วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2565

อาโลกสัญญา การทำกำหนดหมายในใจว่าสว่างก็คือดึงหรือระลึกถึง เจตสิกในช่วงตอนกลางวัน ที่จิตได้สัมปยุต กับความรู้สึกว่าสว่าง อรรถกถาสคารวสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยในสคารวสูตรที่ ๕. บทว่า ปเคว แปลว่า ก่อนทีเดียว. บทว่า กามราคปริยุฏฺฐิเตน ได้แก่ อันกามราคะเหนี่ยวไว้. บทว่า กามราคปเรเตน ได้แก่ ไปตามกามราคะ. บทว่า นิสฺสรณํ ความว่า อุบายเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะมี ๓ อย่างคือ วิกขัมภนนิสสรณะ สลัดออกด้วยการข่มไว้ ตทังคนิสสรณะสลัดออกชั่วคราว สมุจเฉทนิสสรณะ สลัดออกได้เด็ดขาด. ในอุบายเครื่องสลัดออก ๓ อย่างนี้ ปฐมฌานในอสุภะ ชื่อว่าสลัดออกด้วยการข่มไว้. วิปัสสนา ชื่อว่าสลัดออกได้ชั่วคราว. อรหัตมรรค ชื่อว่าสลัดออกได้เด็ดขาด. อธิบายว่า เขาย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดออกแม้สามอย่างนั้น. ในบทว่า อตฺตตฺถมฺปีติ เป็นต้น ประโยชน์ตนกล่าวคืออรหัต ชื่อว่าประโยชน์ของตน. ประโยชน์ของผู้ถวายปัจจัยทั้งหลาย ชื่อว่าประโยชน์ของคนอื่น. ประโยชน์แม้สองอย่างนั้นแล ชื่อว่าประโยชน์ทั้งสอง. ในวาระทั้งปวงพึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้. ส่วนความต่างกันดังนี้ ก็ในบทว่า พฺยาปาทสฺส นิสฺสรณํ เป็นต้น มีอุบายเครื่องสลัดออกสองอย่าง คือวิกขัมภนนิสสรณะ การสลัดออกด้วยการข่มไว้ และสมุจเฉทนิสสรณะ การสลัดออกได้เด็ดขาด. ในอุบายทั้ง ๒ นั้น ปฐมฌานในเมตตาสลัดพยาบาทออกได้ด้วยการข่ม. อนาคามิมรรคสลัดพยาบาทออกได้เด็ดขาด. อาโลกสัญญาสลัดถีนมิทธะออกได้ด้วยการข่ม. อรหัตมรรคสลัดออกได้เด็ดขาด. สมถกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งสลัดอุทธัจจกุกกุจจะออกได้ด้วยการข่ม. ส่วนในอุทธัจจกุกกุจจะนี้ อรหัตมรรคเป็นเครื่องสลัดอุทธัจจะออกได้เด็ดขาด. อนาคามิมรรคเป็นเครื่องสลัดกุกกุจจะออกได้เด็ดขาด. การกำหนดธรรมเป็นเครื่องสลัดวิจิกิจฉาออกได้ด้วยการข่ม. ปฐมมรรคเป็นเครื่องสลัดออกได้เด็ดขาด. ส่วนในข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุปมามีบทว่า เสยฺยถาปิ พฺราหฺมณ อุทปตฺโต สํสฏฺโฐ ลาขาย วา เป็นต้นใด ในอุปมาเหล่านั้น บทว่า อุทปตฺโต ได้แก่ ภาชนะเต็มด้วยน้ำ. บทว่า สํสฏฺโฐ ได้แก่ ระคนด้วยอำนาจทำสีให้ต่างกัน. บทว่า อุสฺมาทกชาโต คือ มีไอพลุ่งขึ้น. บทว่า เสวาลปณกปริโยนทฺโธ ความว่า อันสาหร่ายอันต่างด้วยพืชงาเป็นต้น หรืออันจอกแหนมีสีหลังเขียวเกิดขึ้นปิดหลังน้ำปกคลุมไว้. บทว่า วาเตริโต ได้แก่ ถูกลมพัดหวั่นไหว. บทว่า อาวิโล คือ ไม่ใส. บทว่า ลุฬิโต คือ ไม่นิ่ง. บทว่า กลลีภูโต คือ เปือกตม. บทว่า อนิธกาเร นิกฺขิตฺโต ได้แก่ อันบุคคลวางไว้ในที่ไม่สว่างมีระหว่างฉางเป็นต้นเป็นประเภท. ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกลับเทศนาจากภพทั้งสามแล้ว ทรงให้เทศนาจบลงด้วยธรรมอันเป็นยอดคืออรหัต. ส่วนพราหมณ์ตั้งอยู่แล้วในทางอันสงบ. จบอรรถกถาสคารวสูตรที่ ๕

