึงแก้มานะ ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ดูซิว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอม แต่ความจริง พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้านะ อย่าลืม มีกำลังสูงกว่าพระอรหันต์มาก เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง แต่ว่าไม่สอนใครเป็นสาธารณะ ต้องการเฉพาะคนที่ศรัทธาไปหาท่าน เมื่อท่านสุสิมะ ฟังแล้วก็ตั้งใจ เอ้า! บวชก็บวช แต่งตัวเหมือนกัน ท่านก็ปลงผม นุ่งสบง ห่มจีวรเหมือนกัน ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า จัดหามาให้ แล้วก็ตั้งใจศึกษา ในที่สุดไม่ช้า ใช้เวลาไม่กี่วันท่านก็บรรลุเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าการเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เป็นไม่นานอีกเหมือนกัน อยู่ไม่นาน ไม่สักกี่วันนัก ก็เห็นจะประมาณสักเดือนเห็นจะได้มั้ง ท่านก็ต้องนิพพาน ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่าท่านก่อกรรมประเภทหนึ่ง ที่ทำให้อายุสั้นจะต้องนิพพานมาถึงท่าน ท่านก็ต้องนิพพาน กรรมประเภทนั้นก็คือ อำนาจของอกุศลกรรมที่มีโทษ ปาณาติบาต มาตั้งแต่ครั้งอดีตชาติ มันก็มาตามท่าน ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงนามว่า สุสิมะ นิพพานแล้ว บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย กับชาวเมือง(เมืองไพสาลี นะ) พากันทำการฌาปนกิจเผาศพท่าน แล้วก็สร้างสถูป สร้างเจดีย์เหมือนกับรูปบาตรคว่ำ บรรจุกระดูกของท่าน ต่างคนต่างไหว้บูชาในเวลานั้น ปรากฎว่า สังขพราหมณ์ เห็นลูกชายไปนานก็คิดถึง ก็ไปหาเพื่อน ถามกับเพื่อน ลูกชายอยู่รึเปล่า เพื่อนก็บอกว่าเขาเรียนจบแล้ว เขาไม่พอใจ เขาไม่เห็นที่สุด เขาขอไปเรียนกับฤาษีในป่า ท่านก็ไปที่เมืองไพสาลี ไปจากเมืองตักสิลา ไปเมืองไพสาลีนะ คิดว่าคนแถวนั้นอาจจะรู้เรื่องบ้าง เห็นเขาชุมนุมกันมีการบูชาทำประทักษิณเวียนเทียนพระสถูปก็เข้าไปถาม คิดว่าคนแถวนั้นคงได้ข่าวลูกชายเราบ้าง ก็ไปถามว่า นี่พ่อทั้งหลาย แม่ทั้งหลาย ได้ยินข่าวสุสิมะมานพนี่บ้างไหม คนทั้งหลายเหล่านั้นทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ เขากำลังเวียนเทียนพระสถูปของท่าน อ้อ ! สุสิมะ น่ะรึ ท่านสุสิมะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้งแต่ยังหนุ่ม เด็กมาก อายุประมาณ 16-17 ปี แต่ความดีของท่านมีมาก แต่กรรมบางอย่างทำให้ท่านต้องนิพพานเสียแล้ว พวกข้าพเจ้ากำลังเวียนเทียนกับท่านนี่ ทำฌาปนกิจเสร็จก็ทำสถูปใช้เครื่องประดับ แล้วก็เวียนเทียนบูชาความดีของท่าน สังขพราหมณ์ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้เสียใจ เสียใจมากทำยังไงล่ะ เขาบูชากันนี่ท่านเดินทางไม่มีอะไรมาเลย ก็เลยเอาผ้าขาวม้าของท่านที่ติดมานั่นล่ะ ไปกอบทรายข้างนอกใส่ผ้าขาวม้า ห่อมาก็โปรยปรายทาง ทำให้ทางข้าง ๆ พระสถูปนั้นราบเรียบ คือขนทรายมา ใช้ผ้าขาวม้าห่อ ไม่มีอะไร ใช้ผ้าขาวม้าจนทางเรียบพอใช้ได้ จะให้มันดีเหมือนถนนนั้นไม่ได้ แล้วไปเอาต้นไม้ที่มีดอกมาปลูกข้าง ๆ พระสถูป แล้วก็เอาน้ำมารดต้นไหม้ แล้วก็มันไม่มีอะไรทำ ธงก็เอาผ้าฉัตร ผ้าขาวม้านี่ทำธงขึ้นไปปักบนยอด มีร่มอยู่คันหนึ่ง เข้าไปกางบนยอดพระสถูป อย่านึกว่าพระสถูปแหลมเปี๊ยบจะดี นี่ไม่ใช่นะ เป็นรูปบาตรคว่ำขึ้นไปได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย คถาคตทำบุญเล็กน้อยเท่านี้ เป็นปัจจัยให้ได้การบูชาในสมัยนี้ คือที่พระเจ้าพิมพิสาร บูชาก็ดี พระเจ้ามหาลิ เจ้าเมืองไพสาลี บูชาก็ดี นาค คนธรรพ์ เทวดา พรหม บูชาเป็นการใหญ่ ยกฉัตรกันทั่วจักรวาลก็ดี เป็นบารมีในสมัยที่ตถาคตเกิดเป็น สังขพราหมณ์ บูชา ท่านสุสิมะ พระปัจเจกพุทธเจ้า จึง กล่าวเป็นอย่าง ๆ ว่า การที่เขาปราบพื้นที่ให้เรียบ 8 โยชน์ คือ ฝั่งนี้ 5 โยชน์ ฝั่งโน้น 5 โยชน์ รวมเป็น 8 โยชน์ นั่นล่ะ อานิสงส์มาจาก การเกลี่ยทราย เอาทรายมาโปรยปราย ทำให้ทางข้าง ๆ พระสถูปเรียบพอใช้ได้ มันไม่เรียบเหมือนถนน แต่ทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ไปทำให้มันเต็มนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นทางเรียบดี ท่านบอกอานิสงส์นี้เป็นปัจจัยเขาปราบทางให้เรียบ 8 โยชน์ ที่ตถาคตจะเดินไปแล้วก็อาศัยที่เอาต้นไม้ดอกมาปลูกข้าง ๆ สถูป เป็นการบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่มีนามว่า สุสิมะ ก็เป็นเหตุให้ 2 ฝั่ง เขาเอาดอกไม้ 5 สี มาโปรยปรายในระหว่างทาง สูงประมาณเข่าที่เราตถาคตเดินไป การที่เขาจัดฉัตรให้แก่ตถาคตก็ดี คือร่มให้กับบรรดาพระสงฆ์ก็ดี เพราะอานิสงส์ที่ตถาคตจัดร่ม เอาไปกางไว้บนยอดพระสถูป การที่เขาจัดธงทิว ปักเรียงรายตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั้ง 2 ฝั่ง แล้วเทวดาและพรหมและนาค จัดธงแก้วมณีแก้วประพาฬ ธงวิเศษนั้นก็อาศัยผ้าขาวม้าที่เราไปทำธงบนยอดพระสถูป การที่ตถาคตเหยียบเมืองไพสาลี เป็นวาระแรกที่เขาถึงแล้วฝนตกใหญ่ก็เป็นปัจจัยจากการนำเอาน้ำมารดต้นไม้ที่เป็นไม้ดอก เป็นปัจจัยให้ฝนตกใหญ่ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องนี้จบ บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายทั้งหมดที่ปุถุชนก็บรรลุพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามี และอนาคามี และอรหันต์บ้างเป็นแถว ฟังของท่านแล้วก็จำให้ดี การบำเพ็ญกุศลบุญราศีสักเล็กน้อยมันมีอานิสงส์มากอย่างนี้ แต่ว่าเราจะต้องบูชากันด้วยศรัทธาแท้ ขอพวกท่านทั้งหลายที่มีความดี จงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม อย่าให้ความดีถอยไป (ย่อมาจากเรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้า ในหนังสือพระสูตรก่อนนิทรา เทศนาโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) #พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็สอนให้หลุดพ้นอาสวะกิเลสได้เหมือนกัน แต่ไม่เปิดสอนโดยสาธารณะ คือไม่ตั้งศาสนาขึ้น ประวัติของพระสุสิมะปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองไพสาลี พระเจ้าพิมพิสารจัดการบูชาใหญ่ มีการปราบพื้นที่ทั่ง 2 ฝั่ง 8 โยชน์ โรยดอกไม้ 5 สี แค่เข่า แล้วก็พากันจัดฉัตรให้มีการบูชากันหนัก ฉะนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นธรณีเมืองไพสาลีเป็นครั้งแรก เกิดฝนตกหนัก บรรดาพระสงฆ์นั่งประชุมกันว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ บรรดาเพื่อนทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้านี่เราอยู่กับท่านมาปีเศษ ยังไม่เคยเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ แสดงปาฎิหารย์อย่างคราวนี้ เป็นอัศจรรย์มาก ต่างคนต่างชม เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในพระมหาวิหาร อาศัยความเป็นทิพย์ของโสตประสาท สมเด็จพระบรมโลกนาถฟังพระคุยกันก็เข้าใจ ฟังรู้เรื่องหมด สมเด็จพระบรมสุคตจึงมาพิจารณาว่า เราไปเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง จะมีประโยชน์กับพวกเธอบ้างไหม ? ก็ทราบว่าเมื่อคุยจบ เล่าเรื่องนี้จบ อานิสงส์จบ บรรดาท่านที่ฟังอยู่ทั้งหลายเหล่านั้น อย่างน้อยจะได้พระโสดาบันถึงอรหันต์ เมื่อเห็นว่าประโยชน์มี องค์สมเด็จพระชินศรีก็เสด็จไป เมื่อเข้าไปใกล้ถึงที่นั่นแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ปูอาสนะ คือปูผ้าอาราธนาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วประทับนั่ง โดยจริยาของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ต้องทำตาม ท่านรู้ทุกอย่างแต่ก็ต้องถามว่า เธอนั่งคุยกันเรื่องอะไร บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลให้ทรงทราบ สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เขาปราบทางให้ราบเรียบก็ดี 8 โยชน์ โรยดอกไม้ 5 สีก็ดี กั้นร่มก็ดี เวลาเหยียบ แผ่นดินฝั่งโน้น ฝนตกก็ดี อันนี้ไม่ใช่บารมีที่ตถาคตบำเพ็ญบารมีมาดีเต็มแล้วเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ ไม่ใช่อานุภาพของเทวดาหรือพรหม หรือนาคบันดาล แต่ว่าเป็นผลความดีในกาลก่อนของตถาคตที่ทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ว่ามีผลมาก เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรัสอย่างนี้แล้วก็ทรงหยุดอยู่ ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อาราธนาองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ให้ดำรัสเรื่องราวความเป็นมา ท่านจึงตรัสว่าในกาลก่อนนี้ ท่าน (ยังเป็นพระโพธิสัตว์ กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีอยู่) ได้เกิดที่เมืองตักสิลา เป็นพราหมณ์ มีชื่อว่า สังขะ มีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า สุสิมะ ต่อมาเมื่อสุสิมะโตอายุ 16 ปี ก็อยากจะเรียน ไตรเพท เพราะพราหมณ์เขาถือว่าเรียนไตรเพทแล้ว ถ้าจบเป็นพราหมณ์ชั้นดี พ่อก็บอกว่ามีพราหมณ์เป็นเพื่อนของพ่ออยู่ในเมือง เขาเก่งมาก ก็พาเขาเข้าไปหาเพื่อนของพ่อที่เป็นพราหมณ์ เพื่อนของพ่อที่เป็นพราหมณ์ก็ดีมาก รู้ว่าเป็นลูกของเพื่อนก็เต็มใจสอนด้วยความเต็มใจ ท่านสุสิมะเรียนไม่ช้าไม่นาน เรียนจบเร็ว มีความฉลาดมาก เพื่อนของพ่อดีใจมาก รักมาก แต่ว่า ท่านสุสิมะ เป็นคนมีปัญญาสูง มีบารมีเต็ม เมื่อเรียนไตรเพทจบ ก็มาใคร่ครวญว่า ความรู้ที่เราเรียนนี้มันได้แต่ในเบื้องต้น กับท่ามกลางความเห็นเท่านั้นเอง เห็นเบื้องต้นกับท่ามกลาง แต่ไม่เห็นที่สุด (เบื้องต้นคือการเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ท่ามกลางคือการเกิดเป็นพรหม แล้วที่สุดนั้นหมายความว่า หนีจากการเกิดต่อไปคือนิพพาน วิชาของพราหมณ์ไม่มี) ท่านสุสิมะ พิจารณาใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก แต่มันไม่ถึงที่สุด มองไม่เห็นที่สุดว่ามันจะไปจบชีวิตเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าไอ้เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่มันน่าเบื่อ เราไม่ควรจะเกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไป มันควรความรู้ที่เรียน ควรจะพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ กาตาย จึงเข้าไปหาอาจารย์ ท่านลุงครับ ความรู้ที่ศึกษานี่ ผมมองเห็นแต่เบื้องต้นกับท่ามกลาง แต่ก็ไม่เห็นที่สุด พอจะเข้าใจไหมครับ ที่สุดพอจะสอนผมได้ไหม ท่านพ่อบุญธรรมหรือท่านลุงบอกว่า ฉันก็เห็นแค่นั้นเหมือนกัน เห็นได้แค่เบื้องต้นกับท่ามกลาง ที่สุดก็มองไม่เห็น ท่านสุสิมะ ก็ถามว่า ใครครับที่จะเห็นท่านพ่อ ท่านเพื่อนของพ่อก็บอกเลยว่า ฤาษีในป่า ฤาษีในป่าเห็นที่สุด ท่านสุสิมะ ก็ลาไปหาฤาษีในป่า แต่ความจริงพราหมณ์เขาคิดว่าเป็นฤาษี แต่ความจริงเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลานั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก เพราะมันเป็นเวลาว่างจากพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้า บรรลุขึ้นมา ไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ถามถึงที่สุดแห่งการปฎิบัติให้พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระปัจเจกพุทธเจ้า บอกคณะของเรามี คณะของเราทุกคนนี่ศึกษาถึงที่สุดด้วยกันทั้งหมด แล้วเมื่อศึกษาถึงที่สุดแล้ว ต่อไปขึ้นชื่อว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มี มีแต่ความสุข มีชีวิตอยู่ก็มี ความสุข ตายไปแล้วก็พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อไป ท่านสุสิมะ ก็ขอศึกษา บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นอาวุโสก็บอกว่า ศึกษาได้ นี่ไม่หวง ใครอยากจะศึกษา ศึกษาได้ ก็ขอเรียนเดี๋ยวนั้น ท่านบอกเรียนเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก เพราะแต่งตัวไม่เหมือนกัน คนจะเรียนวิชานี้ต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันเรียนไม่ได้ ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่า สุสิมะศึกษาวิชาของพราหมณ์ แต่งตัวแบบพราหมณ์ ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ถือว่าเป็น ความรู้ที่ต่ำ และพราหมณ์ทะนงตน ว่าเป็นพวกพรหม เป็นเพศที่สูง เป็นตระกูลที่สูง มานะมันยังมีอยู่ ท่านจึงแก้มานะ ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ดูซิว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอม แต่ความจริง พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้านะ อย่าลืม มีกำลังสูงกว่าพระอรหันต์มาก เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง แต่ว่าไม่สอนใครเป็นสาธารณะ ต้องการเฉพาะคนที่ศรัทธาไปหาท่าน เมื่อท่านสุสิมะ ฟังแล้วก็ตั้งใจ เอ้า! บวชก็บวช แต่งตัวเหมือนกัน ท่านก็ปลงผม นุ่งสบง ห่มจีวรเหมือนกัน ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า จัดหามาให้ แล้วก็ตั้งใจศึกษา ในที่สุดไม่ช้า ใช้เวลาไม่กี่วันท่านก็บรรลุเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าการเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เป็นไม่นานอีกเหมือนกัน อยู่ไม่นาน ไม่สักกี่วันนัก ก็เห็นจะประมาณสักเดือนเห็นจะได้มั้ง ท่านก็ต้องนิพพาน ทั้งนี้เพระอะไร เพราะว่าท่านก่อกรรมประเภทหนึ่ง ที่ทำให้อายุสั้นจะต้องนิพพานมาถึงท่าน ท่านก็ต้องนิพพาน กรรมประเภทนั้นก็คือ อำนาจของอกุศลกรรมที่มีโทษ ปาณาติบาต มาตั้งแต่ครั้งอดีตชาติ มันก็มาตามท่าน ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงนามว่า สุสิมะ นิพพานแล้ว บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย กับชาวเมือง(เมืองไพสาลี นะ) พากันทำการฌาปนกิจเผาศพท่าน แล้วก็สร้างสถูป สร้างเจดีย์เหมือนกับรูปบาตรคว่ำ บรรจุกระดูกของท่าน ต่างคนต่างไหว้บูชาในเวลานั้น ปรากฎว่า สังขพราหมณ์ เห็นลูกชายไปนานก็คิดถึง ก็ไปหาเพื่อน ถามกับเพื่อน ลูกชายอยู่รึเปล่า เพื่อนก็บอกว่าเขาเรียนจบแล้ว เขาไม่พอใจ เขาไม่เห็นที่สุด เขาขอไปเรียนกับฤาษีในป่า ท่านก็ไปที่เมืองไพสาลี ไปจากเมืองตักสิลา ไปเมืองไพสาลีนะ คิดว่าคนแถวนั้นอาจจะรู้เรื่องบ้าง เห็นเขาชุมนุมกันมีการบูชาทำประทักษิณเวียนเทียนพระสถูปก็เข้าไปถาม คิดว่าคนแถวนั้นคงได้ข่าวลูกชายเราบ้าง ก็ไปถามว่า นี่พ่อทั้งหลาย แม่ทั้งหลาย ได้ยินข่าวสุสิมะมานพนี่บ้างไหม คนทั้งหลายเหล่านั้นทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ เขากำลังเวียนเทียนพระสถูปของท่าน อ้อ ! สุสิมะ น่ะรึ ท่านสุสิมะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้งแต่ยังหนุ่ม เด็กมาก อายุประมาณ 16-17 ปี แต่ความดีของท่านมีมาก แต่กรรมบางอย่างทำให้ท่านต้องนิพพานเสียแล้ว พวกข้าพเจ้ากำลังเวียนเทียนกับท่านนี่ ทำฌาปนกิจเสร็จก็ทำสถูปใช้เครื่องประดับ แล้วก็เวียนเทียนบูชาความดีของท่าน สังขพราหมณ์ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้เสียใจ เสียใจมากทำยังไงล่ะ เขาบูชากันนี่ท่านเดินทางไม่มีอะไรมาเลย ก็เลยเอาผ้าขาวม้าของท่านที่ติดมานั่นล่ะ ไปกอบทรายข้างนอกใส่ผ้าขาวม้า ห่อมาก็โปรยปรายทาง ทำให้ทางข้าง ๆ พระสถูปนั้นราบเรียบ คือขนทรายมา ใช้ผ้าขาวม้าห่อ ไม่มีอะไร ใช้ผ้าขาวม้าจนทางเรียบพอใช้ได้ จะให้มันดีเหมือนถนนนั้นไม่ได้ แล้วไปเอาต้นไม้ที่มีดอกมาปลูกข้าง ๆ พระสถูป แล้วก็เอาน้ำมารดต้นไหม้ แล้วก็มันไม่มีอะไรทำ ธงก็เอาผ้าฉัตร ผ้าขาวม้านี่ทำธงขึ้นไปปักบนยอด มีร่มอยู่คันหนึ่ง เข้าไปกางบนยอดพระสถูป อย่านึกว่าพระสถูปแหลมเปี๊ยบจะดี นี่ไม่ใช่นะ เป็นรูปบาตรคว่ำขึ้นไปได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย คถาคตทำบุญเล็กน้อยเท่านี้ เป็นปัจจัยให้ได้การบูชาในสมัยนี้ คือที่พระเจ้าพิมพิสาร บูชาก็ดี พระเจ้ามหาลิ เจ้าเมืองไพสาลี บูชาก็ดี นาค คนธรรพ์ เทวดา พรหม บูชาเป็นการใหญ่ ยกฉัตรกันทั่วจักรวาลก็ดี เป็นบารมีในสมัยที่ตถาคตเกิดเป็น สังขพราหมณ์ บูชา ท่านสุสิมะ พระปัจเจกพุทธเจ้า จึง กล่าวเป็นอย่าง ๆ ว่า การที่เขาปราบพื้นที่ให้เรียบ 8 โยชน์ คือ ฝั่งนี้ 5 โยชน์ ฝั่งโน้น 5 โยชน์ รวมเป็น 8 โยชน์ นั่นล่ะ อานิสงส์มาจาก การเกลี่ยทราย เอาทรายมาโปรยปราย ทำให้ทางข้าง ๆ พระสถูปเรียบพอใช้ได้ มันไม่เรียบเหมือนถนน แต่ทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ไปทำให้มันเต็มนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นทางเรียบดี ท่านบอกอานิสงส์นี้เป็นปัจจัยเขาปราบทางให้เรียบ 8 โยชน์ ที่ตถาคตจะเดินไปแล้วก็อาศัยที่เอาต้นไม้ดอกมาปลูกข้าง ๆ สถูป เป็นการบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่มีนามว่า สุสิมะ ก็เป็นเหตุให้ 2 ฝั่ง เขาเอาดอกไม้ 5 สี มาโปรยปรายในระหว่างทาง สูงประมาณเข่าที่เราตถาคตเดินไป การที่เขาจัดฉัตรให้แก่ตถาคตก็ดี คือร่มให้กับบรรดาพระสงฆ์ก็ดี เพราะอานิสงส์ที่ตถาคตจัดร่ม เอาไปกางไว้บนยอดพระสถูป การที่เขาจัดธงทิว ปักเรียงรายตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั้ง 2 ฝั่ง แล้วเทวดาและพรหมและนาค จัดธงแก้วมณีแก้วประพาฬ ธงวิเศษนั้นก็อาศัยผ้าขาวม้าที่เราไปทำธงบนยอดพระสถูป การที่ตถาคตเหยียบเมืองไพสาลี เป็นวาระแรกที่เขาถึงแล้วฝนตกใหญ่ก็เป็นปัจจัยจากการนำเอาน้ำมารดต้นไม้ที่เป็นไม้ดอก เป็นปัจจัยให้ฝนตกใหญ่ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องนี้จบ บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายทั้งหมดที่ปุถุชนก็บรรลุพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามี และอนาคามี และอรหันต์บ้างเป็นแถว ฟังของท่านแล้วก็จำให้ดี การบำเพ็ญกุศลบุญราศีสักเล็กน้อยมันมีอานิสงส์มากอย่างนี้ แต่ว่าเราจะต้องบูชากันด้วยศรัทธาแท้ ขอพวกท่านทั้งหลายที่มีความดี จงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม อย่าให้ความดีถอยไป (ย่อมาจากเรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้า ในหนังสือพระสูตรก่อนนิทรา เทศนาโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ม.ค. 01, 2017 1:33:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .ปกก ม.ค. 02, 2017 9:29:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ม.ค. 09, 2017 9:08:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 ม.ค. 11, 2017 9:26:37pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิฤทธิ์ เนรมิตหญิงงามอายุ ๑๖ ปี ให้โชว์ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต่อหน้าภิกษุณีรูปนันทา ให้เข้าใจว่า รูปขันธ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ อ่านพระสูตรนี้ จะมีความเข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้า ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ เนรมิต หญิงงามพร้อมประดับอาภรอย่างงดงาม อายุราว ๑๖ ปี ให้มีการแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆไม่หยุด จนถึงความแก่ปรากฏ จนถึงความเปื่อยเน่าปรากฏ และดำเนินความเปลี่ยนแปลงต่อไป " พระศาสดาทรงดำริว่า "วันนี้ รูปนันทาจักมาที่บำรุงของเรา ธรรมเทศนาเช่นไรหนอแล? จักเป็นที่สบายของเธอ" ทรงทำความตกลงพระหฤทัยว่า "รูปนันทานั่น หนักในรูป มีความเยื่อใยในอัตภาพอย่างรุนแรง การบรรเทาความเมาในรูปด้วยรูปนั่นแล เป็นที่สบายของเธอ ดุจการบ่งหนามด้วยหนามฉะนั้น" ในเวลาที่พระนางเข้าไปสู่วิหาร ทรงนิรมิตหญิงมีรูปสวยพริ้งผู้หนึ่ง อายุราว ๑๖ปี นุ่งผ้าแดง ประดับแล้วด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง ถือพัด ยืนถวายงานพัดอยู่ในที่ใกล้พระองค์ ด้วยกำลังพระฤทธิ์, ก็แล พระศาสดาและพระนางรูปนันทาเท่านั้น ทรงเห็นรูปหญิงนั้น. พระนางเสด็จเข้าไปวิหารพร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย ทรงยืนข้างหลังพวกภิกษุณี ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่งในระหว่างพวกภิกษุณี ทรงแลดูพระศาสดาตั้งแต่พระบาท ทรงเห็นพระสรีระของพระศาสดาวิจิตรแล้วด้วยพระลักษณะ รุ่งเรืองด้วยอนุพยัญชนะ อันพระรัศมีวาหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงแลดูพระพักตร์อันมีสิริดุจพระจันทร์เพ็ญ ได้ทรงเห็นรูปหญิงยืนอยู่ในที่ใกล้แล้ว. พระนางทรงแลดูหญิงนั้นแล้ว ทรงแลดูอัตภาพ (ของตน) รู้สึกว่าตนเหมือนนางกา (ซึ่งอยู่) ข้างหน้านางพระยาหงส์ทอง. ก็จำเดิมแต่เวลาที่ (พระนาง) ทรงเห็นรูปอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ทีเดียว พระเนตรทั้งสองของพระนางก็วิงเวียน. พระนางมีจิตอันสิริโฉมแห่งสรีรประเทศทั้งหมดดึงดูดไปแล้วว่า "โอ ผมของหญิงนี้ก็งาม, โอ หน้าผากก็งาม" ดังนี้ ได้มีสิเนหาในรูปนั้นอย่างรุนแรง. พระศาสดาทรงทราบความยินดีอย่างสุดซึ้งในรูปนั้นของพระนาง พอเมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงทรงแสดงรูปนั้นให้ล่วงภาวะของผู้มีอายุ ๑๖ ปี มีอายุราว ๒๐ ปี. พระนางรูปนันทาได้ทอดพระเนตร มีจิตเบื่อหน่ายหน่อยหนึ่งว่า "รูปนี้ไม่เหมือนรูปก่อนหนอ." พระศาสดา(ทรงแสดงความแปรเปลี่ยน) ของหญิงนั้นโดยลำดับเทียว คือ เพศหญิงคลอดบุตรครั้งเดียว เพศหญิงกลางคน เพศหญิงแก่ เพศหญิงแก่คร่ำคร่าแล้วเพราะชรา. แม้พระนางก็ทรงเบื่อหน่ายรูปนั้น ในเวลาที่ทรุดโทรมเพราะชราโดยลำดับเหมือนกัน ว่า "โอ รูปนี้หายไปแล้วๆ" (ครั้น) ทรงเห็นรูปนั้นมีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง มีซี่โครงขึ้นดุจกลอน มีไม้เท้ายันข้างหน้า งกงันอยู่ ก็ทรงเบื่อหน่ายเหลือเกิน. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงแสดงรูปหญิงนั้นให้เป็นรูปอันพยาธิครอบงำ ในขณะนั้นเอง หญิงนั้นทิ้งไม้เท้าและพัดใบตาล ร้องเสียงขรม ล้มลงที่ภาคพื้น จมลงในมูตรและกรีสของตน กลิ้งเกลือกไปมา. พระนางรูปนันทาทรงเห็นหญิงนั้นแล้ว ทรงเบื่อหน่ายเต็มที. พระศาสดาทรงแสดงมรณะของหญิงนั้นแล้ว. หญิงนั้นถึงความเป็นศพพองขึ้นในขณะนั้นเอง สายแห่งหนองและหมู่หนอนไหลออกจากทวารทั้ง ๙. คือ ตา หู จมูก อย่างละ ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑ ฝูงสัตว์มีกาเป็นต้นรุมแย่งกันกินแล้ว. ____________________________ พระนางรูปนันทาทรงพิจารณาซากศพนั้นแล้ว ทรงเห็นอัตภาพโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงว่า "หญิงนี้ถึงความแก่ ถึงความเจ็บ ถึงความตาย ในที่นี้เอง, ความแก่ ความเจ็บและความตาย จักมาถึงแก่อัตภาพแม้นี้อย่างนั้นเหมือนกัน." และเพราะความที่อัตภาพเป็นสภาพอันพระนางทรงเห็นแล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง(อนิจจัง)นั่นเอง อัตภาพนั้นจึงเป็นอันทรงเห็นแล้วโดยความเป็นทุกขัง โดยความเป็นอนัตตาทีเดียว." #คติธรรม เวทนาขันธ์ ก็มีการเปลีายนแปลงไปเรื่อย ๆเช่นเดียวกับรูป สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็มีการเปลี่ยนแปลง มีลักษณะเช่นเดียวกันกับรูป #พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิฤทธิ์ เนรมิตหญิงงามอายุ ๑๖ ปี ให้โชว์ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต่อหน้าภิกษุณีรูปนันทา ให้เข้าใจว่า รูปขันธ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ อ่านพระสูตรนี้ จะมีความเข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้า ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ เนรมิต หญิงงามพร้อมประดับอาภรอย่างงดงาม อายุราว ๑๖ ปี ให้มีการแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆไม่หยุด จนถึงความแก่ปรากฏ จนถึงความเปื่อยเน่าปรากฏ และดำเนินความเปลี่ยนแปลงต่อไป " พระศาสดาทรงดำริว่า "วันนี้ รูปนันทาจักมาที่บำรุงของเรา ธรรมเทศนาเช่นไรหนอแล? จักเป็นที่สบายของเธอ" ทรงทำความตกลงพระหฤทัยว่า "รูปนันทานั่น หนักในรูป มีความเยื่อใยในอัตภาพอย่างรุนแรง การบรรเทาความเมาในรูปด้วยรูปนั่นแล เป็นที่สบายของเธอ ดุจการบ่งหนามด้วยหนามฉะนั้น" ในเวลาที่พระนางเข้าไปสู่วิหาร ทรงนิรมิตหญิงมีรูปสวยพริ้งผู้หนึ่ง อายุราว ๑๖ปี นุ่งผ้าแดง ประดับแล้วด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง ถือพัด ยืนถวายงานพัดอยู่ในที่ใกล้พระองค์ ด้วยกำลังพระฤทธิ์, ก็แล พระศาสดาและพระนางรูปนันทาเท่านั้น ทรงเห็นรูปหญิงนั้น. พระนางเสด็จเข้าไปวิหารพร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย ทรงยืนข้างหลังพวกภิกษุณี ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่งในระหว่างพวกภิกษุณี ทรงแลดูพระศาสดาตั้งแต่พระบาท ทรงเห็นพระสรีระของพระศาสดาวิจิตรแล้วด้วยพระลักษณะ รุ่งเรืองด้วยอนุพยัญชนะ อันพระรัศมีวาหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงแลดูพระพักตร์อันมีสิริดุจพระจันทร์เพ็ญ ได้ทรงเห็นรูปหญิงยืนอยู่ในที่ใกล้แล้ว. พระนางทรงแลดูหญิงนั้นแล้ว ทรงแลดูอัตภาพ (ของตน) รู้สึกว่าตนเหมือนนางกา (ซึ่งอยู่) ข้างหน้านางพระยาหงส์ทอง. ก็จำเดิมแต่เวลาที่ (พระนาง) ทรงเห็นรูปอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ทีเดียว พระเนตรทั้งสองของพระนางก็วิงเวียน. พระนางมีจิตอันสิริโฉมแห่งสรีรประเทศทั้งหมดดึงดูดไปแล้วว่า "โอ ผมของหญิงนี้ก็งาม, โอ หน้าผากก็งาม" ดังนี้ ได้มีสิเนหาในรูปนั้นอย่างรุนแรง. พระศาสดาทรงทราบความยินดีอย่างสุดซึ้งในรูปนั้นของพระนาง พอเมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงทรงแสดงรูปนั้นให้ล่วงภาวะของผู้มีอายุ ๑๖ ปี มีอายุราว ๒๐ ปี. พระนางรูปนันทาได้ทอดพระเนตร มีจิตเบื่อหน่ายหน่อยหนึ่งว่า "รูปนี้ไม่เหมือนรูปก่อนหนอ." พระศาสดา(ทรงแสดงความแปรเปลี่ยน) ของหญิงนั้นโดยลำดับเทียว คือ เพศหญิงคลอดบุตรครั้งเดียว เพศหญิงกลางคน เพศหญิงแก่ เพศหญิงแก่คร่ำคร่าแล้วเพราะชรา. แม้พระนางก็ทรงเบื่อหน่ายรูปนั้น ในเวลาที่ทรุดโทรมเพราะชราโดยลำดับเหมือนกัน ว่า "โอ รูปนี้หายไปแล้วๆ" (ครั้น) ทรงเห็นรูปนั้นมีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง มีซี่โครงขึ้นดุจกลอน มีไม้เท้ายันข้างหน้า งกงันอยู่ ก็ทรงเบื่อหน่ายเหลือเกิน. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงแสดงรูปหญิงนั้นให้เป็นรูปอันพยาธิครอบงำ ในขณะนั้นเอง หญิงนั้นทิ้งไม้เท้าและพัดใบตาล ร้องเสียงขรม ล้มลงที่ภาคพื้น จมลงในมูตรและกรีสของตน กลิ้งเกลือกไปมา. พระนางรูปนันทาทรงเห็นหญิงนั้นแล้ว ทรงเบื่อหน่ายเต็มที. พระศาสดาทรงแสดงมรณะของหญิงนั้นแล้ว. หญิงนั้นถึงความเป็นศพพองขึ้นในขณะนั้นเอง สายแห่งหนองและหมู่หนอนไหลออกจากทวารทั้ง ๙. คือ ตา หู จมูก อย่างละ ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑ ฝูงสัตว์มีกาเป็นต้นรุมแย่งกันกินแล้ว. ____________________________ พระนางรูปนันทาทรงพิจารณาซากศพนั้นแล้ว ทรงเห็นอัตภาพโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงว่า "หญิงนี้ถึงความแก่ ถึงความเจ็บ ถึงความตาย ในที่นี้เอง, ความแก่ ความเจ็บและความตาย จักมาถึงแก่อัตภาพแม้นี้อย่างนั้นเหมือนกัน." และเพราะความที่อัตภาพเป็นสภาพอันพระนางทรงเห็นแล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง(อนิจจัง)นั่นเอง อัตภาพนั้นจึงเป็นอันทรงเห็นแล้วโดยความเป็นทุกขัง โดยความเป็นอนัตตาทีเดียว." #คติธรรม เวทนาขันธ์ ก็มีการเปลีายนแปลงไปเรื่อย ๆเช่นเดียวกับรูป สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็มีการเปลี่ยนแปลง มีลักษณะเช่นเดียวกันกับรูป ม.ค. 16, 2017 6:14:05am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 ม.ค. 25, 2017 8:07:10am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #การฉันอาหาร 30 สิกขาบท #โภชนปฏิสังยุต #หมวดว่าด้วยการฉันอาหาร 30 สิกขาบท สักกัจจัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ กะระณียา. 1.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. ปัตตะสัญญี ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 2.ภิกษุพึงทำความศึกว่า เราจักจ้องในบาตรรับบิณฑบาต. สะมะสูปกัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 3.ภิกษุพึงทำความศึกว่า เราจักรับบิณฑบาตพอเหมาะกับแกง. (จักรับบิณฑบาต มีสูปเสมอกัน ที่ชื่อว่า สูปะ มีสองชนิด คือ สูปะ ทำด้วยถั่วเขียว 1 สูปะ ทำด้วยถั่วเหลือง 1 ที่จับได้ด้วยมือ.) สะมะติตติกัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 4.ภิกษุพึงทำความศึกว่า เราจักรับบิณฑบาตจดเสมอขอบบาตร. (ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนล้น ต้องอาบัติทุกกฏ.) สักกัจจัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 5.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. (ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยรังเกียจ ทำอาการดุจไม่อยากฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.) ปัตตะสัญญี ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 6.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักจ้องดูอยู่ในบาตร ฉันบิณฑบาต. สะปะทานัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 7.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง. (อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตเกลี่ยให้เสมอ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อฉันบิณฑบาตเจาะลงในที่นั้น ๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.) สะมะสูปะกัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 8.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตพอเหมาะกับแกง. (อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตมีสูปะพอดีกัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อฉันแต่สูปะอย่างเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.) นะ ถูปะโต โอมัททิต๎วา ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 9.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขยุ้มลงแต่ยอด ฉันบิณฑบาต. นะ สูปัง วา พ๎ยัญชะนัง วา โอทะเนนะ ปะฏิจฉาเทสสามิ… 10.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าว ด้วยข้าว. นะ สูปัง วา โอทะนัง วา อะคิลาโน อัตตะโน อัตถายะ… 11.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน. นะ อุชฌานะสัญญี ปะเรสัง ปัตตัง โอโลเกสสามีติ สิกขา กะระณียา. 12.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เพ่งโพนทะนาแลดูบาตรของผู้อื่น. (อันภิกษุไม่พึงมุ่งหมายจะเพ่งโทษ แลดูบาตรของภิกษุอื่น) นาติมะหันตัง กะวะฬัง กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 13.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก. ปะริมัณฑะลัง อาโลปัง กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 14. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม. (อันภิกษุผู้ฉันอาหารพึงทำคำข้าวให้กลมกล่อม ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวใหญ่ ต้องอาบัติทุกกฏ.) นะ อะนาหะเฏ กะวะเฬ มุขะทะวารัง วิวะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 15.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อคำข้าวยังไม่นำมาถึงเราจักไม่อ้าช่องปาก นะ ภุญชะมาโน สัพพัง หัตถัง มุเข ปักขิปิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 16.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราฉันอยู่ จักไม่สอดมือทั้งนั้นเข้าในปาก. (อันภิกษุกำลังฉันอาหารอยู่ ไม่พึงสอดนิ้วมือทั้งหมดเข้าในปาก) นะ สะกะวาเฬนะ มุเขนะ พ๎ยาหะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 17.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า ปากยังมีคำข้าว เราจักไม่พูด. นะ ปิณฑุกเขปะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 18. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันอาหารโยนคำข้าว. นะ กะวะฬาวัจเฉทะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 19.ภิกษุพึงความศึกว่า เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว. (1.ไม่แกล้ง 2.เผลอ 3.ไม่รู้ตัว 4.อาพาธ 5.ฉันขนมที่แข้นแข็ง 6.ฉันผลไม้น้อยใหญ่ 7.ฉันกับแกง 8.มีอันตราย 9.วิกลจริต 10.อาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัิติแล. นะ อะวะคัณฑะการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 20.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย. นะ หัตถะนิทธูนะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 21.ภิกษุทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันสลัดมือ. นะ สิตถาวะการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 22.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเมล็ดข้าวตก. นะ ชิวหานิจฉาระกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 23.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันแลบลิ้น. นะ จะปุจะปุการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 24.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงดังจับ ๆ. นะ สุรุสุรุการะกัง ภิญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 25.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงซูดๆ. นะ หัตถะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 26.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือ. นะ ปัตตะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 27. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร. นะ โอฏฐินิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 28.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก. นะ สามิเสนะ หัตเถนะ ปานียะุถาละกัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 29.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่รับโอน้ำด้วยมือเปลื้อนอามิส. นะ สะสิตะุึถึง ปัตตะโธวะนัง อันตะระฆะเร ฉัฑเฑสสามีติ สิกขา กะระณียา. 30.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดเข้าวในละแวกบ้าน. บิณฑบาตพอเหมาะกับแกง คือ บิณฑบาต 3 ส่วนแกง 1 ส่วน (วิ.อ. 2/604/451) #การฉันอาหาร 30 สิกขาบท #โภชนปฏิสังยุต #หมวดว่าด้วยการฉันอาหาร 30 สิกขาบท สักกัจจัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ กะระณียา. 1.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. ปัตตะสัญญี ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 2.ภิกษุพึงทำความศึกว่า เราจักจ้องในบาตรรับบิณฑบาต. สะมะสูปกัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 3.ภิกษุพึงทำความศึกว่า เราจักรับบิณฑบาตพอเหมาะกับแกง. (จักรับบิณฑบาต มีสูปเสมอกัน ที่ชื่อว่า สูปะ มีสองชนิด คือ สูปะ ทำด้วยถั่วเขียว 1 สูปะ ทำด้วยถั่วเหลือง 1 ที่จับได้ด้วยมือ.) สะมะติตติกัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 4.ภิกษุพึงทำความศึกว่า เราจักรับบิณฑบาตจดเสมอขอบบาตร. (ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนล้น ต้องอาบัติทุกกฏ.) สักกัจจัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 5.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. (ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยรังเกียจ ทำอาการดุจไม่อยากฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.) ปัตตะสัญญี ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 6.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักจ้องดูอยู่ในบาตร ฉันบิณฑบาต. สะปะทานัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 7.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง. (อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตเกลี่ยให้เสมอ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อฉันบิณฑบาตเจาะลงในที่นั้น ๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.) สะมะสูปะกัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 8.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตพอเหมาะกับแกง. (อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตมีสูปะพอดีกัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อฉันแต่สูปะอย่างเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.) นะ ถูปะโต โอมัททิต๎วา ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 9.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขยุ้มลงแต่ยอด ฉันบิณฑบาต. นะ สูปัง วา พ๎ยัญชะนัง วา โอทะเนนะ ปะฏิจฉาเทสสามิ… 10.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าว ด้วยข้าว. นะ สูปัง วา โอทะนัง วา อะคิลาโน อัตตะโน อัตถายะ… 11.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน. นะ อุชฌานะสัญญี ปะเรสัง ปัตตัง โอโลเกสสามีติ สิกขา กะระณียา. 12.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เพ่งโพนทะนาแลดูบาตรของผู้อื่น. (อันภิกษุไม่พึงมุ่งหมายจะเพ่งโทษ แลดูบาตรของภิกษุอื่น) นาติมะหันตัง กะวะฬัง กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 13.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก. ปะริมัณฑะลัง อาโลปัง กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 14. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม. (อันภิกษุผู้ฉันอาหารพึงทำคำข้าวให้กลมกล่อม ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวใหญ่ ต้องอาบัติทุกกฏ.) นะ อะนาหะเฏ กะวะเฬ มุขะทะวารัง วิวะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 15.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อคำข้าวยังไม่นำมาถึงเราจักไม่อ้าช่องปาก นะ ภุญชะมาโน สัพพัง หัตถัง มุเข ปักขิปิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 16.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราฉันอยู่ จักไม่สอดมือทั้งนั้นเข้าในปาก. (อันภิกษุกำลังฉันอาหารอยู่ ไม่พึงสอดนิ้วมือทั้งหมดเข้าในปาก) นะ สะกะวาเฬนะ มุเขนะ พ๎ยาหะริสสามีติ สิกขา กะระณียา. 17.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า ปากยังมีคำข้าว เราจักไม่พูด. นะ ปิณฑุกเขปะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 18. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันอาหารโยนคำข้าว. นะ กะวะฬาวัจเฉทะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 19.ภิกษุพึงความศึกว่า เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว. (1.ไม่แกล้ง 2.เผลอ 3.ไม่รู้ตัว 4.อาพาธ 5.ฉันขนมที่แข้นแข็ง 6.ฉันผลไม้น้อยใหญ่ 7.ฉันกับแกง 8.มีอันตราย 9.วิกลจริต 10.อาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัิติแล. นะ อะวะคัณฑะการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 20.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย. นะ หัตถะนิทธูนะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 21.ภิกษุทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันสลัดมือ. นะ สิตถาวะการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 22.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเมล็ดข้าวตก. นะ ชิวหานิจฉาระกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 23.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันแลบลิ้น. นะ จะปุจะปุการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 24.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงดังจับ ๆ. นะ สุรุสุรุการะกัง ภิญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 25.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงซูดๆ. นะ หัตถะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 26.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือ. นะ ปัตตะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 27. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร. นะ โอฏฐินิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา. 28.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก. นะ สามิเสนะ หัตเถนะ ปานียะุถาละกัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา. 29.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่รับโอน้ำด้วยมือเปลื้อนอามิส. นะ สะสิตะุึถึง ปัตตะโธวะนัง อันตะระฆะเร ฉัฑเฑสสามีติ สิกขา กะระณียา. 30.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดเข้าวในละแวกบ้าน. บิณฑบาตพอเหมาะกับแกง คือ บิณฑบาต 3 ส่วนแกง 1 ส่วน (วิ.อ. 2/604/451) ก.พ. 15, 2017 1:55:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: วัยรุ่นยุคใหม่ ก.พ. 18, 2017 8:07:38pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ก.พ. 23, 2017 8:51:01am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ก.พ. 28, 2017 8:28:55pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์รูปภาพลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ก.พ. 28, 2017 8:29:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 ก.พ. 28, 2017 10:42:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น "? ทุกข์ใด ๆ เกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น มีเพราะสังขาร เป็นปัจจัย; ? เพราะความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ย่อมไม่มี. ? ครั้นรู้โทษนั้นแห่งสังขาร ว่าทุกข์มีเพราะสังขารเป็นปัจจัย, และว่าเพราะความดับแห่งสังขารทั้งปวง ความดับแห่งสัญญาย่อมมี; ความสิ้นไปแห่งทุกข์ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะรู้ธรรมนั้น อย่างถูกต้องถ่องแท้. ? เพราะรู้ด้วยปัญญาโดยชอบ, บัณฑิตผู้ถึงเวท เห็นสิ่งต่างๆ อยู่ อย่างถูกต้อง, ครอบงำเครื่องผูกพันแห่งมารแล้ว, ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่" . มี.