วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ธรรมความรัก ธรรมะสุนัขตัวผู้ข่มขืนสุนัขตัวเมียอย่างทารุณ. โดยพระมงคลชัย กิตติโสภโณ สมัยไปพักวัดบ้านหนองเลิง ต.แคนน้อยอ คำเขื่อนแก้ว

ธรรมะในวันวาเลนไทน์

ถ้าคนที่เขาเป็นแฟนกันแล้ว เราอย่าไปจีบหรืออย่าไปยุ่งยุให้เขาแตกกันนะ ทำนองว่า เขาเลิกกันเพราะผี๋มือเรา ผี๋ปากเรา"

แต่ถ้าเขาหรือเธอคนนั้น  
มีคนมาจีบเยอะเลย 
มีคนมาขอคบด้วยเยอะเลย แต่เขาหรือเธอคนนั้น
ยังไม่ตอบตกลงเป็นแฟนกันกับใคร
นั่นแสดงว่าเขาโสด..
(หรือเรียกภาษาสมัยใหม่ว่า เขากำลังอ่านหนังสืออยู่)
#คนที่ขอคบนั่นแหละเรียกว่าหนังสือ"


"""เด็กรุ่นใหม่ ไฟแรงใจร้อน"" อ่านได้เล่มหนึ่ง เล่มสอง เล่มสาม ก็เลือกเล่มสาม  เพราะไม่รู้ว่าเล่มต่อไปจะมีไหม? เล่มต่อไปจะเหมือนอย่างนี้ไหม?
-ถ้ายังมีราคะอยู่ เล่มต่อไปก็มีไม่ควรใจร้อน
เล่มต่อไปจะเหมือนอย่างนี้ไหม
-ในโลกนี้ไม่มีใครนิสัยเหมือนกัน
มีแต่แตกต่างกัน หรือคล้ายกัน ควรเลือกคบคนที่นิสัยคล้ายกันกับเรา"

แต่ถ้าหากเราไม่ดี แต่แฟนเป็นคนดี
เราต้องปรับนิสัยไปให้คล้ายแฟน

ถ้าเราไม่ดี แล้วเราก็หาคนที่พื้นนิสัยไม่ดีคล้ายเรา
อย่างนี้ มีแต่ฉุดกันและกันให้ตกต่ำ"

"คนที่ใช่ต้องต้องเจอกันในเวลาที่มีสิทธิ์? เวลาที่ไม่มีสิทธิ์ต่อให้เคยครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ ถ้าชาตินี้เขาพลัดไปมีคู่ซะแล้ว ยังไงก็ไม่ใช่

แต่ถ้าเขาเป็นคู่เก่าคู่บุญบารมีเก่าเรา
เขาหรือเธอคนนั้นจะแยกย้ายกันเอง
โดยที่คุณไม่ได้มีส่วนในการทำให้เขาเลิกกันแม้แต่นิดเลย


ข้าพระเจ้าอยากจะยกเรื่องนี้มา
เป็นเรื่องที่ข้าพระเจ้าเห็นอยู่ในวัด

#หมาตัวเมียถูกพู้3ตัว รุมข่มขืนอย่างทารุน#

ข้าพระเจ้าได้มาขออาศัยวัดต่างถิ่นอยู่
ข้าพระเจ้ามาอยู่ได้4วันแล้ว

วันแรกข้าพระเจ้าเห็นสุนัขตัวเมีย
โดนสุนัขตัวผู้เซิง...และกัดกัน กับตัวผู้ตัวอื่นๆ เพราะเรื่องสืบพันธ์ ตัวเมียมันก็ร้องลั่นของมันตามประสาหมา
ก็ไม่มีอะไร...

ข้าพระเจ้าก็เดินจรงกลมต่อ..

สักพักไม่ถึงชัวโมงก็เอากันอีกแล้ว....
หมากัดกัน เพราะเรื่องสืบพันธ์อีกแล้ว

ผ่านไป....สักพักก็เอาอีกแล้ว...

ผ่านไปอีก ไม่นานก็เอากันอีกแล้ว...

สรุปคือตลอดทั้ง4วันนี้ ถ้าย้อนกลับไป   หมาตัวเมียมันโดนตัวพู้ข่มขืน
ทั้งกลางวัน กลางคืน

(ข้าพระเจ้าไม่ได้วิ่งไปดูมันนะ แต่มันทำให้เห็นกลางแจ้งเลย)

ก็พิจารณาดู "เวลาเราเห็นผู้หญิงสวยๆ ราคะความใคร่ที่จะไปชอบมันเบาบางมาก
เพราะผ่านอสุภะกรรมฐานมา
ถ้าเรามองดูสุนัขมันทำกัน จะเป็นอย่างไรหนอ ข้าพระเจ้าก็เลยหยุดแล้วยืนมองดู"

ก็สังเกตมาที่ใจ ก็เห็นว่าราคะยังไม่หมด
ยังมีนิดๆ จากนั้นมองดู เห็นหมาตัวเมียมันร้องทรมาณ จากใจที่เป็นราคะนิดๆก็เปลี่ยนเป็นสงสารแทน

หมาตัวเมียตัวนี้เป็นพันธุ์อะไรข้าพระเจ้าไม่รู้ แต่หางมัน เหมือนโดนตัด จนห้างกุ้นเลย

ข้าพระเจ้าพึ่งจะสังเกตพฤติกรรมของหมาในเวลาแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาสังเกตแต่เวลามันกัดกัน

"คือหมาตัวเมียมันไม่ยอมให้ตัวพู้ทำ เพราะมันคงจะเจ็บปวดอยู่... ตัวเมียมันก็หาทางขัดขืนหนี
แต่แล้วก็โดนจนได้(อวัยวะเพศสุนัขตัวผู้เข้าไปแล้ว) พอเข้าไปแล้ว...

ก็มีหมาตัวผู้2ตัว มากัดตัวผู้ที่กำลังข่มขืน
ตัวผู้ก็ดิ้นไปดิ้นมา จนลมลุกคลุกคลาน

 อวัยวะเพศก็ไม่หลุดออกจากเพศเมีย
ไอ้ตัวเมียมันก็ร้องเสียงดังลั่นเลยด้วยความเจ็บทรมาณ ข้าพระเจ้ามองที่ตามันเหมือนมีน้ำตานะ

ตัวเมียมันทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมันเจ็บ
ถ้ามีการขยับจากการต่อสู้กับหมา2ตัว
ไอ้ตัวเมียมันก็จะร้องด้วยความเจ็บของมัน

และขณะที่ไอ้ตัวผู้ที่เซิงอยู่ มันโดนกัดมันก็คงเจ็บ ก็เห่า.. จะกัด ขู่หมาพู้2ตัวนั้น หรือจะเอาคืน หรือจะหนีก็ไม่รู้
ขณะที่มันเห่านั้น อวัยวะเพศก็หลุดออก
อีตัวเมียได้โอกาสก็วิ่งหนี 3ขา
(ขาหลังที่4มันไม่ใช้งานเลย มันคงเจ็บ) ไอ้ตัวผู้ที่ได้เซิงก็วิ่งออกไปอีกทางหนึ่ง
เพราะสู้กับ2ตัวนั้นไม่ได้

แล้วไอ้หมา2ตัวนั้นก็วิ่งไล่ตัวเมียตัวนั้น แล้วก็เหมือนเดิม คือวิ่งทันอิตัวเมีย อีตัวเมียโดนอึบอีกแล้ว

พอโดนอึบอีตัวเมียก็ร้องดังลั่น พอร้องไม่นาน ไอ้ตัวผู้ก็โดนไอ้ตัวที่วิ่งมาด้วยกันกัด

 พอมีเสียงตัวเมียร้องและเสียงตัวผู้กัดกัน
ไอ้ตัวที่โดนกัดครั้งแรกก็วิ่งเข้ามากัดไอ้ตัวที่กำลังเซิงอยู่ ทีนี้กัดร่วมกันเป็นวงเลย 

เป็นอยู่อย่างนี้4วัน
โดนข่มขืนทุกวัน วันละหลายรอบเลย
อย่างทารุนไม่เต็มใจ

ข้าพระเจ้าก็เลยพิจารณาดู
ว่าเป็นผลของกรรมลักษณะไหนหนอ

สถานที่อาศัย: 
เป็นหมาวัดแสดงว่าตอนเป็นคนอาจเคยเกี่ยวข้องกับวัดมา จึงต้องมีเหตุให้มาอยู่ที่วัด

อาหาร:
มีอาหารกินดีมาก...มีแต่กับข้าวกับแกงตลาดดีๆทั้งนั้นเหลือจากบาตพระ
นี่แสดงว่าเคยให้ทานถวายอาหารไว้พอสมควร จึงมีกับข้าวดีๆกิน

แล้วที่โดนขมขืนทั้งกลางวัน และตอนกลางคืน บ่อยมาก เพราะอะไรหนอ

ข้าพระเจ้าก็เลยมาพิจารณา
ต้องเกี่ยวกับศีลข้อนี้แน่ ข้อกาเม
คือ ประพฤผิดในเรื่องของกาม

มันอาจเคยไปยุ่งแฟนของคนอื่น หรือคู่ของคนอื่น
หรือไปบาดหมางเกี่ยวกับเรื่องเพศ ถึงกับทำร้ายเพื่อให้ได้ ที่ไม่ถูกต้องไว้ เช่น ข่มขืนเด็ก ข่มขืนครู ข่มขืนป้า ข่มขืนญาติพี่น้อง ข่มขืนผู้มีคุณ
หรือคนที่อยู่ในฐานะที่ไม่ควร
(คือไม่ใช่คู่ของตน)

#ข้าพระเจ้าจึงสรุปเป็นธรรมะว่า
เดรัจฉานมันไม่รับผิดชอบ เอาแต่ได้อย่างเดียว
เดรัจฉานมันกัดกันเรื่องอาหาร
เดรัจฉานเวลามันกินอาหาร
เดรัจฉานมันกัดกันเรื่องถิ่นศักดิ์ศรี
เดรัจฉานมันกัดกันเรื่องสืบพันธุ์
เดรัจฉานมันใช้ชีวิตเลื่อนลอยไปวันๆจนตาย

บุคคลเป็นมนุษย์เราต้องมีเป้าหมาย ที่จะทำให้ชีวิตจิตใจตนเองเจริญขึ้น
ถึงจะมีตัวล่อมากมาย  ที่ล่อให้เราหักเหออกนอก เส้นทางเป้าหมายนั้น

เราต้องคอยเตือนตนเองอยู่เสมอๆ
ว่าอย่าหลงไปกับ" ตัวล่อ" มากมายที่มาดึงไว้นะ

ตี 4 ครึ่ง

ตี 5 ทำวัตร

ทำวัตวเสร็จ ถ้ามีน้ำปานะ หรือข่าวต้มก็ฉัน
หลังจากนั้นก็เตรียมบิญฑบาติ

_____________
"คนที่ใช่ต้องต้องเจอกันในเวลาที่มีสิทธิ์? เวลาที่ไม่มีสิทธิ์ต่อให้เคยครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ ถ้าชาตินี้เขาพลัดไปมีคู่ซะแล้ว ยังไงก็ไม่ใช่"

เขาต้องอยู่ในฐานะที่ว่าง(โสด)เท่านั้น นั่นถึงจะมีโอกาสพอเป็นไปได้ว่า เขาหรือเธอเป็นคู่บุญบารมีเก่าในอดีต

แต่ถ้าเขายังครองคู่ถือแขนเป็นแฟนกันอยู่  
แล้วคุณเจอปุ๊บ ! ใจมันรายงานบอกว่า " นั่นแหละใช่ ใช่เนื้อคู่เราใช่แน่ๆ"   

