วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ในปัจจุปันธาตุ มีนิวรณ์๕ ต้องเจริญธรรมใดเพื่อแผ่แทรกนิวรณ์แต่ละตัว #ถ้าจะกำหนดรู้ขันธ์๕ ไม่ต้องกำหนดรู้แบบนั้นก็ได้ แต่ ให้กำหนดรู้ธาตุปัจจุบันนี่เลย มีครบทุกขันธ์เวียนมาให้รู้ #ว่าเป็นอนิจจัง แปรปรวน.. #พระสูตรพระสารีบุตร ตอนท้ายปฏิจสมุปบาท ก็โยงเข้ามากับ ปัจจุบันธาตได้เลย #ตั่วหนิ #พระอรหัน์เป็นผู้พ้นแล้ว จากอดีตอนาคตปัจจุบัน มันทางนี่ตั่วหนิ #อะไรอยู่ในปัจจุบัน นิวรณ์๕ตั่วหนิ เพิลว่าฆ่านิวรณ์๕ กะคือฆ่าอาหารของอวิชชา #ฆ่าแต่ละข้อ ก็คือทำลายอาหารของอวิชชา #ไม่เอามาถือว่าเป็นเราเด็ดขาด ไม่เอามาสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเด็ดขาด #พุทโธแล้วก็ต้องรู้ด้วย #บ่มบารมีไปเถอะ เดี๋ยวสักวันก็เป็นอย่างผู้ไม่มีกิเลส #เฝ้าดูนิวรณ์ #ตัวใดเกิดในปัจจุบัน #แผ่บุญกุศลปารมี ให้แก่หัวหน้าเทพที่เป็นใหญ่ในแต่ละชั้นและบริวาร ขึ้นไปจนถึงชั้นพรหม ลงมาชั้นเทวาโลก ลงมาอสุระกาย ลงมาชั้นเปตร ลงมาชั้นนิรยะภูมิ ที่เป็นใหญ่ทุกจำพวก #อันสังขารตอนฉันข้าว เปรียบสมือใม่แง บัดมันทิ่มละบ่สนใจมันนั่นละ สิอิสระ #สังขารตัณหา #เพื่อนเอ่ย ผู้เป็นไปตามกรรม และเกิดแก่เจ็บตาย ท่านจงรับบุญนี้ไปเถิด #ปรุงเอาเรื่องมาให้คิดต่อ #สังขารปรุ่งเรื่องออกมา ให้เอาเรื่องไปคิดต่อ #อวิชชาปรุงเอาเรื่องให้คิดต่อ #ให้ฮู้เวทนาดำ แล้วให้ไปปรุงเป็นตัณหาต่อ เลยกลายเป็นว่า ไม่ปริญญาหละ นี่ก็ให้มีปัญญารู้เท่าทัน #ครั้งภิกษุตื่นลุกในยามต้นปัจฉมยาม ครั้นภิกษุชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์แล้ว ---แสดงว่า จิตก็คือ ธาตุปัจจุปันนา #แต่ลุตนคนที่ภูมิจิตยังบ่ฮันได้พ้นภูมิของกาม แต่ขี้คร้านทำทาน #ทำอย่างไร จึงจะไม่ฉันทราคะ ในธาตุปัจจุปันนา #ทำอย่างไร จึงจะไม่เพลินไปกับกระแสปรุงอันอยู่ในธาตุปัจจุบัน เพื่อจะได้ ปริญญาธาตุปัจจุปันนา ต่อ #คำตอบก็คือ มีสติ แล้วปริญญา #ความตายยังไม่เคยหยุดพัก ไฉนเลย ควร ปริญาญา ธาตุปัจจุปันนา เสมอกับความตาย ที่ไม่เคยหยุดพักนั้น #ต้นไม้ทุกต้นทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน ล้วนมีความตายไปทุกขณะ หมู่มนุษย์ทั้งที่หลับอยู่ ทั้งที่ตื่นอยู่ ทั้งในท่ายืน ทั้งในท่านั่ง ทั้งในท่านอน ทั้งในท่าเดิน ก็มีความตายทุกขณะ #ความคิดที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่แซ่เป็นสิ่งที่ปรุงมาแต่สังขาร กำหนดปริญญา เสีย ถ้าดื้อต้องหน่วงเจริญธรรมอีกฝ่าย คือเจริญเมตตา #ความตายไหลอยู่ตลอดเวลา แม้ความเพียรในการกำหนด ปริญญา ธาตุปัจจุปันนา ก็จงเป็นไปเถิด #ความตายเป็นไปอยู่ตลอดเวลา แม้ความเพียรในการกำหนดปริญญา ธาตุปัจจุปันนา ก็จงเป็นไปตลอดเวลาเถิด จะได้จบกิจในการปริญญาธาตุปัจจุปันนา #ธาตุปัจจุปันนา มีแยกย่อย ธมฺมที่เป็นเรื่องลักษณะอดีตด้วย มีแยกย่อย ธมฺมที่เป็นเรื่องลักษณะอนาคตด้วย นี่มันออกจาก ธาตุปัจจุปันนา ทั้งสิ้นเลย.ธมฺม.พวกนี้ #เผาด้วยไฟเบื่อ" #ถ้าศีลพร้อม แล้วยังไม่บริสุทธิ ที่ไม่บริสุทธินั่น เพราะมีกิเลส #ผู้รู้ ผู้หลง ผู้จม ผู้หลง คือ หลงคิดว่านั่นคือเรา นั่นของเรา ผู้จม คือ เข้าไปนันทิราคะสะหะคะตัง # ไม่เยื่อใยในอดีต ไม่เพลิดเพลินในอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อหน่ายเพื่อคลายกำหนัดธาตุในปัจจุปันนา "และถ้ากระแสสังขารปรุงแต่งแทรกมาปรากฏ นั่นคือ มันจะแปรปรวนเป็นอนััตตา # ละอาหารของอวิชชา ๑ . ราคะ ละโดยการ เจริญอสุภะ อภิชฌา ละโดยการ เจริญความสันโดด เพื่อละความโลภอยากได้นั่นนู่นนี่ ๒ . โทสะ ละโดยการ เจริญเมตตา พยาบาท ละโดยการ เจริญความกรุณาเกื้อกูลประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ ๓ . ถินมิทธะ ละโดยการ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว 1. เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา มรณะสัญญา เพื่อให้จบกิจเสียที 2. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ 3. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรม ที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ 4. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่า จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ 5. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบในตา ลูบหน้าด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดวงดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ 6. ถ้าเธอยังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึง “อาโลกสัญญา” คือกำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิดให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ 7. ถ้าเธอยังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรม สำรวมอินทรีย์ มีจิตมิคิดไปภายนอกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ 8. ถ้า ยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วง ได้ พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สติ นั่นจำเป็นทุกสถาน #กำหนด( ปริญญา )ธาตุปัจจุปันนา ให้จบกิจ ปริญเญยยสูตร ว่าด้วยธรรมที่ควรกำหนดรู้ [๒๘๙] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมที่ควรกำหนดรู้ ความกำหนดรู้ และบุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง. [๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน? คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ธรรมที่ควรกำหนดรู้. [๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกำหนดรู้เป็นไฉน? ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ความกำหนดรู้. (ย่อมครอบคลุมขันธ์ทั้ง ๕ ด้วย) [๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้กำหนดรู้แล้วเป็นไฉน? บุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว ควรจะกล่าวว่าพระอรหันต์ กล่าวคือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว. จบ สูตรที่ ๔.