ค. 02, 2017 9:03:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 03, 2017 8:33:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #อสุภะ " กรรมฐาน ส่องดู ร่างกาย อ่านกิน ทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง ว่าข้างใน ต้องเป็นอย่างนั้นแนๆเลย ดาราหญิง ดาราชาย ภายนอกทั้งสวยทั้งหล่อ ก็เพราะบุญเก่า มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 07, 2017 4:16:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มี.ค. 19, 2017 6:54:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 มี.ค. 20, 2017 1:42:15pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ( ขณะนั่งสมาธิ อานาปานสติ รู้ลมหายใจ ) องค์ธรรมแรกที่จะเกิดคือ วิตก วิจารย์ ถ้ามีวิตก วิจารณ์ อันได้แก่ความคิดนึก ให้รู้ว่ามันผ่านมา ผ่านไป เมื่อความคิดผ่านไปแล้ว ก็ให้รู้ที่ลมหายใจ เมื่อความคิดมันมาอีก มันผ่านไปอีกแล้ว ก็ให้รู้ที่ลมหายใจ มี.ค. 23, 2017 1:13:32pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสติสัมโพชฌงค์แลว่า มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง. มี.ค. 26, 2017 12:41:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #การปฏิบัติในโพชฌงเจ็ด แบบย่อ สมุคคสูตร [๕๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบอธิจิตพึงกำหนดไว้ในใจซึ่งนิมิต ๓ ตลอด กาลตามกาล คือ 1.พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งสมาธินิมิต(ปัสสัทธิสัมโพชฌง,สมาธิสัมโพชฌง) 2 พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิต(ธรรมวิจยะ วิริยะ สัมโพชฌง) 3 พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งอุเบกขานิมิต(อุเบกขาสัมโพชฌง) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ใน ใจเฉพาะแต่สมาธินิมิตโดยส่วนเดียวเท่านั้น พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่ปัคคาหนิมิตโดยส่วนเดียวเท่านั้น พึงเป็น เหตุเครื่องให้จิตเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่ อุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตไม่ตั้งมั่นเพื่อความสิ้นอาสวะโดยชอบ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต กำหนดไว้ในใจซึ่งสมาธินิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจซึ่งอุเบกขานิมิตตลอดกาลตาม กาล เมื่อนั้น จิตนั้นย่อมอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง และไม่เสียหายแน่วแน่เป็นอย่างดี เพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือช่างทองตระเตรียมเบ้า แล้วติดไฟ แล้วเอาคีมคีบทองใส่ลงที่ปาเบ้า แล้วสูบเสมอๆ เอาน้ำพรมเสมอๆ เพ่งดู เสมอๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าช่างทองหรือลูกมือช่างทอง พึงสูบทองนั้นแต่อย่างเดียว พึงเป็น เหตุให้ทองนั้นไหม้ ถ้าช่างทองหรือลูกมือช่างทอง พึงเอาน้ำพรมแต่อย่างเดียว พึงเป็นเหตุให้ ทองนั้นเย็น ถ้าช่างทองหรือลูกมือช่างทอง พึงเพ่งดูทองนั้นแต่อย่างเดียวพึงเป็นเหตุให้ทอง นั้นสุกไม่ทั่วถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดช่างทองหรือลูกมือช่างทองสูบทองนั้นเสมอๆ เอาน้ำ พรมเสมอๆ เพ่งดูเสมอๆ เมื่อนั้น ทองนั้นย่อมเป็นของอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง และ ไม่แตกง่าย เข้าถึงเพื่อการ ทำโดยชอบ และช่างทองหรือลูกมือช่างทอง มุ่งประสงค์สำหรับเครื่อง ประดับชนิดใดๆ คือ แผ่นทอง ต่างหู เครื่องประดับคอ หรือดอกไม้ทองก็ดี ย่อมสำเร็จ สมความประสงค์ของเขาทั้งนั้น แม้ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบ อธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งนิมิต ๓ ตลอดกาลตามกาล คือ พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งสมาธินิมิต ๑ พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิต ๑พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งอุเบกขานิมิต ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่สมาธินิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่อง ให้จิตเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่ปัคคาห นิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่อุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตไม่ตั้งมั่นโดย ชอบเพื่อความสิ้นอาสวะดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต กำหนดไว้ในใจซึ่ง สมาธินิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจ ซึ่งอุเบกขานิมิตตลอดกาลตามกาล เมื่อนั้น จิตนั้นย่อมอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง และ ไม่เสียหาย ย่อตั้งมั่นโดยชอบเพื่อความสิ้นอาสวะ และภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทำ ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองใดๆ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ถ้าภิกษุนั้นพึงหวังว่า เราพึงแสดงฤทธิ์หลาย ประการ ฯลฯ พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ใน เมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ฯ [๕๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น มิใช่กาลเพื่อเจริญปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่ หดหู่นั้น ยากที่จะให้ตั้งขึ้นได้ด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ลุก โพลง เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ และโรยฝุ่นลงในไฟนั้น บุรุษนั้นจะ สามารถก่อไฟดวงน้อยให้ลุกโพลงขึ้นได้หรือหนอ? ภิ. ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า. พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้นมิใช่กาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ยากที่จะให้ตั้งขึ้นได้ด้วยธรรมเหล่านั้น. [๕๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญธัมม วิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบเหมือน บุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ลุกโพลง เขาจึงใส่หญ้าแห้ง โคมัยแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า และไม่โรยฝุ่นในไฟนั้น บุรุษนั้นสามารถจะก่อไฟดวงน้อยให้ลุกโพลงขึ้นได้หรือหนอ? ภิ. ได้ พระเจ้าข้า ฯ พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น. [๕๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น มิใช่กาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อ นั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตฟุ้งซ่านนั้น ยากที่จะให้สงบได้ด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบ เหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าแห้ง โคมัยแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า และ ไม่โรยฝุ่นลงไปในกองไฟใหญ่นั้น บุรุษนั้นสามารถจะดับไฟกองใหญ่ได้หรือหนอ? ภิ. ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า. พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้นมิใช่กาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ยากที่จะให้สงบได้ด้วยธรรมเหล่านั้น. [๕๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบ เหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ และโรยฝุ่น ลงในกองไฟใหญ่นั้น บุรุษนั้นจะสามารถดับกองไฟกองใหญ่นั้นได้หรือหนอ? ภิ. ได้ พระเจ้าข้า. พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อ เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขา สัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ง่ายด้วยธรรม เหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสติแลว่า มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง. #การปฏิบัติในโพชฌงเจ็ด แบบย่อ สมุคคสูตร [๕๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบอธิจิตพึงกำหนดไว้ในใจซึ่งนิมิต ๓ ตลอด กาลตามกาล คือ 1.พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งสมาธินิมิต(ปัสสัทธิสัมโพชฌง,สมาธิสัมโพชฌง) 2 พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิต(ธรรมวิจยะ วิริยะ สัมโพชฌง) 3 พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งอุเบกขานิมิต(อุเบกขาสัมโพชฌง) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ใน ใจเฉพาะแต่สมาธินิมิตโดยส่วนเดียวเท่านั้น พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่ปัคคาหนิมิตโดยส่วนเดียวเท่านั้น พึงเป็น เหตุเครื่องให้จิตเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่ อุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตไม่ตั้งมั่นเพื่อความสิ้นอาสวะโดยชอบ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต กำหนดไว้ในใจซึ่งสมาธินิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจซึ่งอุเบกขานิมิตตลอดกาลตาม กาล เมื่อนั้น จิตนั้นย่อมอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง และไม่เสียหายแน่วแน่เป็นอย่างดี เพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือช่างทองตระเตรียมเบ้า แล้วติดไฟ แล้วเอาคีมคีบทองใส่ลงที่ปาเบ้า แล้วสูบเสมอๆ เอาน้ำพรมเสมอๆ เพ่งดู เสมอๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าช่างทองหรือลูกมือช่างทอง พึงสูบทองนั้นแต่อย่างเดียว พึงเป็น เหตุให้ทองนั้นไหม้ ถ้าช่างทองหรือลูกมือช่างทอง พึงเอาน้ำพรมแต่อย่างเดียว พึงเป็นเหตุให้ ทองนั้นเย็น ถ้าช่างทองหรือลูกมือช่างทอง พึงเพ่งดูทองนั้นแต่อย่างเดียวพึงเป็นเหตุให้ทอง นั้นสุกไม่ทั่วถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดช่างทองหรือลูกมือช่างทองสูบทองนั้นเสมอๆ เอาน้ำ พรมเสมอๆ เพ่งดูเสมอๆ เมื่อนั้น ทองนั้นย่อมเป็นของอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง และ ไม่แตกง่าย เข้าถึงเพื่อการ ทำโดยชอบ และช่างทองหรือลูกมือช่างทอง มุ่งประสงค์สำหรับเครื่อง ประดับชนิดใดๆ คือ แผ่นทอง ต่างหู เครื่องประดับคอ หรือดอกไม้ทองก็ดี ย่อมสำเร็จ สมความประสงค์ของเขาทั้งนั้น แม้ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบ อธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งนิมิต ๓ ตลอดกาลตามกาล คือ พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งสมาธินิมิต ๑ พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิต ๑พึงกำหนดไว้ในใจซึ่งอุเบกขานิมิต ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่สมาธินิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่อง ให้จิตเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่ปัคคาห นิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิต พึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะแต่อุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียว พึงเป็นเหตุเครื่องให้จิตไม่ตั้งมั่นโดย ชอบเพื่อความสิ้นอาสวะดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต กำหนดไว้ในใจซึ่ง สมาธินิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจซึ่งปัคคาหนิมิตตลอดกาลตามกาล กำหนดไว้ในใจ ซึ่งอุเบกขานิมิตตลอดกาลตามกาล เมื่อนั้น จิตนั้นย่อมอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง และ ไม่เสียหาย ย่อตั้งมั่นโดยชอบเพื่อความสิ้นอาสวะ และภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทำ ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองใดๆ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ถ้าภิกษุนั้นพึงหวังว่า เราพึงแสดงฤทธิ์หลาย ประการ ฯลฯ พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ใน เมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ฯ [๕๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น มิใช่กาลเพื่อเจริญปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่ หดหู่นั้น ยากที่จะให้ตั้งขึ้นได้ด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ลุก โพลง เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ และโรยฝุ่นลงในไฟนั้น บุรุษนั้นจะ สามารถก่อไฟดวงน้อยให้ลุกโพลงขึ้นได้หรือหนอ? ภิ. ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า. พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้นมิใช่กาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ยากที่จะให้ตั้งขึ้นได้ด้วยธรรมเหล่านั้น. [๕๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญธัมม วิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบเหมือน บุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ลุกโพลง เขาจึงใส่หญ้าแห้ง โคมัยแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า และไม่โรยฝุ่นในไฟนั้น บุรุษนั้นสามารถจะก่อไฟดวงน้อยให้ลุกโพลงขึ้นได้หรือหนอ? ภิ. ได้ พระเจ้าข้า ฯ พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น. [๕๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น มิใช่กาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อ นั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตฟุ้งซ่านนั้น ยากที่จะให้สงบได้ด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบ เหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าแห้ง โคมัยแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า และ ไม่โรยฝุ่นลงไปในกองไฟใหญ่นั้น บุรุษนั้นสามารถจะดับไฟกองใหญ่ได้หรือหนอ? ภิ. ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า. พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้นมิใช่กาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ยากที่จะให้สงบได้ด้วยธรรมเหล่านั้น. [๕๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น เปรียบ เหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ และโรยฝุ่น ลงในกองไฟใหญ่นั้น บุรุษนั้นจะสามารถดับกองไฟกองใหญ่นั้นได้หรือหนอ? ภิ. ได้ พระเจ้าข้า. พ. ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อ เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขา สัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ง่ายด้วยธรรม เหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสติแลว่า มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง. มี.ค. 27, 2017 4:11:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น [๕๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มในการเสพสิ่ง ๓ ประการนี้ไม่มี ๓ ประการเป็นไฉน คือ 1.ในการเสพความหลับ 2.ในการดื่มสุราและเมรัย 3.ในการเสพเมถุนธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มในการเสพสิ่ง ๓ อย่างนี้แลไม่มี ฯ จะเสพไปเท่าไรกี่ครั้ง ๆ ก็ยังพอใจอยู่เท่านั้น ๆ #อติตตสูตร มี.ค. 27, 2017 4:15:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ในขณะที่ร่างกายเสื่อมไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา เราจะหาแต่ทรัพย์ทางโลกอย่างเดียว โดยไม่หาอริยะทรัพย์ภายในเลยหรือ เราจะเสวยอารมณ์ทางตา แล้วให้ตามันเสื่อมๆไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนถึงความตายหรอ เราจะเสวยอารมณ์ทางตา คือรูปทั้งหลาย แล้วก็รอความตายแค่นี้เหรอ เราจะเสวยอารมณ์ทางหู คือเสียง แล้วให้หูมันเสื่อมๆไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนถึงความตายหรอ เราจะเสวยอารมณ์ทางจมูก คือ กลิ่นทั้งหลาย แล้วก็รอความตายแค่นี้หรอ เราจะเสวยอารมณ์ทางลิ้น คือ รสทั้งหลาย แล้วก็รอความตายแค่นี้หรอ เราจะเสวยอารมณ์ทางกาย คือสัมผัสทั้งหลาย แล้วก็รอความตายง่ายๆแค่นี้หรอ ไม่คิดจะแสวงหาประโยชน์ที่ประเสริฐคือธรรมะการพ้นทุกข์เลยหรอ เทวดา เสพสุข เพลิดเพลิน กับกามคุณ แล้วก็รอจุติแค่นั้นหรอ เราจะโลภเอาๆกอบโกยเอามากๆ เพื่อมาเลี้ยงร่างกาย แล้วก็รอความตายแค่นี้เหรอ เราไม่คิดจะแสวงหาประโยขน์ตนอันเป็นอริยะทรัพย์เลยหรือ มี.ค. 27, 2017 4:24:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 มี.ค. 27, 2017 4:27:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #ไตรลักษณะของขันธ์ห้า ป.อ ประยุตโต ความหมายของไตรลักษณ์ (the Three Characteristics of Existence) โดยย่อดังนี้ ๑. อนิจจตา (Impermanence) ความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ ความไม่คงตัว ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป ๒. ทุกขตา (Conflict) ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการ เกิดขึ้นและสลายไป ภาวะที่กดดันฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้น ไม่ได้ ภาวะที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว ไม่ให้ความสมอยากแท้ จริง หรือความพึงพอใจเต็มที่ แก่ผู้อยากด้วยตัณหา และก่อให้เกิดทุกข์แก่ ผู้เข้าไปอยากไปยึดด้วยตัณหา อุปาทาน ๓. อนัตตตา (Soullessness หรือ Non-Self) ความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีตัวตนแท้จริงที่จะสั่งบังคับให้เป็นอย่างไรๆ ได้ สิ่งทั้งหลายหากจะกล่าวว่ามี ก็ต้องว่ามีอยู่ในรูปของกระแส ที่ ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ อันสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน เกิดดับสืบต่อกันไปอยู่ ตลอดเวลาไม่ขาดสาย จึงเป็นภาวะที่ไม่เที่ยง เมื่อต้องเกิดดับไม่คงที่ และ เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่อาศัย ก็ย่อมมีความบีบคั้น กดดัน ขัดแย้ง และ แสดงถึงความบกพร่องไม่สมบูรณ์อยู่ในตัว และเมื่อทุกส่วนเป็นไปในรูป กระแสที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลาขึ้นต่อเหตุปัจจัยเช่นนี้ ก็ย่อมไม่เป็นตัวของ ตัว มีตัวตนแท้จริงไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจของใครๆ ที่จะสั่งบังคับให้เป็นไป อย่างไรๆ ตามใจปรารถนา ในกรณีของสัตว์บุคคล ให้แยกว่า สัตว์บุคคลนั้นประกอบด้วยขันธ์ ๕ เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกนอกเหนือจากขันธ์ ๕ เป็นอันตัดปัญหาเรื่องที่จะ มีตัวตนเป็นอิสระอยู่ต่างหาก จากนั้นหันมาแยกขันธ์ ๕ ออกพิจารณาแต่ ละอย่างๆ ก็จะเห็นว่า ขันธ์ทุกขันธ์ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ เป็น สภาพบีบคั้นกดดันแก่ผู้เข้าไปยึด เมื่อเป็นทุกข์ ก็ไม่ใช่ตัวตน ที่ว่าไม่ใช่ตัวตน ก็เพราะแต่ละอย่างๆ ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่มี ตัวตนของมัน อย่างหนึ่ง เพราะไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นของของสัตว์บุคคล นั้นแท้จริง (ถ้าสัตว์บุคคลนั้นเป็นเจ้าของขันธ์ ๕ แท้จริง ก็ย่อมต้องบังคับ เอาเองให้เป็นไปตามความต้องการได้ และไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพ ที่ต้องการได้ เช่น ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บป่วย เป็นต้นได้) อย่างหนึ่ง พุทธพจน์แสดงไตรลักษณ์ในกรณีของขันธ์ ๕ มีตัวอย่างที่เด่น ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็น อนัตตา หากรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ จักเป็นอัตตา (ตัวตน) แล้วไซร้ มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า “ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอ สังขาร...ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้น เลย” แต่เพราะเหตุที่รูป ฯลฯ วิญญาณ เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูป ฯลฯ วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และใครๆ ไม่อาจได้ตามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ วิญญาณว่า “ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร... ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย” ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน? รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง ฯ (ตรัสถามทีละอย่าง จนถึง วิญญาณ) “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า” ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข? “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า” ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่ จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา? “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า” ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร... วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ทั้ง ภายในและภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่ไกลและที่ ใกล้ ทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามที่มัน เป็นว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” มี.ค. 27, 2017 4:38:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น หากยาก แผ่น #MP3 ธรรมะหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง เสียงจริง 100% ขนาด 584 MB ขอเชิญดาวน์โหลดไปฟัง ณ ลิงค์นี้ https://drive.google.com/open?id=0B_EL0-13eOqDTGFYZXRZaUpYNUk หากยาก แผ่น #MP3 ธรรมะหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง เสียงจริง 100% ขนาด 584 MB ขอเชิญดาวน์โหลดไปฟัง ณ ลิงค์นี้ https://drive.google.com/open?id=0B_EL0-13eOqDTGFYZXRZaUpYNUk มี.ค. 27, 2017 4:50:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 มี.ค. 28, 2017 12:00:14am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น .😭 ต.ค. 04, 2017 11:48:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พุทธปรินิพพาน [๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีก็ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็น ศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ดูกรอานนท์ บัดนี้ พวกภิกษุยัง เรียกกันและกันด้วยวาทะว่า อาวุโส ฉันใด โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ไม่ควรเรียกกัน ฉันนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า โดยชื่อหรือโคตรหรือโดยวาทะว่า อาวุโส แต่ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภันเต หรืออายัสมา ดูกรอานนท์ โดยล่วงไปแห่งเราสงฆ์จำนงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้ โดยล่วงไป แห่งเรา พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุ ท่านพระอานนท์กราบทูลถามว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ก็พรหมทัณฑ์เป็นไฉน พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ ฉันนภิกษุพึงพูดได้ตามที่ตนปรารถนา ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่า ไม่พึงกล่าว ไม่พึง สั่งสอน ฯ [๑๔๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายความสงสัยเคลือแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใน มรรค หรือในข้อปฏิบัติ จะพึงมี บ้างแก่ภิกษุ แม้รูปหนึ่ง พวกเธอจงถามเถิด อย่าได้มีความร้อนใจภายหลังว่า พระศาสดาอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว ยังมิอาจ ทูลถามพระผู้มีพระภาคในที่เฉพาะพระพักตร์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันนิ่ง แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาครับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติจะพึงมีบ้างแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง พวกเธอจงถามเถิด อย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระศาสดาอยู่เฉพาะหน้าเรา แล้ว เรายังมิอาจทูลถามพระผู้มีพระภาคในที่เฉพาะพระพักตร์ แม้ครั้งที่สามภิกษุ เหล่านั้น ก็พากันนิ่ง ฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บางทีพวกเธอ ไม่ถาม แม้เพราะความเคารพในพระศาสดา แม้ภิกษุผู้เป็นสหาย ก็จงบอกแก่ภิกษุผู้สหายเถิด เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุพวกนั้น พากันนิ่ง ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เลื่อมใส ในภิกษุสงฆ์อย่างนี้ว่า ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือ ในข้อปฏิบัติ มิได้มีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร อานนท์ เธอพูดเพราะความเลื่อมใสตถาคตหยั่งรู้ในข้อนี้เหมือนกันว่า ความสงสัย เคลือบแคลงใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติ มิได้มีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์นี้ บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภิกษุรูปที่ต่ำที่สุด ก็เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า ฯ [๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด ฯ นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ฯ [๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌาน แล้ว ทรงเข้า ทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจาก ตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสนัญจาย ตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรง เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจาก อากิญจัญญายตน สมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตน สมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จ ปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่เสด็จ ปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง เข้าเนวสัญญานา สัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจาก อากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญ จายตนะ ออกจากวิญญานัญจายตนสมาบัติแล้วทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจาก จตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌานออกจากทุติยฌาน แล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น) ฯ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ ๑๒๓-๑๒๔ ข้อที่ ๑๔๑ - ๑๔๔ ต.ค. 05, 2017 1:03:54am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #เมตตาอัปปมัญญาภาวนา บทสวดแผ่เมตตา เมตตาอัปปมัญญาภาวนา (บทแผ่เมตตาโดยไม่มีประมาณ) เป็นบทสวดการแผ่้เมตตาขั้นสูง ให้ตั้งแต่ เทวดา พระอริยเจ้า ภิกษุ โยคี นักบวช มนุษย์ อมนุษย์ ไปถึง อสูร ภูติ เปรต วิญญาน และ สัตว์ รวมครบ ทุกพวก ทุกเหล่า ทั้งสามโลก ทุกทิศ ตั้งแต่สวรรค์ ถึงนรกภูมิ อานิสงส์ อัปปมัญญา ๔ การเจริญ อัปปมัญญาพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นกิจที่ควรกระทำโดยแท้ เพราะเป็นธรรมอันเย็นใจของสัตว์โลกทั่วไป ตลอดถึงบิดามารดาวงศาคณาญาติ มิตรสหายและสัตว์ทุกจำพวก อีกประการหนึ่งพรหมวิหารนี้ เมื่อทำให้เกิดในใจจริงๆ แล้ว ย่อมระงับเวรภัยพยาบาทได้โดยเด็ดขาด ฉะนั้นพระศาสดาจารย์จึงเตือนพระภิกษุทั้งหลายว่า เมตฺตาย ภิกฺขเว เจโตวิมุตฺติยา อาเสวิตาย ภาวิตาย พหุลีกตาย ยานีกตาย วตฺถุกตาย อนุฏฺฐิตาย ปริจิตาย สุสมารทฺธาน เอกาทสานิสํสา ปาฏิกงฺขา กตเม เอกาทส สุขํ สุปติ สุขํ ปฏิพุชฺฌติ น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ มนุสฺสายํ ปิโย โหติ อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ เทวตา รกฺขนฺติ นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมติ ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยิ มุขวณฺโณ วิปฺปสีทติ อสมฺมุฬฺโห กาลํ กโรติ อุตฺตรึ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต พฺรหฺมโลกูปโค โหติฯ แปลเนื้อความว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย (ในธรรมวินัยนี้) ความหลุดพ้นวิเศษ (จากพยาบาทและเวรภัย)ด้วยอำนาจแห่งจิตเมตตา ที่บุคคลซ้องเสพแล้วโดยชอบ กระทำให้เกิดมีขึ้นแก่ตน และกระทำให้มากแล้ว ทำกระแสจิตเดินเหมือนยาน (ที่ให้สำเร็จการไปในสถานที่ต้องการ ) ทำให้เป็นวัตถุแล้ว มิได้หยุดยั้งแห่งการทำจิตและได้สะสมขึ้นแล้ว ปรารถให้สม่ำเสมอ (ไม่ให้เผลอตัวในอิริยาบถทั้ง ๔ แล้ว) บุคคลผู้นั้นหวังอานิสงส์ได้ ๑๑ ประการ ดังนี้ ๑.นอนหลับสบาย ๒.ตื่นขึ้นก็สบาย ๓.ไม่ฝันร้าย ๔.คนรัก ๕.อมนุษย์รัก ๖.เทวดารัก ๖.คุ้มกันอันตราย ๗.จิตตั้งมั่น ๘.ผิวพรรณผ่องใส ๑๐.ไม่ตายอย่างหลงใหลลืมสติ ๑๑.ถ้าไม่บรรลุนิพพานเมื่อตายจะไปสู่พรหมโลก และย่อมได้ความเย็นใจ คือ ทำการงานทางกายก็ดี พูดทางวาจาก็ดี คิดทางใจก็ดี ให้มีเมตตาจิตอยู่ทุกเมื่อ ย่อมเป็นไปเพื่อพ้นทุกข์ดังนี้ ถ้าใครเจริญอยู่เป็นนิตย์ ย่อมมีอำนาจทำให้สัตว์ทั้งหลาย รับความเย็นใจไปจากจิตของบุคคลที่มีเมตตานั้น ด้วยเหตุนั้นผู้ทำสมาธิจำเป็นต้องทำโดยแท้ ที่จำต้องทำให้มีขึ้นพร้อมทั้งกายวาจาใจ บางแห่งท่านให้เจริญแก่ท่านผู้มีโทสะจริต แต่ในที่นี้จะเป็นจริตอะไรก็ตาม จำจะต้องทำก่อน ถ้าจริตเป็นโทสะอยู่แล้วยิ่งจะสะดวกเข้าในการทำสมาธิจิต พรหมวิหารนี้นัยหนึ่งท่านเรียกว่า พรหม ๔ หน้า หรือกำแพงสี่ทิศ เป็นเครื่องล้อมจิตโดยรอบ ถ้าใครทำให้มีขึ้นแล้ว จิตดวงนั้นย่อมไม่มีภัยเลย ถ้าจะพูดถึงการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุแล้วก็ดีมาก เป็นต้นว่าทำทานด้วยเมตตาจิต รักษาศีลด้วยเมตตาจิต ทำสมาธิด้วยเมตตาจิต เมื่อทำได้เช่นนี้ย่อมได้รับกุศลอันแรงกล้า เมตตาจิตนี้เปรียบประหนึ่งว่า เมล็ดฝนที่สะอาดตกลงมาจากท้องฟ้า แล้วยังให้ผลแก่ติณชาติ รุกขชาติงอกงามแช่มชื่นเต็มที่ และเป็นที่ตั้งของมนุษย์ทุกเหล่า เหตุนั้นผู้แสวงบุญควรตรวจดูจิตขอตนอยู่เสมอๆ ว่า เรามีเมตตาจิตหรือไม่ เพื่อจะได้กระทำบำเพ็ญให้มีขึ้นทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้ถูกทางแห่งความสุขต่อไป ข้อสำคัญ เมตตานี้สำคัญมากที่จิต ถ้าจิตไม่มีเมตตาแล้ว รักษากายวาจายาก ถ้าหากจิตประกอบด้วยเมตตาจริงๆ แล้ว ความเศร้าหมองย่อมไม่มีแก่กายและวาจา กายวาจาเขาย่อมไม่รับ จิตจะเป็นผู้รับเอาผลชั่วทั้งหมด -------------------------------------- #บทสวดแผ่เมตตา เมตตาอัปปมัญญาภาวนา อะหัง อะเวโร โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ปราศจากเวร) อัพยาปัชโฌ โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน) อะนีโฆ โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ) สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ) มะมะ มาตาปิตุ ( ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า ) อาจาริยา จะ ญาติมิตตา ( จะ ครูอาจารย์ และญาติมิตร ) สะพราหมะจาริโน จะ ( ผู้ประพฤติธรรมทั้งปวง ) อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) สุขี อัตตานัง ปริหะรันตุ (ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ) อิมัสมิง อาราเม สัพเพ โยคิโน (ขอให้ท่านโยคี ( ผู้ทรงสมาธิ) ทั้งปวงในเขตนี้ ) อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) สุขี อัตตานัง ปริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) อิมัสมิง อาราเม สัพเพ ภิกขู ( ขอพระภิกษทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในเขตนี้ ) สามะเณรา จะ ( และสามเณร ) อุปาสะกา อุปาสิกายา จะ ( ทั้งอุบาสกและ อุบาสิกา ) อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) อัมหากัง จะตุปัจจายะทายะกา ( ขอทายกทายิกา ผู้ให้ปัจจัย๔ แก่พวกเราทั้งหลาย ) อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) อัมหากัง อารักขา เทวาตา ( ขอเทวดาผู้อารักขาเราทั้งหลาย ) อิมัสมิง วิหาเร ( ในวิหารแห่งนี้ ) อิมัสมิง อาวาเส ( ในอาวาสแห่งนี้ ) อิมัสมิง อาราเม ( ในอารามแห่งนี้ ) อารักขา เทวาตา ( ขอเทวาผู้รักษาสถานที่เหล่านี้ ) อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) สัพเพ สัตตา ( ขอสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ ปาณา ( ขอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ) สัพเพ ภูตา ( ขอภูติทั้งหลาย ) สัพเพ ปุคคะลา ( ขอบุคคลทั้งหลาย ) สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา ( ขอผู้มีอัตภาพทั้งหลาย ) สัพพา อิตถีโย ( ขอสตรีทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ ปุริสา ( ขอบุรุษทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ อริยา ( ขอพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ อนริยา ( ขอผู้ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ เทวา ( ขอเทวาทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ มนุสสา ( ขอมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ) สัพเพ วินิปาติกา ( ขอสัตว์วินิปาติกะทั้งหลาย ทั้งปวง ) อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน) อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) ทุกขา มุจจันตุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายจงปราศจากความทุกข์ ) ยถา ลัทธาสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ( จงอย่าพลัดพรากจากสมบัติที่ได้มา ) กัมมัสสะกา ( ตนย่อมเป็นเจ้าของกรรมนั้น ) ปุรถิมายะ ทิสายะ ( ขอสัตว์ทั้งปวง ในทิศบูรพา ( ทิศตะวันออก ) ปัจฉิมายะ ทิสายะ ( ในทิศปัจฉิม ( ทิศตะวันตก ) อุตตรายะ ทิสายะ ( ในทิศอุดร ( ทิศเหนือ ) ทักขิณายะ ทิสายะ ( ในทิศทักษิณ ( ทิศใต้ ) ปุรถิมายะ อนุทิสายะ ( ในทิศอาคเนย์ ( ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ) ปัจฉิมายะ อนุทิสายะ ( ในทิศพายัพ ( ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ) อุตตระ อนุทิสายะ ( ในทิศอิสาน ( ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ) ทักขิณายะ อนุทิสายะ ( ในทิศหรดี ( ตะวันตกเฉียงใต้ ) เหฎฐิมายะ ทิสายะ ( ในทิศเบื้องล่าง ) อุปาริมายะ ทิสายะ ( ในทิศเบื้องบน ) สัพเพ สัตตา ( ขอสัตว์ทั้งหลาย ) สัพเพ ปาณา ( ขอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ) สัพเพ ภูตา ( ขอภูติทั้งหลาย ) สัพเพ ปุคคะลา ( ขอบุคคลทั้งหลาย ) สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา ( ขอผู้มีอัตภาพทั้งหลาย ) สัพพา อิตถีโย ( ขอสตรีทั้งหลาย ) สัพเพ ปุริสา ( ขอบุรุษทั้งหลาย ) สัพเพ อริยา ( ขอพระอริยเจ้าทั้งหลาย ) สัพเพ อนริยา ( ขอผู้ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ) สัพเพ เทวา ( ขอเทวา ทั้งหลาย ) สัพเพ มนุสสา ( ขอมนุษย์ทั้งหลาย ) สัพเพ วินิปาติกา ( ขอสัตว์วินิปาติกะทั้งหลาย ) อะเวรา โหนตุ ( อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย ) อัพยาปัชฌา โหนตุ ( อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ) อะนีฆา โหนตุ ( อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย ) สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ( จงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) ทุกขา มุจจันตุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายจงปราศจากความทุกข์ ) ยถา ลัทธา สัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ( จงอย่าพลัดพรากจากสมบัติที่ได้มา ) กัมมัสสะกา ( ตนย่อมเป็นเจ้าของกรรมนั้น ) อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( และสัตว์ที่อยู่สูงขึ้นไปจนถึงภวัคคภูมิ ) อโธ ยาวะ อวิจจิโต ( และสัตว์ที่อยู่เบื้องล่างจนถึงอเวจีมหานรก ) สมันตา จักกะวาเลสุ ( สัตว์ทั้งหลายในจักรวาล ) เย สัตตา ปถวิจารา ( ไม่ว่าสัตว์ใดที่อุบัติบนพื้นปฐพี ) อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ และอุปัทวันตราย ) อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( ขอสัตว์ที่อยู่สูงขึ้นไปถึงภวัคคภูมิ ) อโธ ยาวะ อวิจจิโต ( และสัตว์อยู่เบื้องล่างในอเวจีมหานรก ) สมันตา จักกะวาเลสุ ( สัตว์ทั้งหลายในจักรวาล ) เย สัตตา อุทักเขจารา ( ขอสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในน้ำ ) อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงอย่าได้เบียดเบียนใครเลย อย่าได้มีเวรกับใครเลย ) นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปัทวันตราย ) อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( ขอสัตว์ในโลกธาตุอื่น ที่อยูเบื้องบนคือภวัคคภูมิลงมา ) อโธ ยาวะ อวิจิโต ( ตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นไป ) สมันตา จักกะวาเฬสุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายในจักรวาลโดยรอบๆ ) เย สัตตา ปถวิจารา ( ไม่ว่าสัตว์ใดที่อุบัติบนพื้นปฐพี ) อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงอย่าได้เบียดเบียนใครเลย อย่าได้มีเวรกับใครเลย ) นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปัทวันตราย ทั้งสิ้นเทอญฯ ) --------------------------- ป.ล.ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ : เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก mk007 10/12/59 ต.ค. 05, 2017 1:08:10am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รูปที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น รูปานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ เสียงที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น สัทธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ กลิ่นที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น คัณธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รสที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น ระสานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ โผฏฐัพพะที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น โผฏฐัพพานิรยะภูมิ ฯลฯ ท่านจงรีบ จงขวานขวาย พรากความพอใจ ที่มีต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เสียให้เร็วพลันเถิด เพราะมันจะแปรสภาพเป็นภัยในอนาคต ท่านจงฆ่ากามสัญญา ทิ้งเสีย คือฆ่าความพอใจในความคิด ยินดีกับรูปเสียง กับเสียง กับกลิ่น กับรส กับปโผฏฐัพพะ หรือถ้าสามารถยิ่งขึ้นไปอีกได้ ท่านจงฆ่า ความพอใจ ในธรรมารมณ์ ทิ้งเสีย ต.ค. 05, 2017 2:41:28am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รูปที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น รูปานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ เสียงที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น สัทธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ กลิ่นที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น คัณธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รสที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น ระสานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ โผฏฐัพพะที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น โผฏฐัพพานิรยะภูมิ ฯลฯ ท่านจงรีบ จงขวานขวาย พรากความพอใจ ที่มีต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เสียให้เร็วพลันเถิด เพราะมันจะแปรสภาพเป็นภัยในอนาคต ท่านจงฆ่ากามสัญญา ทิ้งเสีย คือฆ่าความพอใจในความคิด ยินดีกับรูปเสียง กับเสียง กับกลิ่น กับรส กับปโผฏฐัพพะ หรือถ้าสามารถยิ่งขึ้นไปอีกได้ ท่านจงฆ่า ความพอใจ ในธรรมารมณ์ ทิ้งเสีย ต.ค. 05, 2017 2:41:49am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รูปที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น รูปานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ เสียงที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น สัทธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ กลิ่นที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น คัณธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รสที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น ระสานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ โผฏฐัพพะที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น โผฏฐัพพานิรยะภูมิ ฯลฯ ท่านจงรีบ จงขวานขวาย พรากความพอใจ ที่มีต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เสียให้เร็วพลันเถิด เพราะมันจะแปรสภาพเป็นภัยในอนาคต ท่านจงฆ่ากามสัญญา ทิ้งเสีย คือฆ่าความพอใจในความคิด ยินดีกับรูปเสียง กับเสียง กับกลิ่น กับรส กับปโผฏฐัพพะ หรือถ้าสามารถยิ่งขึ้นไปอีกได้ ท่านจงฆ่า ความพอใจ ในธรรมารมณ์ ทิ้งเสีย ต.