ถ้าเชื่อความคิดนั้น.. อะไรจะเกิด?
"ก็ไปแย่งมานะสิ"  เป็นการผูกเวรเลย บาปด้วย

แต่ถ้าเขาเป็นคู่เก่าคู่บุญบารมีเก่าเรา
เขาหรือเธอคนนั้นจะแยกย้ายกันเอง
โดยที่คุณไม่ได้มีส่วนในการทำให้เขาเลิกกันแม้แต่นิดเลย

แล้วจะมีเหตุให้คุณได้เกี่ยวข้องกับเขาหรือเธอเอง(กรรมเวี่ยงมาเจอกัน)

แต่การได้เกี่ยวข้องกันนั้น ไม่ใช่หมายถึงว่าเขาจะเป็นคู่เสมอไป

ถ้าเขาเป็นคู่บุญเก่า
ถ้าเจอคู่บารมีเก่าที่เคยอยู่กินกันมาหลายภพชาติ
"เห็นปุ๊บ มีความกำหนัดอยากร่วมเพศ อยากจีบเพื่อเอาให้ได้"
นี่ไม่ใช่แล้ว
จะไม่มีความคิดหรือความรู้สึกแบบนี้วนอยู่แต่ในหัว เป็นไปไม่ได้เลย ว่านั่นคือคู่บุญบารมีเก่าเรา

#คู่ในสมัยนี้ มีแต่คู่ปรับ  
ปรับตัวเขาหากัน เรียกว่าสร้างเส้นทางกรรมดีให้เกี่ยวโยงได้อยู่ด้วยกันได้นานๆ อย่างเช่น เอาใส่ใส่ซึ่งกันและกันดี ไม่นอกใจกัน แอบมีไปกั๊ก
__________
ของฝากจากหมอ - ฉบับที่ ๑๐๓

แก้กรรม... แก้โรค
โดย พญ.ณัฐชญา ไมตรีเวช

กว่าโรคร้าย ๆ จะเกิดขึ้น ต้องมีทั้งกรรมเก่าและกรรมปัจจุบันมารวมกัน
ทราบไหมคะว่าการแพทย์สมัยนี้มีวิธีวินิจฉัยว่าอันไหนเป็นกรรมเก่า 
หรือกรรมใหม่ แถมยังมีสูตรแก้กรรมแต่ละโรคให้อีก

ไม่ได้โม้... 
มาทางนี้ค่ะ หมอจะเล่าให้ฟัง ^_^

กรรมเก่าทางการแพทย์เราเรียกว่า กรรมพันธุ์
มันจะถ่ายทอดออกมาทางสารพันธุกรรม หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า DNA 
เจ้าตัวนี้มีการจัดเรียงตัวเป็นลำดับแบบต่าง ๆ
แล้วการเรียงตัวที่แตกต่างไปนี้ก็จะสร้างโปรตีนออกมาต่างชนิดกัน
ทำให้เกิดสีผม สีตา รูปหน้า รูปร่างได้ต่างสไตล์
และแน่นอน รวมไปถึงโรคของแต่ละคนด้วยค่ะ

น่าทึ่งกับบรรพบุรุษของเรานะคะที่เรียกมันว่า สารพันธุกรรม
หมายถึง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ นั้นเองค่ะ

กรรมเก่า หรือ เจ้ากรรมพันธุ์นี้ติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด
การศึกษาใหม่ ๆ สามารถตรวจการเรียงตัวของเจ้าสาย DNA
จึงบอกได้ว่าใครมีแนวโน้มจะเป็นเบาหวาน เป็นมะเร็ง หรือสมองเสื่อม ตอนไหน !

ค่ะ แนวโน้ม... แปลว่าอาจจะไม่เป็นก็ได้
เพราะมีกรรมอีกอย่างที่สำคัญกว่า คือ ปัจจุบันกรรม 
ทางการแพทย์เราเรียกว่า "พฤติกรรม" ค่ะ

พฤติกรรมประกอบไปด้วย กรรมทางการคิด การพูด และการกระทำ
หรือ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ในทางพุทธเรานั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น กรรมเก่า หรือ DNA ของเรา มีสายโปรตีนที่เรียงตัวกันแล้ว
ทำให้ร่างกายมีโอกาสดื้อต่ออินซูลินสูง
เราก็มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานแบบดื้อต่ออินซูลิน (DM type2)

แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมที่ห่างไกลจากความเป็นเบาหวาน
คือ ไม่ชอบรับประทานแป้งและน้ำตาล 
ไม่ชอบกินจุบกินจิบ ไม่รับประทานอาหารมื้อดึก
ชอบรับประทานผักและผลไม้ชนิดที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเร็ว (low glycemic index)
แถมยังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จิตใจสดใสร่าเริง ไม่เครียด
ก็จะเหมือนเราไม่เปิดโอกาสให้กรรมเก่าแสดงตัว

โอกาสเป็นโรคเบาหวานมีมากก็จริง แต่เราไม่เป็น ^_^
เหมือนมีผู้ร้ายมายืนจ่อหน้าประตูบ้าน แต่เข้าไม่ได้
เพราะรั้วบ้าน และทหารยามของเราเข้มแข็งเหลือเกิน

การศึกษายุคนี้บอกเราว่า 
"กรรมปัจจุบัน สำคัญที่สุดค่ะ !"

และสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแล้วก็ตามเถอะค่ะ 
เราสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ง่ายขึ้น
ถ้ารู้จักใส่ปัจจัยบวก เพียงแค่เติมกรรมปัจจุบันที่ดี ๆ ลงไป
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด โรคร้ายก็แพ้พฤติกรรมใหม่(ดี ๆ )ที่มากกว่า ฉันนั้น

อดีตเป็นสิ่งที่เรากลับไปแก้ไม่ได้ เกิดขึ้นแล้ว สิ้นสุดลงแล้ว
แต่กรรมใหม่ เราสามารถเลือกทำได้แบบไม่มีจำกัด ไม่มีประมาณ
มองแค่นี้ กรรมอันไหนจะมีพลังมากกว่าคะ


ศาสตร์ของการแก้กรรม ที่ไม่เป็นอันตราย
เช่น " อิฉันจะไปบริจาคโรงศพ สร้างพระประธานค่ะ "
หรือ "ผมจะถือศีลปิดวาจา ไม่พูด ๓ วัน ๗ วัน "
เราไม่จำเป็นต้องต่อต้าน หรือมองเป็นสิ่งงมงาย

โดยเฉพาะกิจกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล 
ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แถมยังได้แบ่งปันสิ่งดี ๆ สู่สังคม สู่สาธารณะชน
เพราะอย่างน้อยถ้าไม่มีผลใด ๆ ให้เห็นทางกายภาพ
แต่จิตใจของผู้ป่วยมีกำลัง นั้นถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้วค่ะ
ขอแค่อย่าลืมแก้พฤติกรรมที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรงเท่านั้นเอง...

อันดับแรก เริ่มต้นที่ความคิดก่อนเลยค่ะ 
คิดว่าเราจะรักษาร่างกายนี้ ให้แข็งแรงสมบูรณ์ 
ถ้าอายุยืนไปถึงแปดสิบ เก้าสิบปี จะต้องยังสามารถเดินขึ้นบันไดได้
และสมองไม่มีความจำเลอะเลือน อารมณ์ยังดี ไม่หงุดหงิดง่าย
ทำให้สามารถใช้เวลาของชีวิตนี้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
และเก็บเกี่ยวประโยชน์สูงสุดไว้ให้ได้นะคะ

มีบางคน บอกว่าร่างกายนี้เป็นรูปธรรม นามธรรมไม่ต้องสนใจ
เกิดมาแล้วก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา
แต่ลองหยุดคิดสักนิด ว่าทุกอย่างเราเป็นผู้กำหนดเอง
กรรมปัจจุบันนี้แหละ จะกำหนดทิศทางในอนาคต

ค่อย ๆ ใส่ปัจจัยบวกลงไป
เช่น นอนพักผ่อนแต่หัวค่ำแล้วเริ่มต้นวันใหม่ในตอนเช้าตรู่
เลือกรับประทานแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง
แบ่งเวลางานและเวลาพักผ่อนบ้าง 
เจ้ารูปธรรม นามธรรม ที่ว่า มันก็จะมีผลลัพธ์ตามปัจจัยบวกที่เราเพิ่มลงไป ^^

ไม่ได้บอกให้กลัวตายหรือห่วงสังขารนะคะ
แต่ให้โอกาสสังขาร ได้อยู่แบบที่เราใช้ประโยชน์จากชีวิตนี้ได้มากที่สุดต่างหากค่ะ

เมื่อตั้งต้นได้แบบนี้ ก้าวต่อ ๆ ไปเราก็จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
ถ้าจะอายุยืน ก็ต้องเป็นแบบมีคุณภาพ สามารถคิด อ่าน พูด และทำได้อย่างมีสติ

มาแก้กรรมด้วยพฤติกรรมของเรากันเถอะค่ะ ^^


ฉบับที่ ๒

ทราบไหมคะ ว่าความรู้ทางการแพทย์เพิ่มเป็น ๒ เท่าในระยะเวลา ๓.๕ ปี
ความรู้วันนี้มีมากเป็น ๓๒ เท่าของเมื่อ ๑๖ ปีที่แล้ว !

ยกตัวอย่างง่ายๆ เราคงเคยได้ยินคำว่า "คอเลสเตอรอล"
ข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดี คือ ถ้าเจ้าไขมันตัวนี้สูงจะทำให้เส้นเลือด
ที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ และเกิดโรคหัวใจขาดเลือดตามมา

ดังนั้น คุณหมอส่วนใหญ่จะเริ่มสร้างบรรยากาศอึมครึม 
ถ้าเห็นค่าของมันพุ่งเกินสองร้อย

กว่าสิบปีที่แล้ว ...
เคยต้องทะเลาะกับคุณลุง คุณป้าที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกทุกที

"สูงอีกแล้วนะคะคุณลุง งดอาหารมันหรือยังคะ"
"ออกกำลังกายแบบที่หมอบอกไหม ทำไมมันขึ้นสูงขนาดนี้คะ"
มีคำตอบมากมายหลากหลาย พร้อมรอยยิ้มที่เราดุไม่ลงค่ะ เช่น

"หน้าทุเรียนอะหมอ มันอดไม่ได้"
"คนเคยกินนะ ต่อไปจะงดแล้วจ้ะ" 
"มันก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้แหละ อย่าคิดมาก"   T_T

แต่ก็มีคุณปู่ท่านหนึ่งบอกว่า
"หมอจะไปสนใจตัวเลขมากกว่าความรู้สึกของเราทำไม"

ตอนนั้นยังคิดไม่ได้หรอกค่ะ ^^' เพราะประสบการณ์ยังน้อย 
และการศึกษาต่างๆ ก็ไม่ลึกขนาดนี้ ใจก็เป็นห่วง เพราะเรียนมาว่า 
ถ้าตัวเลขนี้สูงมันอันตรายต่อหัวใจดวงน้อยๆ ของปู่นะ

ทุกวันนี้ ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
คอเลสเตอรอลสูงอาจไม่ใช่ปัญหาเสมอไป
โรคเส้นเลือดตีบอาจจะเกิดขึ้นในคนที่ระดับไขมันปกติก็ได้
หรือในคนไข้ที่คอเลสเตอรอลสูง แต่ถ้ามีสัดส่วนเหมาะสมระหว่างไขมันชนิดดี กับไขมันไม่ดี ก็ทำให้ไม่เกิดโรค ^_^