ในปัจจุปันธาตุ 
มีนิวรณ์๕ 

ต้องเจริญธรรมใดเพื่อแผ่แทรกนิวรณ์แต่ละตัว

#ถ้าจะกำหนดรู้ขันธ์๕ ไม่ต้องกำหนดรู้แบบนั้นก็ได้
แต่
ให้กำหนดรู้ธาตุปัจจุบันนี่เลย
มีครบทุกขันธ์เวียนมาให้รู้
#ว่าเป็นอนิจจัง แปรปรวน..
#พระสูตรพระสารีบุตร ตอนท้ายปฏิจสมุปบาท ก็โยงเข้ามากับ ปัจจุบันธาตได้เลย
#ตั่วหนิ
#พระอรหัน์เป็นผู้พ้นแล้ว จากอดีตอนาคตปัจจุบัน
มันทางนี่ตั่วหนิ
#อะไรอยู่ในปัจจุบัน นิวรณ์๕ตั่วหนิ
เพิลว่าฆ่านิวรณ์๕ กะคือฆ่าอาหารของอวิชชา
#ฆ่าแต่ละข้อ ก็คือทำลายอาหารของอวิชชา
#ไม่เอามาถือว่าเป็นเราเด็ดขาด ไม่เอามาสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเด็ดขาด

