วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

#เรื่องหมอดู ถ้าพวกท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว อาจจะไม่ต้องไปดูดวงอีกเลยในชีวิตนี้

#เรื่องหมอดู ถ้าพวกท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว อาจจะไม่ต้องไปดูดวงอีกเลยในชีวิตนี้

มนุษย์จำนวนหนึ่งค้นพบว่าระเบียบของดวงดาวที่โคจรบนท้องฟ้า มีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ และนั้นก็คือต้นกำเนิดของโหราศาตร์ พูดให้รวบรัดที่สุดคือ
ใครเกิดใต้ฤกษ์ดาวแบบไหน ก็อาจพยากรณ์ได้ว่าคนๆนั้นเป็นอย่างไร จะดีหรือตกยาก และใครทำอะไรใต้ฤกษ์ดาวแบบใด  ก็อาจพยากรณ์ได้ว่าคนๆนั้น
จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว

โหราศาสตร์จึงเป็นวิชาพยากรณ์ ที่อาศัยเวลาและตำแหน่งดวงดาวบน
ท้องฟ้าเป็นเครื่องมือทำนาย ต่างจากหัตถศาสตร์ที่อาศัยลายมือ และต่างจากการดูไพ่
ที่อาศัยสัญลักษณต่างๆของไพ่
มาเป็นเครื่องมือในการทำนายทายทัก

โหราศาตร์บอกเราในจำนวนดวงดาว
นับล้าน มีเพียงไม่กี่ดวงที่แผ่อำนาจสำคัญ
มาบันดลบันดาลชีวิตมนุษย์เราให้เป็นไป
ต่างๆนาๆและดาวเหล่านั้นก็คือดาวที่ใกล้
โลกเรา เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบดี เป็นต้น

การจะเอาดวงดาวมาคำนวนชะตา ก็ต้องใส่รหัสเป็นตัวเลข ให้กับดาวต่างๆ เช่น พระอาทิตย์เป็นเลข ๑  พระจันทร์เป็นเลข ๒  
พระอังคารเป็นเลข ๓
ส่วนวิธีคำนวนเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับแนวทางของแต่ละสายความเชื่อของใครของมัน

จุดเริ่มต้นของการทำนาย จะถือเอาวัน เดือน และปีเกิด ของคนๆหนึ่งเป็นสำคัญ เพราะ ณ ตำแหน่งเวลานั้นๆ เราสามารถตรวจสอบได้ว่าดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ตรงไหน เข้ารหัสแล้วจะตีความเป็นอย่างไรได้บ้าง
เช่น เกิดมาหน้าจะปกติหรือตาเหล่
จะแวดล้อมด้วยคนอิจฉาหรือคนสรรเสิญ
จะเจอแต่มิตรดีหรือมิตรชั่ว
จะประสบเคราะห์เบาหนักช่วงไหน
จะมีชีวิตอยู่ในโลกได้กี่ปี
ชีวิตจะไปทางดีหรือทางเสื่อม โตขึ้นจะสร้างความร่ำรวยให้พ่อแม่ หรือแก่แล้วก็ยังคงให้พ่อแม่สร้างความ
ร่ำรวยให้ตนอยู่ เป็นต้น

จุดที่หน้าสังเกต คือ วันเกิดของคนๆหนึ่ง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
#และหากเชื่อมั่นอย่างเหนียวแน่นว่าทุกสิ่งในชีวิตถูกกำหนดไว้แล้วด้วยดวงดาวประจำวันเกิด ก็แปลว่าคุณไม่มีทางเลี่ยงอื่น นอกจากปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามดวงดาว ไม่ต้องยกระดับให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม เพราะพยายามให้ตายก็ได้เท่าที่ดาวบังคับไว้แล้วอยู่ดี

ในทางปฏิบัตินะครับ หมอดูที่รู้จักดวงดาวละเอียด กับทั้งทราบวันเดือนปีและเวลากับสถานที่
ที่เกิดของลูกค้าอย่างถูกต้อง ก็อาจทำนายทายทักได้ตรงเผงเป็นวันหรือ
เป็นชัวโมงอย่างหน้าขนหัวลุก

อย่างไรก็ตามครูทางโหราศาตร์
มักพูดตรงกัน
ถ้าลูกค้าเป็นพวกมีน้ำใจให้ทรัพยทาน
อภัยทาน และธรรมทานบ่อย 
กับทั้งถือศีล ๕ บริสุทธิ์ครบทุกข้อ
มักมีชีวิตต่างไปจากดวงเดิม หากอยู่ในช่วงขาลง ก็มักไม่ลงจริง
หรือกระทั้งไม่มีวี่แววจะลงแม้แต่นิดเดียว
แต่หากอยู่ในช่วงขาขึ้น แทนที่จะขึ้นน้อยก็กลายเป็นขึ้นมาก
หรือที่ต้องขึ้นมากก็กลายเป็นขึ้นสุดขีดตามความความคาดฝัน