ที่เคยย้ำหนักหนา ให้งดรับประทานอาหารมันเด็ดขาด 
จะทำให้เจ้าไขมันตัวร้ายลดลงมาได้ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปเลยค่ะ
เพราะคอเลสเตอรอลส่วนหนึ่งมาจากอาหารก็จริง แต่อีกส่วนที่สร้างจากตับ มันมากกว่าที่รับประทานเข้าไปเสียอีก T_T
ดังนั้นการลดอาหาร จึงช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง 
และการรับประทานอาหารไม่มันบางอย่าง ก็ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้เสียอีก ที่สำคัญการที่เราสร้างความเครียด กดดัน หรือแม้แต่การพักผ่อนไม่พอนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เจ้าไขมันตัวร้ายมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาได้

มีที่น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีกนะคะ
ทราบไหมว่าเกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่ตายจากโรคหัวใจล้มเหลว

หรือ Heart attack ไม่ได้เป็นโรคหัวใจมาก่อน แต่เป็นเพราะปล่อยให้ตัวเองถูกโรควิตกกังวล ซึมเศร้า หรือฟุ้งซ่านแบบไม่บันยะบันยัง

เป็นระยะเวลานาน โรคหัวใจถึงได้ถามหา

คุณปู่ท่านนี้ไม่ได้เสียชีวิตจากโรคหัวใจค่ะ 
ท่านจากไปด้วยโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก
และก็มีความสุขดี จนนาทีสุดท้ายของชีวิต  ^_^

เอาล่ะค่ะ ที่เล่ามาไม่ได้หมายความว่าเชิญรับประทานเต็มที่ 
หรือให้เอากิเลสทางปากเป็นที่ตั้งแต่อย่างใด
เพียงแต่อยากจะเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงนี้ค่ะ

(เอามือแปะไปที่หน้าอก)

"ความรู้สึกและวิธีคิด"

จิตใจ ความนึกคิด มีผลต่อร่างกายอย่างที่หลายๆ คนนึกไม่ถึงเลยค่ะ

ประโยคที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ไม่ได้เกินจริงเลย 
การศึกษาใหม่ๆ บอกว่า เพียงแค่เรารู้จักผ่อนคลายความเครียด
เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะจริงๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้เทียบเท่าการใช้ยา
และที่ดีกว่าคือ ไม่มีผลข้างเคียงอื่น 
แถมยังช่วยให้โรคเบาหวานและความดันดีขึ้นด้วยค่ะ !

ก่อนหน้านี้ หมอก็เป็นคนหนึ่ง
ที่ไม่อยากจะเชื่อว่า ความคิดมีอิทธิพลถึงขนาดนี้
เมื่อศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ กลับพบความเป็นจริงที่ตรงกันข้ามว่า 
ความคิดและวิธีใช้ชีวิตนั่นแหละค่ะ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราป่วยมากกว่ากรรมพันธ์เสียอีก...

เห็นไหมคะ ความรู้ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้เรารู้ว่า
สิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคืออะไร

การแพทย์ใหม่ๆ เน้นไปที่ความสุขในการใช้ชีวิต
ควบคู่ไปกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
ยืดอายุให้ยืนขึ้น โดยที่ยังสามารถทำกิจกรรมสนุกๆ 
หรือทำอะไรด้วยตัวเองได้ยาวนานขึ้น
เรียกว่ามี active life span ที่มากขึ้นค่ะ

ดังนั้น ณ เวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพ
ไม่ใช่เพียงคุณหมอที่เก่งๆ กับเงินทุนหนาๆ

คอยยื้อชีวิตเราไว้บนเตียงผู้ป่วยนานๆ

แต่เป็นความรู้ที่แลกไม่ได้ด้วยเงิน ต้องแลกมาด้วยความใส่ใจค่ะ
ให้เวลาในการหาความรู้ เพื่อดูแลร่างกายของเราเพิ่มขึ้นวันละนิด
รับประทานของที่ชอบได้ แต่ต้องเลือกเวลาและปริมาณ
แล้วเราจะมีจิตใจที่สดใส พร้อมกับร่างกายที่แข็งแรง
อยู่ภาวนาและทำประโยชน์ของตนและประโยชน์ท่านได้นานๆ นะคะ

ของฝากจากใจหมอใกล้ตัวค่ะ ^^*

_____________
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยเขียนไว้ว่า อันมารยาทงามแบบไทยเรานั้นเนื่องมาจากพระพุทธศาสนาโดยแท้ เนื่องจากในประเทศไทยมีประเพณีที่ชายไทยทุกคนควรบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนากันทุกคนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 พรรษา (ประมาณ 3 เดือน) ซึ่งภายใน 3 เดือนนี้ก็จะถูกอบรมเรื่องกิริยามารยาทอย่างเข้มงวด ไม่ว่าการกิน การนั่ง การยืน การเดิน การนอน แม้กระทั่งการเข้าส้วมก็ถูกกำหนดไว้อย่างละเอียด

และเนื่องจากพระพุทธเจ้าเมื่อตอนก่อนที่จะออกบวชนั้นเป็นคนในวรรณะกษัตริย์ ท่านจึงนำเอากิริยามารยาทแบบกษัตริย์มาสอนแก่พระภิกษุทั้งหลายให้ปฏิบัติ ซึ่งสำหรับเรื่องส้วมนี้ผู้เขียนขอคัดข้อความจากพระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2 ความว่า

"ภิกษุใดไปวัจกุฎี ภิกษุนั้นยืนอยู่ข้างนอก พึงกระแอมขึ้น แม้ภิกษุผู้นั่งอยู่ข้างในก็พึงกระแอมรับ พึงพาดจีวรไว้บนราวจีวร หรือบนสายระเดียง แล้วเข้าวัจจกุฎี ทำให้เรียบร้อย ไม่ต้องรีบร้อน ไม่พึงเข้าไปเร็วนัก ไม่พึงเวิกผ้าเข้าไป ยืนบนเขียงถ่ายอุจจาระ แล้วจึงค่อยเวิกผ้า ไม่พึงถอนหายใจใหญ่พลางถ่ายอุจจาระ ไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระฟันพลางถ่ายอุจจาระ ไม่พึงถ่ายอุจจาระนอกรางอุจจาระ ไม่พึงถ่ายปัสสาวะนอกรางปัสสาวะ ไม่พึงบ้วนเขฬะลงในรางปัสสาวะ 

ไม่พึงชำระด้วยไม้หยาบ ไม่พึงทิ้งไม้ชำระลงในช่องถ่ายอุจจาระ ยืนบนเขียงถ่ายแล้วพึงปิดผ้า ไม่พึงออกมาเร็วนัก ไม่พึงเวิกผ้าออกมา ยืนบนเขียงชำระแล้วพึงเวิกผ้า ไม่พึงชำระให้มีเสียงดังจะปุจะปุ ไม่พึงเหลือน้ำไว้ในกระบอกชำระ ยืนบนเขียงชำระแล้วพึงปิดผ้า ถ้าวัจกุฎีอันภิกษุถ่ายไว้เลอะเทอะ ต้องล้างเสีย ถ้าตะกร้าใส่ไม้ชำระเต็ม พึงเทไม้ชำระ ถ้าวัจกุฎีรก พึงกวาดวัจกุฎี ถ้าชานภายนอกบริเวณซุ้มประตูรก พึงกวาดเสีย ถ้าน้ำในหม้อชำระไม่มีพึงตักน้ำมาไว้ในหม้อชำระ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นวัจจกุฎีวัตรของภิกษุทั้งหลาย ซึ่งภิกษุทั้งหลาย พึงประพฤติเรียบร้อยในวัจกุฎีฯ (437)"

เรื่องส้วมของพระนี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจมากอีกเรื่องคือ ตามปกตินั้นพระสงฆ์จะถือความสำคัญของอาวุโสคือ อายุในการบวชเป็นอย่างยิ่ง แบบว่าใครบวชมานานที่สุดก็จะอยู่หัวแถวในการกระทำกิจของสงฆ์ทุกอย่าง แต่มีอยู่เรื่องเดียวคือ เรื่องเข้าส้วมนี่แหละครับที่พระพุทธเจ้าท่านได้กำหนดไว้ว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงถ่ายอุจจาระในวัจกุฎี ตามลำดับผู้แก่กว่า รูปใดถ่ายต้องอาบัติทุกกฎ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่ายอุจจาระตามลำดับของผู้มาถึงฯ (435)"
_________
ขณะที่อยู่ในป่า ข้าพระเจ้าเห็นต้นไม้
"คนเราก็เหมือนต้นไม้ ต้นไม้บางต้นก็ตรง
บางต้นก็โค้งซ้าย โค้งขวา บางต้นก็เกิดแบบคลานไปตามดิน

ก็เหมือนเราที่เจอคนดีบ้าง คนไม่ดีบ้าง


ก็เหมือนคนเรา บางคนนิสัยดีบ้าง บางคนนิสัยไม่ดีบ้าง ซื่อตรงดีบ้าง ไม่ซื่อตรงบ้าง 

ในป่านี้ถ้าเราจะให้ต้นไม้ทุกต้น เจริญเติบโตไปในแนวขึ้นบนหมดทุกต้น
เราคงเป็นทุกข์เปล่าๆ 
เพราะต้นไม้นั้นมีเผ่าพันธ์ของมันเป็นตัวกำหนด
เผ่าพันธ์ต้นที่ต้องโตขึ้นไปท้องฟ้า
มันก็โตขึ้นไปท้องฟ้า 
เผ่าพันธ์ที่ต้องโตขนานกับพื้นก็ต้องโตขนานกับพื้น ถึงจะมีสิ่งขวาง
มันก็ซอกแทรกหาช่องหลบ จนโผ่เหนือยอดไม้