#พุทโธแล้วก็ต้องรู้ด้วย

#บ่มบารมีไปเถอะ เดี๋ยวสักวันก็เป็นอย่างผู้ไม่มีกิเลส

#เฝ้าดูนิวรณ์ 
#ตัวใดเกิดในปัจจุบัน


#แผ่บุญกุศลปารมี ให้แก่หัวหน้าเทพที่เป็นใหญ่ในแต่ละชั้นและบริวาร
ขึ้นไปจนถึงชั้นพรหม
ลงมาชั้นเทวาโลก
ลงมาอสุระกาย
ลงมาชั้นเปตร
ลงมาชั้นนิรยะภูมิ

ที่เป็นใหญ่ทุกจำพวก

#อันสังขารตอนฉันข้าว เปรียบสมือใม่แง
บัดมันทิ่มละบ่สนใจมันนั่นละ สิอิสระ
#สังขารตัณหา

#เพื่อนเอ่ย ผู้เป็นไปตามกรรม และเกิดแก่เจ็บตาย
ท่านจงรับบุญนี้ไปเถิด

#ปรุงเอาเรื่องมาให้คิดต่อ
#สังขารปรุ่งเรื่องออกมา ให้เอาเรื่องไปคิดต่อ
#อวิชชาปรุงเอาเรื่องให้คิดต่อ

#ให้ฮู้เวทนาดำ แล้วให้ไปปรุงเป็นตัณหาต่อ
เลยกลายเป็นว่า ไม่ปริญญาหละ
นี่ก็ให้มีปัญญารู้เท่าทัน

#ครั้งภิกษุตื่นลุกในยามต้นปัจฉมยาม 
ครั้นภิกษุชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์แล้ว
---แสดงว่า จิตก็คือ ธาตุปัจจุปันนา

#แต่ลุตนคนที่ภูมิจิตยังบ่ฮันได้พ้นภูมิของกาม
แต่ขี้คร้านทำทาน

#ทำอย่างไร จึงจะไม่ฉันทราคะ ในธาตุปัจจุปันนา
#ทำอย่างไร จึงจะไม่เพลินไปกับกระแสปรุงอันอยู่ในธาตุปัจจุบัน   เพื่อจะได้ ปริญญาธาตุปัจจุปันนา ต่อ
#คำตอบก็คือ มีสติ แล้วปริญญา

#ความตายยังไม่เคยหยุดพัก
ไฉนเลย ควร ปริญาญา ธาตุปัจจุปันนา เสมอกับความตาย ที่ไม่เคยหยุดพักนั้น
#ต้นไม้ทุกต้นทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน
ล้วนมีความตายไปทุกขณะ
หมู่มนุษย์ทั้งที่หลับอยู่ ทั้งที่ตื่นอยู่
ทั้งในท่ายืน ทั้งในท่านั่ง ทั้งในท่านอน
ทั้งในท่าเดิน ก็มีความตายทุกขณะ

#ความคิดที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่แซ่เป็นสิ่งที่ปรุงมาแต่สังขาร
กำหนดปริญญา เสีย
ถ้าดื้อต้องหน่วงเจริญธรรมอีกฝ่าย คือเจริญเมตตา
#ความตายไหลอยู่ตลอดเวลา
แม้ความเพียรในการกำหนด ปริญญา ธาตุปัจจุปันนา ก็จงเป็นไปเถิด
#ความตายเป็นไปอยู่ตลอดเวลา
แม้ความเพียรในการกำหนดปริญญา ธาตุปัจจุปันนา ก็จงเป็นไปตลอดเวลาเถิด
จะได้จบกิจในการปริญญาธาตุปัจจุปันนา
#ธาตุปัจจุปันนา 
มีแยกย่อย ธมฺมที่เป็นเรื่องลักษณะอดีตด้วย
มีแยกย่อย ธมฺมที่เป็นเรื่องลักษณะอนาคตด้วย

นี่มันออกจาก ธาตุปัจจุปันนา ทั้งสิ้นเลย.ธมฺม.พวกนี้

#เผาด้วยไฟเบื่อ"