พูดง่ายๆคือหมอดูแม่นแค่ไหนก็เถอะ บางคราวอาจทายผิด ต้องขหมวดคิ้วนิ่วหน้า อยากแอบเปิดตำราทบทวนว่าตนพลาด
ตรงไหน ความจริงอาจไม่พลาดหรอกครับ
#ถ้าลูกค้าเป็นคนธรรมดาที่สถานะการณ์
ยุให้ผิดศีลอย่างไรก็ไหลตามนั้นอย่างนั้น ชะตาก็คงเป็นไปตามเส้นทางที่กรรมเก่า
บังคับไว้
#แต่พอเป็นคนพิเศษที่ใจกว้างด้วยทาน
และจิตสะอาดด้วยศีล ด้วยธรรม
ทุกอย่างเลยต่างไป
ยิ่งถ้าเจริญสติรู้กายใจ เส้นทางกรรมที่ดวงดาวขีดไว้แล้ว ก็จะเข๋เปลี่ยนไป #ไม่เป็นไปตามรอยเดิมของกรรม

ทำไมเป็นเช่นนั้น? คำตอบคือเพราะการใช้ชีวิตแบบคนมีกิเลสเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าโต้ตอบกับกรรมเก่าด้วยกิเลส
ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนการเดิมที่ดวงดาววางไว้ แต่หากตั้งใจถือศีล ซึ่งนับเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ แผนเก่าก็พัง
ที่ต้องซวยมากก็ซวยน้อย หรือไม่ซวยเลย
นี่แหละที่โหราศาตร์จริงเชิงพุทธ
บอกกับเราไว้


ฝืนดวงแบบพระพุทธเจ้าสอน

อานิสงค์สำหรับผู้ทำศีลให้บริบูรณ์
   ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีศีลสมบูรณ์
มีปาฏิโมกข์สมบูรณ์อยู่เถิด พวกเธอทั้งหลาย จงสำรวมด้วยปาฏิโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมรรยาทและโคจรอยู่เถิด
จงเป็นผู้เห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายที่มี
ประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด"

ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุหากจำนงว่า เราพึงเป็นที่รัก ที่เจริญใจ ที่เคารพ ที่ยกย่อง ของเพื่อนผู้ประพฤพรกมจรรย์ด้วยกันทั้งหลาย ดังนี้แล้ว
เธอพึงทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย พึงตามประกอบในธรรมเป็นเครื่องสงบแห่งจิตในภายใน เป๋นผู้ไม่เหินห่างจากฌาน
เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยวิปัสนา และให้วัตรแห่งผู้อยู่สูญญาคารทั้งหลาย เจริญงอกงามเถิด


ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุหากจำนงว่า"ญาติสาโลหิตทั้งหลาย ซึ่งตายจากกันไปแล้ว มีจิตเลื่อมใสระลึกถึงเราอยู่ ข้อนั้นจะพึงมีผลมาก มีอานิสงค์มากแก่เขาเหล่านั้น"

 ภิกษุทั้งหลาย
ถ้าภิกษุหากจำนงว่า" เราพึงได้ตามต้องการ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งฌานทั้งสี่ อันเป็นไปในจิตอันยิ่ง

ภิกษุทั้งหลายหากจำนงว่า"
เราพึงเป็นโสดาบัน
สกทาคามี
อนาคามี
อรหันต

์หรือ มีตาทิพย์ 
หูทิพย
์รู้จิตสัตว์
ระลึกชาต
ิรู้กรรมของสัตว์



#สมัยพุทธกาล มีลัทธิหนึ่งเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
เก่าทั้งหมด"
พระพุทธเจ้าเราผู้มีญาณหยั่งรู้ที่เที่ยงแท้
 ก็ทรงคัดค้าน เพราะมันไม่ใช่

และอีกลัทธิหนึ่ง เชื่อว่ากรรมไม่มี"
พระพุทธเจ้าเราผู้มีญาณหยั่งรู้ที่เที่ยงแท้
 ก็ทรงคัดค้านและตรัสว่า เชื่อว่ากรรมไม่มีอันตรายอย่างยิ่ง

ผมอยากจะสรุปตามความเข้าใจของผมคือ
มนุษย์เราที่นั่งถื่อๆอยู่นี้
มีกรรมเก่าคอยให้ผลด้วย
กุศลกรรมคือกรรมขาว อกุศลกรรมคือกรรมดำ

ถ้ากุศลกรรมให้ผลเรา ขณะนั้นใจเราจะสว่างเบารู้สึกมีสุข
ทำอะไรดีไปหมดเจริญขึ้นไปหมดในชีวิต
มีแต่เรื่องดีๆ หรือเรียกอีกอย่างว่าดวงขึ้น

ถ้าอกุศลกรรมให้ผลเรา
ขณะนั้นใจเราจะมืดมนเศร้าหมอง
ทำอะไรก็ไม่ดีแย่ลงไปหมด มีแต่เรื่องมีแต่ปัญหา ต่างๆ
หรือเรียกอีกอย่างว่า ดวงตก


และในขณะนั้นเองเราก็มีโอกาส
ทำกรรมใหม่ด้วย

เข่นเราค้าขายไม่ขึ้น เป็นคนจนแบบใส้แห้ง
เพราะในอดีตชาติเราตระหนี่ไม่ทานให้ใครเลย
เราทำกรรมใหม่ คือไปทำทานกับพระอริยะหลังออกนิโรธสมาบัติ เราจะเปลี่ยนเป็นคนรวยภายใน๗วัน