ก็เหมือนกับ
________________
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำ
ให้แจ้งซึ่งอรหัต ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
มานะ ความถือตัว ๑
โอมานะ ความสำคัญ ว่าเลวกว่าเขา ๑
อติมานะ ความเย่อหยิ่ง ๑
อธิมานะ ความเข้าใจผิด ๑
ถัมภะความหัวดื้อ ๑
อตินิปาตะ ความดูหมิ่นตนเองว่าเป็นคนเลว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ
นี้แลย่อมเป็นผู้ไม่ควร เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัต ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง
อรหัต ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
ความถือตัว ๑
ความสำคัญว่าเลวกว่าเขา ๑
ความเย่อหยิ่ง ๑
ความเข้าใจผิด ๑
ความหัวดื้อ ๑
ความดูหมิ่นตัวเองว่าเป็นคนเลว ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัต ฯ
______________
มื่อจิตรวมจะเกิดอาการต่างๆ เช่นมีความรู้สึกว่าเบามือทั้งสองข้าง ซาบซ่านตามร่างกาย ขนลุกขนพองคล้ายกับไปพบกับสิ่งที่น่ากลัว มีอาการตัวเบาหวิว บางคนเมื่อรู้ว่าจิตเริ่มจะรวม จึงคอยดูว่า จิตจะรวมอย่างไร จิตก็รวมไม่ได้ สมาธิก็ไม่เกิด อันนี้เป็นการกระทำที่ผิด
เมื่อเรารู้ว่าจิตของเรากำลังจะรวม ให้เรา กำหนดดูผู้รู้นิ่งอยู่ สติกับใจอย่าให้เคลื่อนจากกัน อย่าให้สติเคลื่อนไหวไปตามอาการใดๆ เมื่อสติไม่เคลื่อนไปตามอาการใดๆแล้ว จิตก็รวมเอง บางครั้งก็รวมสนิทเลย เปรียบเหมือนเอาไม้ปักลงในน้ำที่ไหลเชี่ยว ปักให้นิ่งไว้อย่าให้เคลื่อนไปตามน้ำ อย่าให้จิตเคลื่อนจากผู้รู้
ผู้ที่สามารถทำจิตรวมได้แล้ว ก็ให้กำหนดจิตตามเดิม กำหนดอย่างใดที่ทำให้จิตรวมได้ก็ให้กำหนดอย่างนั้น
ถ้าจิตรวมสนิทก็อย่าเพิ่งออกจากสมาธิเสียทีเดียว ก่อนออกจากสมาธิให้พิจารณาเสียก่อน เราจะได้ทราบว่าเราบริกรรมอย่างใด ตั้งสติอย่างใด ละวางอารมณ์สัญญาอย่างใด จิตของเราจึงรวมได้เช่นนี้ ถ้าเราสามารถพิจารณาถึงกรรมวิธีต่างๆได้ ก็จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติครั้งต่อไป
ขอย้ำอีกครั้งกำหนดให้แน่วแน่ นิ่งอยู่กับผู้รู้ สติกับผู้รู้อย่าให้เคลื่อน ไปตามกิริยาอาการใดๆ จิตก็จะรวมลงได้ก็เพราะสติ อย่างเดียวเท่านั้น
พูดตามปริยัติ สติ แปลว่า ความระลึกได้ในกิจที่ได้กระทำแม้คำพูด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ในทางปฏิบัติ สติ แปลว่า ระลึกอยู่ที่ใจ ไม่ให้รู้ไปตามสิ่งอื่น ถึงจะมีสัญญาอะไรก็ไม่ให้เคลื่อนไหวไปตามอาการนั้น กำหนดรู้นิ่งไว้อย่างนั้น ระลึกอยู่ที่ใจ
ใจ ก็หมายถึงผู้รู้ เมื่อสติกับใจบังคับกันแนบนิ่งดีแล้ว จิตก็จะรวมสนิท
เมื่อเรานั่งกำหนดแล้ว ขณะที่เรารู้สึกเบาเนื้อเบากาย ก็ให้เรานิ่งไว้อยู่กับ ผู้ รู้ คำบริกรรมต่างๆ ก็ให้เลิกบริกรรม ให้เอาแต่สตินิ่งไว้ ให้ระลึกแต่ผู้รู้เท่านั้น
ตามธรรมดาสติมักจะส่งไปนอก ชอบเล่นอารมณ์ สังขารที่ปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นคิดดี คิดร้าย ไม่ร้าย เราจะต้องพยายามฝึกหัดละวาง อารมณ์ เหล่านี้ อย่าให้จิตส่งออกไปภายนอก ให้สติอยู่ที่ผู้รู้เท่านั้น
เมื่อเรานั่งสมาธิภาวนา เรากำหนดคำบริกรรมใดๆ ก็ตาม ถ้าเราเผลอจากคำบริกรรมนั้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราเผลอไปรับรู้อารมณ์ภายนอก ก็ให้เรารีบกลับมาบริกรรมอย่างเดิมตามที่เราเคยปฏิบัติมาได้
__________
๑. กามฉันท์ ความยินดีพอใจในความสุข
๒. พยาบาท ความอาฆาต ความโกรธ
๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน
๔. อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน
________
ถาม – การแผ่เมตตากับการอุทิศส่วนกุศลแตกต่างกันอย่างไรคะ? 


ตอบ - 
การแผ่เมตตานั้น เหมือนนั่งๆคุยกันอยู่กับใครแล้วเราอยากพูดดีให้เขาสบายใจ ก็จะมีลักษณะของจิตแบบแผ่เมตตาอ่อนๆออกมาแล้ว หากใครบอกว่าฝึกแผ่เมตตาแล้วไม่สำเร็จ เป็นของยาก ก็ขอให้ลองตั้งใจพูดดี พูดให้คนอื่นรื่นหู พูดให้คนอื่นเป็นสุข มีความสามัคคีกลมเกลียวกันมากๆ เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี ตั้งใจไว้เลยว่าคำที่ออกจากปากเราจะมีแต่กลิ่นหอมหวน นุ่มนวลเสนาะโสต ไม่เหม็นเน่า ไม่แหลมระคายแก้วหูใคร ถึงวันหนึ่งหากสัมผัสรู้สึกได้ว่ามีกระแสความปรารถนาดีจริงใจแผ่นำออกไปก่อนพูด ก็ให้ทราบเถิดว่าอันนั้นแหละ คุณเป็นนักแผ่เมตตาผ่านคำพูดแล้ว 

ส่วนการอุทิศส่วนกุศลนั้นไม่ใช่แค่มีการตั้งจิตคิดดีกับใครเฉยๆ ก่อนอื่นต้องทำบุญ หรือระลึกถึงบุญ ซึ่งทำให้เรารู้สึกถึงรัศมีกองบุญนั้น ทำให้แช่มชื่น ทำให้มีความยินดีปรีดา อย่างน้อยก็อยากทำให้ยิ้มในหน้าขึ้นมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ ที่ความรู้สึกตรงนั้น คุณจะสัมผัสกองบุญอันเป็นนามธรรมได้ด้วยใจอย่างแจ่มชัด แทบจะเรียกว่าเหมือนถือสมบัติเป็นตัวเป็นตนไว้ด้วยมือทีเดียว แตกต่างจากเวลาคิดนึกเอาลอยๆเป็นคนละเรื่อง และเมื่อรู้สึกชัดราวกับกองบุญเป็นสมบัติที่ถือด้วยมือ ใจคุณย่อมเห็นกองบุญเป็นสิ่งที่ยกมอบผู้อื่นร่วมถือครองสมบัติด้วยกันได้เช่นกัน เรื่องสัมผัสอันเป็นนามธรรมนั้นสนุกครับ ทำบุญไว้มากๆเถอะ จะเข้าใจที่ผมพูดตรงนี้เอง 

เมื่อกล่าวถึงลักษณะจิตคิดอุทิศส่วนกุศล ก็ต้องกล่าวถึงลักษณะจิตคิดรับส่วนกุศลด้วย การรับส่วนกุศลทำได้โดยยินดี ปลื้มใจ และคิดส่งเสริมสนับสนุนในบุญผู้อื่น อย่างที่เรียกว่า ‘อนุโมทนาบุญ’ นั่นเอง 

หากปราศจากจิตคิดยินดีในบุญ จู่ๆบุญหนึ่งๆจะเข้าไปเป็นสมบัติของใครไม่ได้ เหมือนประตูที่ไม่อ้ารับของ หรือเหมือนมือที่ไม่ยอมแบรับเงิน ข้าวของเงินทองย่อมกองอยู่ตรงนั้นเฉยๆ โดยไม่อาจมีผู้ใดนำไปใช้ได้ อย่างมากที่สุดอาจเหมือนเขาสาดน้ำมาให้เย็นผิวกาย เดี๋ยวเดียวก็ร้อนใหม่ โดยหาแหล่งน้ำเองไม่เป็น 

การฝึกเฉลี่ยบุญให้ผู้อื่นอนุโมทนานั้น คุณจะได้เห็นผลทันตาเป็นความเบิกบานใจของผู้รับนั้น อย่าเอาแต่นึกๆคิดๆอยู่ฝ่ายเดียว พลังจิตหรือพลังอธิษฐานของคนทั่วไปไม่อาจกระตุ้นให้ญาติมิตรรู้สึกดีขึ้นเหมือนสาดน้ำมนต์ คุณควรชักชวนพูดคุยเหมือนเจ๊าะแจ๊ะให้เขารื่นเริงใจเป็นปกติ แล้วอาศัยความรื่นเริงใจของเขาเป็นสื่อ ค่อยๆหยอด ค่อยๆพูดถึงบุญที่คุณทำมา พร้อมพรรณนาให้เขาซึมซับรับรู้ตาม ว่าคุณรู้สึกแสนดีปานไหนกับบุญที่ได้ทำ อาจบรรยายบรรยากาศให้เขาเห็นภาพตาม หรืออาจให้เขาสัมผัสถึงความปรีดาปราโมทย์ในใจของคุณขณะปัจจุบันนั้นเลยได้ยิ่งดี 

พอฝึกพูดให้คนอื่นนึกยินดีตามบุญของคุณได้บ่อยๆ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีพลังเพิ่มขึ้นชนิดหนึ่ง คือสามารถกระตุ้นให้คนรอบข้างรู้สึกดีไปกับงานบุญงานกุศลของคุณได้อย่างรวดเร็ว แม้เพียงเห็นคุณกำลังทำบุญ ก็เหมือนมีข่ายใยกุศลแผ่ออกไปโดยรอบ และเหนี่ยวนำให้จิตใครต่อใครพลอยปลาบปลื้มยินดีไปพร้อมกัน 


ถาม – เคยอ่านพบมา เห็นบอกว่าการอุทิศส่วนกุศลโดยตั้งจิตคิดยกให้คนอื่นหมด จะทำให้บุญหมด หรือเหลือบุญเพียงครึ่งเดียว อันนี้เป็นความจริงหรือไม่คะ? 

ไม่จริงหรอกครับ เหมือนคุณให้เขาเอาเทียนมาต่อเปลวไฟ ไฟของคุณไม่ดับลงหรอก กลับจะทำให้ห้องสว่างขึ้นเพราะเกิดการขยายผลบุญด้วยซ้ำ คุณได้บุญเพิ่มนะครับถ้าทำได้จริง ไม่ใช่ว่าบุญลด คนเผยแพร่ความคิดผิดๆแบบนี้จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผลกรรมจะทำให้เขาจิตใจคับแคบ มีศักดิ์ศรีน้อย ทุ่มทำบุญแค่ไหนก็ได้ผลจำกัด เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อหรือยินดีตาม เนื่องจากอาจทำให้คุณได้ส่วนเคราะห์แบบเดียวกับเขาไปด้วยไม่มากก็น้อย 

ที่มา dungtrin
_________
บทคาถาว่าด้วยการแผ่เมตตา

คาถาแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น 
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย 
อัพพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย 
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย 
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ 

คาถาแผ่ส่วนกุศล

อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดา บิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดา บิดาของข้าพเจ้ามีความสุข 
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข 
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข 
อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข 
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข 
อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา 
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ 

จาก
http://www.84000.org/pray/matta.shtml
__________
อุทิศบุญให้คนอื่นแล้ว บุญของตัวเองจะหมดไปหรือไม่

อุทิศบุญให้คนอื่นแล้ว บุญของตัวเองจะหมดหรือไม่

มีหลายคนยังไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเราทำบุญ ทำทาน ทำกุศลอะไรก็ตาม ทำไมเราต้องโมทนาอุทิศ
ไปให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ฯลฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่สมควร
เป็นอย่างยิ่ง เป็นการตอบแทนพระคุณความดีของท่านเหล่านั้น และถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญู
กตเวทีที่คนดีพึงกระทำ

แต่หลายคนยังไม่เข้าใจถึงขั้นเข้าใจผิด กลัวว่าเมื่อเราอุทิศบุญไปแล้ว อานิสงส์ผลบุญที่เราได้สร้าง
ที่เราได้ทำไปนั้นจะหมดลง เมื่อโมทนาอุทิศไปให้คนอื่น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันคนละเรื่องกัน

ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำก็จะเป็นผู้ที่ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะอุทิศให้
เขาหรือไม่ให้ ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม

แต่ที่สำคัญการจะอุทิศบุญให้ใครก็ตาม ตัวของเราจะต้องมีบุญก่อน

เรื่องของพระอนุรุทธิ์ ในสมัยพุทธกาล ท่านเกิดในครอบครัวคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี
เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญ จะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระ
ปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านมารับบิณฑบาต ท่านก็เมตตาเปรียบให้ฟังว่า