#ถ้าศีลพร้อม แล้วยังไม่บริสุทธิ
ที่ไม่บริสุทธินั่น เพราะมีกิเลส

#ผู้รู้
ผู้หลง
ผู้จม

ผู้หลง คือ หลงคิดว่านั่นคือเรา นั่นของเรา
ผู้จม คือ เข้าไปนันทิราคะสะหะคะตัง
#
ไม่เยื่อใยในอดีต ไม่เพลิดเพลินในอนาคต
ย่อมปฏิบัติเพื่อหน่ายเพื่อคลายกำหนัดธาตุในปัจจุปันนา
"และถ้ากระแสสังขารปรุงแต่งแทรกมาปรากฏ
นั่นคือ มันจะแปรปรวนเป็นอนััตตา

# ละอาหารของอวิชชา
๑ .  ราคะ ละโดยการ
เจริญอสุภะ 

อภิชฌา ละโดยการ
เจริญความสันโดด เพื่อละความโลภอยากได้นั่นนู่นนี่

๒ . โทสะ ละโดยการ
เจริญเมตตา

พยาบาท ละโดยการ
เจริญความกรุณาเกื้อกูลประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ 

๓ . ถินมิทธะ ละโดยการ
 มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว
1. เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา มรณะสัญญา  เพื่อให้จบกิจเสียที

2. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

3. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรม ที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

4. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่า จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

5. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบในตา ลูบหน้าด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดวงดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

6. ถ้าเธอยังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึง “อาโลกสัญญา” คือกำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิดให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

7. ถ้าเธอยังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรม สำรวมอินทรีย์ มีจิตมิคิดไปภายนอกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

8. ถ้า ยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วง ได้ พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น
เป็นกาลเพื่อเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
เป็นกาลเพื่อเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์
เป็นกาลเพื่อเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น
เป็นกาลเพื่อเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
เป็นกาลเพื่อเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์
เป็นกาลเพื่อเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์

สติ นั่นจำเป็นทุกสถาน

#กำหนด( ปริญญา )ธาตุปัจจุปันนา ให้จบกิจ
ปริญเญยยสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ควรกำหนดรู้
             [๒๘๙] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมที่ควรกำหนดรู้  ความกำหนดรู้  และบุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงฟัง.
             [๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน?  
คือ รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ธรรมที่ควรกำหนดรู้.
             [๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกำหนดรู้เป็นไฉน?
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ความกำหนดรู้. (ย่อมครอบคลุมขันธ์ทั้ง ๕ ด้วย)
             [๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้กำหนดรู้แล้วเป็นไฉน?
บุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว ควรจะกล่าวว่าพระอรหันต์ กล่าวคือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บุคคลผู้กำหนดรู้แล้ว.
จบ สูตรที่ ๔.

in the present
 There is a neural 5
 What virtue must be cultivated in order to permeate each necessity?
 #If you want to know the five aggregates You don't need to know that.
 but
 Let's define the current element here.
 have all the khanha to come to know
 #That's an abomination. Variable..
 #Sariputra Sutra At the end of the salutation was linked with At present, the element
 #trouble
 # Arahants are freed. from past future present
 It's this way
 #what is present 5 digits
 Plewa kills Neeron5 Ka is killing the food of ignorance.
 #Killing each item is destroying the food of ignorance.
 #Never take it as us. do not take it as important as we are
#Buddha and you must know too.
 #Give your prestige Someday I will become like a person without passion
 #watch new
 #Which one was born today?
 #Spread the merit of Paramee to the chief deity who is the largest in each class and the family
 up to the prom floor
 descend to the heavenly floor
 descend the monster
 come down to the floor
 down to the Nirayaphum floor
 that is the largest of all
 #Ansankhara when I'm rice no hand advantage
 Now it's stabbed and ignored it, liberty.
 #sangkharanha
 #Friends say those who follow karma and birth to death
 Take this merit.
 #Cook the story for further thinking.
 #The next day, the story came out. Let's keep thinking about it.
 #Awitcha cooks things up for you to think about.
 #give me black hood and then continue to cook as a lust
 So it turned out that I didn't have a degree.
 This is to have wisdom to know as soon as possible.
#When a monk wakes up in the early hours of the night
 When a monk has cleansed his mind
 ---Show that the mind is the present element.
 #But Luton, the person whose mind is not yet freed from the realm of sensuality.
 but lazy to eat
 #How can I not be ignorant? in the present element
 #How to not enjoy the concoction current in the present element in order to continue receiving the degree of the present element
 #Answer is conscious and degree.
 #Death never stops
 Why? equal to death that never stops
 #Every tree, night and day
 They all die every moment.
 among the people while sleeping while awake
 Both in the standing position, both in the sitting position, and in the lying position
 both in walking there is death every moment
 #Bad thoughts are things that the clan has been concocting from the body.
 set degree
 If stubborn, you have to delay the other's morality. is merciful
 #Death flows all the time.
 Even the persistence in determining the degree, the current element so be it
 #Death is always
 Even the persistence in determining the degree present element so be it all the time
 will be able to finish the business in the current elemental degree
 #Elements of the present
 There is also a subdivision of the dhamma that is about the past.
 There is a subdivision of the dhamma that is about the future as well.
 This is out of the present element. All these.
 #Burning with bored fire