หรือเช่น เราเกิดอุบัติเหตุบ่อย หรือมีโรคที่หมอตรวจแล้วก็หาไม่เจอ
เป็นโรคเวรกรรมที่เคยทำเขาไว้
เราทำกรรมใหม่คือ เราไปไถ่ชีวิตสัตว์ใหญ่ ปล่อยนกปล่อยปลา ช่วยเหลือให้เขาเป็นอิสระ อุทิศบุญไปให้สิ่งที่มองไม่เห็นจนเขาพอใจ
มันก็หาย



หรือเช่น เราทุกข์ใจ
เพราะเราเป็นคนชอบคิดมากเอง
ชอบกังวนเองด้วยเหตุกรรมส่งเราให้อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น
เราทำกรรมใหม่ คือเจริญสติรู้กายใจ
ความทุกข์ใจทั้งหลายมันจางคลายหายลดลง

นี่คือความเข้าใจของผมครับ
ที่เคยอ่านธรรมะมา ที่เคยฟังเทศมา
และเคยอยู่กับใกล้ชิดกับคนมีอภิญญาจิต
________________

ที่ผ่านมาเราเข้าใจผิด
คือเราเข้าใจว่าความทุกข์ 
คือโทสะ. แต่เป็นธรรมฝ่ายโทสะ
_______________
ละลึกถึงผู้สว่าง จิตจะสว่างตาม

พระพุทธเจ้าเป็นผู้สว่างที่สุด
การปฏิบัติ นึกถึงพระพุทธเจ้าผู้สว่างทึ่สุดแล้วบริกรรมเป็นภาษาบาลี คำว่า พุทโท อาโลโก ซึ่งแปลว่า พุทโท พระพุทธเจ้า อาโลโก สว่าง รวมกัน คือ พระพุทธเจ้าสว่างๆๆๆๆๆ 

คือให้นึกถึงพระพุทธเจ้าผู้สว่างพร้อมกับพูดเป็นเสียงในใจว่า พุทโทอาโลโก ๆๆๆๆไปเรื่อยๆ    

จิตจะรวมเป็นปฐมฌาน วิตก วิจาร ปิติ สุข 
____________
ประพฤผิดตามธรรมที่ว่าด้วยมรรคปฏิปทา
การแก้ไขทิฏฐิหรือลงโทษ

1ข่มขูหรือตักเตือน
ถอดยศหรือตัดสิทธิถอดยศเหลือ0 กลับไปถือนิสัยใหม่ เพราะไม่รู้เรื่องอะไร
3กลับไปขอโทษคฤหัส สอนผิด ถ่ายถอดสอนผิด
5ขับไล่ออกจากหมู่
___________
ธรรมะ 5 ประการ
พิจารณาเห็นความไม่งามของกาย
เห็นความปฏิกูลของอาหาร
วางความพอใจในโลกทั้งปวง
เห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งหลาย
มรณสัญญาอันเขาตั้งไว้
________
ร่างกายแหล่งรวมอาหารนี้ สุดท้ายก็ถูกไฟย่างไฟเผา  เหมือนย่างเนื้อดิบ เดือดซีสๆ

ในขณะที่มันยังไม่เจ็บ ยังไม่พัง ยังไม่ป่วยยังไม่ตาย ยังสามารถใช้ร่างกาย ใช้คำพูด ใช้จิต ก่อกรรมได้เต็มที่เลย ไม่จำกัด

มันมีชีวิตอยู่ทำงาน
ประกอบเลี้ยงชีพหาน้ำ หาอาหารมา
ก็เพื่อใส่เข้าปากมัน เพื่อให้กายมันไม่เสื่อมตายเร็ว

แต่ขณะที่แสวงหาน้ำ หาอาหาร รสอร่อย หรือไม่อร่อย มายัดใส่ปากมัน
เพื่อให้ชีวิตอยู่ก่อกรรม

#กายกรรมบาป เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ลักขโมยของที่มีเจ้าของ
ทำผิดในเรื่องกามเรื่องเพศ ผีเปตรบังตา

#วจีกรรมบาป 
พูดโกหกจนจิตบิดเบี้ยว 
พูดส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น
เพื่อทำลายฝ่ายนี้
หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้
เพื่อทำลายฝ่ายโน้น จนเขาแตกกัน
พูดหยาบคาย
กระทบกระเทียบเสียดแทงจิตใจผู้อื่น
พูดเพ้อเจ้อ ไม่มีประโยชน์ หาสาระไม่ได้ ทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาทิ้ง


#มโนกรรมบาป 
คิดจ้องจะขโมยของๆผู้อื่น
คิดไม่ดีพยาบาตอาฆาตผูกเวรจองล้างกัน
บุญไม่มีบาปไม่มีโว้ย หรือมีก็ช่างมัน


กรรมใดที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน
กายกรรมนั้นอย่าทำ
กรรมใดที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน
วจีกรรมนั้นอย่าทำ
กรรมใดที่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน
มโนกรรมนั้นอย่าทำ