“สมมุติว่าโยมมีคบและมีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟ
ที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไหม”



ท่านพระอนุรุทธิ์ ก็ตอบว่า “ไม่ยุบ”

แล้วท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็ตอบกลับว่า

“การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขาเขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป”


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หรือพระสุธรรมคณาจารย์ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนอีกรูปหนึ่งที่เราควรเคารพกราบไหว้ 
ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เมตตาเล่าไว้ในหนังสือหลวงปู่เล่าเรื่อง เทวดา พญานาค 
พระธาตุ จัดพิมพ์เป็นธรรมทานโดยชมรมกัลยาณธรรม ยืนยันในเรื่องการอุทิศบุญไว้อีกว่า



“บุญกุศลที่เราอุทิศไปให้ ถึงเขาจะไม่ได้รับ ก็ไม่ได้สูญหายไปไหน
บุญกุศลนี้ไม่มีวันสูญสลาย ถ้าไม่มีการเสวยสุขจากผลบุญนั้น
กล่าวคือ เราสร้างบุญกุศลมากเท่าไรก็ไม่ได้เป็นการแบ่งแยก หรือทำให้บุญกุศลที่เราสร้างนั้นถดถอยน้อยลง
แต่ประการใด คงสะสมส่งผลให้แก่เราเมื่อถึงกาลอันสมควร เมื่อส่งผลแล้วจึงเป็นการได้ใช้ไป หมดไปซึ่งบุญ
ในแต่ละส่วน แต่บุญมีผลอันยิ่งสามารถส่งผลให้แก่ผู้สร้าง ได้นานข้ามภพข้ามชาติได้หลายๆ ชาติทีเดียว”

และขอให้เราทุกคนเชื่ออย่างมั่นใจว่า เมื่อเราได้ทำบุญกุศลแล้วไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เราทุกคนก็ยังคงได้ใช้บุญ
ของเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ใช้บุญกุศลนั้นแน่นอน ซึ่งจะส่งผลเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับวาระของบุญนั้นๆ
และกรรมจะเป็นผู้กำหนดเองทั้งสิ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต
___________
ไม่หยุดยั้งยินดีเพียงความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่พยายามก้าวหน้าเรื่อยไปจนถึงที่สุดคืออรหัตผล กับความเป็นผู้ไม่ถอยหลังในความเพียร
แล้วทรงแสดงผลที่ทรงได้รับจากคุณธรรมที่กล่าวแล้ว แล้วตรัสสอนภิกษุทั้งหลาย เน้นให้ไม่ถอยหลังในความเพียร

สิ่งที่ติตน
คือทอดธุระในความเพียรทางจิต
ที่ไม่ตั้งมั่น(สมถะ)

สำรวมในปาฏิโมข คืออธิศีลสิกขา
การเจริญฌาน๔ คือ อธิจิตตสิกขา
การรู้อริยะสัจสี่ ตามจริง คือ อธิปัญญาสิกขา

ขาดคุณธรรม หมายความว่า ที่ฟุ้งซ่าน ถือตัว พูดเพ้อเจ้อ ปากกล้า พูดไม่สำรวม หลงลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีจิตตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์

ฆราวาส #อุโบสถแบบอริยะ ได้แก่เพียรชำระจิตที่เศร้าหมอง
ให้พยายามละลึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ และศีลของตน

"นี่แสดงว่า พระต้องดับความเศร้าหมองของจิต
ด้วยวิชชา ดับไฟกิเลส

"รู้จักฆ่า  คือฆ่าความคิดที่ชั่ว"

ที่หลวงพ่อปราโมทย์เทศ ก็ถูกของท่าน (มโนปวิจาร ๑๘ )

สำหรับผู้ใหม่หรือกำลังจิตยังไม่เยอะ ก็ต้องเป็นผู้รู้สู้ และเป็นการให้สติเกิดได้ดีมาก


#ไม่กำหนัดในอารมณ์ที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่คิดประทุษร้ายในอารมณ์ที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย
ไม่หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง
ไม่มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา


#ตรัสสอนพระราหุล ให้เห็นธาตุ๔ ว่า มิใช่ตน มิใช่สิ่งที่เนื่องด้วยตน

#ท่านทั้งหลายเห็นความเกลียดคล้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความเกษมปลอดโปร่งจากจากภัย) แล้วก็จงปราภพความเพียรเถิด
___________
มโนปริจาร
ก็คือ ให้รู้ เวทนา ๓ ที่เกิดจาก ผัสสะ ๖
_____
เด็ก
น้อยคนนี้ มีความสามารถในการเรียนแบบ
ฉะนั้น เฮ็ดอิหยังลูกมันเห็นสิมักเรียนแบบ
ถ้าเห็นแม่ฆ่าตีพ่อ มันกะสิจำได้
ละกะเป็นคนที่สติปัญญาดียุ ฉะนั้นควรสิป้อนข้อมูลดีๆให้
เพราะสิมักสอนคนอื่น เหมาะสิเป็นครู
ด้านสุขอายุช่วง ช่วงใกล้สิครบ8 ปี ทำท่าสิป่วยไข้อยู่เด้อให้เอาใสใจ รักษาสุขภาพลูกเพราะอาจจะมีไข้
ให้พาลูกทำบุญในด้านทาน ใส่บาติดู๋ๆ

___________
เอกธัมมาทิปาล      สูตรนี้ค้นหา
__________
ผู้ใดละทิ้งหายนี้ ยึดถือกายอื่น
เรากล่าวว่าผู้นั้นมีโทษ คือทุกข์ต่อ
___________
ถ้าดูหรือรู้ ภาพ จะเป็นสมถะใช่หรือไม่

ถ้าฟังหรือรู้ เสียง จะเป็นสมถะใช่หรือไม่

ถ้ากำหนดรู้กลิ่น จะเป็นสมถะใช่หรือไม่

ถ้ากำหนดรู้รส จะเป็นสมถะใช่หรือไม่

ถ้ากำหนดดูหรือรู้สัมผัส จะเป็นสมถะใช่หรือไม่

ถ้ากำหนดรู้ เวทนา ความรู้สึก อันเนื่องจาก
การได้ดูหรือรู้ภาพนั้น จะเป็นวิปัสนาใช่หรือไม่

ถ้ากำหนดรู้ เวทนา ความรู้สึก อันเนื่องจาก
การได้ฟังหรือรู้เสียงนั้น
จะเป็นวิปัสนาใช่หรือไม่


ฯลฯ


คุ้นๆ เหมือนคล้ายพระสูตร อาหาร๔
ในส่วน ผัสสาหาร คือควรกำหนดรู้ผัสสะ
และในสูตรสติปัฏฐานสี่ หมวด เวทนานุปัสนา

ถ้ากำหนดรู้สัมผัส เช่น ลมหายใจ ที่แน่ๆเลยจะเป็นสมถะ รูปฌาน
เพระเป็นส่วนกาย บำเพ็ญฌานสมาบัต

ิส่วนข้ออื่นต้องลองปฏิบัติดู
_______________
บางครั้งโกรธ ใจร้อน หุนหันพลันแล่นจนเกินไป   (ควรให้อภัยคนให้เก่ง อย่าโกรธใครๆนาน)

ท่านเป็นคนมีความลับเยอะ (ควรเปิดเผยในเรื่องที่คับแค้นใจเสียบาง ในเรื่องที่พิจารณาแล้วว่าควรเปิดเผยได้ จังสิบอได้มาเสียใจทีหลังว่าบอได้เผย)

ท่านมักติดขัดลำบากในเรื่องความรัก
(ปีนี้ไปไม่ควรคบกับใคร ให้ทุกข์ใจ)

ท่านควรมีวินัยในเรื่องการเงินและวางแผนเรื่องทรัพย์สินเงินมีทองของท่านให้รัดกุมยิ่งขึ้น 
(สวนไหนเก็บ ส่วนไหนทำบุญ ส่วนไหนใช้จ่ายต้องวางแผนนะ)
_________
ก็คือความรักในปีนี้
ไม่ควรหามาเกี่ยวข้องกับชีวิตให้ปวดหัว ถ้าไม่อยากทุกข์ใจ ปีนี้ทั้งปีให้โสดอิสระ 
อย่าเอาใจไปดิ้นหาเรื่องความรัก เพราะมันไม่ได้อยู่ในฐานดาวปีนี้
ถ้าคบกับใคร
ก็จะเดือดร้อนใจเพราะความรักอยู่เสมอ
________
ตอนนี้ ปู่ป๊อกพระโพธิ์สัตว์ ไม่อยู่ควบคุมแล้ว ตอนนี้อยู่โดดเดี่ยว
           อย่าเข๋อออกจาก เป้าหมาย
 อย่าหลงไปกับซ้าย     อย่าหลงไปกับขวา
__________
เมื่อก่อนเป็นโยม คือยังไม่บวช
เรามักจะคิดว่า" ตัวเองหน้าหล่อ ผิวพรรณขาวดี สูงสมส่วน"

ที่มีอย่างนี้ได้ เพราะน้ำอสุจิพ่อ และน้ำของแม่" คือไอ้หล่อๆนี้พ่อแม่ให้มาทั้งหมดเลย"

แต่พอมาบวชเป็นพระ ทั้งอ่านทั้งฟังจากธรรมะที่ต่างๆ
ที่มีผู้เอามาเผยแผ่เป็นธรรมทานในเน็ต
เราจึงได้รู้ว่า ความหล่อความสวยไม่ได้มาจากที่พ่อแม่ร่วมกันอย่างเดียว 
แต่ มาจากวิบากกรรมดีในชาติที่แล้วด้วย

อยากหล่อหรืออยากสวย ต้องเป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่ชอบความโกรธ ซึ่งพื้นฐานจิตใจเราตั้งแต่เกิดก็เป็นอย่างนั้น ไม่ชอบความโกรธความโมโหร้อนให้ใคร ไม่ชอบเลือดขึ้นหน้าเวลาโกรธ
ผู้ที่มักโกรธเก่งๆโทสะแรงๆเราก็ไม่อยากเข้าไปใกล้
__________
สัตว์เล็กๆแมลงตัวเล็กๆ บินตกลงไปในโถขี้ แล้วมันขึ้นไปได้
เราก็ใช้นิ้วมือช้อนมันขึ้นมา แล้วเอาไปปล่อยข้างนอกห้องน้ำให้มันเป็นอิสระ

ขึ้นชื่อว่า เจตนาจะฆ่าเบียดเบียนสัตว์
นั้นไม่มี แม้แต่ยู้งมากินเลือดเราก็ไม่ตบ แต่เราจะเป่ามันออก หรือไล่มัน

แม้แต่ถูพื้นศาลา กำลังถูไปเจอมดตัวเดียว
เราก็ต้องหยุด แล้วยกไม้ถูพื่นข้ามไป แล้วถูต่อ เราไม่ฆ่า

ขึ้นชื่อว่าใยแมงมุม เวลาทำความสะห้อง
เราก็ไม่คิดว่าจะเอาชีวิตมัน แม้แต่รังของมันเราก็ไม่อยากพัง
(ถึงวินัยพระ จะบอกว่าสามารถทำได้)
เราก็ไม่อยากพังบ้านของมัน


ไฉนละ ขึ้นชื่อว่าเจตนาจะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์
ให้เขาทุกข์ใจทรมาณใจ นั้นไม่มี


#ถ้าคนเห็นการกระทำของเรา แล้วบอกว่า จิตใจพระรูปนี้ชอบทำเรื่องเบียดเบียนคนอื่นนัก" 