ค. 05, 2017 2:42:14am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #พระผู้เวลานอนหลับนั่งเอา# ท่านบวชมาตั้งแต่เป็นเณร พออายุวัยกลางคนท่านก็เริ่มปฏิบัติเข้าฌานเวลานอน จะนั่งเก้าอี้แล้วก็นอนหลับไปโดยการเข้าฌาน 1-4 ท่านเป็นพระชื่อหลวงพ่อทองใบ ปภัสสโร อยู่วัด ในจังหวัดอุดรธานี แถวๆอำเภอบ้านผือ ท่าน เป็นนักพระปฏิบัติสายหลวงตามหาบัว ท่านเป็นพระที่ไม่ ได้ปฏิบัติแบบอัตถกิถานุโยคแต่อย่าง ใดแต่ท่านก็ทำกิจอย่างนี้ประจำแล้วก็ ไม่ทรมานแต่อย่างใด ท่านเป็นพระผู้ที่อดทน องค์หนึ่ง และขันติบารมีสูงมาก ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่เหมือน กับครูบาหนุน สุวิชโช ที่มีชีวิตอยู่ และ ในจังหวัดหนองคายก็มีหลวงพี่องค์หนึ่งไปสร้างวัดอยู่บนภู เขาใกล้แม่น้ำโขง ต้องขึ้นบันไดขาขึ้น สองพันขั้น ขาลงสองพันขั้น เวลาบิณฑบาตใช้เวลาเป็นชั่วโมง จึงเรียนมาเพื่อให้อนุโมทนา ทั้งครูบาหนุน และหลวงพ่อทองใบ นั่งสมาธินานมากวันหนึ่ง ถ้าตลอดชีวิตก็นับได้ว่าหลาย หมื่นชั่วโมงแล้วครับ จึงเรียนมาให้โมทนา #พระผู้เวลานอนหลับนั่งเอา# ท่านบวชมาตั้งแต่เป็นเณร พออายุวัยกลางคนท่านก็เริ่มปฏิบัติเข้าฌานเวลานอน จะนั่งเก้าอี้แล้วก็นอนหลับไปโดยการเข้าฌาน 1-4 ท่านเป็นพระชื่อหลวงพ่อทองใบ ปภัสสโร อยู่วัด ในจังหวัดอุดรธานี แถวๆอำเภอบ้านผือ ท่าน เป็นนักพระปฏิบัติสายหลวงตามหาบัว ท่านเป็นพระที่ไม่ ได้ปฏิบัติแบบอัตถกิถานุโยคแต่อย่าง ใดแต่ท่านก็ทำกิจอย่างนี้ประจำแล้วก็ ไม่ทรมานแต่อย่างใด ท่านเป็นพระผู้ที่อดทน องค์หนึ่ง และขันติบารมีสูงมาก ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่เหมือน กับครูบาหนุน สุวิชโช ที่มีชีวิตอยู่ และ ในจังหวัดหนองคายก็มีหลวงพี่องค์หนึ่งไปสร้างวัดอยู่บนภู เขาใกล้แม่น้ำโขง ต้องขึ้นบันไดขาขึ้น สองพันขั้น ขาลงสองพันขั้น เวลาบิณฑบาตใช้เวลาเป็นชั่วโมง จึงเรียนมาเพื่อให้อนุโมทนา ทั้งครูบาหนุน และหลวงพ่อทองใบ นั่งสมาธินานมากวันหนึ่ง ถ้าตลอดชีวิตก็นับได้ว่าหลาย หมื่นชั่วโมงแล้วครับ จึงเรียนมาให้โมทนา ต.ค. 15, 2017 9:06:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น http://84000.org/ อยากได้บุญ ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ 1 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายเคลื่อนไหว ผลของการรู้ว่า ร่างกายที่เคลื่อนไหว คือได้บุญกุศล 2 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายเดิน ผลของการรู้ว่า ร่างกายเดิน คือได้บุญกุศล 3 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายทรงท่ายืน ผลของการรู้ว่า ร่างกายทรงท่ายืน คือได้บุญกุศล 4 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายเดิน ผลของการรู้ว่า ร่างกายเดิน คือได้บุญกุศล 5 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายทรงท่านั่ง ผลของการรู้ว่า ร่างกายทรงท่านั่ง คือได้บุญกุศลแล้ว 6 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายทรงท่านอน ผลของการรู้ว่า ร่างกายทรงท่านอน คือได้บุญกุศลแล้ว 7 แค่มีสติรู้ว่า ร่างกายหายใจ = ผลที่เกิดจากการรู้ว่า ร่างกายหายใจ คือได้บุญกุศลแล้ว สรุปความจาก "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" อานาปานะบรรพะ อิริยาบทบรรพะ สัมปชัญญะบรรพะ > http://etipitaka.com/read/thai/14/161/ > http://84000.org/ ต.ค. 22, 2017 5:38:26am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ๑. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกผมออกจนเหลือแต่หัวโล้นๆ และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ ๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ ๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ ๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้ และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ ๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้ ๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ ๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้ ต.ค. 22, 2017 5:06:27pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #คนเกิดทันยุค รัชกาลที่๙ ต้องทบทวน# ถาม : "ฉันเกิดในรัชกาลที่๙" แล้วถ้า ไม่ปฏิบัติตามความพอเพียง ที่ท่านสอน มีแต่ฟุ้งเฟ้อเหอเหิม ความพอเพียงอยู่ง่ายกินง่ายนี้ไม่มี ถ้ามีคนถามว่า "ในหลวงเกิดมาเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก ทรงสร้างวิถีทางให้ดำเนินตาม เพื่อให้ชีวิตมีความสุขจากการเป็นอยู่อย่างพอเพียง คุณได้ประโยชน์อะไร จากการได้ทราบวิถีเส้นทางแห่งความเป็นอยู่อย่างพอเพียง? ตอบ : ฉันเกิดทันผืนแผ่นดินรัชกาลที่๙ แต่ฉันไม่ได้ทำตามคำสอนท่านที่ว่าให้เป็นอยู่ใช้สอยอย่างพอเพียง เลย ถาม : แล้วท่านได้ประโยชน์อะไรกับคำสอนพ่อหลวง ท่านเกิดมาทันคำสอนพ่อหลวง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนท่าน สรุปท่านได้ประโยชน์จากการเกิดทันคำสอนพ่อหลวงไหมเนี๊ย ตอบ : ......... ถาม : แล้วการที่คุณเกิดทันยุคที่มีพระศาสนา มีคำสอนพระพุทธเจ้า คุณได้ประโยชน์อะไรจากการเกิดทันพระศาสนา คุณได้อุบายละความโลภ คุณได้อุบายละความโกธร อย่างไร ตอบ: ฉัน...... ต.ค. 26, 2017 7:26:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #คนเกิดทันยุค รัชกาลที่๙ ต้องทบทวน# ถาม : "ฉันเกิดในรัชกาลที่๙" แล้วถ้า ไม่ปฏิบัติตามความพอเพียง ที่ท่านสอน มีแต่ฟุ้งเฟ้อเหอเหิม ความพอเพียงอยู่ง่ายกินง่ายนี้ไม่มี ถ้ามีคนถามว่า "ในหลวงเกิดมาเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก ทรงสร้างวิถีทางให้ดำเนินตาม เพื่อให้ชีวิตมีความสุขจากการเป็นอยู่อย่างพอเพียง คุณได้ประโยชน์อะไร จากการได้ทราบวิถีเส้นทางแห่งความเป็นอยู่อย่างพอเพียง? ตอบ : ฉันเกิดทันผืนแผ่นดินรัชกาลที่๙ แต่ฉันไม่ได้ทำตามคำสอนท่านที่ว่าให้เป็นอยู่ใช้สอยอย่างพอเพียง เลย ถาม : แล้วท่านได้ประโยชน์อะไรกับคำสอนพ่อหลวง ท่านเกิดมาทันคำสอนพ่อหลวง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนท่าน สรุปท่านได้ประโยชน์จากการเกิดทันคำสอนพ่อหลวงไหมเนี๊ย ตอบ : ......... ถาม : แล้วการที่คุณเกิดทันยุคที่มีพระศาสนา มีคำสอนพระพุทธเจ้า คุณได้ประโยชน์อะไรจากการเกิดทันพระศาสนา คุณได้อุบายละความโลภ คุณได้อุบายละความโกธร อย่างไร ตอบ: ฉัน...... #คนเกิดทันยุค รัชกาลที่๙ ต้องทบทวน# ถาม : "ฉันเกิดในรัชกาลที่๙" แล้วถ้า ไม่ปฏิบัติตามความพอเพียง ที่ท่านสอน มีแต่ฟุ้งเฟ้อเหอเหิม ความพอเพียงอยู่ง่ายกินง่ายนี้ไม่มี ถ้ามีคนถามว่า "ในหลวงเกิดมาเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก ทรงสร้างวิถีทางให้ดำเนินตาม เพื่อให้ชีวิตมีความสุขจากการเป็นอยู่อย่างพอเพียง คุณได้ประโยชน์อะไร จากการได้ทราบวิถีเส้นทางแห่งความเป็นอยู่อย่างพอเพียง? ตอบ : ฉันเกิดทันผืนแผ่นดินรัชกาลที่๙ แต่ฉันไม่ได้ทำตามคำสอนท่านที่ว่าให้เป็นอยู่ใช้สอยอย่างพอเพียง เลย ถาม : แล้วท่านได้ประโยชน์อะไรกับคำสอนพ่อหลวง ท่านเกิดมาทันคำสอนพ่อหลวง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนท่าน สรุปท่านได้ประโยชน์จากการเกิดทันคำสอนพ่อหลวงไหมเนี๊ย ตอบ : ......... ถาม : แล้วการที่คุณเกิดทันยุคที่มีพระศาสนา มีคำสอนพระพุทธเจ้า คุณได้ประโยชน์อะไรจากการเกิดทันพระศาสนา คุณได้อุบายละความโลภ คุณได้อุบายละความโกธร อย่างไร ตอบ: ฉัน...... ต.ค. 26, 2017 7:43:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก เบียร์บี้ เบียร์บี้ #คนเกิดทันยุค รัชกาลที่๙ ต้องทบทวน# ถาม : "ฉันเกิดในรัชกาลที่๙" แล้วถ้า ไม่ปฏิบัติตามความพอเพียง ที่ท่านสอน มีแต่ฟุ้งเฟ้อเหอเหิม ความพอเพียงอยู่ง่ายกินง่ายนี้ไม่มี ถ้ามีคนถามว่า "ในหลวงเกิดมาเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก ทรงสร้างวิถีทางให้ดำเนินตาม เพื่อให้ชีวิตมีความสุขจากการเป็นอยู่อย่างพอเพียง คุณได้ประโยชน์อะไร จากการได้ทราบวิถีเส้นทางแห่งความเป็นอยู่อย่างพอเพียง? ตอบ : ฉันเกิดทันผืนแผ่นดินรัชกาลที่๙ แต่ฉันไม่ได้ทำตามคำสอนท่านที่ว่าให้เป็นอยู่ใช้สอยอย่างพอเพียง เลย ถาม : แล้วท่านได้ประโยชน์อะไรกับคำสอนพ่อหลวง ท่านเกิดมาทันคำสอนพ่อหลวง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนท่าน สรุปท่านได้ประโยชน์จากการเกิดทันคำสอนพ่อหลวงไหมเนี๊ย ตอบ : ......... ถาม : แล้วการที่คุณเกิดทันยุคที่มีพระศาสนา มีคำสอนพระพุทธเจ้า คุณได้ประโยชน์อะไรจากการเกิดทันพระศาสนา คุณได้อุบายละความโลภ คุณได้อุบายละความโกธร อย่างไร คุณได้อุบายละความขาดสติ อย่างไร ตอบ: ฉัน...... ถาม : คุณรู้หรือไม่ ถ้ายังละความโลภไม่ได้ ในขณะจิตสุดตายตอนตาย ถ้าตายในขณะมีความโลภจะไปเกิดเป็นเปตรนะ ถ้าตายในขณะมีความโกธร จะไปเกิดในนรก ถ้าตายในขณะมีความหลงขาดสติ จะไปเกิดเป็นจำพวกสัตว์เดรัจฉาน ตอบ: .......... แล้วละความโลภด้วยการฝึกให้ทาน ฝึกเลิกยึดติด ละความโกธรด้วยการให้อภัยแล้วทำใจให้มีเมตตาธรรมต่อเขา และละความหลงขาดสติด้วยการสวดมนต์นั่งสมาธิก่อนนอน อย่างนี้ถือว่าได้ประโยชน์จากคำสอนทางศาสนาไหม? คนถาม: ได้ประโยชน์แล้วๆ สาธุๆ #คนเกิดทันยุค รัชกาลที่๙ ต้องทบทวน# ถาม : "ฉันเกิดในรัชกาลที่๙" แล้วถ้า ไม่ปฏิบัติตามความพอเพียง ที่ท่านสอน มีแต่ฟุ้งเฟ้อเหอเหิม ความพอเพียงอยู่ง่ายกินง่ายนี้ไม่มี ถ้ามีคนถามว่า "ในหลวงเกิดมาเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก ทรงสร้างวิถีทางให้ดำเนินตาม เพื่อให้ชีวิตมีความสุขจากการเป็นอยู่อย่างพอเพียง คุณได้ประโยชน์อะไร จากการได้ทราบวิถีเส้นทางแห่งความเป็นอยู่อย่างพอเพียง? ตอบ : ฉันเกิดทันผืนแผ่นดินรัชกาลที่๙ แต่ฉันไม่ได้ทำตามคำสอนท่านที่ว่าให้เป็นอยู่ใช้สอยอย่างพอเพียง เลย ถาม : แล้วท่านได้ประโยชน์อะไรกับคำสอนพ่อหลวง ท่านเกิดมาทันคำสอนพ่อหลวง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนท่าน สรุปท่านได้ประโยชน์จากการเกิดทันคำสอนพ่อหลวงไหมเนี๊ย ตอบ : ......... ถาม : แล้วการที่คุณเกิดทันยุคที่มีพระศาสนา มีคำสอนพระพุทธเจ้า คุณได้ประโยชน์อะไรจากการเกิดทันพระศาสนา คุณได้อุบายละความโลภ คุณได้อุบายละความโกธร อย่างไร คุณได้อุบายละความขาดสติ อย่างไร ตอบ: ฉัน...... ถาม : คุณรู้หรือไม่ ถ้ายังละความโลภไม่ได้ ในขณะจิตสุดตายตอนตาย ถ้าตายในขณะมีความโลภจะไปเกิดเป็นเปตรนะ ถ้าตายในขณะมีความโกธร จะไปเกิดในนรก ถ้าตายในขณะมีความหลงขาดสติ จะไปเกิดเป็นจำพวกสัตว์เดรัจฉาน ตอบ: .......... แล้วละความโลภด้วยการฝึกให้ทาน ฝึกเลิกยึดติด ละความโกธรด้วยการให้อภัยแล้วทำใจให้มีเมตตาธรรมต่อเขา และละความหลงขาดสติด้วยการสวดมนต์นั่งสมาธิก่อนนอน อย่างนี้ถือว่าได้ประโยชน์จากคำสอนทางศาสนาไหม? คนถาม: ได้ประโยชน์แล้วๆ สาธุๆ ต.ค. 26, 2017 7:51:40pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/watch?v=RKAdPFZI-LI&feature=player_embedded&list=PLzUDnIIG_BlJhbfhMm_abt83ePu4BZVRm ต.ค. 27, 2017 5:10:14pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ตามรอยพระอรหันต์ http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=42312779 ขออนุญาติ บอกข่าว http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=42312779 ต.ค. 27, 2017 5:16:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก เด่นอกาลิโก เด่นอกาลิโก ต.ค. 27, 2017 6:44:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คุณได้แท็ก เด่นอกาลิโก เด่นอกาลิโก ต.ค. 27, 2017 6:44:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ.ย. 12, 2017 4:42:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ.ย. 12, 2017 4:42:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:42:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ.ย. 12, 2017 4:42:46pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน อาหารเป็นยารักษามะเร็ง พ.ย. 12, 2017 4:43:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน อาหารเป็นยารักษามะเร็ง พ.ย. 12, 2017 4:43:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน อาหารเป็นยารักษามะเร็ง พ.ย. 12, 2017 4:43:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน อาหารเป็นยารักษามะเร็ง เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:43:57pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล พ.ย. 12, 2017 4:44:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล พ.ย. 12, 2017 4:44:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล พ.ย. 12, 2017 4:44:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ พ.ย. 12, 2017 4:45:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ พ.ย. 12, 2017 4:45:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:45:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ พ.ย. 12, 2017 4:45:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม พ.ย. 12, 2017 4:45:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม พ.ย. 12, 2017 4:45:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:45:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม พ.ย. 12, 2017 4:45:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล พ.ย. 12, 2017 4:46:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล พ.ย. 12, 2017 4:46:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล พ.ย. 12, 2017 4:46:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน #ศาสนสถาน ศาสนกิจ พ.ย. 12, 2017 4:49:45pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน #ศาสนสถาน ศาสนกิจ พ.ย. 12, 2017 4:49:45pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน #ศาสนสถาน ศาสนกิจ เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:49:45pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน #ศาสนสถาน ศาสนกิจ พ.ย. 12, 2017 4:49:45pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ พ.ย. 12, 2017 4:51:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:51:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ พ.ย. 12, 2017 4:51:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ พ.ย. 12, 2017 4:51:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ พ.ย. 12, 2017 4:52:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:52:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ พ.ย. 12, 2017 4:52:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน วัยรุ่นยุคใหม่ พ.ย. 12, 2017 4:52:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) พ.ย. 12, 2017 4:54:10pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) พ.ย. 12, 2017 4:54:10pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) พ.ย. 12, 2017 4:54:10pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อขายนนทบุรี เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:54:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่ม แชร์ข่าวทั่วไทย พ.ย. 12, 2017 4:55:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่ม แชร์ข่าวทั่วไทย พ.ย. 12, 2017 4:55:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่ม แชร์ข่าวทั่วไทย พ.ย. 12, 2017 4:55:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่ม แชร์ข่าวทั่วไทย เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:55:36pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แอบเหงา พ.ย. 12, 2017 4:57:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แอบเหงา พ.ย. 12, 2017 4:57:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แอบเหงา เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:57:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แอบเหงา พ.ย. 12, 2017 4:57:08pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์เก่าโรงเรียนบ้านหนองแวง(โสวรรณีวิทยาคม) เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:57:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์เก่าโรงเรียนบ้านหนองแวง(โสวรรณีวิทยาคม) พ.ย. 12, 2017 4:57:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์เก่าโรงเรียนบ้านหนองแวง(โสวรรณีวิทยาคม) พ.ย. 12, 2017 4:57:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์เก่าโรงเรียนบ้านหนองแวง(โสวรรณีวิทยาคม) พ.ย. 12, 2017 4:57:41pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน การปฏิบัติงานวิชาชีพครู 2 และ 3 (เฉพาะปี 4) พ.ย. 12, 2017 4:58:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน การปฏิบัติงานวิชาชีพครู 2 และ 3 (เฉพาะปี 4) เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:58:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน การปฏิบัติงานวิชาชีพครู 2 และ 3 (เฉพาะปี 4) พ.ย. 12, 2017 4:58:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน การปฏิบัติงานวิชาชีพครู 2 และ 3 (เฉพาะปี 4) พ.ย. 12, 2017 4:58:54pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มแชร์คนอารมณ์ดีและสนุกสนานปลดทุกข์ ฮ่าๆๆๆ พ.ย. 12, 2017 4:59:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มแชร์คนอารมณ์ดีและสนุกสนานปลดทุกข์ ฮ่าๆๆๆ เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 4:59:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มแชร์คนอารมณ์ดีและสนุกสนานปลดทุกข์ ฮ่าๆๆๆ พ.ย. 12, 2017 4:59:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มแชร์คนอารมณ์ดีและสนุกสนานปลดทุกข์ ฮ่าๆๆๆ พ.ย. 12, 2017 4:59:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ย. 12, 2017 5:00:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ย. 12, 2017 5:00:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ย. 12, 2017 5:00:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 5:00:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดพลอยออนไลน์ พ.ย. 12, 2017 5:01:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดพลอยออนไลน์ พ.ย. 12, 2017 5:01:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดพลอยออนไลน์ พ.ย. 12, 2017 5:01:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดพลอยออนไลน์ ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 5:01:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนมีความรัก พ.ย. 12, 2017 5:03:42pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนมีความรัก พ.ย. 12, 2017 5:03:42pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนมีความรัก เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 5:03:42pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนมีความรัก พ.ย. 12, 2017 5:03:42pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน รวมพลคนรักเเมนยู พ.ย. 12, 2017 5:04:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน รวมพลคนรักเเมนยู เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 5:04:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน รวมพลคนรักเเมนยู พ.ย. 12, 2017 5:04:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน รวมพลคนรักเเมนยู พ.ย. 12, 2017 5:04:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 5:43:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อ,ขาย คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค@korat(แทนกลุ่มเก่า) พ.ย. 12, 2017 6:46:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อ,ขาย คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค@korat(แทนกลุ่มเก่า) พ.ย. 12, 2017 6:46:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อ,ขาย คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค@korat(แทนกลุ่มเก่า) พ.ย. 12, 2017 6:46:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อ,ขาย คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค@korat(แทนกลุ่มเก่า) ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 6:46:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ย. 12, 2017 6:46:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ย. 12, 2017 6:46:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 6:46:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาด ซื้อ-ขาย อุบลราชธานี พ.ย. 12, 2017 6:46:48pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดมุสลิมฮาล้าลโพสby Olydeyea Shop ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 6:48:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดมุสลิมฮาล้าลโพสby Olydeyea Shop พ.