กรรมใดที่เป็นไปเพื่อมรรคลผลนิพพาน
กายกรรมนั้นจงทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน
เดินจงกลม นั้งสมาธิ

กรรมใดที่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน
วจีกรรมนั้นจงทำตามพระพุทธเจ้าสอน
สาธยายท่องบ่นสูตรที่เตือนให้เกิดสติ
สวดมนต์ให้เป็นผู้รู้เสียงสวด
พุทโธ ให้รู้ พุทโธ 
อะระหังสัมมา ให้รู้ อะระหังสัมมา

กรรมใดที่เป็นไปเพื่อมรรคลผลนิพพาน
มโนกรรมนั้นจงเร่งความเพียร ทำตามพระพุทธเจ้าสอน
เจริญสติ รู้กายรู้ใจ นอนก็รู้ นั้งก็รู้ เดินก็รู้ ยืนก็รู้
ใจทุกข์อึดอัดแน่น ใจเดือดเป็นไฟก็รู้ ใจมันเฉื่อยถือไม่มีกำลังก็รู้
มันสุขเบาจิตเบาใจก็รู้ 
โกธรก็รู้ ใจมันเบาว่างก็รู้

นี่แลคือใช้ มันคุ้ม สุดๆ
ก่อนที่มันจะหมดเวลา
__________
หูฟัง NUBWO no.313

3.5
______
มีความสุขอยู่กับตัวเองยังไม่ได้
ก็อย่าเพิงหวังว่าจะให้คนอื่น
มีความสุขกับคุณได้

ได้รับความรักไว้อย่างไร
ก็คือการ รับกรรมที่เคยก่อไว้
อย่างนั้น

แค่คาดหวังไว้ผิด
ก็มีสิทธิ์ตั้งต้นพลาด

ถ้าเปลี่ยนจากอยากให้เขาหรือเธอ
มีใจมั่นคงกับคุณ
มาเป็นอยากให้เขาหรือเธอ
มีความสบายใจ อยู่กับคุณ
โจรท์ในใจ ที่ต่างกันนั้น
จะทำให้วิธีคิดแตกต่าง
และมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม
_____________
ถ้าเขาคิดว่า เขามีแค่ตัวตนทางด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว
เขาก็จะเอาแต่ความสุขทางร่างกาย
ไปเสพเนื้อหนังกายโสเพณี
ไปซื้อน้ำกามจากผู้ชาย

แต่ถ้าเขาคิดว่า มีทางจิตใจด้วย
เขาก็จะมุ่งมาเอาความสุขที่ทางจิตเป็นใหญ่
คือทำสมาธิ

ครั้งหนึ่งมีภิกษุลามก สอดอวัยวะเพศตนเข้าไปใน ปากคนตายที่เขาเอาไปทิ้งป่าช้า

พระพุทธเจ้ารู้ ตรัสว่า
ภิกษุเธอเอาอวัยวะเพศไปสอดใส่ปากงูพิษยังจะดีกว่าเลย เพราะการที่เธอเอาไปสอดใส่ปากงูนั้น เธอพึงโดนพิษนั้น ถึงอาการเจ็บปางตาย เจ็บเจียนตาย ทำกาละ(ตาย) ลง
ก็พึงเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์

แต่การที่เธอเอาไปสอดใส่ปากคนตายนั้น
เธอพึงเข้าถึงนรกหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยเหตุแห่งการกระทำชั่วนั้น

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้า ก็มุ่งสอนให้ภิกษุเข้าถึงความสุขจากสมาธิ ที่ไม่มีพิษไม่มีภัยและความสุขอันยิ่งๆขึ้นไปคือเป็นบรมสุข

ภิกษุก็ทำสมาธิ เมื่อทำก็บรรลุวิชา
1ระลึกชาติตนเองได้
2มีญาณรู้ใครตายไปเกิดไหนบ้างรู้หมด


บางองค์ก็บรรลุ อภิญญา5
1ตาทิพย์
2หูทิพย์
3
____________
อารมณ์อะไรๆที่มันผ่านมาทางใจ มันเป็นของหลอกเล่นทั้งสิ้น ทุกสิ่งผ่านมาเพื่อล่อให้เราก่อกรรม
ไม่ใช่มาเพื่ออยู่กับเราตลอดไป

มันมาทางเสียง เช่น เขาด่าว่าใส่ร้ายเรา เขาซุบซิบนินทาเรา
อารมณ์ทุกข์ร้อนอัดแน่นจะปรากฏที่ใจ เพื่อล่อให้เราก่อกรรม 3
1.ทางกาย  คือไปเบียดเบียนทำร้ายเขา
2.ทางวาจา คืออ่าปากพ้นไฟใส่ร้ายเอาคืนเขา
3.ทางใจ คิดพยาบาต อาฆาตแค้นจองเวรเขา

ในทางปฏิบัติต่ออารมณ์
ให้เฉยรู้ จะเห็นสภาวะอัดแน่นไม่จริง แปรปวนไม่คงที่ไม่เท่าเดิม"
ให้รู้มันเฉยๆ

