พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
16 ต.ค. 2016
"อดีตชาติในหลวงของเรา"
และ "อนาคตของในหลวง"
ในหลวง เคยเกิดเป็น พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่
มฟ้า และเคยเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตวันอธิราช
และพระเจ้าพรหมมหาราช ("พระเจ้าตวันอธิราช" ไปเกิดเป็น "
พระเจ้าพรหมมหาราช") ทั้ง ๒ ครั้ง ดังนี้
พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิ ในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรก
ของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า
พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น "
พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิด
เป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า"
แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึง
ตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "พระเจ้าชัยสิริ" (หลวงปู่ธรรมชัย) ซึ่ง
เป็นต้นราชวงศ์จักรี สืบสันติวงศ์ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพรหมมหาร
าช มีพระเชษฐาคือ "พระเจ้าทุกขิตะ" (หลวงปู่คำแสนเล็ก
วัดดอนมูล)
ย้อน กลับมาสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒
พระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช
กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการ
สร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่
จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ
- การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพใ
ห้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อส
งเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ
- ด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติ
ธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ
เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้
- ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช
เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง
ๆ มาจนถึงบัดนี้
- อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ
ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภาย
ในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเย
ือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย
- พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงป
ฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพร
ะจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวของพระเจ้ากรุงสยามทุกประการ
- ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น
พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พร
ะไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆ
ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นม
รดกมานานนับพันปี
(ทั้ง หมดนี้เป็นรากฐานที่พระเจ้าตวันอธิราช วางไว้
ให้พระราชโอรสคือ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป
็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้น)
ต่อ มา...หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าได้เสด็จขึ้นคร
องราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอย
ตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค
์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ
จะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า
"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "
สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."
- สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม
องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้
"ดู ก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู
่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี "
พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะ
เกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"
- พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำ
รุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จ
เป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล" ดังนี้
(หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุด
ได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้
ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้ง
ความปรารถนา "พุทธภูมิ"
วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา
๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)
ในชาติปัจจุบัน ของ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระบาทสมเด็จภู
มิพลอดุลยเดชมหาราช)
หลวง พ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์
เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พร
ะองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า
"เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"
หลวง พ่อถวายพระพรว่า...เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่
พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น"ปรมัตถบารมี"
แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่
ไม่สำเร็จ..!
"พุทธ ภูมิ" นี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์
เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖
อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป
" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"
ในขณะ นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า "
พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพใน
พระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านจะทรงสามารถ
จะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่าทั้งสององค์นี่.
.จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..? "
หลวงพ่อถวายพระพรว่า "ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตก
เป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์"
แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า "ฉันทั้งสององค์นี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัว
ด้วยและฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะฆ่าไหม..? "
พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าพระดลใจให้ตอบว่าดังนี้
..
"ก็ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมา
จากสุโขทัย และมาเกิดคราวนี้ ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลง
ให้คงอยู่ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่
ต้องตายเพราะคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่อง
ธรรมดา และต้องตายด้วยเรื่อง "คมอาวุธ" อันนี้ไม่มี..!"
สรุป..ในหลวง เกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ในสมัยสุวรรณภูมิ
และเกิดเป็นพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ในสมัยเชียงแสน ปรารถนา
พุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ ตอนนี้บารมีใก้ลเต็ม และต้องเกิดสร้า
งบารมีอีก ๕ ชาติ
ขอบคุณที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒ ถึง ๙๕ ฉบับที่ ๒๑๒
ประจำเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๑...