ย. 12, 2017 6:48:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดมุสลิมฮาล้าลโพสby Olydeyea Shop พ.ย. 12, 2017 6:48:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดมุสลิมฮาล้าลโพสby Olydeyea Shop พ.ย. 12, 2017 6:48:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมช่างซ่อมโน๊ตบุ๊ค(nbfix)ซื้อขายอะไหล่โน๊ตบุ๊คโน๊ตบุ๊ค หาร้านซ่อมโน๊ตบุ๊ค พ.ย. 12, 2017 6:48:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมช่างซ่อมโน๊ตบุ๊ค(nbfix)ซื้อขายอะไหล่โน๊ตบุ๊คโน๊ตบุ๊ค หาร้านซ่อมโน๊ตบุ๊ค พ.ย. 12, 2017 6:48:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมช่างซ่อมโน๊ตบุ๊ค(nbfix)ซื้อขายอะไหล่โน๊ตบุ๊คโน๊ตบุ๊ค หาร้านซ่อมโน๊ตบุ๊ค ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 6:48:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมช่างซ่อมโน๊ตบุ๊ค(nbfix)ซื้อขายอะไหล่โน๊ตบุ๊คโน๊ตบุ๊ค หาร้านซ่อมโน๊ตบุ๊ค พ.ย. 12, 2017 6:48:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน JUAL BELI พ.ย. 12, 2017 6:50:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน JUAL BELI พ.ย. 12, 2017 6:50:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน JUAL BELI พ.ย. 12, 2017 6:50:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน JUAL BELI ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 6:50:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน หนุ่มอุบล-สาววาริน พ.ย. 12, 2017 8:14:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน หนุ่มอุบล-สาววาริน พ.ย. 12, 2017 8:14:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน หนุ่มอุบล-สาววาริน พ.ย. 12, 2017 8:14:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน หนุ่มอุบล-สาววาริน ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 8:14:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 12, 2017 8:37:29pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ขายออนไลน์ ภาคอีสาน พ.ย. 12, 2017 9:55:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ขายออนไลน์ ภาคอีสาน พ.ย. 12, 2017 9:55:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ขายออนไลน์ ภาคอีสาน พ.ย. 12, 2017 9:55:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ขายออนไลน์ ภาคอีสาน ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 12, 2017 9:55:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อขายของมือสอง. จ.อุบลฯและใกล้เคียง (ผ่านระบบคนกลางได้) พ.ย. 13, 2017 12:07:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อขายของมือสอง. จ.อุบลฯและใกล้เคียง (ผ่านระบบคนกลางได้) พ.ย. 13, 2017 12:07:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อขายของมือสอง. จ.อุบลฯและใกล้เคียง (ผ่านระบบคนกลางได้) พ.ย. 13, 2017 12:07:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ซื้อขายของมือสอง. จ.อุบลฯและใกล้เคียง (ผ่านระบบคนกลางได้) ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 13, 2017 1:12:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดนัด เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ศรีสะเกษ SisaketToday ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ พ.ย. 14, 2017 9:29:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดนัด เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ศรีสะเกษ SisaketToday พ.ย. 14, 2017 9:29:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดนัด เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ศรีสะเกษ SisaketToday พ.ย. 14, 2017 9:29:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดนัด เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ศรีสะเกษ SisaketToday พ.ย. 14, 2017 9:29:32am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:46:47am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน #ศาสนสถาน ศาสนกิจ มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:49:51am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:51:28am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:51:52am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พระเทพวิทยาคม เเละ หลวงพ่อทอง มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:53:54am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พลังจิต ® พุทธศาสนาและธรรมะ มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:55:04am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชาวอำเภอหัวตะพาน มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:56:23am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Mix & WarP สอบถาม / ติชม มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:57:00am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พูดคุยการเมือง มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:57:33am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มคนรักสงบ ~^.<~ มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:58:54am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน คนอำเภอม่วงสามสิบ มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 4:59:31am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน Samsung Galaxy S4 Club Thailand มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 5:00:56am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน เด็กจอมพระ(รวมพลคนในอำเภอจอมพระ) > CHOMPRA มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 5:02:39am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศูนย์รวมแบบทดสอบเพื่อเตรียมสอบขึ้นทะเบียนขอรับใบประกอบวิชาชีพพยาบาล มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 5:03:16am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน เด็ก กันทรลักษ์ มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 5:03:44am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน หาเพื่อน หาแฟน หากิ๊ก หาคนคุย ออริจินอล มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 5:04:11am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน สมาคมคนโสด มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 5:04:40am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ลานธรรม ( ทาน ศีล ภาวนา ) มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 6:56:36am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true มนุษย์ชมพูทวีปในยุคสมัยที่ต่างกันจะมีร่างกายสูงต่ำต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อายุมากร่างกายสูงใหญ่ อายุน้อยร่างกายเตี้ยเล็ก ดูได้จากขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่อุบัติในยุคสมัยต่างๆ คือ พระทีปังกร อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระโกณฑัญญะ อายุขัยแสนปี สูง ๘๘ ศอก พระมังคละ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๘๘ ศอก พระสุมนะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๙๐ ศอก พระเรวตะ อายุขัยหกหมื่น สูง ๘๐ ศอก พระโสภิตะ อายุขัยเก้าหมื่น สูง ๕๘ ศอก พระอโนมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระปทุมะ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระนารทะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระปทุมุตระ อายุขัยแสนปี สูง ๕๘ ศอก พระสุเมธะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๘ ศอก พระสุชาตะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๐ ศอก พระปิยทัสสี อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระอัตถะทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระธรรมทัสสี อายุขัยแสนปี สูง ๘๐ ศอก พระสิทธัตถะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระติสสะ อายุขัยแสนปี สูง ๖๐ ศอก พระปุสสะ อายุขัยเก้าหมื่นปี สูง ๕๘ ศอก พระวิปัสสี อายุขัยแปดหมื่นปี สูง ๘๐ ศอก พระสิขี อายุขัยเจ็ดหมื่นปี สูง ๗๐ ศอก พระเวสภู อายุขัยหกหมื่นปี สูง ๖๐ ศอก พระกกุสันธะ อายุขัยสี่หมื่นปี สูง ๔๐ ศอก พระโกนาคมนะ อายุขัยสามหมื่นปี สูง ๓๐ ศอก พระกัสสปะ สองหมื่นปี สูง ๒๐ ศอก และพระพุทธโคดมยุคปัจจุบัน อายุแปดสิบปี สูง ๔ ศอก (อายุมนุษย์ยุคนี้มันน้อย น้อยก็ยังพากันขี้เกลียดทำสมาธิ และพิจารณาขันธ์๕ลงสู่ อนิจจัง สมาธินั่นแหละคือศีล) คนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันจะรอดจากอบายภูมิได้ด้วยวิธีไหน ถ้าไม่ใช่สมถะและวิปัสนา https://sites.google.com/site/beammiethitiporn/x-nawa-di/khnad-rangkay-khxng-mnusy-chmphu-thwip?mobile=true พ.ย. 22, 2017 8:58:06am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล เบิ่งลายมือเจ้าของแล้ว เส้นชีวิตมันคึสั้นแท้น้อ.... คำนวนคร่าวๆเบิ่งแล้ว คึสิได้มีโอกาสอยู่ทำบุญกุศลแค่ช่วงแถว 70 ถึง 80 ปี แล้วกะขาดใจตาย.. แค่นี้หรือชีวิตเฮา และการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ในคัมภีร์อภิธรรมปิฏก เพิลว่า ต้องเป็นจิตลักษณะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ กะคือบ่โลภ บ่มีโกธร บ่มีการขาดสติแท้ จึงจะเข้าท้องผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ (จั่งสิสามารถเป็นลูกของพ่อแม่คู่หนึ่งๆได้) ถ้าบ่แมนเป็นจิตลักษณะดังว่าแล้ว มันสิไปเข้าท้องหมาแม่ แมวแม่ งัวแม่ กะเป็นหมาน้อยแมวน้อยงัวน้อยนั่นแล่ว กะคือเป็นการเกิดแบบทุคติภพ ....อาตมาอยากต่ออายุไขเจ้าของ กะเลยว่าสิซอยเพิลสร้างโรงบาล แฮงกำลังถึงมันสิบ่หลายกะตาม 3,000 กะสิซอยและซอยบอกต่อ ชาตินี้จั่งสิได้จำไว้ว่ากุกะเคยสร้างโรงบาลตั้วหนิ มาเด้อผุใด๋สิฮ่วมนำ ประกาศเด้อ บ่แมนเรี่ยไร ผู้ใด๋อยากสร้างโรงพยาบาลแน ตอนนี้เพิลสร้างไปแล้วแต่กะยังขาดปัจจัยยุ(เงินนั่นหละ) โรงพยาบาลสังคม. จ.หนองคาย #เนื้อหามาจากเว็บเด้อ "ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล "สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยในและอุปกรณ์การแพทย์ ๕๐,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท" ณ โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย วันอาทิศย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก (วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี) ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุชาติ นพวรรณ (ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย) นายชยาวุธ จันทร (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี) นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม) นายคุมพล บรรเทาทุกข์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (บริษัท ที พี ไอ) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย) พล.ต.กนก ภู่ม่วง (ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี) #(วีดีโอกราฟฟิก) จำลองโรงพยาบาลสังคม เป็นตะเบิงยุทันสมัยดี https://youtu.be/JemdPzdag0w เป็นโรงพยาบาลขนาด ๓๐ เตียง เปิดให้บริการแก่ประชาชนในเขตอำเภอสังคม และอำเภอใกล้เคียง เช่น อ.นายูง อ.ปากชม รวมถึงประชาชนจาก สปป.ลาว ที่ยากไร้ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีผู้ป่วย มารับบริการมากขึ้นทุกปีแต่โรงพยาบาลไม่สามารถรับรองได้เพียงพอ รวมถึงไม่มีพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลรักษาพระภิกษุ สามเณรที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หลวงพ่อจันมี อนาลโย ท่านพระครูสุทธิญาณโสภณ และท่าน ผอ.โรงพยาบาลสังคม จึงได้จัดจั้งโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย "ตึกอนาลโยเมตตา (หลวงพ่อจันมี)" #วัตถุประสงค์โครงการ ๑. เพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสังคม ในการรองรับการให้บริการผู้ป่วย ผู้รับบริการในเขตอำเภอสังคม พื้นที่อำเภอใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ๒.เพื่อให้พื้นที่สำหรับบริการพระภิกษุ สามเณรเป็นสัดส่วนมากขึ้น #อยากอ่านหลายๆกดเข้านี่เลย: http://www.analayometta.com/index.php สร้างนำแล้วมันสิได้หยัง? กะได้แนวเหยี๋ยวบ่เห็น กะคือบุญกุศลนั่นเอง พุทธพจน์(คำเว้าพระพุทธเจ้า) ตรัสว่า >>>>> (อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท) ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ (สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ) ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข (อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท) บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ (ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ) บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ ดังนี้ สร้างโรงบาลให้คนตั้งมากตั้งหลายมาเข้ารับการรักษาโรคกายต่างๆ เพราะร่างกายนี้มันฮังทุกข์คักๆแนๆ ปวดเงี่ยว บ่ได้เงี่ยวกะทุกข์ ปวดขี้ บ่ได้ขี้กะทุกข์ หิ้วน้ำ บ่ได้กินกะทุกข์ หิ้วอาหาร บ่ได้กินกะทุกข์ กินอาหารมันคาคอ กะทุกข์ กลืนอาหารลงแล้ว มันบ่ย้อยกะทุกข์ มันย้อยแล้ว มันสิออกทางล่างปวดขี้กะทุกข์ ขี้บ่ออกกะได้สวนก้น มันกะทุกข์ ถ้าพิจารณาดีๆแล้ว มันทุกข์เพราะการที่จิตมาสิงอยู่กับ (อสุจิและไข่) (วิทยว่า ไซโกส ) ( บาลีว่า กลละ ) และถ้าพิจารณาดีๆคักๆ ย้อนจิตปรุงแต่งกระแสกามภพ กะเลยต้องไปกามภพ พ.ย. 22, 2017 8:58:08am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รูปที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น รูปานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ เสียงที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น สัทธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ กลิ่นที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น คัณธานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ รสที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น ระสานิรยะภูมิ ถ้ายังไม่ถึงอริยะ โผฏฐัพพะที่เห็นอยู่นี้ จะแปรสภาพเป็น โผฏฐัพพานิรยะภูมิ ฯลฯ ท่านจงรีบ จงขวานขวาย พรากความพอใจ ที่มีต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เสียให้เร็วพลันเถิด เพราะมันจะแปรสภาพเป็นภัยในอนาคต ท่านจงฆ่ากามสัญญา ทิ้งเสีย คือฆ่าความพอใจในความคิด ยินดีกับรูปเสียง กับเสียง กับกลิ่น กับรส กับปโผฏฐัพพะ หรือถ้าสามารถยิ่งขึ้นไปอีกได้ ท่านจงฆ่า ความพอใจ ในธรรมารมณ์ ทิ้งเสีย พ.ย. 22, 2017 8:58:17am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น http://www.tnews.co.th/contents/378052 พ.ย. 23, 2017 6:40:23pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) http://www.tnews.co.th/contents/378052 พ.ย. 24, 2017 9:30:14am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น "พระมีหน้าที่รักษาใจ ไม่ให้เกิดบาปอกุศลขึ้น" เคยโพสไว้ที่ไลน์ " เมื่อ Mar 18, 2016 / 16:25 "ชีวิตไม่ใช่ของเล่น จงอย่าทำเล่นเล่นกับชีวิต" ระหว่างที่เกิด ถึงตาย จะจนหรือรวย จะสวยหรือหล่อ ระหว่างที่เกิดถึงตายนี้ สาระของเขาอยู่ตรงนี้ ๑.บุญกุศล ๒.สติ ระลึกได้ในกายในใจในปัจจุบัน ๓.ปัญญาในการเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายบุคคลอื่นก็ไม่ใช่ของเขา และเห็นอารมรมณ์ทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยน กันมาให้เรารู้ ทั้งสุข, ทุกข์, เฉยๆ, ผ่านมาผ่านไป เหมือนลมพัดจิต ลมเย็นพัดผ่านมาก็รู้สึกสุข ลมร้อนพัดผ่านมาก็รู้สึกทุกข์ ลมไม่เย็นไม่ร้อนผ่านมาก็รู้สึกเฉยๆ ลมทั้ง 3 อย่างนี้ คือ (สุข) (ทุกข์) (เฉยๆ) ผ่านมาผ่านไป ไม่คงที่ ผู้ใดเห็นว่าไม่ใช่ของเรา นั้นแหละคือผู้ไม่เกิดมาไม่ตายเปล่า ไม่เกิดมาเล่นๆเปล่าๆ คือเกิดมาไม่ได้สาระ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "โมฆะบุรุษ" คือคนที่เกิดมาโมฆะชีวิต" # กายนี้เจริญไปหาความตายแท้ๆ พระก็เจริญไปหาความตายในคาบผ้าเหลือง ฆราวาสก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่มแ บบชาวบ้าน คนทำงานก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้านุ่งห่ม แบบคนงาน คนรวยก็เจริญไปหาความตายในคาบเสื้อผ้าดีๆในบ้าน หลังใหญ่ๆมีเงินรวยๆ คนจนก็เจริญไปหาความตายในสภาพคนจน ต้นไม้ทุกต้นก็เกิดมาเจริญไปหาความตายแท้ๆ โอ้.... ควรแท้ ที่จะมุ่งถือเอาสาระประโยชน์จาก 3 ข้อ (หากได้ออกบวช แล้วปฏิบัติไตรสิกขาธรรมยิ่งสุดยอดในชีวิตนี้เลย) พ.ย. 28, 2017 6:06:35pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น พ.ย. 28, 2017 6:14:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล พ.ย. 28, 2017 6:16:26pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คาถา พระพุทธเมตตาเจโต (พุท ธา คุ ณา เมต ตา) พ.ย. 28, 2017 7:14:11pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล อาตมาขอถาม ๒ ข้อ ข้อ ๑. อะไรเอ่ย..? เกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ข้อ ๒. อะไรเอ่ย..? ที่ไม่ล่วงไปเป็นอดีต _________________________ คำตอบของอาตมา.คือ >> จิต และ รูป << นั่นเอง จิตคือ ส่วน๔ ส่วนที่หนึ่งคือเวทนาขันธ์ ส่วนที่สองคือสัญญาขันธ์ ส่วนที่สามคือสังขารขันธ์ ส่วนที่สี่คือวิญญาณขันธ์ และ รูปขันธ์ ทั้ง๕นี้เกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ สร้างขันธ์ปัจจุบันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ________________________________ ส่วนท่านอื่นๆจะมีการปรุงแต่งความเห็นอย่างไรกันบ้าง โปรดคอมเม้นแสดงความคิดเห็น ธ.ค. 10, 2017 5:40:06pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธ.ค. 10, 2017 9:16:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธ.ค. 11, 2017 8:37:59am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: #ศาสนสถาน ศาสนกิจ ธ.ค. 11, 2017 8:40:31am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ตามรอยพระอรหันต์ ธ.ค. 11, 2017 8:40:54am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: พุทธธรรม ธ.ค. 11, 2017 8:41:39am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: พระเทพวิทยาคม เเละ หลวงพ่อทอง ธ.ค. 11, 2017 8:42:51am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ชมรมพุทธ มรภ.อุบล ธ.ค. 11, 2017 8:53:05am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) ธ.ค. 11, 2017 9:17:15am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล เมื่อจิตปราศจากนิวรณ์แล้ว ไม่ยินดีไม่ยินร้ายแล้ว พวกท่านมีวิธีการมนสิการอาโลกะสัญญาความสว่างเต็มทั่วท้องจักรวาล อย่างไร ให้เกิดอภิญญา/ทิพย์ขักขุญาณ# ธ.