พระพุทธเจ้าบอกว่า "อารมณ์" ไม่เที่ยง มันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ จางคลายดับไปเอง

นี่แหละที่ท่านเรียก"อนัตตา" ไม่ได้เชิญก็มาเอง และไม่ต้องไล่ ก็ไปเอง

หลวงปู่มั่นจะเรียกว่า "กระปอมก่า"มันมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย


ทางตา คือธาตุเห็นรูป สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อธาตุเห็นรูป
ตาเราไปเห็นรูป
มันผ่านมาเพื่อล่อให้เราก่อกรรม

ทางหู  คือธาตุเสียง สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อเสียง
เช่นหูเราได้ยินเสียง
มันผ่านมาเพื่อให้เราก่อกรรม


ทางจมูก คือธาตุกลิ่น
สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อกลิ่น
เช่นจมูกได้กลิ่น
มันจะผ่านมาเพื่อให้เราก่อกรรม


ทางลิ้น คือธาตุรส
สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อรส
มันจะผ่านมาเพื่อให้เราก่อกรรม


ทางกาย คือธาตุสัมผัส
สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อสัมผัส
เช่นมีสิ่งกระทบกาย
มันผ่านมาเพื่อให้เราก่อกรรม


ทางใจ คือธาตุธรรมารมณ์
สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อธรรมมารมณ์
มันจะผ่านเข้ามาเพื่อให้เราก่อกรรม

เช่นมันผุดขึ้นมา คิดเล็กคิดน้อย คิดหยุมหยิมเอง เก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมาปล่อยให้มัน
ไหลเอื่อยเฉื่อยอยู่ในหัว

#เนื้อทั้ง๖ อุปมาเปรียบเหมือนน้ำ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปรียบเสมือนสัตว์อยู่ในน้ำ


ลูกธนูแล่นจากแหล่งไปถึงเป้าได้เพราะวิ่งตรง ไม่ใช่เพราะส่ายไปส่ายมา
ขวาที ซ้ายที่ 
____________
อ่านวินัยปิฏก แล้วใจยึดเคร่งวินัยอย่างเข้ม รู้สึกเป็นทุกข์ใจ ไม่จิตตะลหุตา พระมงคลชัย กิตติโสภโณ เลยเจริญจิตตานุปัสนาดูใจที่เคร่งวินัยเป็นทุกข์ ที่ไม่ใช่จิตตะลหุตา คือจิตเบาสบาย จึง
ใช้ชีวิตปกติในแบบพระพร้อมกับเจริญจิตตานุปัสนาจากนั้น ใจยึดเคร่งวินัย ที่ไม่ไม่ใช่จิตตะลหุตา เบาสบาย  มันค่อยๆคลายหายไป เป็นจิตตะลหุตา ปกติเบา เป็นจิตตะลหุตาแทนจิตที่ยึดเคร่งวินัยแนวไม่ผาสุข ไม่ใช่จิตตะลหุตา
____________
ศรัทธา
ศีล
สุตะ
จาคะ
ปัญญา


ศีล
ไม่เหินห่างจากฌาน
วิปัสนา
สูญาครวัตร

อิทธิบาท๔
ฉันทะ ชอบ
วิริยะ  ความเพียร ลูกธนูแล่นจากแหล่งไปถึงเป้าได้เพราะวิ่งตรง ไม่ใช่เพราะส่ายไปส่ายมา
ขวาที ซ้ายที่ 
จิตตะ ไม่ฟุงซ่าน 
วิมังสา
__________
คนที่มีอัตตา ครอบงำจิต
ก็จะคิดไปหาคนอื่น ว่าเขาเป็นอัตตาเหมือนกัน

ส่วนพระอรหันต์นั้น ท่านไม่คิดว่า มีสัตว์บุคคล ตัวเรา ตัวเขา อยู่เลย

มีแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ผู้ที่ปราถนาเป็นพระอรหันต์หรือพ้นทุกข์ ก็จงคิดเหมือนพระอรหันเถิด
จงเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา
ทั้ง๖ทาง และทางใจ ล้วนเป็นธรรมมารมณ์ที่ไม่เที่ยง
เป็นอนัตตา ล่อให้เราหลงเข้าไปยึดแล้วก่อกรรม




#เวลากิเลสเข้า ธรรมะสักบทจะไม่โผ่ขึ้นมาเลย
*เลากิเลสเข้า ธรรมมารมณ์สักบทจะไม่ผุดขึ้นมาเตือนเลย "

สิ่งใดปรากฏ ณ ปัจจุบันนี้
สิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นอนัตตานะ"
ไม่เกิดเลย



และถ้าเชื่อ เจตนา และ select  เจตนานั้น
ก็จะไหลทำกรรม ไม่ว่าจะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไป และจะไม่รู้ตัว
จนกว่าจะเกิดสติรู้

#การด่าหรือว่าบริบาศ เพื่อนภิกษุด้วยกัน
ย่อมเสื่อมจากธรรม ๑๐ ข้อนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
(ที่จำได้คือ 
*ธรรมที่ได้รู้มาจะเสื่อม ข้อนี้สำคัญมากๆ
ไฉนเลยว่าให้ ฆราวาส ก็คงจะมีผลเหมือนกัน