           อาโลกสัญญา การทำกำหนดหมายในใจว่าสว่าง
ก็คือดึงหรือระลึกถึง เจตสิกในช่วงตอนกลางวัน ที่จิตได้สัมปยุต กับความรู้สึกว่าสว่าง


 อรรถกถาสคารวสูตรที่ ๕               
               พึงทราบวินิจฉัยในสคารวสูตรที่ ๕. 
               บทว่า ปเคว แปลว่า ก่อนทีเดียว. 
               บทว่า กามราคปริยุฏฺฐิเตน ได้แก่ อันกามราคะเหนี่ยวไว้. 
               บทว่า กามราคปเรเตน ได้แก่ ไปตามกามราคะ. 
               บทว่า นิสฺสรณํ ความว่า อุบายเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะมี ๓ อย่างคือ 
                         วิกขัมภนนิสสรณะ สลัดออกด้วยการข่มไว้ 
                         ตทังคนิสสรณะสลัดออกชั่วคราว 
                         สมุจเฉทนิสสรณะ สลัดออกได้เด็ดขาด. 
               ในอุบายเครื่องสลัดออก ๓ อย่างนี้ ปฐมฌานในอสุภะ ชื่อว่าสลัดออกด้วยการข่มไว้. วิปัสสนา ชื่อว่าสลัดออกได้ชั่วคราว. อรหัตมรรค ชื่อว่าสลัดออกได้เด็ดขาด. 
               อธิบายว่า เขาย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดออกแม้สามอย่างนั้น. 
               ในบทว่า อตฺตตฺถมฺปีติ เป็นต้น ประโยชน์ตนกล่าวคืออรหัต ชื่อว่าประโยชน์ของตน. ประโยชน์ของผู้ถวายปัจจัยทั้งหลาย ชื่อว่าประโยชน์ของคนอื่น. ประโยชน์แม้สองอย่างนั้นแล ชื่อว่าประโยชน์ทั้งสอง. 
               ในวาระทั้งปวงพึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้. 
               ส่วนความต่างกันดังนี้ ก็ในบทว่า พฺยาปาทสฺส นิสฺสรณํ เป็นต้น มีอุบายเครื่องสลัดออกสองอย่าง คือวิกขัมภนนิสสรณะ การสลัดออกด้วยการข่มไว้ และสมุจเฉทนิสสรณะ การสลัดออกได้เด็ดขาด. 
               ในอุบายทั้ง ๒ นั้น ปฐมฌานในเมตตาสลัดพยาบาทออกได้ด้วยการข่ม. อนาคามิมรรคสลัดพยาบาทออกได้เด็ดขาด. อาโลกสัญญาสลัดถีนมิทธะออกได้ด้วยการข่ม. อรหัตมรรคสลัดออกได้เด็ดขาด. สมถกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งสลัดอุทธัจจกุกกุจจะออกได้ด้วยการข่ม. ส่วนในอุทธัจจกุกกุจจะนี้ อรหัตมรรคเป็นเครื่องสลัดอุทธัจจะออกได้เด็ดขาด. อนาคามิมรรคเป็นเครื่องสลัดกุกกุจจะออกได้เด็ดขาด. การกำหนดธรรมเป็นเครื่องสลัดวิจิกิจฉาออกได้ด้วยการข่ม. ปฐมมรรคเป็นเครื่องสลัดออกได้เด็ดขาด. 
               ส่วนในข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุปมามีบทว่า เสยฺยถาปิ พฺราหฺมณ อุทปตฺโต สํสฏฺโฐ ลาขาย วา เป็นต้นใด ในอุปมาเหล่านั้น 
               บทว่า อุทปตฺโต ได้แก่ ภาชนะเต็มด้วยน้ำ. 
               บทว่า สํสฏฺโฐ ได้แก่ ระคนด้วยอำนาจทำสีให้ต่างกัน. 
               บทว่า อุสฺมาทกชาโต คือ มีไอพลุ่งขึ้น. 
               บทว่า เสวาลปณกปริโยนทฺโธ ความว่า อันสาหร่ายอันต่างด้วยพืชงาเป็นต้น หรืออันจอกแหนมีสีหลังเขียวเกิดขึ้นปิดหลังน้ำปกคลุมไว้. 
               บทว่า วาเตริโต ได้แก่ ถูกลมพัดหวั่นไหว. 
               บทว่า อาวิโล คือ ไม่ใส. 
               บทว่า ลุฬิโต คือ ไม่นิ่ง. 
               บทว่า กลลีภูโต คือ เปือกตม. 
               บทว่า อนิธกาเร นิกฺขิตฺโต ได้แก่ อันบุคคลวางไว้ในที่ไม่สว่างมีระหว่างฉางเป็นต้นเป็นประเภท. 
               ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกลับเทศนาจากภพทั้งสามแล้ว ทรงให้เทศนาจบลงด้วยธรรมอันเป็นยอดคืออรหัต. 
               ส่วนพราหมณ์ตั้งอยู่แล้วในทางอันสงบ.

               จบอรรถกถาสคารวสูตรที่ ๕  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น