ค. 12, 2017 12:52:02pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล พระปฏาจาราเถรี(ภิกษุณีผู้ทุกข์ทรมานมากที่สุด) ____________________________ “ปฏาจารา” พระสาวิการูปหนึ่ง เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถีเป็นหญิงรูปร่างงดงามและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ครั้นนางมีอายุได้ 16 ปีได้หลงรักชายคนใช้ในบ้านของตนเอง ต่อมาบิดามารดาได้จัดเตรียมหาชายหนุ่มในชนชั้นเดียวกันมาแต่งงานด้วยนางจึงได้นัดแนะให้ชายคนใช้พาหนี แล้วไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในชนบทอันทุรกันดารแห่งหนึ่ง ชีวิตเริ่มแรกของนางปฏาจารามีความสุขมาก เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนรัก เวลาผ่านไปไม่นาน นางปฏาจาราตั้งครรภ์ ครั้นถึงเวลาใกล้คลอดนางมีความกังวลใจ เพราะไม่มีบิดามารดาและญาติอยู่ใกล้ชิด นางจึงขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา สามีปฏิเสธคำขอร้อง เพราะกลัวเกรงบิดามารดาของนางจะเอาโทษ นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงลำพัง นางได้คลอดบุตรคนแรกในระหว่างทางเมื่อสามีตามไปพบ เขาได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆ จนพานางกลับบ้านสำเร็จ เวลาต่อมา นางได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สองและได้ขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีปฏิเสธคำขอร้องเช่นนั้นอีกนางจึงพาบุตรน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน ในระหว่างทางนางปวดท้องอย่างรุนแรง เพราะกำลังจะคลอดบุตรฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก สามีตามไปพบนางดิ้นทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางสายฝนจึงไปตัดไม้เพื่อนำมาทำที่กำบังฝนชั่วคราว แต่เขาถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตาย นางปฏาจาราคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก แล้วนางอุ้มทารกและจูงบุตรน้อยตามไปพบศพของสามีจึงมีความเศร้าโศกเสียใจมาก นางตัดสินใจจะพาบุตรไปหาบิดามารดาในเมือง เมื่อนางมาถึงลำธารใหญ่ที่น้ำกำลังไหลเชี่ยวนางไม่อาจจะพาบุตรข้ามน้ำพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอที่ฝั่งข้างหนึ่งแล้วอุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง และวางทารกน้อยไว้ที่อันเหมาะสม ขณะเดินข้ามน้ำมาถึงกลางน้ำ เพื่อรับบุตรคนโตนางเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบลงเพื่อจิกทารก เพราะมันเข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อนางจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยว แต่ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้ เพราะเหยี่ยวมองไม่เห็นอาการของนางที่ขับไล่จึงเฉี่ยวทารกน้อยของนางไป บุตรคนโตมองเห็นนางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ก็เข้าใจว่ามารดาเรียกตนจึงก้าวลงสู่แม่น้ำอันเชี่ยวและถูกน้ำพัดพาหายไป นางปฏาจาราได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาใกล้กัน แต่นางยังตั้งสติได้นางเดินร้องไห้เข้าไปสู่เมืองสาวัตถีและได้ทราบข่าวจากชาวเมืองคนหนึ่งในระหว่างทางว่าลมและฝนได้พัดเรือนบิดามารดาของนางพังทลาย และเจ้าของบ้านก็ตายไปด้วย ครั้นเมื่อนางทราบช่าวเช่นนี้ ก็ไม่อาจตั้งสติได้ นางสลัดผ้านุ่งทิ้งแล้ววิ่งบ่นเพ้อด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า เข้าไปวัดพระเชตวันมหาวิหารขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทประชาชนเห็นนางแล้วร้องบอกกันว่าคนบ้าๆ อย่าให้เข้ามา พระพุทธองค์ตรัสว่าปล่อยให้นางเข้ามาเถิด แล้วตรัสเรียกเตือนสตินางกลับได้สติ เกิดความละอายนั่งลง ใครคนหนึ่งในที่ประชุมนั้นโยนผ้าให้นางนุ่งห่มพระองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับนางโดยย่อว่า ปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่สามารถข้องกับคนที่ตายแล้วได้ ผู้รักษาศีลแล้วพึงชำระทางไปพระนิพพาน นางฟังพระธรรมเทศนา อันแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งพิจารณาไปตามพระธรรมเทศนานั้นแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล และทูลขออุปสมบทพระองค์จึงทรงอนุญาตให้นางบวชในสำนักนางภิกษุณี ต่อมานางภิกษุณีปฏาจาราได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ว่าคนที่ไม่เห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ แม้มีชีวิตอยู่ร้อยปีก็ไม่ประเสริฐเท่าคนที่มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวแต่มองเห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ เมื่อจบพระธรรมเทศนานางภิกษุณีปฏาจาราก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พระปฏาจาราเถรีมีความชำนาญในพระวินัยมากจนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัย และพระปฏาจาราเถรีได้เป็นกำลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระปฏาจาราเถรีมีคุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง ดังนี้ 1. เป็นผู้มีความตั้งใจจริง นิสัยตั้งใจจริง ต้องทำตามที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จนี้ ได้มีมาตั้งแต่พระปฏาจาราเถรียังเป็นเด็กสาวแต่เนื่องจากยังขาดประสบการณ์และขาดวิจารณญาณ จึงทำให้ผิดพลาดในชีวิตโดยสังเกตได้ว่า นางตั้งใจจะแต่งงานกับขายคนที่ตนรักไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่บิดามารดาเลือกให้ ก็ต้องทำให้ได้ แต่เมื่อได้บวชเป็นนางภิกษุณีแล้วนางได้สานต่อความตั้งใจนั้นในทางที่ถูกต้องนั่นคือความตั้งใจศึกษาพระวินัยปิฎกให้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ลดละความพยายามนางได้ใช้วิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมาก จนกระทั่งสำเร็จตามปรารถนาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เลิศกว่านางภิกษุณีรูปอื่นในด้านผู้ทรงพระวินัย 2. เป็นผู้แนะแนวชีวิตที่ดี ชีวิตของนางปฏาจาราเถรี เป็นชีวิตที่มากด้วยประสบการณ์ได้ผ่านมาทั้งความสุข ความสมหวัง และความทุกข์ความผิดหวังอย่างสาหัสจนเกือบกลายเป็นคนบ้าเสียสติถาวร เมื่อนางได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตแห่งชีวิตเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาแล้วประสบการณ์เหล่านั้นกลับเป็นประโยชน์แก่นางและคนอื่น คือสตรีอื่นๆที่มีปัญหาชีวิตพากันมาขอคำแนะนำ นางได้ให้คำแนะนำที่ดี และช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาเหล่านั้น จนกระทั่งได้รับยกย่องว่า “เป็นครูยิ่งใหญ่” ของพวกเขา • เสริมสาระ สตรีอินเดียในสมัยโบราณนิยมคลอดบุตรที่บ้านสกุลเดิมของตน ธรรมเนียมพราหมณ์อย่างหนึ่งมีว่า หญิงใดจะให้กำเนิดบุตรต้องกลับไปคลอดที่บ้านสกุลเดิมของตน หาคลอดที่บ้านของสามีไม่ การเชื่อเช่นนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลบางอย่างเพราะตามปกติหญิงที่กำลังจะให้กำเนิดบุตรนั้น มีความต้องการความอบอุ่นทางใจต้องการคนช่วยเหลือ และคอยเป็นห่วงเป็นใยความอบอุ่นเช่นนี้อาจหาได้ยากจากญาติของฝ่ายสามีตรงกันข้ามหญิงนั้นจะรู้สึกสบายใจและอบอุ่นใจมาก หากได้อยู่ใกล้ญาติพี่น้องของตนเองซึ่งรักและเข้าใจเธอมากกว่า ขอบคุณข้อมูลจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ โดย รศ.ดนัย ไชยโยธา (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 172 เมษายน 2558โดย กองบรรณาธิการ) พระปฏาจาราเถรี(ภิกษุณีผู้ทุกข์ทรมานมากที่สุด) ____________________________ “ปฏาจารา” พระสาวิการูปหนึ่ง เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถีเป็นหญิงรูปร่างงดงามและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ครั้นนางมีอายุได้ 16 ปีได้หลงรักชายคนใช้ในบ้านของตนเอง ต่อมาบิดามารดาได้จัดเตรียมหาชายหนุ่มในชนชั้นเดียวกันมาแต่งงานด้วยนางจึงได้นัดแนะให้ชายคนใช้พาหนี แล้วไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในชนบทอันทุรกันดารแห่งหนึ่ง ชีวิตเริ่มแรกของนางปฏาจารามีความสุขมาก เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนรัก เวลาผ่านไปไม่นาน นางปฏาจาราตั้งครรภ์ ครั้นถึงเวลาใกล้คลอดนางมีความกังวลใจ เพราะไม่มีบิดามารดาและญาติอยู่ใกล้ชิด นางจึงขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา สามีปฏิเสธคำขอร้อง เพราะกลัวเกรงบิดามารดาของนางจะเอาโทษ นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงลำพัง นางได้คลอดบุตรคนแรกในระหว่างทางเมื่อสามีตามไปพบ เขาได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆ จนพานางกลับบ้านสำเร็จ เวลาต่อมา นางได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สองและได้ขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีปฏิเสธคำขอร้องเช่นนั้นอีกนางจึงพาบุตรน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน ในระหว่างทางนางปวดท้องอย่างรุนแรง เพราะกำลังจะคลอดบุตรฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก สามีตามไปพบนางดิ้นทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางสายฝนจึงไปตัดไม้เพื่อนำมาทำที่กำบังฝนชั่วคราว แต่เขาถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตาย นางปฏาจาราคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก แล้วนางอุ้มทารกและจูงบุตรน้อยตามไปพบศพของสามีจึงมีความเศร้าโศกเสียใจมาก นางตัดสินใจจะพาบุตรไปหาบิดามารดาในเมือง เมื่อนางมาถึงลำธารใหญ่ที่น้ำกำลังไหลเชี่ยวนางไม่อาจจะพาบุตรข้ามน้ำพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอที่ฝั่งข้างหนึ่งแล้วอุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง และวางทารกน้อยไว้ที่อันเหมาะสม ขณะเดินข้ามน้ำมาถึงกลางน้ำ เพื่อรับบุตรคนโตนางเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบลงเพื่อจิกทารก เพราะมันเข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อนางจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยว แต่ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้ เพราะเหยี่ยวมองไม่เห็นอาการของนางที่ขับไล่จึงเฉี่ยวทารกน้อยของนางไป บุตรคนโตมองเห็นนางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ก็เข้าใจว่ามารดาเรียกตนจึงก้าวลงสู่แม่น้ำอันเชี่ยวและถูกน้ำพัดพาหายไป นางปฏาจาราได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาใกล้กัน แต่นางยังตั้งสติได้นางเดินร้องไห้เข้าไปสู่เมืองสาวัตถีและได้ทราบข่าวจากชาวเมืองคนหนึ่งในระหว่างทางว่าลมและฝนได้พัดเรือนบิดามารดาของนางพังทลาย และเจ้าของบ้านก็ตายไปด้วย ครั้นเมื่อนางทราบช่าวเช่นนี้ ก็ไม่อาจตั้งสติได้ นางสลัดผ้านุ่งทิ้งแล้ววิ่งบ่นเพ้อด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า เข้าไปวัดพระเชตวันมหาวิหารขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทประชาชนเห็นนางแล้วร้องบอกกันว่าคนบ้าๆ อย่าให้เข้ามา พระพุทธองค์ตรัสว่าปล่อยให้นางเข้ามาเถิด แล้วตรัสเรียกเตือนสตินางกลับได้สติ เกิดความละอายนั่งลง ใครคนหนึ่งในที่ประชุมนั้นโยนผ้าให้นางนุ่งห่มพระองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับนางโดยย่อว่า ปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่สามารถข้องกับคนที่ตายแล้วได้ ผู้รักษาศีลแล้วพึงชำระทางไปพระนิพพาน นางฟังพระธรรมเทศนา อันแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งพิจารณาไปตามพระธรรมเทศนานั้นแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล และทูลขออุปสมบทพระองค์จึงทรงอนุญาตให้นางบวชในสำนักนางภิกษุณี ต่อมานางภิกษุณีปฏาจาราได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ว่าคนที่ไม่เห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ แม้มีชีวิตอยู่ร้อยปีก็ไม่ประเสริฐเท่าคนที่มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวแต่มองเห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ เมื่อจบพระธรรมเทศนานางภิกษุณีปฏาจาราก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พระปฏาจาราเถรีมีความชำนาญในพระวินัยมากจนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัย และพระปฏาจาราเถรีได้เป็นกำลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระปฏาจาราเถรีมีคุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง ดังนี้ 1. เป็นผู้มีความตั้งใจจริง นิสัยตั้งใจจริง ต้องทำตามที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จนี้ ได้มีมาตั้งแต่พระปฏาจาราเถรียังเป็นเด็กสาวแต่เนื่องจากยังขาดประสบการณ์และขาดวิจารณญาณ จึงทำให้ผิดพลาดในชีวิตโดยสังเกตได้ว่า นางตั้งใจจะแต่งงานกับขายคนที่ตนรักไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่บิดามารดาเลือกให้ ก็ต้องทำให้ได้ แต่เมื่อได้บวชเป็นนางภิกษุณีแล้วนางได้สานต่อความตั้งใจนั้นในทางที่ถูกต้องนั่นคือความตั้งใจศึกษาพระวินัยปิฎกให้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ลดละความพยายามนางได้ใช้วิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมาก จนกระทั่งสำเร็จตามปรารถนาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เลิศกว่านางภิกษุณีรูปอื่นในด้านผู้ทรงพระวินัย 2. เป็นผู้แนะแนวชีวิตที่ดี ชีวิตของนางปฏาจาราเถรี เป็นชีวิตที่มากด้วยประสบการณ์ได้ผ่านมาทั้งความสุข ความสมหวัง และความทุกข์ความผิดหวังอย่างสาหัสจนเกือบกลายเป็นคนบ้าเสียสติถาวร เมื่อนางได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตแห่งชีวิตเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาแล้วประสบการณ์เหล่านั้นกลับเป็นประโยชน์แก่นางและคนอื่น คือสตรีอื่นๆที่มีปัญหาชีวิตพากันมาขอคำแนะนำ นางได้ให้คำแนะนำที่ดี และช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาเหล่านั้น จนกระทั่งได้รับยกย่องว่า “เป็นครูยิ่งใหญ่” ของพวกเขา • เสริมสาระ สตรีอินเดียในสมัยโบราณนิยมคลอดบุตรที่บ้านสกุลเดิมของตน ธรรมเนียมพราหมณ์อย่างหนึ่งมีว่า หญิงใดจะให้กำเนิดบุตรต้องกลับไปคลอดที่บ้านสกุลเดิมของตน หาคลอดที่บ้านของสามีไม่ การเชื่อเช่นนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลบางอย่างเพราะตามปกติหญิงที่กำลังจะให้กำเนิดบุตรนั้น มีความต้องการความอบอุ่นทางใจต้องการคนช่วยเหลือ และคอยเป็นห่วงเป็นใยความอบอุ่นเช่นนี้อาจหาได้ยากจากญาติของฝ่ายสามีตรงกันข้ามหญิงนั้นจะรู้สึกสบายใจและอบอุ่นใจมาก หากได้อยู่ใกล้ญาติพี่น้องของตนเองซึ่งรักและเข้าใจเธอมากกว่า ขอบคุณข้อมูลจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ โดย รศ.ดนัย ไชยโยธา (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 172 เมษายน 2558โดย กองบรรณาธิการ) ธ.ค. 12, 2017 3:14:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/attribution_link?a=HqQIKxZ1G6E&u=%2Fwatch%3Fv%3DWDpiLjtzcCo%26feature%3Dshare ธ.ค. 13, 2017 6:17:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/attribution_link?a=rZQcfrA2z5M&u=%2Fwatch%3Fv%3DWDpiLjtzcCo%26feature%3Dshare ธ.ค. 13, 2017 6:17:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/attribution_link?a=pNGKkJ5LmoM&u=%2Fwatch%3Fv%3DZK5Rvumgt6Y%26feature%3Dshare ธ.ค. 13, 2017 6:18:25pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/attribution_link?a=1rI4Pn5dh4M&u=%2Fwatch%3Fv%3Dbp2OjgiV2VY%26feature%3Dshare ธ.ค. 13, 2017 6:18:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/attribution_link?a=dB7wN5KRqa4&u=%2Fwatch%3Fv%3DexvqWnMxmlQ%26feature%3Dshare ธ.ค. 13, 2017 6:19:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น คนที่ไม่มีธรรมะเวลาทุกข์ใจ เขาจะโทษว่า มันเกิดขึ้นจาก อายตนะภายนอก๕ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพะ(สิ่งที่มาถูกต้องกาย) เป็นต้นเหตุ ส่วนคนที่มีธรรมะ+มีปัญญา เขาจะไม่โทษอายตนะภายนอก๕ แต่เขาจะเข้าใจว่า มันเกิดขึ้นจาก การหลงปรุงแต่งกระแสนิวรณ์ขึ้นมาเผาใจให้ทุกข์..มิสุขใจเลย จากนั้นเขาจะ สวดมนต์เพื่อเปลี่ยนการปรุงแต่งใหม่ ให้เป็นการปรุงแต่งตามบทสวดมนต์ หรือเดินจรงกม หรือทำสมาธิ หรือพิจารณาว่าเวทนาไม่เที่ยงแน่ๆ เมื่อทุกข์มาแล้วก็จะจากไปไม่สามารถทนอยู่กับเราได้ตลอดเวลา และเมื่อสุขมาแล้วก็จะจากไปไม่สามารถทนอยู่กับเราได้ตลอดเวลา แล้วเป็นผู้ไม่ติดสุขติดทุกข์ แล้วดำรงไว้ซึ่งแต่อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์บ่อยๆ ธ.ค. 13, 2017 8:39:37pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 14, 2017 8:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 14, 2017 8:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 14, 2017 8:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 14, 2017 8:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 14, 2017 8:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 14, 2017 8:28:47pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า" "มีความสวยงดงามมาก เหมือนไข่มุข แก้ว เพชร #การอันตรธานของพุทธศาสนา ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนาทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีปต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาคก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวมกันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่าพระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้ นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากันกระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อว่าอันตรธานไป #จากพระไตรปิฎก มหามกุฏราชวิทยาลัยเล่ม 15 หน้า 251 ธ.ค. 14, 2017 8:39:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล ธ.ค. 19, 2017 7:39:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: #ศาสนสถาน ศาสนกิจ ธ.ค. 19, 2017 8:14:17pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: พุทธธรรม ธ.ค. 19, 2017 8:14:50pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: แยกอุรุพงษ์ ธ.ค. 19, 2017 8:16:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ชมรมพุทธ มรภ.อุบล ธ.ค. 19, 2017 8:29:52pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: นักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ธ.ค. 19, 2017 9:53:09pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) ธ.ค. 20, 2017 3:52:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ไผ๋อยู่แถวนี่ ถ้าสามารถได้ กะไปสวดมนต์ข้ามปีนำเพิ้ลแนเด้อ (วัดพระธาตุหนองบัว วันที่ 31 ธันวาคม ทะลุ 1 มกราคม ปีใหม่ ) ไผ๋อยู่แถวนี่ ถ้าสามารถได้ กะไปสวดมนต์ข้ามปีนำเพิ้ลแนเด้อ (วัดพระธาตุหนองบัว วันที่ 31 ธันวาคม ทะลุ 1 มกราคม ปีใหม่ ) ธ.ค. 23, 2017 6:18:22pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน JUAL BELI ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ธ.ค. 23, 2017 6:21:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล อะไรเป็นประโยชน์ที่สุด... น้อยคนนักที่จะได้รู้ แม้ทราบแล้วว่า นิพพาน เป็นประโยชน์ที่สุด ก็ไม่รีบขวานขวายแสดงหามรรคที่เหมาะกับตน ในกายคตาสติสูตร ควรไปอ่าน อ่านแล้วลองถามจิตตนเองว่าเหมาะกับอะไร ส่วนฉัน # ฉันคิดว่า ฉันเหมาะกับการเดินจรงกม แล้วพิจารณาว่าขันธ์๕ไม่เที่ยง แล้วพวกท่านรู้หรือยังว่าเหมาะกับอะไรบ้าง ธ.ค. 23, 2017 9:52:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ถามตอบปัญหา และ สนทนาธรรมตามกาล การไปแต่งงาน การมีลูก คือการมีตัวภาระ จริงไหมครับ ธ.ค. 24, 2017 10:43:02am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ธ.ค. 26, 2017 7:16:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แสงแห่งธรรม จากพระพุทธองค์ .😭♠️ ธ.ค. 28, 2017 5:37:52am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดซื้อขายอุบลราชธานี ธ.ค. 28, 2017 10:09:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดซื้อขายอุบลราชธานี ธ.ค. 28, 2017 10:09:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดซื้อขายอุบลราชธานี ธ.ค. 28, 2017 10:09:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตลาดซื้อขายอุบลราชธานี ราคา: ฟรี ผู้ขาย: พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ธ.ค. 28, 2017 10:09:19pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ม.ค. 04, 2018 6:16:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มเสริมสร้างเสรีภาพสู่ประชาธิปไตย ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ม.ค. 04, 2018 6:17:12pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พุทธธรรม ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกาย ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกาย ม.ค. 04, 2018 6:18:07pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ .😭 ม.ค. 04, 2018 6:18:29pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ม.ค. 04, 2018 6:18:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แสงแห่งธรรม จากพระพุทธองค์ .😭 ม.ค. 04, 2018 6:19:33pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชุมชนคนอีสาน-อุบลราชธานี ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ม.ค. 04, 2018 6:26:30pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน จักรพรรดิรวมใจ ไตรสรณคมน์ ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ความแก่..ซ่อน..อยู่ในความหนุ่มสาว ความตาย..ซ่อน..