แล้วเรามารู้ทีหลังว่า "เอ่อ..มีคนทุกข์ใจเสียใจเพราะการกระทำของเราด้วยรึนี่.. ทั้งที่เราไม่ได้มีเจตนาจะให้เขาทุกข์ใจเสียใจ"


จากนั้นเราจะสำนึกเร็วมาก..ทันทีเลย 
ทั้งๆที่สิ่งเราทำไปนั้น เราคิดว่าเราทำถูกแล้ว "ไม่ได้มีเจตนาจะเบียดเบียนใครเลย"


 "แต่มันไปเบียดเบียนโดยบอได้เจตนา"

ถ้าเราได้รู้ว่าเป็นการเบียดเบียนคนอื่นทั้งที่ไม่ได้เจตนาเลย"
 ใจเรามันจะเศร้าหมองมีทุกข์อยู่ครู่หนึ่ง... 
(มันคือใจสำนึกผิด ที่ไปเบียดเบียนโดยไม่เจตนา)

จากนั้นใจเศร้าหมองจะหายไป
กลายเป็นใจปกติที่เบา คือใจที่ไม่มีทุกข์เหมือนเมื่อกี้นี้


ไม่ต้องมีใครมาบอกดีๆ
หรือมาด่าว่าแรงๆ เราก็สำนึกแล้ว เพียงแค่เรารู้ว่าไปเบียดเบียนใครเข้า


#การสำนึกผิด ไม่ควรให้ใจเศร้าหมองไปด้วย"
แต่ควรให้ใจมันสำนึกผิดจริงๆ

การสำนึกผิดจริงๆ
มันคือ "หิริ" เป็นคุณธรรมของผู้ที่จะเป็นเทวดา"
___________

สัตว์เล็กๆแมลงตัวเล็กๆ บินตกลงไปในโถขี้ แล้วมันขึ้นไปได้
เราก็ใช้นิ้วมือช้อนมันขึ้นมา แล้วเอาไปปล่อยข้างนอกห้องน้ำให้มันเป็นอิสระ

ขึ้นชื่อว่า เจตนาจะฆ่าเบียดเบียนสัตว์
นั้นไม่มี แม้แต่ยู้งมากินเลือดเราก็ไม่ตบ แต่เราจะเป่ามันออก หรือไล่มัน

แม้แต่ถูพื้นศาลา กำลังถูไปเจอมดตัวเดียว
เราก็ต้องหยุด แล้วยกไม้ถูพื่นข้ามไป แล้วถูต่อ เราไม่ฆ่า

ขึ้นชื่อว่าใยแมงมุม เวลาทำความสะห้อง
เราก็ไม่คิดว่าจะเอาชีวิตมัน แม้แต่รังของมันเราก็ไม่อยากพัง
(ถึงวินัยพระ จะบอกว่าสามารถทำได้)
เราก็ไม่อยากพังบ้านของมัน


ไฉนละ ขึ้นชื่อว่าเจตนาจะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์
ให้เขาทุกข์ใจทรมาณใจ นั้นไม่มี


#ถ้าคนเห็นการกระทำของเรา แล้วบอกว่า จิตใจพระรูปนี้ชอบทำเรื่องเบียดเบียนคนอื่นนัก" 

แล้วเรามารู้ทีหลังว่า "เอ่อ..มีคนทุกข์ใจเสียใจเพราะการกระทำของเราด้วยรึนี่.. ทั้งที่เราไม่ได้มีเจตนาจะให้เขาทุกข์ใจเสียใจ"


จากนั้นเราจะสำนึกเร็วมาก..ทันทีเลย 
ทั้งๆที่สิ่งเราทำไปนั้น เราคิดว่าเราทำถูกแล้ว "ไม่ได้มีเจตนาจะเบียดเบียนใครเลย"


 "แต่มันไปเบียดเบียนโดยบอได้เจตนา"

ถ้าเราได้รู้ว่าเป็นการเบียดเบียนคนอื่นทั้งที่ไม่ได้เจตนาเลย"
 ใจเรามันจะเศร้าหมองมีทุกข์อยู่ครู่หนึ่ง... 
(มันคือใจสำนึกผิด ที่ไปเบียดเบียนโดยไม่เจตนา)

จากนั้นใจเศร้าหมองจะหายไป
กลายเป็นใจปกติที่เบา คือใจที่ไม่มีทุกข์เหมือนเมื่อกี้นี้


ไม่ต้องมีใครมาบอกดีๆ
หรือมาด่าว่าแรงๆ เราก็สำนึกแล้ว เพียงแค่เรารู้ว่าไปเบียดเบียนใครเข้า


#การสำนึกผิด ไม่ควรให้ใจเศร้าหมองไปด้วย"
แต่ควรให้ใจมันสำนึกผิดจริงๆ

การสำนึกผิดจริงๆ
มันคือ "หิริ" เป็นคุณธรรมของผู้ที่จะเป็นเทวดา"
__________
เพลงที่สว่าง ฟังแล้วมีกำลังใจมากขึ้นที่จะทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก...

จิตคนเราจะสั่งกายให้ทำเรื่องอะไรที่เหนือขึ้นไปอีก ที่สูงกว่าLevelระดับเดิมได้

1 ทำเพราะผลประโยชน์ส่วนตน

2 ทำเพราะความเมตตาสงสาร ก็คือหวังอนุเคราะห์ประโยชน์ต่อส่วนรวม


กายเหนื่อยช่างมัน
ใจยังไหวอยู่
__________
เนื่องจากวันนั้นข้าพระเจ้าเข้าไปในบ้าน
แล้วบอกให้โยมแม่รวม ลำโพงธรรมะมา เพื่อจะเปลี่ยนไฟล์ธรรมะให้ ในวันพรุ่งนี้ให้เอามาให้

แล้วพอถึงพรุ่ง โยมมารดาก็เอามาให้
4ลำโพง

"เราก็ตรวจสอบ เห็นว่า ลำโพงบางอันไม่มีการด์ติดมาด้วย"

สังขารควาวมคิดปรุ่งแต่ง บอกว่า
"คึโลภแท้นอ" บ่มัก"

และจากนั้น เราก็คิดขึ้นมาได้ว่า
ถ้าเราไม่ชอบ ความโลภของคนอื่น
เราก็ควรที่จะไม่โลภเหมือนกัน"

หลวงปู่คำแก้ว เพิลกะสิ บ่มักความโลภของเฮา ตอนขอเพิ้ลถ่ายรูปคึกันนั่นละคือ
________
หลวงพ่อจรัญ มรณะภาพแล้ว
"แม้แต่พระเกจิ ความตายยังมาถึงร่างกายได้"
แล้ว เราจะรอดเหรอ..  
  ถามตนเอง?
ก็ตอบว่าไม่รอด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
#ภิกษุทั้งหลาย กายนี้คือกรรมเก่า ไม่ใช่ของเธอ และไม่ใช่ของใครทั้งหลาย แต่กายนี้เป็นกรรมเก่า อันมีเหตุปัจจัยจึงมีขึ้นได้

#เหตุปัจจัย คือ ศีล ๕ หรือ กุศลกรรมบท๑๐

และบุญกุศลจากการเคยรักษาศีลตรงๆในหลายชาติ ถึงคราวให้ผล จึงเข้าท้องมนุษย์ได้

และศีลที่รักษารักษาทรงได้ไม่นาน แต่สะสมไว้หลายครั้งหลายหน เรียกว่าเก็บเล็กผสมน้อยก็ได้
ให้ผลต่อติดกัน จึงเข้าท้องมนุษย์ได้

#และศีลที่เกิดจากภาวนาให้ผล จึงเข้าท้องมนุษย์ได้

(ระยะเวลาก่อนที่ความตายจะมาถึงร่างกายนี้ ควรอย่างยิ่งที่จะ แบ่งเวลา เป็นช่วงๆ ภาวนา ศีลจะอยู่ในภานาอัตโนมัติ)

วิธีภาวนา ต้องเข้าใจก่อน

เวทนามี๓อย่าง
๑.สุขเวทนา คือ อารมณ์สุข
๒.ทุกข์เวทนา คือ อารมณ์ทุกข์
๓.อทุกขมสุขเวทนา คือ อารมณ์เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์

เมื่อเรามีความสุขใจ นั้นแสดงว่า จิตไปรู้สุขเวทนา

เมื่อเราทุกข์ใจ นั้นแสดงว่า จิตไปรู้ทุกข์เวทนา

เมื่อเราไม่สุขไม่ทุกข์ นั้นแสดงว่า จิตไปรู้ อุเบกขาเวทนา คือเฉยๆ

ให้เรามีสติตื่นรู้ สังเกต3อารมณ์นี้ให้บ่อยๆ
ไม่ต้องรู้นานก็ได้ แต่รู้บ่อยๆ
______
[ผู้ใดยังไม่เคยสร้างวัด เหมือนนางวิสาขา ]
เหมือน อนาถบิณฑกะ, 

**ขอเชิญ ร่วมสร้างเสนาสนะภายในวัด ศาลาการเปรียญ สร้างห้องน้ำ และเสนาสนะอื่นฯลฯ ภายในวัด
เนื่องจากวัดภูหินต่าง  ยังขาดแคลนเสนาสนะมาก
ยังไม่มีศาลาที่เป็นหลักจริงๆเลย มีเพียงศาลาเก่าเล็กๆหลังเดียวซึ้งสร้างไว้นานแล้ว ก็เสื่อมไปตามกาลของมันเหมือนอายุของคนที่มีผลต่อร่างกาย ฉันใดก็ฉันนั้น)
ยังขาดปัจจัยในการสร้างกุฏิพระ
วัดภูหินต่างนี้เป็นวัดป่า ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดได้ ลำบากมากกับเส้นทางเข้าวัดมาก เพราะตลอดสองข้างทางนั้นเป็นป่า ถนนหนทางก็ขุขระมีหลุ่มบอ
(จึงไม่ค่อยมีคนเข้าไปทำบุญ)


จึงอยากจะชวนเชิญ ผู้มีเจตนาอยากจะร่วมในกุศลครั้งนี้ด้วย.
เผื่อว่าชาติใหม่เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
จะได้กลับมาเกิดในเขตที่มีพุทธศาสนา
... .... ... ... ... 

... ... ... ... ...

.. .. .. .. .. .. ..

.. .. .. .. .. .. ..