_______________
พระอนาคตวงศ์นี้ เป็นเรื่องกล่าวถึงประวัติย่อของพระโพธิสัตว์เจ้า
ทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญพระบารมีในชาติหนึ่ง
ซึ่งปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เกิดสำเร็จผล
ทรงพระอภินิหาร ประกอบด้วยพระเดชามหานุภาพ
เป็นพุทธสมบัติที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิบพระ
องค์ในโลก ณ อนาคตกาลภายหน้า นั้นคือ
- พระศรีอาริยเมตไตรย์ พระองค์หนึ่ง
- พระราม พระองค์หนึ่ง
- พระธรรมราช พระองค์หนึ่ง
- พระธรรมสามี พระองค์หนึ่ง
- พระนารท พระองค์หนึ่ง
- พระรังสีมุนีนาถ พระองค์หนึ่ง
- พระเทวเทพ พระองค์หนึ่ง
- พระนรสีหะ พระองค์หนึ่ง
- พระติสสะ พระองค์หนึ่ง
- พระสุมงคล พระองค์หนึ่ง
permalink
ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา
ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับ
ขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้วฯ ในลำดับนั้น
อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวรี้ก็เป็นพระบรมโพธิส
ัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นส
มเด็จพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสุมงคลในอนาคตกาล
พระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น
- มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก
- พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด
- ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ
- ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอัน
งามประดุจกลางวัน
- แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยส
ิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆด้วยพระพุทธานุภาพ
ฝูง มนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำ
ซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น
ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายม
ีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่
เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติ
ในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า
ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระ
พุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง
พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏ
เป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทานฯ
ดูก่อนสำแดงสารี บุตร แต่กาลก่อนล่วงลับไปแล้วช้านาน
ช้างปาลิไลยตัวนี้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นสมเด
็จพระบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่าพระ
เจ้ามหาปนาทบรมจักร ในภัทรกัปป์อันนี้ และมีแก้ว ๗
ประการคือ
- จักรแก้ว ๑
- นางแก้ว ๑
- แก้วมณีโชติ ๑
- ช้างแก้ว ๑
- ม้าแก้ว ๑
- ปรินายกแก้ว ๑
- คฤหบดีแก้ว ๑
ในหลวงจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล
จาก การที่ได้หาโอกาสศึกษาและมีวาสนา
ได้กราบไหว้ใกล้ชิดพระอัจฉริยเถราจารย์ ผู้ทรงคุณธรรมเบ
ื้องสูงจำนวนมาก ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ
ทำให้ได้รับการบอกกล่าวถึงเรื่องอันพิเศษๆเป็นอันมาก
ที่นอกเหนือจากสามัญมนุษย์ทั่วไป ซึ่งไร้ซึ่งญาณปรีชา
จะพึงทราบชัดให้ถูกถ้วนตามความเป็นจริงได้เป็นอันเอนก
ปริยาย ดังที่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะและความ
รู้รอบตัวต่างๆเป็นธรรม วิทยาทานมาโดยลำดับ ความย่อม
เป็นที่แจ้งใจอยู่โดยทั่วไปแล้วนั้น
บัด นี้ เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จะได้นำเอาเรื่องราวที่บรรดา
พระอริยคณาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เคยกล่าวถ
ึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดง เพื่อน้อมถวายคว
ามจงรักภักดีแด่พระมหาธรรมราชา ผู้ทรงพระคุณอัน
ประเสริฐแห่งประชาชาติไทยพระองค์นั้น และเพื่อยังความ
เป็นสวัสดิมงคลอันยิ่งให้บังเกิดขึ้นแก่แผ่นดินและมหาชนทั้ง
หลายสืบไปตราบชั่วจิรัฏฐิติกาล...
"ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ..!!!!"
พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวความเช่นนี้
ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางร
ายที่ไปนมัสการว่า
"การ ที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
นั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์
การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเ
ป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!"
และความเป็น"พระโพธิสัตว์"ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ"
นิยตโพธิสัตว์"ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง
หน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้
ด้วยองค์เองทีเดียวว่า
"ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้าง
นาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ..!!!!!"
ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา
ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับ
ขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ
ในลำดับ นั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิส
ัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นส
มเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล
ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้
๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิง
เป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง
ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมี
ไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ
มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลาย
ในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม
วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชี
วิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย
ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุ
ตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ
สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง
๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ
อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยัง
เป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอด
อย่างเอกอุดมทาน ฯ
เพราะด้วยเหตุที่ท่าน เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม
พุทฺธาจาโร)ซึ่งเป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ
สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจใ
นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้
ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด
หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง
แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซา
บซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจ
เข้าไปชมได้ในหัวข้อ"จงรักภักดีด้วยชีวิต"
__________________
"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย.."
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
______________________
ครั้ง หนึ่ง มีผู้พูดถึง"ผู้ยิ่งใหญ่"ระดับประเทศบางท่านให้
หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี พระมหาโพธิสัตว์
ใหญ่ที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมากล่าว
รับรองไว้ด้วยองค์เองว่า"เป็นหนึ่งในสิบแห่งอนาคตพุทธวงศ์
เบื้องหน้า"ฟัง สังเกตว่า ดูหลวงพ่ออุตตมะท่าน"เฉย"มากๆ
ก่อนที่จะปรารภออกมาอย่างราบเรียบที่สุด เหมือนมิได้ไยดี
ใดๆว่า
"เขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากเหมือนกับในหลวงหรอก
______________________
ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ...”
หมาย เหตุสำหรับปฐมเหตุที่ทำให้พระภิกษุพระยานรรัตนร
าชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาสกล่าว
ความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเ
ตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า
“ การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
นั้นไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์
การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเ
ป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ ”
โดย...ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส
__________________________
"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย"
โดย...หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
_____________________
"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเ
จ้าพระองค์หนึ่งของโลก"
หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า...
"ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"
โดย...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านฯ
_________________
เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
ได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า
"มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย (ในหลวง) บ้าง???"
เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วง เนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมา
ให้ได้ยินอยู่
คุณ แม่บุญเรือน(พระอริยะเจ้ามหาอุบาสิกา-ฆราวาสนัก
ปฏิบัติธรรมชั้นสูงผู้เมตตา ทรงอภิญญา และฤทธิ์ปาฏิหาร
ิย์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งในยุคนั้น) ก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า
“ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ”
(ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ
หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)
เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ท
รงพระเจริญ
และ แคล้วคลาดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว คุณแม่บุญเรือน
โตงบุญเติม จึงได้กำหนดที่จะไปเข้า "นิโรธสมาบัติ"
คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา(เป็
นเคล็ดให้เรื่องร้าย"สร่างซา"ลงไป) ของนางสาววาย(เป
็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง"วาย"หายสูญ ไป)
วิทยานุกรณ์(น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์
) ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม โดยเวลานั้น
คุณแม่บุญเรือน ได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่าน
ในช่วงเวลานั้นเป็นอันเด็ด ขาด...!!!
ที่มา...หนังสืออนุสรณ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาร
าม ระยอง พ.ศ. ๒๕๕๑
_____________
"มีแต่คนที่ไม่ฉลาดเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่า ในหลวงพระองค์นี
้ดีอย่างไร"
โดย...พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร
__________________
“เรา อย่าเห็นสิ่งปลีกย่อยดีกว่าส่วนรวมส่วนใหญ่นะ ส่วน
ใหญ่นั่นล่ะเป็นของสำคัญ พ่อกับแม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัว อะไรที่เป็นหลักของชาติ เป็นหัวใจของชาติให้พากันรักกัน
สงวน อย่าพากันทำลาย ลูกเต้าจะอวดดีกว่าพ่อกว่าแม่มัน
ไม่ดีละ
คิดดูในพุทธศาสนา พระเจ้าอชาตศัตรูทำลายพระราชบิดา
ก็ไม่เห็นเจริญอะไร ท่านว่า เย เกจิ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คตา เส
น เต คมิสฺสนฺ อบายภูมิ พวกสัตว์ทั้งหลายถ้านึกลึกถึงคุ
ณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความเทิดทูนในสิ่งที่ดีงามที่
มีคุณมีประโยชน์ทั้งหลายแล้ว ผู้นั้นเจริญ ผู้ใดไปทำลายหลัก
ใหญ่แล้วจะเอาให้ส่วนเล็กๆนี้ขึ้นครองบ้านครองเมืองมันก็ ไม่ดี
ให้พากันรักษาหลักใหญ่เอาไว้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือหัวใจของชาติไทยเรา นี่ให้พา
กันจำเอาไว้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเ
ด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนี้คือหัวใจของ ชาติไทยเรา
ให้พากันเทิดทูน อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย
เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว มันคนเกิดมาแล้ว
พ่อแม่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ สกุล
ใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุล
ใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอันกว้างขวาง
พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี
นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ของพวกเราคือหัวใจของคนไทย
ทั้งชาติ ให้พากันทะนุถนอมนะ อย่าพากันไปทำลาย
จะมีแต่ลูกหยอมแหยมๆ พ่อแม่ผู้ให้ความร่มเย็นไม่มีมัน
ไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องรักษาส่วนใหญ่เอาไว้
ในประเทศไทยเราก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเ
ด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติให้พา
กันเคารพเทิดทูน อะไรที่เป็นหลักใหญ่ของชาติของส่วนรวมให้พา
กันรักษา พากันเทิดทูน อย่าพากันทำลายโดยอวดดี
ดังที่ท่านว่าอึ่งอ่างกับวัวนั่นละ เราก็เห็นในนิทานอีสปแต่ก่อนเรี
ยนหนังสือ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้นนี่ วัวมันตัวขนาดไหน ลูกอยู่ในรู
แม่ไปหากิน ลืมแล้วนิทานอีสป มันเป็นอย่างไรละทีนี้ (ลูกเห็นวัว
พอแม่กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าเจอตัวอะไรไม่รู้ใหญ่มาก
แม่ก็พองตัว ลูกว่าใหญ่กว่านี้อีก) ได้ไหมๆ สุดท้ายสิ่งที่ไ
ด้คือพุงแตก นี่ระวังนะ ตัวเล็กๆ อย่าไปพองตัว มันไม่สมควรจะพอง
อึ่งอ่างกับวัว วัวมันตัวใหญ่ขนาดไหน อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น
มาพอง มันตัวเท่านี้ไหมๆ เรื่อย สุดท้ายเลยตาย เข้าใจไหม
นี่อึ่งอ่างกับวัวมันไม่ดีอย่างนั้นละ”
โดย...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด
อุดรธานี
# จาก www.board.palungjit.org/f23/อดีตชาติในหลวงของเรา
-255490.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น