อยู่ในความเกิด #สัจจะธรรมความจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ ควรหาทำโอกาสในการให้ตนได้ปฏิบัติธรรมบ้าง ในวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม นี้ ที่วัดหนองป่าพง มีงานปฏิบัติธรรม อาจาริยะบูชา ซึ่งครบรอบ ๑๐๐ ปี ที่หลวงปู่ชา ท่านจากไป ท่านผู้ใดประสงค์จะเดินทางมา ควรเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเต้น เสื้อผ้า สบู่ยาสีฟัน ผ้านุ่งผ้าขาว และไฟฉาย (ไม่ควรใส่สร้อยเพชรสร้อยทองมาด้วย) อาหารฟรี เพราะมีโรงทานเพียบ ม.ค. 04, 2018 9:34:37pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น กราฟฟิก การเดินจงกลม อย่างเข้าใจง่ายเหลือเกิน (www.facebook.com/Dungtrin) กราฟฟิก การเดินจงกลม อย่างเข้าใจง่ายเหลือเกิน (www.facebook.com/Dungtrin) ม.ค. 11, 2018 10:56:16pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) #กราฟฟิก การเดินจงกลม อย่างเข้าใจง่ายเหลือเกิน ( www.facebook.com/Dungtrin ) #กราฟฟิก การเดินจงกลม อย่างเข้าใจง่ายเหลือเกิน ( www.facebook.com/Dungtrin ) ม.ค. 12, 2018 2:36:49pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #เมื่อหญิงคนหนึ่งชะตากำลังขาด #ท่านพ่อลีก็เลยให้หวย…#หวังได้เงินรางวัลช่วยค่าทำศพ!! “กวง ตั้งศรีงามสง่า” ลูกศิษย์ของ “ท่านพ่อลี ธัมมธโร” เคยเล่าให้ฟังว่า มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไปขอหวยจากท่านพ่อลี ท่านจึงเขียนเลขใส่กระดาษ ม้วนกลม ๆ แล้วส่งให้เธอ เธอรับไว้ด้วยความดีใจ กราบลาท่านแล้วก็รีบกลับไปทันที นายกวงเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเพื่อจะตามไปขอดูเลขหวย เพราะปกติไม่เคยเห็นท่านพ่อลีทำเช่นนี้กับใคร แต่ในขณะที่เขากำลังจะวิ่งตามผู้หญิงคนนั้น ท่านพ่อลีก็ถามว่า “กวง…มึงจะไปไหน?” “จะไปเอาเลขจากยายคนนั้น” ท่านพ่อลีก็ห้ามว่า “อย่า… อย่าไปเอาเป็นอันขาด!!” แล้วท่านพ่อลีก็อธิบายให้นายกวงฟังว่า “กวง… กูจะบอกให้มึงฟัง โยมผู้หญิงคนนั้นน่ะเธอหมดอายุขัยแล้ว นอกจากเธอจะหมดอายุขัยแล้วก็ยังยากจนมากด้วย เราพิจารณาเห็นแล้วสงสาร เราก็เลยสงเคราะห์เขา เมื่อเขาถูกหวยแล้ว เขาก็จะตาย เงินที่ถูกหวยนั่นแหละจะเป็นเงินทำศพของเขาเอง และลูกหลานของเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก หลังจากวันหวยออกแล้ว ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นก็ไปหาท่านพ่อลีที่วัด กราบเรียนท่านว่า “ท่านพ่อ… แม่ผมถูกหวยหลายหมื่นบาท แต่แม่ก็เสียชีวิตแล้ว!!” ท่านพ่อลีตอบว่า “เออ… มึงเอาเงินนั้นทำฌาปนกิจศพให้แม่มึงนะ” นี่คือเมตตาธรรมที่ท่านพ่อลีมีให้เสมอสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย … เมื่อใครเข้ามาในข่ายแห่งญาณที่ท่านพอจะช่วยได้ ท่านจะไม่ปล่อยผ่านเลยไป ที่มา : “ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า” #เมื่อหญิงคนหนึ่งชะตากำลังขาด #ท่านพ่อลีก็เลยให้หวย…#หวังได้เงินรางวัลช่วยค่าทำศพ!! “กวง ตั้งศรีงามสง่า” ลูกศิษย์ของ “ท่านพ่อลี ธัมมธโร” เคยเล่าให้ฟังว่า มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไปขอหวยจากท่านพ่อลี ท่านจึงเขียนเลขใส่กระดาษ ม้วนกลม ๆ แล้วส่งให้เธอ เธอรับไว้ด้วยความดีใจ กราบลาท่านแล้วก็รีบกลับไปทันที นายกวงเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเพื่อจะตามไปขอดูเลขหวย เพราะปกติไม่เคยเห็นท่านพ่อลีทำเช่นนี้กับใคร แต่ในขณะที่เขากำลังจะวิ่งตามผู้หญิงคนนั้น ท่านพ่อลีก็ถามว่า “กวง…มึงจะไปไหน?” “จะไปเอาเลขจากยายคนนั้น” ท่านพ่อลีก็ห้ามว่า “อย่า… อย่าไปเอาเป็นอันขาด!!” แล้วท่านพ่อลีก็อธิบายให้นายกวงฟังว่า “กวง… กูจะบอกให้มึงฟัง โยมผู้หญิงคนนั้นน่ะเธอหมดอายุขัยแล้ว นอกจากเธอจะหมดอายุขัยแล้วก็ยังยากจนมากด้วย เราพิจารณาเห็นแล้วสงสาร เราก็เลยสงเคราะห์เขา เมื่อเขาถูกหวยแล้ว เขาก็จะตาย เงินที่ถูกหวยนั่นแหละจะเป็นเงินทำศพของเขาเอง และลูกหลานของเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก หลังจากวันหวยออกแล้ว ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นก็ไปหาท่านพ่อลีที่วัด กราบเรียนท่านว่า “ท่านพ่อ… แม่ผมถูกหวยหลายหมื่นบาท แต่แม่ก็เสียชีวิตแล้ว!!” ท่านพ่อลีตอบว่า “เออ… มึงเอาเงินนั้นทำฌาปนกิจศพให้แม่มึงนะ” นี่คือเมตตาธรรมที่ท่านพ่อลีมีให้เสมอสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย … เมื่อใครเข้ามาในข่ายแห่งญาณที่ท่านพอจะช่วยได้ ท่านจะไม่ปล่อยผ่านเลยไป ที่มา : “ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า” ม.ค. 13, 2018 12:32:39pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #กราฟฟิคคอมพิวเตอร์ สอนทำอานาปานสติ เชิญชมครับ ( www.facebook.com/Dungtrin ) #กราฟฟิคคอมพิวเตอร์ สอนทำอานาปานสติ เชิญชมครับ ( www.facebook.com/Dungtrin ) ม.ค. 13, 2018 3:34:00pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม(วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) #เมื่อหญิงคนหนึ่งชะตากำลังขาด #ท่านพ่อลีก็เลยให้หวย…#หวังได้เงินรางวัลช่วยค่าทำศพ!! “กวง ตั้งศรีงามสง่า” ลูกศิษย์ของ “ท่านพ่อลี ธัมมธโร” เคยเล่าให้ฟังว่า มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไปขอหวยจากท่านพ่อลี ท่านจึงเขียนเลขใส่กระดาษ ม้วนกลม ๆ แล้วส่งให้เธอ เธอรับไว้ด้วยความดีใจ กราบลาท่านแล้วก็รีบกลับไปทันที นายกวงเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเพื่อจะตามไปขอดูเลขหวย เพราะปกติไม่เคยเห็นท่านพ่อลีทำเช่นนี้กับใคร แต่ในขณะที่เขากำลังจะวิ่งตามผู้หญิงคนนั้น ท่านพ่อลีก็ถามว่า “กวง…มึงจะไปไหน?” “จะไปเอาเลขจากยายคนนั้น” ท่านพ่อลีก็ห้ามว่า “อย่า… อย่าไปเอาเป็นอันขาด!!” แล้วท่านพ่อลีก็อธิบายให้นายกวงฟังว่า “กวง… กูจะบอกให้มึงฟัง โยมผู้หญิงคนนั้นน่ะเธอหมดอายุขัยแล้ว นอกจากเธอจะหมดอายุขัยแล้วก็ยังยากจนมากด้วย เราพิจารณาเห็นแล้วสงสาร เราก็เลยสงเคราะห์เขา เมื่อเขาถูกหวยแล้ว เขาก็จะตาย เงินที่ถูกหวยนั่นแหละจะเป็นเงินทำศพของเขาเอง และลูกหลานของเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก หลังจากวันหวยออกแล้ว ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นก็ไปหาท่านพ่อลีที่วัด กราบเรียนท่านว่า “ท่านพ่อ… แม่ผมถูกหวยหลายหมื่นบาท แต่แม่ก็เสียชีวิตแล้ว!!” ท่านพ่อลีตอบว่า “เออ… มึงเอาเงินนั้นทำฌาปนกิจศพให้แม่มึงนะ” นี่คือเมตตาธรรมที่ท่านพ่อลีมีให้เสมอสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย … เมื่อใครเข้ามาในข่ายแห่งญาณที่ท่านพอจะช่วยได้ ท่านจะไม่ปล่อยผ่านเลยไป ที่มา : “ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า” #เมื่อหญิงคนหนึ่งชะตากำลังขาด #ท่านพ่อลีก็เลยให้หวย…#หวังได้เงินรางวัลช่วยค่าทำศพ!! “กวง ตั้งศรีงามสง่า” ลูกศิษย์ของ “ท่านพ่อลี ธัมมธโร” เคยเล่าให้ฟังว่า มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไปขอหวยจากท่านพ่อลี ท่านจึงเขียนเลขใส่กระดาษ ม้วนกลม ๆ แล้วส่งให้เธอ เธอรับไว้ด้วยความดีใจ กราบลาท่านแล้วก็รีบกลับไปทันที นายกวงเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเพื่อจะตามไปขอดูเลขหวย เพราะปกติไม่เคยเห็นท่านพ่อลีทำเช่นนี้กับใคร แต่ในขณะที่เขากำลังจะวิ่งตามผู้หญิงคนนั้น ท่านพ่อลีก็ถามว่า “กวง…มึงจะไปไหน?” “จะไปเอาเลขจากยายคนนั้น” ท่านพ่อลีก็ห้ามว่า “อย่า… อย่าไปเอาเป็นอันขาด!!” แล้วท่านพ่อลีก็อธิบายให้นายกวงฟังว่า “กวง… กูจะบอกให้มึงฟัง โยมผู้หญิงคนนั้นน่ะเธอหมดอายุขัยแล้ว นอกจากเธอจะหมดอายุขัยแล้วก็ยังยากจนมากด้วย เราพิจารณาเห็นแล้วสงสาร เราก็เลยสงเคราะห์เขา เมื่อเขาถูกหวยแล้ว เขาก็จะตาย เงินที่ถูกหวยนั่นแหละจะเป็นเงินทำศพของเขาเอง และลูกหลานของเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก หลังจากวันหวยออกแล้ว ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นก็ไปหาท่านพ่อลีที่วัด กราบเรียนท่านว่า “ท่านพ่อ… แม่ผมถูกหวยหลายหมื่นบาท แต่แม่ก็เสียชีวิตแล้ว!!” ท่านพ่อลีตอบว่า “เออ… มึงเอาเงินนั้นทำฌาปนกิจศพให้แม่มึงนะ” นี่คือเมตตาธรรมที่ท่านพ่อลีมีให้เสมอสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย … เมื่อใครเข้ามาในข่ายแห่งญาณที่ท่านพอจะช่วยได้ ท่านจะไม่ปล่อยผ่านเลยไป ที่มา : “ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า” ม.ค. 13, 2018 6:18:59pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน เด็กวัดมาบจันทร์ ครูบาอาจารย์ครับ ครูบาอาจารย์ครับ ม.ค. 17, 2018 4:09:04pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ชุมชนคนอีสาน-อุบลราชธานี https://www.youtube.com/attribution_link?a=WuLToRmRsJE&u=%2Fwatch%3Fv%3Dp1yWm5IOlRM%26feature%3Dshare สถานที่เหมาะขึ้นไปปลักกลดทำสมาธิ ม.ค. 23, 2018 6:24:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ตามรอยพระอรหันต์ https://www.youtube.com/attribution_link?a=5q_qt1jIpK0&u=%2Fwatch%3Fv%3Dp1yWm5IOlRM%26feature%3Dshare สถานที่เหมาะขึ้นไปปลักกลดทำสมาธิ ม.ค. 23, 2018 6:25:44pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น https://www.youtube.com/attribution_link?a=Xfq0VPvEJJA&u=%2Fwatch%3Fv%3DYEuiBsv4lS4%26feature%3Dshare ม.ค. 23, 2018 6:38:15pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์ลิงก์ลงในกลุ่ม: ตามรอยพระอรหันต์ https://www.youtube.com/attribution_link?a=U46lLosTVIo&u=%2Fwatch%3Fv%3DYEuiBsv4lS4%26feature%3Dshare ม.ค. 23, 2018 6:38:37pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ก.พ. 19, 2018 4:36:45am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ตามรอยพระอรหันต์ .😭 .😭 ก.พ. 19, 2018 7:02:03pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะเตือนสติ #เมื่อจิตใจเราวุ่นวายสั่ดส่ายด้วยเหตุใดก็ตาม หรือว้าเหว่อ้างหวาง เราควรทำใจให้สงบบ้าง เพื่อที่ว่าให้ใจเราชุ่มเย็นมีสุข โดยรู้ลมหายใจเข้าออกสักครู่ cr: รูปภาพพระธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต #เมื่อจิตใจเราวุ่นวายสั่ดส่ายด้วยเหตุใดก็ตาม หรือว้าเหว่อ้างหวาง เราควรทำใจให้สงบบ้าง เพื่อที่ว่าให้ใจเราชุ่มเย็นมีสุข โดยรู้ลมหายใจเข้าออกสักครู่ cr: รูปภาพพระธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พ.ค. 07, 2018 8:56:20pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะบนเขา "ถ้าเรามองดินที่ใกล้ๆเท้าที่เหยียบ สายตาเราก็จะเห็นดินสุดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเรายิ่งมองระยะไกลออกไปเท่าไร่ เราจะเห็นสิ่งต่างๆเยอะแยะเลย" (สิ่งต่างๆนั้นก็คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้ก่อกิเลส ที่จะล่อให้ใจเราเป็นทุกข์) : ธรรมะ ปู่หนู ภูหินต่าง "ถ้าเรามองดินที่ใกล้ๆเท้าที่เหยียบ สายตาเราก็จะเห็นดินสุดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเรายิ่งมองระยะไกลออกไปเท่าไร่ เราจะเห็นสิ่งต่างๆเยอะแยะเลย" (สิ่งต่างๆนั้นก็คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้ก่อกิเลส ที่จะล่อให้ใจเราเป็นทุกข์) : ธรรมะ ปู่หนู ภูหินต่าง พ.ค. 13, 2018 12:37:56pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา "ถ้าเรามองดินที่ใกล้ๆเท้าที่เหยียบ สายตาเราก็จะเห็นดินสุดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเรายิ่งมองระยะไกลออกไปเท่าไร่ เราจะเห็นสิ่งต่างๆเยอะแยะเลย" (สิ่งต่างๆนั้นก็คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้ก่อกิเลส ที่จะล่อให้ใจเราเป็นทุกข์) : ธรรมะ ปู่หนู ภูหินต่าง "ถ้าเรามองดินที่ใกล้ๆเท้าที่เหยียบ สายตาเราก็จะเห็นดินสุดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเรายิ่งมองระยะไกลออกไปเท่าไร่ เราจะเห็นสิ่งต่างๆเยอะแยะเลย" (สิ่งต่างๆนั้นก็คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้ก่อกิเลส ที่จะล่อให้ใจเราเป็นทุกข์) : ธรรมะ ปู่หนู ภูหินต่าง พ.ค. 13, 2018 12:51:53pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะเตือนสติ พ.ค. 26, 2018 3:57:43pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ชมรมพุทธ มรภ.อุบล ไผ๋อยู่แถวนี่ ถ้าสามารถได้ กะไปสวดมนต์ข้ามปีนำเพิ้ลแนเด้อ (วัดพระธาตุหนองบัว วันที่ 31 ธันวาคม ทะลุ 1 มกราคม ปีใหม่ ) . ไผ๋อยู่แถวนี่ ถ้าสามารถได้ กะไปสวดมนต์ข้ามปีนำเพิ้ลแนเด้อ (วัดพระธาตุหนองบัว วันที่ 31 ธันวาคม ทะลุ 1 มกราคม ปีใหม่ ) . ส.ค. 20, 2019 9:03:25am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน กลุ่มทาสพระรัตนตรัย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:28:26am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน มุมปัญญา ปรัชญาชีวิต #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:29:57am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:32:43am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน สนง.พระสอนศีลธรรม มจร.วข.อบ. #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:34:04am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ศิษย์พระกรรมฐานเมืองดอกบัว #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:35:14am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:38:14am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แสงแห่งธรรม #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:46:18am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน แสงแห่งธรรม #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:46:19am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ธรรมะในใจ #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย #พระสูตรมหายานเนื่องด้วยพุทธพยากรณ์ว่าพระอวกิเตศวรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทางคัมภีร์สันกฤตของอินเดีย ซึ่งฝ่ายมหายานยังคงเรียนรู้และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน #พระคัมภีร์ 觀世音菩薩授記經 (ว่าด้วยพระพุทธพยากรณ์เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวร) จารึกเหตุการณ์สำคัญหลังพุทธปรินิพพานแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าว่า :- ในอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนานหลายกัลป์จนประมาณมิได้ เมื่อพระอมิตตภพุทธเจ้าแห่งสุขาวดีโลกธาตุปรินิพพานแล้ว ระยะเวลาที่พระสัทธรรมดำรงอยู่ในโลก ก็จะมีอายุเท่ากับพระชนมชีพที่ไม่มีประมาณของพระอมิตาภพุทธเจ้า การโปรดสัตว์ของพระอมิตาภพุทธเจ้าในขณะทรงพระชนมชีพ และหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ไม่มีขอบเขตประมาณมิได้เหมือนกัน หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สรรพสัตว์จะมิได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่จะมีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุพุทธานุสติสมาธิที่จะเห็นกายที่เป็นธรรมธาตุ ไม่ดับสลายของพระอมิตตาภพุทธเจ้า หลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาสิ่งมีค่าทั้งหลายในสุขาวดี สายน้ำ บ่อน้ำ ดอกบัว ต้นไม้รัตนะ ก็ยังเปล่าเสียงแสดงธรรมอยู่เป็นนิจ เสมือนพระพุทธองค์ยังทรงแสดงธรรมเองมิต่างกันเลย หลังพระสัทธรรมแห่งหลังจากพระอมิตาภพุทธเจ้าสิ้นไป เมื่อผ่านยามกลางแห่งราตรีเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิรัตนะ 7 ประการ และได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า “สมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า” (普光功德山王如來 : โพว กวง กง เต็ก ซัน วัง ยู ไล) ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นรัตนะเจ็ดประการโดยธรรมชาติ สรรสร้างขึ้นด้วยความประณีต งดงามอลังการ แม้จะใช้เวลานับอสงไขยกัลป์ก็พรรณามิจบสิ้น อลังการยิ่งใหญ่กว่าพุทธเกษตรของพระสุวรรณประภาสกรีฑาพุทธเจ้า นับหมื่นโกฏิเท่า ที่แห่งนั้นไม่มีสาวก พระปัจเจกพุทธะ จะมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีโพธิจิตอยู่เต็มโลกธาตุ พุทธเกษตรนั้นจะมีชื่อว่า อุดมคุณารัตนาลังการ ขณะสมัยที่ พระสมันตประภาสกุศลคีรีราชพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ในโลกธาตุ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ก็จะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด จวบจนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงปรินิพพาน (คำสอนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ) ที่อนุเคราะห์นักปฏิบัติธรรม #ห้ามกังวลใจไปกับเรื่องอะไรๆเพราะมันเป็นการปรุงแต่งนิวรณ์ขวางกั้นการบรรลุธรรม #ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในเรื่องกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มของมึนเมา ห้ามพูดส่อเสียด ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งเหล่านี้วิบากสามารถนำไปอบายภูมิ๔ได้ #ให้พยายามทานเจ เว้นพวกเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้กระบวนการปฏิบัติการทำบาปยุติลงเป็นคล้ายๆโดมิโนล้มไปเรื่อยๆของบุคลซึ่งอยู่ตำแหน่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการฆ่า มันก็จะถูกยุติลง เมื่อเราทานเจด้วยคิดว่าจะอนุเคราะห์คนทั้งปวงไม่ให้เขาต้องทำบาป เราก็จะมีกุศลวิบากคือมีเหตุการณ์จากกุศลกรรมนี้ ไม่ให้เราได้ทำการฆ่าสัตว์ เช่น เมื่อเราถูกสั่งฆ่าสัตว์ ก็จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นขวางเราไม่ให้เราทำบาปฆ่าสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ถือศีลข้อ1ก็ตาม ก็จะทำให้เราไม่ได้ทำกรรมบาปอันนำไปสู่อบายภูมิ๔ #ให้ไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิบ้าง แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศล #ให้รู้จักทำทานเพื่อสละความตระหนี่ ซึ่งเป็นมลทินกับจิตใจทำให้ไม่อนุเคราะห์ทำทานได้อย่างคล่องแคล่วโดยง่าย จึงทำให้ไม่ได้ทำทานบารมี #ให้รู้จักเมตตา ต่อทุกสรรพสัตว์ ทั้งคน สัตว์ #ให้รู้จักกรุณา ช่วยเหลือโดยที่เห็นว่าสมควร ให้มีพรหมวิหาร๔ สิ่งที่ท่านแม่ไม่ได้สอนมีมากมายหลายข้อหลายประการ ที่เป็นการทำความดี เพราะว่าไม่ได้มีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น และไม่ได้ก้าวล่วงสอนคนในฐานะที่ไม่สมควร เช่น พระที่มีสติปัญญามากก็ไม่ได้ไปสอน เพราะท่านเหล่านั้นประเสริฐแล้ว และมีความเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องกรรมเคยเป็นบริวารกันมาก่อน เคยมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกันสัมพันกันมาก่อน คำสอนของท่านแม่มีทุกระดับตั้งแต่ทานศีลสมาธิปัญญา เพราะท่านแม่ก็มีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ท่านแม่อาศัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่หลายประการทั้งสามารถสอนทวยเทพผู้ใหม่ในธรรม และคอยตรวจดูและอนุเคราะห์หมู่มนุษย์ที่อยู่ในโลก นอกจากนี้ท่านแม่ก็อนุเคราะห์เหล่าสัตว์กายอื่นด้วย เช่น เปตร ผี สัตว์เดรัจฉาน และพญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ตามความประจวบเหมาะในเหตุการณ์ #ท่านแม่เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทมีปัญญาและความเมตตามาก เป็นวิริยาธิกะ ซึ่งกำลังดำเนินการบำเพ็ญบารมีอยู่ พระสูตรมหายาน มีที่มา : หลวงพี่กอล์ฟ พระครูอินเดีย พระครูปลัดเฉลิมชาติ ชาติวโร เลขานุการหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร อินเดีย พ.ค. 10, 2021 6:48:48am พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้โพสต์ใน ภิกษุ ยุครัตนโกสินทร์ พ.ค. 30, 2021 2:28:21pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ อัพเดตคำอธิบายของกลุ่ม "ภิกษุ ยุครัตนโกสินทร์" กราบเรียนครูบาอาจารย์ทุกรูปครับ ...กลุ่มนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่รวมภิกษุในอาวาสวัดต่างๆ ไว้คอยแลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องของพระต่างๆ นิมนต์เชิญองค์อื่นมาเข้ากลุ่มนี้ด้วยน่ะครับ พ.ค. 30, 2021 4:12:34pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ อัพเดตแท็กของ ภิกษุ ยุครัตนโกสินทร์ ไปเป็น ศาสนา และ Religious Activities พ.ค. 30, 2021 4:14:31pm พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้ถ่ายทอดสดใน ภิกษุ ยุครัตนโกสินทร์ ม.ค. 04, 2022 9:23:35pm สร้างโดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เมื่อ วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2022 เวลา 16:20 น. UTC+07:00

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น