ขึ้นชื่อว่าธรรมเสื่อม น้อยหนึ่งก็ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้มุ้งอรหันต์ต้องการ
การโกหก การผิดสัจจะ เป็นเหตุให้จิตบิดเบี้ยว นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พระอรหันตต้องการ

*ก่อนตายจิตย่อมเศร้าหมอง
*ไม่เจริญยิ่งขึ้นในธรรม


ขณะกวาดใบไม้ เห็นรถมารับพระไปสวดคนตายยายพร พึงนำศพมา
ตาเห็นปุ๊บ ปรุ่งแต่งว่า เขาไม่รอเรา เขาไม่เอาเรา เขาอยู่คนละฝ่าย
อยู่คนละข้างกับอัตตาเรา
จิตเขาต่ำกว่าเรา เขาไม่รู้ เขาหลง
เขาไม่เหมือนเรา 

#เวลาที่จิตเราจะขุ่นมัว
เราจะมองหาและชีโทษบุคคนที่ทำให้เราจิตขุ่นมัว ว่าเขาอยู่คนละฝ่าย
อยู่คนละข้างกับอัตตาเรา

หารู้ไหมว่า เหตุมันเกิดที่ใจตนเอง

และหารู้ไหมว่า ลึกๆแล้วมันยังต้องการเงินธาตุดิน

กิเลสจุดไฟ แล้วก็หนีไป ปล่อยให้เรารับผิดชอบ
กิเลสมันมือบอลขนาดไหนดูสิ

#ขณะเห็นหมาตัวผู้ กำลังเลียหีมาตัวเมีย
ปรุงแต่งว่า มันจะเลียหี เราไม่อยากให้มันติดในกาม อยากให้ออกจากกาม

จึงปรุงแต่งว่า ต้องกวาดเพื่อสะกิดความสนใจมัน
เมื่อกวาดแล้วมันก็ไม่ได้ผล
จึง ทำปาก ดูดลมเข้ารู้ฟันโบ๋