#If the precepts are ready, they are not pure.
 that is not pure because there is passion
 #who knows
 wanderer
 sinker
 The delusional is to think that it is us, that is ours.
 The drowning person enters Nandiragasahakatam.
 #
 no regrets in the past not enjoying the future
 would practice in order to dispose of the desire for the elements in the present
 "And if the stream of sankhara appears
 That is, it will be transformed into the self.
 # Leave the food of avijja
 1 .
 Charoen Asupha
 Apicha quit by
 thrive in solitude to give up the greed
 2. Hatred by
 be kind
 vindictive
 cultivating kindness and benefit to all beings
 3 . Thinmitha renounces by
  Focus on the light in your heart have a sense of consciousness
1. When you have a contract of some kind will cause to let go of drowsiness, Anattasaya, Anattasaya, Death promises to finish the business.
 2. If you can't ignore You should meditate on the Dharma you have learned. I've heard a lot will cause anxiety
 3. If you can't ignore You should recite the Dharma who have learned and heard a lot will cause anxiety
  become anxious Do so in your heart that you promise so much.
 4. If you can't ignore it She should slit both ears. and caressed with the palm will cause anxiety
 5. If you still can't ignore You get up and rub it in your eyes. rub your face with water Looking in all directions, looking up at the stars, will be the cause to let go of sleepiness.
 6. If You Still Can't Quit You should keep this in your mind the “ah of the covenant”, which is to set the light in your heart as well. day and night make your mind open will cause anxiety
 7. If you still can't leave You should walk organic Having a mind that doesn't think outside will cause you to let go of sleepiness.
 8. If you still can't give up, you should succeed in reclining, lying on your right side with your feet together. be sensible intending to rise up forever When you wake up, you should immediately get up with the intention that We will not engage in the pleasure of sleeping and slumbering will cause sleepiness to be abandoned again. The Buddha taught us a strategy to relieve sleepiness in order to the very end. If the sleepiness is not gone, then go to sleep. but to sleep consciously
Now, monks, when the mind is depressed
 time to prosper Dhammawiyasamphojong
 time to prosper Wiriyasamphojong
 time to prosper Piti Samphojong
  Bhikkhus, at any given time the mind is distracted.
 time to prosper Passatthisamphojong
 time to prosper Concentration
 time to prosper Upekkha Samphojhong
 Consciousness is necessary everywhere.
 #Determine (degree) the current element to finish the business.
 Phinya formula
 on the Dharma that should be known
              [289] Phra Nakhon Savatthi. look at the monks We will preach the Dharma that should be known, the set for knowledge, and the person who has established it. to you all You all listen.
              [290] Look, monks. Why is it that the Dharma should be determined to know?
 They are form, feeling, contract, body, and spirit.
 This, bhikkhus, is called the dharma that should be established.
              [291] Look, monks. What is the definition of knowledge?
 the end of sensuality the end of wrath The extinction of the ruler.
 This, bhikkhus, is called knowledge. (Probably covers all five aggregates)
              [292] Look, monks. Well, what is the person who decides to know?
 already known It should be said that an Arahant, that is, one who has such a name There is such a genius.
 This, bhikkhus, is called the person who has established it.
 Complete the 4th formula.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น