.. .. .. .. .. .. ..
ถ้ามีความคิดอยากจะร่วมหรืออยากจะทำอะไรที่มันสว่าง ที่ดี ที่มันเป็นกุศล ไม่ว่าจะกาลไหนๆหรือที่ใดๆก็ตาม ในปัจจุบันก็ดี ในอนาคตก็ดี
ให้รู้ว่า "จิตใจเป็นบุญขึ้นมาแล้ว"

แต่ยังมิใช่ กุศล เพราะยังไม่ครบองค์

("เพียงแค่คิดก็เป็นบุญแล้วน่ะ ,เรียกปุญญาภิสังขาร") "แต่เมื่อมีการกระทำจะเกิด"กุศล,บารมี)

บุญ ส่งได้ถึง สวรรค์ในชั้นกามภพ ๖ ชั้น แต่กุศลนั้นส่งได้ถึงพรหมโลกเลย หรือส่งออกจากวัฏฏะสงสารได้   วัฏฏะคือวน 
 วิวัฏฏะคือไม่วนมีแต่จะวิมุตหลุดพ้น เข้าถึงความไม่ตาย หรือธรรมธาตุ หรือนิพพานหรืออะมะตะธาตุ (ชื่อแทนนิพพานมีหลายชื่อ)




และอานิสงค์ของการสร้างวัดไว้ในพุทธศาสนาเท่าที่เทียบเปรียบดูในพระสูตรเรื่องทาน
การที่ให้ทานหรือสนับสนุนพระในแบบที่
จะให้ศาสนาดำรงตั้งอยู่ได้นานๆ และให้มีเด็กรุ่นหลังที่บวชเป็นพระ พระรุ่นหลังๆนั้นที่บวชเข้ามา ได้มาสืบต่ออายุพระศาสนาอีก ได้เจริญภาวนาสร้างบารมีในการหลุดพ้น ซึ่งมีสถานที่หรือวัดเป็นสนามฝึกจิต
หรือเพื่อให้ภิกษุหรือชีหรืออุบาสก อุบาสิกาหรือชาวบ้านได้มาประพฤปฏิบัติ
ธรรม บำเพ็ญบารมี
อานิสงค์
เมื่อตายอาจจะเข้าถึงสวรรค์ชั้นที่๔ ดุสิต
เพราะว่าให้ทานแบบที๔
เจตนาแบบที่ ๔ สมณะ(พระ) ไม่หุงหากิน แต่เราหุงหากิน ไม่ให้ไม่ควร จึงให้ทาน
เมื่อตายเข้าถึงสวรรค์ชั่นดุสิต
ชั้นเดียวกับพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลายเลย
คนที่เค้าเคียอยู่กับธรรมะอยู่กับศาสนา พระไม่มีจะกินก็หาเอาอาหารไปถวาย
พระไม่มีที่อยู่ก็หาที่อยู่อำนวยให้มี
เพื่อให้ท่านมีที่พักที่อยู่ให้ท่านมีกำลังกาย
ในการปฏิบัติสมณะธรรม พวกนี้น่าจะเข้าถึงชั้น๔ ชั้นดุสิตหมด
อาจได้ฟังเทศพระโพธิ์สัตว์ที่มีบารมีแก่กล้า แสดงธรรมแล้วอาจ)ได้บรรลุ
ธรรมขั้นต่างๆก็เป็นได้ โสดา สกิทา ฯลฯ เพราะพวกนี้เกี่ยวข้องกับพระในแบบเกื้อกูล ไม่ใช่เกี่ยวแบบ มีไว้เอาไว้เพิ่มคะแนนอย่างเดียว เหมือนการให้ทานของคนในลักษณะแบบที่๑ 

ให้ทานวางจิตลักษณะที่๑
ให้ทานโดยการหวังผล มีจิตผูกพันธในผล มุ่งการสั่งสมบุญ คิดว่าเราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้ จึงให้ทาน  พวกนี้หวังเอาประโยชน์อย่างเดียวเลย แต่ก็ดีไม่ใช่ว่าไม่ดี ตายแล้วก็จะเข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นที่๑ จาตุมหาราชิกา


เจตนาแบบที่๒
ให้ทานโดยการไท่หวังผล ไม่มีจิตผูกพันธในผล ไม่มุ่งการสั่งสมบุญ
สรุปคือ แค่คิดว่า"ดี"
ทำเพื่อส่วนรวมแล้วดี ก็เข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นดาวดึง เหมือนพระอินทร์ตอนเป็นมนุษย์ สร้างสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะทำสิ่งต่างๆเพื่อสาธารณะชน
ไม่เจาะจงทำกับผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ทำกับมหาชนเลย ทีนี้กรรมดีที่ทำกับคนหมู่มาก ผลมันก็มากตาม แล้วหลังจากนั้น
ในสมัยนั้นท่านตายลง แล้วไปเกิดเป็นท้าวสักกะจอมเทวดา
ชั้นดาวดึง หรือพระอินทร์


เจตนาแบบที่๓ ให้ทานโดยทำตามประเพณี ปู่ย่าตายายเคยพาทำ จึงทำตามประเพณีนั้น
เมื่อตายแล้วเข้าถึงสวรรค์ชั้นยามา ชั้น๓


เจตนาแบบที่ ๕  คือให้ทานทำตามคำบอกสอนของฤษีในสมัยครั้งเก่าก่อน ตายแล้วเขาถึงชั้นนิมมานรดี ชั้น๔



เจตนาแบบที่ ๖ ให้ทานโดยคิดว่าจิตจะเกิดความเลื่อมใส่ ปลื้มปิติใจปราโมทย์   จึงให้ทาน
เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
ชั้น๖


เจตนาแบบที่๗
ให้ทานโดยคิดว่า จะละความตระหนี่
เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุธาตุในโลก ที่มนุษย์พากันหวงแหนยึดติดไม่ตระนี่ และเป็นเหยื่อที่ดึงจิตไว้ไม่ให้พ้นโลกได
จึงให้ทานเพื่อละ
เมื่อตายจะไปเกิดเป็น "พรหมมกายิกา" เมื่อหมดอายุไขทิพย์ จะไปเกิดในชั้นสุทธาวาส (เป็นอนาคามี อริยะบุคคลขั้นที๓ทันที) หลังจากนั้นรอเวลาพ้นสุทธาวาส ก็บรรลุอรหันต์นิพพานเข้าถึงความไม่ตายเป็นอะมะตะ อันเป็นบรมสุขที่แท้จริง
สุขเหนือสุขเรียกบรมสุข



#คำสอนหลวงปู่หนู๑
"ถ้าเรามองลงไปพื้นดินใกล้ๆเท้าเรา
เราก็จะเห็นดินแค่นี้ สายตาสุดพื้นแค่นี้ สิ่งต่างๆที่เห็นก็จะมีแค่นี้  
ความโลภ ความทะยานอยาก ในกิเลสก็จะมีเท่านี้

แต่เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งต่างๆ ก็เห็นนั้นเห็นนี้ เยอะแยะ....ไปหมด
ความโลภความทะยานอยาก ในกิเลส ก็จะมีเยอะแยะไปหมด"


#คำสอนหลวงปู่หนู๒
ความเก่าความหลังที่ไม่ดี
ให้ทิ้งให้เหยียบใส่ตม 
อย่าไปขุดค้นมาดองจิตให้เศร้าหมอง"


ปู่หนู ใจดีมีเมตตาสูง คนเดือดร้อนไปหาท่าน ท่านก็มักจะช่วยเหลือเสมอ



สำหรับผู้จะโอนปัจจัย สร้างเสนาสนะวัด
ธนาคารกรุงเทพ
เลขที่บัญชี 205-054-7484
พระเดือนชัย สร้างสุระ
 
#พระอาจารย์หนูเดือนชัย ธมฺมวิจโย เจ้าอาวาส วัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่าง บ้านโคกหินกอง ต.หนองสูงใต้ อ.หนองสูง  จ.มุกดาหาร
________
https://m.youtube.com/watch?v=ywfxdpZRtmU

https://m.youtube.com/watch?v=94dFpQJ2jFo
_________
ในรายการทีวี "คนที่ตายไปแล้ว แล้วปรากฏตัวให้เห็น  รายการทีวี เรียกวิญญาณ"
ซึ่งแท้ที่จริงเรียกไม่ถูก
ต้องเรียกเปตรวิสัยถึงจะถูก

เพราะที่ปรากฏตัวให้เห็นนั้น มันเป็นอัตภาพเปตรแล้ว

และต้องเข้าใจด้วยว่า เปตรมี๓๑จำพวก
ใน๓๑จำพวก แต่ละจำพวกก็ชื่อไม่เหมือนกัน มีเพียงจำพวกเดียวที่รับส่วนบุญจากคนที่อยู่ในโลกอุทิศให้ จำพวกนี้มีชื่อ ปรทัตตูปชีวีเปตร 

ส่วนวิญญาณที่ท่านอธิบายนั้น 
วิญญาณเป็นเพียงธาตุรู้ รู้ได้ ๖ ช่องทาง
๑.ถ้าวิญญาณไปตั้งที่ตา จึงสามารถรู้เห็นภาพต่างๆ คน,สัตว์,สิ่ง,ของ เป็นต้น
๒.ถ้าวิญญาณไปตั้งที่หู จึงสามารถรู้เสียงหรือได้ยินเสียงได้ เสียงคน เสียงหมา เสียงฟ้าร้อง เป็นต้น
๓.ถ้าวิญญาณไปตั้งที่จมูก จึงสามารถรู้กลิ่นได้ กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม เป็นต้น
๔.ถ้าวิญญาณไปตั้งที่ลิ้น
จึงสามารถรู้รสชาติชาติได้ รสหวาน รสเค็ม เปรี้ยว เป็นต้น
๕.ถ้าวิญญาณไปตั้งที่กาย
จึงจะสามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่กระทบหรือสัมผัสอยู่นี้ นุ่ม หรือ อ่อน หรือ แข็ง หรือ หนาว หรือร้อน
๖.ถ้าวิญญาณไปตั้งที่ใจ จึงจะสามารถรู้สึกนึกจำได้ คิดนึกเรื่องต่างๆได้

ก็คือวิญญาณไปตั้งที่ไหนแล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ
เที่ยวเกิดๆดับๆอยู่ ในที่ตั้งทั้ง๖ แบบนี้ตลอดเวลา

#ที่ตั้งนั้น คือ อายตนะ ๖
หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
_________
ภิกษุที่เป็น อเนญชา คือ เป็นภิกษุที่ได้อรูปฌาน
_____
ทั้งรู้ว่า "ยึด" เมื่อไร่ "ทุกข์" เมื่อนั้น
เช่น ยึดมั่นถือมั่นว่า 
"แฟน นี่ มันต้องรักเราคนเดียว เอาใจใส่เรา มันต้องเป็นอย่านั้นเป็นอย่างนี้ อย่างที่ใจเราต้องการ

(แต่พอมันเป็นไม่ได้ มันไม่ได้ดั่งใจปุ๊บ ทุกข์เกิดขึ้นทันที
 อกุศลเกิดขึ้นที่ใจทันที รุนแรงถึงกับ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำก็มี
ไปฆ่าตัวตาย กระโดดตึกตายก็มี เพราะเรื่องแค่นี้เอง
แม้จะความรู้จากการได้ใบปริญญาก็ไม่ได้มาช่วยอะไรเลย

ทั้งๆที่ ชีวิตนี่ ชีวิตใครๆมันก็กลัวตายกันอยู่แล้ว แม้แต่สัตว์ก็ยังกลัวตายเลย.. 
แต่ก็เพราะไม่มีปัญญา ที่จะดับอกุศลที่มืดมลกำลังนำพาไปทางเสื่อม ก็เลยหยุดการฆ่าตัวตายไม่ได้

ตายแล้วถ้าเป็นผี ก็จะวนเวียนฆ่าตัวตายแบบนั้น ๕๐๐ ครั้ง
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะต้องฆ่าตัวตายอีก



แล้วตายแบบมีอกุศลแบบนี้ ไปภพภูมิไม่ดีแน่นอน
มี อบายทุคคติวินิบาตนรก เปตร เดรัจฉาน เป็นที่รองรับ
และอย้ากมากที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก

ย้ากแค่ไหน
"พระพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์ที่ตายแล้วจะได้ความเป็นมนุษย์อีก
มีเท่ากับ เศษดินปลายเล็บที่เขี่ยติดขึ้นมา เทียบกับดินทั้งโลก

น่าคิดเหมือนกันน่ะ เราจะได้อยู่ในกลุ่มเศษดินปลายเล็บไหม
ที่จะได้ความเป็นมนุษย์


แล้วเทวดา ที่ตาย แล้วจะได้ความเป็นเทวดานี้อีก
ก็เหมือนกับเศษดินที่พระพุทธเจ้าเขี่ยติดปลายเล็บขึ้นมา