มันจึงหันมามอง
แล้วมันก็กลับไปเรียเหมือนเดิม

เรานั้นก็อยากจะไปดู สัตว์มันติดในกามเลียหีหมา มันเป็นยังไง


หลังจากนั้น ปฏิกริยาทางเพศก็เกิด อวัยะเพศมัน รู้สึกกำเลิบขึ้น3% นิดเดียว

เราก็เลย รู้ขึ้นมาว่า
มันละเอียดอยู่ข้างใน
กายมันเป็นของมันไปเอง ทั้งๆที่ใจเราไม่มีราคะขึ้น
แต่มันก็เป็นมันละเอียดจริงๆ
________
กรรมวาจากฐิน
คำถวายผ้ากฐิน
อิมัง ภันเต, สะปะริวารัง,กะฐินจะจีวะระทุสสัง,
สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ,สาธุ โน ภันเต,สังโฆ, อิมัง,
สะปะริวารัง,กะฐินะทุสสัง ปะฏิคคัณหาตุ,
ปะฏิคคะเหต๎วา จะ,อิมินา ทุสเสนะ,กะฐินัง,อัตถะระตุ
, อัมหากัง,ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ.
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวรกับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์
ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้ของข้าพเจ้า
ทั้งหลาย รับแล้ว จงกรานกฐิน ด้วยผ้านี้
เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
สิ้นกาลนาน เทอญ.
คำอปโลกน์กฐิน
รูปที่ 1
ผ้ากฐินทาน กับทั้งผ้าอนิสังสบริวารทั้งปวงนี้ เป็นของ
…… พร้อมด้วย…….ผู้ประกอบด้วยศรัทธาอุตสาหะ
พร้อมเพรียงกันนำมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ผู้
อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสในอาวาสนี้
ก็แล ผ้ากฐินทานนี้ เป็นของบริสุทธิ์ดุจเลื่อนลอยมา
โดยนภากาศแล้วแลตกลงในที่ประชุมสงฆ์ จะ
ได้จำเพาะเจาะจงลงว่า เป็นของภิกษุรูปใด
รูปหนึ่งก็หามิได้ มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ว่า
ให้พระสงฆ์ทั้งปวงยอมอนุญาตให้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อ
จะทำซึ่งกฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาต
และมีคำพระอรรถกถาจารย์
ผู้รู้พระบรมพุทธาธิบายสังวรรณนาไว้ว่า ภิกษุรูป
ใดประกอบด้วยศีลสุตาธิคุณ มีสติปัญญาสามารถ
รู้ธรรม 8 ประการ มีบุรพกิจเป็นต้น ภิกษุรูปนั้น
จึงสมควรเพื่อจะทำซึ่งกฐินนัตถารกิจ
ตามพระบรมพุทธานุญาตได้
บัดนี้ พระสงฆ์ทั้งปวง จะเห็นสมควรแก่ภิกษุรูปใด
จงพร้อมกันยอมอนุญาตให้แก่ภิกษุรูปนั้น เทอญ. (ไม่
ต้องสาธุ)
รูปที่ 2
ผ้ากฐินทาน กับทั้งผ้าอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้
ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นสมควรแก่…..เป็นผู้มีสติปัญญา
สามารถ  เพื่อกระทำกฐินนัตถารกิจให้ ถูก
ต้องตามพระบรมพุทธานุญาตได้ ถ้าพระภิกษุรูป
ใดเห็นไม่สมควร จงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ (
หยุดรอครู่หนึ่ง) ถ้าเห็นสมควรแล้วไซร์ จง
ให้สัททสัญญา สาธุการขึ้นให้พร้อมกัน เทอญ.(สาธุ
พร้อมกัน)
แบบกรรมวาจาสวดให้ผ้ากฐิน
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต
สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต
สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต
สัมมาสัมพุทธัสสะ.
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ,อิทัง สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง
อุปปันนัง,ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง,สังโฆ อิทัง
สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง อาย๎สมะโต อิตถันนามัสสะ
ทะเทยยะ,กะฐินัง อัตถะริตุง,เอสา ญัตติ.
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ,อิทัง สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง
อุปปันนัง,สังโฆ อิมัง กะฐินะทุสสัง อาย๎สมะโต
อิตถันนามัสสะ เทติ,กะฐินัง อัตถะริตุง,
ย๎สสายัส๎มะโต ขะมะติ, อิมัสสะ กะฐินะทุสสัสะ,
อายัส๎มะโต อิตถันนามัสสะ ทานัง,กะฐินัง อัตถะริตุง,
โส ตุณ๎หัสสะ,ยัสสะ นักขะมะติ,โส ภาเสยยะ.
ทินนัง อิทัง สังเฆนะ,กะฐินะทุสสัง อายัส๎มะโต
อิตถันนามัสสะ กะฐินัง อัตถะริตุง,ขะมะติ สังฆัสสะ,
ตัส๎มา ตุณ๎หี, เอวะเมตัง ธาระยามิ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผ้ากฐินผืนนี้เกิดขึ้น
แล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงให้ผ้ากฐินผืนนี้แก่ภิกษุผู้มีชื่อนี้เพื่อกรานกฐิน
นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ของสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ผ้ากฐินผืนนี้เกิดขึ้นแล้วแก่สงฆ์ สงฆ์ให้ผ้ากฐินผืนนี้
แก้ภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อกรานกฐินการให้ผ้ากฐินผืนนี้
แก่ภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อกรานกฐิน ย่อมชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้
นั้นพึงพูด ผ้ากฐินผืนนี้ สงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุ
ผู้มีชื่อนี้เพื่อจะกรานกฐินย่อมชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้น
จึงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
(คำว่า อิตถันนามัสสะ ใช้เปลี่ยนตามชื่อของภิกษุ
ผู้รับกฐิน เช่น ขันติธัมโม เปลี่ยนเป็น ขันติธัมมัสสะ
ถ้าภิกษุนั้นอ่อนกว่าผุ้สวด ต้องตัดอายัส๎มะโต
ออกเสีย แล้วเติมภิกขุโน ต่อท้ายคำ อิตถันนามัสสะ
เช่น อายัส๎มะโต อิตถันนามัสสะ เปลี่ยนเป็น
อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน)
คำกรานกฐิน
ผ้าสังฆาฏิ  อิมายะ สังฆาฏิยา กะฐินัง อัตถะรามิ.
ผ้าอุตตราสงค์ อิมานา อุตตะราสังเฆนะ กะฐินัง
อัตถะรามิ.
ผ้าอันตรวาสก อิมานา อันตะระวาสะเกนะ กะฐินัง
อัตถะรามิ.
คำอนุโมทนากฐิน
อันภิกษุผู้กรานกฐินนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์
ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคองอัญชลี
กล่าวอย่างนี้ว่า
“อัตถะตัง อาวุโส (ภันเต) สังฆัสสะ กะฐินัง,ธัมมิโก
กะฐินัตถาโร, อะนุโมทะถะ.ท่านเจ้าข้า
กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม
ขอท่านทั้งหลาย อนุโมทนาเถิด.”
ภิกษุผู้อนุโมทนาเหล่านั้น พึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
ประคองอัญชลีกล่าวอย่างนี้ว่า
“อัตถะตัง ภันเต (อาวุโส) สังฆัสสะ กะฐินัง, ธัมมิโก
กะฐินัตถาโร, อะนุโมทามะ. ผู้มีอายุ
กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม เรา
ทั้งหลาย อนุโมทนา.” Source)
at java.lang.Thread.run(Thread.java:1019)
)
_______________
ชราธัมโมมิ
เรามีความแก่เป็นธรรมดา
________
เทวดาเอ้ย..มีพระนักปฏิบัติสายหลวงพ่อชา
มาขอตั้งวัดอยู่ทางป่าแถวลำน้ำมูล บ้านหนองเทา

อาตมาได้ยิน พระเถระองค์หนึ่งมียศใหญ่พูดกับพระลูกวัดในเขตปกครอง ขึ้นว่า

"ระวังเขาแย่งโยมไปนะ ระวังเขาดึงโยมไปนะ เขาบอกเลขบอกหวยโยมหน่อย โยมหันไปทางเขาหมดเลยนะ"