ฉะนั้นเราควรที่จะทำตนให้เป็นโสดาบัน พ้นนรกถาวร
เกิดอีก 7 ชาติ  สลับเกิดที่ ภพเทวดา กับภพมนุษย์
_________
ผัสสะที่ยังมีอาสวะ จะปฏิบัติอย่างไร

เมื่ออายตนะ ๖ เกิดผัสสะ
แล้วอวิชชาปรุ่ง โทสะ = ความประทุษร้าย) ปรุ่งเพื่อจะมาครอบจิต
#ถ้าเรามีวิชชามีกำลังก็ หยุดตรงสังขารที่มันปรุ่งกิเลสมาครอบจิตตรงๆเลย
#หรือถ้าวิชชาเกิดไม่ทัน มันกำลังหมุ่นภพ ชาติ ชรา มรณะ  ที่ไม่ดี หรือจะเรียกอีกอย่างว่า กำลังสร้างอนุสัยความเคยชินให้ ให้เรามีจิตน้อมมาทางเศร้าหมอง เมื่อเกิดผัสลักษณะแบบนี้ที่ไม่ดีในครั้งต่อไป)
มันกำลังหมุ่นภพ ชาติ ชรา มรณะ ที่เศร้าหมอง
จนเกิดวิชชา เกิดวิชชาแล้วมันก็ยังไม่ดับสนิท หลวงปู่เหรียญ บอกให้เฉยๆนิ่งๆแล้วเพ่งดูมัน มันจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ จนแพ้ผู้เพ่ง

#เมื่อมันแพ้แล้ว ก็เที่ยวไปในสติปัฏฐาน ๔ ต่อ
และเตือนตนเองว่า นี่แหละผลของการเผลอ พระพุทธเจ้าบอกว่า ภพแม้นิดเดียวก็น่ารังเกลียด โดยเฉพาะนี่เป็นภพที่เศร้าหมอง
#ไม่มีเหตุอันใดที่จิตสมควรจะเศร้าหมอง
จะบรรลุธรรมได้ ต้องยกจิตระดับพรหม (สมาธิฌานเล็กน้อย)
ถึงจะบรรลุอรหันต์ได้
ไอ้เศร้าหมองโทสะนั้น มันเป็นของสัตว์นรก อย่าไปชอบอย่าไปเอามัน อย่าไปเหมือนเขา

#และสำหรับผู้ยังใหม่จริงๆ ตัวอ่อนเลย
เมื่อเกิดผัสสะ ที่ยังมีอาสวะอยู่
อวิชชามันจะ ปรุ่งโทสะ มาครอบจิต
อย่ามีการกระทำชั่วทางกาย
อย่ามีการกระทำชั่ววาจา 
จิต ให้น้อมจิตไปใน เมตตา หวังประโยชน์อนุเคราะห์ แผ่จิตไปยังสัตว์อื่นๆทั่วโลก  และทำจิตให้หนังแน่นเหมือนแผ่นดินจะไม่ใคนขุดออกไปได้หมด หรือเหมือนหมอนทียัดนุ่นจะเอาไม้มาตีให้ดังเหมือนกองไม่ได้
______________
ผัสสะโลกุตรคือมรรคจิต ในอนาคต
_____________
กิเลสเป็นตัวยังไง

กิเลสคือความประพฤติหรือ
ลักษณะอาการ ทำออกมา
ทางกาย วาจา และใจ ที่ไม่ด

ีและบุญเป็นตัวยังไง

บุญเป็นลักษณะอาการทางใจที่รู้สึกปรอดโปร่ง รู้สึกโล่ง รู้สึกเบา รู้สึกดี
ทางวิทยาศาสตร์ตอนนี้เขาประดิษกล่องชนิดหนึ่งขึ้นมา
เพื่อมาตรวจจับออร่าคน
หรือตรวจจับแสงที่แผ่ออกรอบกาย
ถ้ามีเป็นคนมีความเชื่อมีความศรัทธา
จะเป็นแสงออร่างสีทอง
ถ้าเป็นคนมีความโกรธเยอะ จะเป็นแสงออร่าสีแดงส้ม

แต่คนที่ชอบเอาของไปใส่ในบาติพระ
หรือเอาของไปให้ผู้อื่น
หรือไปนั่งอยู่วัด พูดตัวอักษรที่จำได้ออกมา

แล้วเอากล้องไปส่อง จะเป็นแสงอ่อร่าสีทอง

และไอ้ แสงอ่อร่าสีทองนี้ เขาเอาไปตรวจวิเคราะว่า คนที่ร่างกายมีแสงอ่อร่าสีทองบ่อย
จะทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายดี ไม่แก่เร็ว และยังบอกได้อีกว่า คลื่นสมองอยู่ระดับเบ้ต้า (ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่สงบดี) ไม่ใช่คลื่นที่วุนวาย กัดแกร่ง ระดับเอาฟ้า)

แล้วถ้าอย่างนี้ เราก็คิดขึ้นมาเองไม่ได้หรือ
คิดในด้านดีแง่บวก
ตอบ แค่การคิดในด้านดีก็เป็นเหตุให้อ่อร่า มีสีทองนิดๆทองอ่อนๆได้ อันนี้สำหรับคนไม่มีศรัทธาเรื่องบุบบาป
) แต่ไม่ทองแบบประณีตสง่าละเอียด เหมือนคนที่มีศรัทธาความเชื่อปักลงไปด้วยด้วย


คนสองคน คนหนึ่งเชื่อเรื่องบุญบาป
อีกคนไม่เชื่อเลย

คนที่เชื่อเรื่องบุญบาป แค่คิดจะนำของใส่บาติพระในวันพรุ่งนี้
แสงออร่าก็แพ่เป็นสีทองอ่อนมากแล้ว

แล้วพอพรุ่งนี้ ได้ทำจริงๆ แสงอ่อร่างยิ่งทองเข้ม แผ่ออกมามาก


ส่วนคนไม่เชื่อเรื่องบุญบาป
แค่คิดว่าจะเอาของใส่บาตพระพรุ่งนี้
ก็เป็นแสงออร่าแบบธรรมาดาๆ เหมือนแสงอ่อร่าพวกยกลังของใส่รถขนส่งไบรศณี  เพราะเขาไม่มีศรัทธา


แล้วคนที่ทำบุญวางจิตคิดสละ หละ
แสงออร่าไม่เหมือนกันหรอ


ตอบ ลึกๆแล้ว เข้ามีศรัทธาความเชื่อ
เขาทำเพื่อฝึกให้ใจตนเอง ไม่ยึดไม่ผูกพันกับกามคุณ๔ (อันนีคือยกศัพททางพุทธศาสนามาง่ายดี)

แสงอ่อร่าก็เป๋นอีกอย่างหนึ่งประณีตกว่าแบบแรกทั้งหมด
____________
มีความสุข บนความทุกข์ของผู้อื่น(คนอื่น)
_______
เสพอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น
จิตใจก็จะเป็นเป็นไปทางนั้น

ดู พวกที่อยู่ในกลุ่ม "นักการเมือง"
จิตใจก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับพวกนักการเมือง
ขัดแย้ง โต้ตอบวาที วิจารย์ 

ดู พวกที่อยู่ในกลุ่ม พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น"
จิตใจก็จะโน้มเอียงมาทางธรรม
สงบเย็น ไม่ปวดหัว พวกนี้จะไม่ค่อยทุกข์มาก
_________
ต้องเห็นเห็นโทษของการนอนหลับ
การหลับแล้วจิตปรุ่งแต่งฝันในเรื่องที่โหดร้าย น่ากลัว เป็นทุกข์ แล้วไม่มีสติถอนออกมารู้สึกตัวได้
นี่คือโทษของการชอบหลับนอนมาก

ต้องเห็นเห็นคุณของการไม่ชอบหลับ
คือไม่ฝันปรุ่งแต่งนิมิตที่น่ากลัว
และกำจัดนิวรณ์ ๕ อันเป็นตัวกั้นฌาน
__________
นี้แลโทษของการพูด โดยที่ยังไม่พิจารณาก่อน จะเป็นภัยต่อชีวิตในการประพฤพรหมจรรณ์
_______
นี้แลโทษของการพูด โดยที่ยังไม่พิจารณาก่อน จะเป็นภัยต่อชีวิตในการประพฤพรหมจรรณ์
_________
สัมภเวสี คือผู้แสวงหาที่เกิด
มนุษย์ เทวดา พรหม ก็เป็นสัมภเวสี
_________
วิปัสนา คือการรู้สภาวะในปัจจุบัน เห็นความไม่เที่ยงของสภาวะ

สมะถะ คือ ยังไม่ดื่มรสของสมาธิเลย
_________
ร่างกายทุกคนกำลังแปรเปลี่ยนเดินไปหาความแก่ชรา อยู่ตลอดเวลา
ทุกคนก็ยอมรับในกฏข้อนี้ดีเฉพาะในเวลาที่คิดเรื่องนี้
แต่หลังจากนั้นไปคิดเรื่องอื่นๆ เพลิดเพลินในเหยื่อของโลก
ก็เลยลืมเรื่องนี้  ในขณะที่ร่างกายนั้นเสื่อมตลอดเวลา
และไม่เฉลี่ยวใจเลยว่าควรทำอะไร
ที่เป็นประโยชน์ที่สูงสุด 
ไม่ควรทำอะไร ก็ถ้าร่างกายตกอยู่ในอนิจจังความไม่เที่ยงอย่างนี้ ควรทำอย่างไร ควรคิดอย่างไร
_______
ทุกข์คนที่เกิดมาต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา
อย่าเห็นแก่ตัว คิดว่าเราทุกข์แค่เพียงคนเดียวเลย
บ้างคนเขายิ่งมีความทุกข์มาก ทุกข์มากยังไม่พอยังมีความลำบากอีก

ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ เขาไปฆ่าตัวตายไปตกนรกก็มี เพราะจัดการกับความทุกข์ไม่เป็น
ไปกินเหล้าก็มี ไปติดยาก็มี
ทุกข์เพราะไม่มีเงินก็ไปขโมยเขา
ทุกข์เพราะแฟนไม่ได้ดังใจก็มีแต่จะไปทำร้ายเขา
ศีล ๕ ขาดทะลุหมด ไม่มีความดีเลย
เพราะความความทุกข์ครอบงำ

อันว่าชีวิตนี้ที่มีอยู่น้อยนิดนัก ต้องลำบาก ต้องผิดศีล ต้องแสวงหามาเลี้ยงชีวิต 
ทั้งๆที่ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของตนเอง

ตายแล้วก็กลายเป็นศพจบกัน

บาปทั้งหลายที่ทำเพราะเหตุเลี้ยงร่างกาย
ก็เราเป็นผู้รับนี่เอง

ถ้าตกนรก ศพมันไม่ไปตกด้วยเลย
เราไปเป็นเปตร ศพมันไม่ไปเป็นเปตรด้วยเลย

พระพุทธเจ้าพระอริเจ้าทั้งหลายท่านพ้น
กรรมแล้วด้วยดี ถึงฝั่งแห่งนิพพาน อันเกษมเป็นบรมสุข 
_________

ในขณะเดินทาง

อารมณ์กำหนัดเมถุธรรมในเพศสตรีนี้
เป็นเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) (ทุกข์)

เพราะหลังจากนั้น
ตัณหาทางกายที่เป็น อบุญ
ตัณหาทางวาจาที่เป็น อบุญ
ตัณหาทางใจที่เป็น อบุญ
จะมีมากเจริญกว่าส่วนที่เป็นบุญ

กามคุณ ๕ เป็นเครื่องผูกเป็นเครื่องจองจำ
สำหรับผู้หลงเข้าไปติด จะออกนั้นไม่ใช่ง่ายๆ
________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น