ก็คือพระเถระองค์นี้ ไม่พอใจที่ลูกศิษย์หลวงพ่อชาจะตั้งวัดปฏิบัติขึ้น

เทวดาเอ้ย.. น่าสลดสังเวสใจเนาะ

โยมจะเข้าเบื่อหน่าย พระวัดบ้านละมั่ง
จึงเจ้าหาพระปฏิบัติธรรม
โยมไปทางนั้นแหละดีแล้ว ท่านอาจพา ปฏิบัติ เดินจรงกลม นั้งสมาธิภาวนา บุญบารมีก็จะเกิดเยอะแกจิตโยม

เผลอๆสามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้เลย ทุกข์ทางใจจะมาก ก็กลายเป็นทุกข์น้อย

พระเถระ(คือพระบวชได้๑๐พรรษาแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องทำตัวเป็นผู้นำในทางดี
คือปฏิในกิจที่จะเป็นตัวอย่างที่ดี
ในพุทธศาสนา เดินจรงกลม นั้งสมาธิ ภาวนา ทำกิจเหล่านี้ให้ตนเองลุล่วงสำเร็จ
ให้ถึงสิ่งที่ยังไม่บรรลุ

พระใหม่ลูกชาวบ้านบวชเข้ามาก็จะได้ถือเอาเป็นตัวอย่างแบบอย่าง
ในการปฏิบัติ

ปัจจุบันนี้สังคมพระหรือวงการพระ
เปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจากเดิม
ไม่เหมือนสมัยพระพุทธจ้าเลย

ภิกษุในสมัยนั้นใน ๑ วัน
เขาแบ่งเวลาออกเป็น ๔ ช่วง

* ตี ๒ ให้ตื่นนอน
เพื่อ ปรารภความเพียร เดินจรงกลมสลับนั้งสมาธิไปจนถึงสว่าง 
แล้วออกบิฑบาตหาอาหารเลี้ยงชีพ
ให้เวลาบิฑบาตถึงเที่ยงเท่านั้น
ถ้าถึงเที่ยงแล้วไม่มีคนใส่บาตให้เลย
ก็ต้องกลับมาทำความเพียร นั้งสมาธิ สลับเดินจรงกลม ไปจนถึง๔ทุ่ม แล้วค่อยนอน
_____
อรุนขึ้น หลังฉัน
บิฑบาติ - เที่ยงไไ
__________
ไม่มีแผ่นcd 26 เล่ม
______
ตอนนี้กำลังกระจายบุญอยู่ค่ะ ถ้าสนใจจะร่วมบุญด้วยกันได้น่ะค่ะติดต่อได้ที่ คุณกะทิ 02-9329700, 086-0338531, 081-9180879 (ทางโรงพิมพ์ให้พิมพ์ขั้นต่ำ 1,000 เล่ม ค่ะ 
หนังสือที่พิมพ์ 1. หนังสือสวดมนต์ (เล่มละ 20 บาท) 2. หนังสือชีวิตนี้น้อยนัก (เส่มละ 10 บาท) 3.หนังสือวิธีสร้างบุญบารมี (เล่มละ 10 บาท) 4. คิดให้รู้จักพอและการทำดีต้องไม่มีพอ (เล่มละ 10 บาท) 5.หนังสือความสุขของชีวิต (เล่มละ 10 บาท) 6. พระพุทธเจ้าพระองค์จริง (เล่มละ 40 บาท)
วัตถุประสงค์เพื่อแจกให้แก่โรงเรียนและวัดต่าง ๆ ค่ะ (และถ้าผู้ร่วมบุญต้องการหนังสือกี่เล่มก็ระบุได้เลยค่ะ, ทางผู้จัดจะส่งไปให้โรงเรียนทางใต้ จ.สุราษฎร์ธานี, จ.สงขลา ค่ะ)
__________
ใจมันนึกไปเอง
หรือธรรมมารมณ์มันไหลของมันไปเอง
มันมีผลหรือมีอิทธิพลต่อร่างอาหาร
ทำให้มีปฏิกิยา คืออวัยวะเพศแข็งบ้าง

เป็นต้น


เป็นธรรมดาของมัน

แสดงว่า มันทำได้เฉพาะมันครอบครองได้เฉพาะส่วนของมันหรืออำนาจของมัน

แต่มันครองจิตไม่ได้
แต่จิตไปมีปัญหาตัณหากับมันเอง
_________
ทำไมความคิดคนเราถึงเปลี่ยนยากนัก?
เพราะความคิดคือมโนกรรม
ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ก็เท่ากับ
เปลี่ยนเส้นทางกรรมด้วย
อันเป็นสิ่งเปลี่ยนยากที่สุด

มโน แปลว่า ใจ

________________________
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ แต่ง นิยายความรักของวัยรัก 

มโน ไปดูดวงเรื่องแฟน กับหมอดูตาทิพย์ หมอดูทักมโนว่าจะได้เลิกกันกับแฟนคนนี้ เพราะชายคนนี้นั้นไม่ใช่คู่บารมีเก่าของมโน"

ด้วยความที่มโน พึ่งมีแฟนครั้งแรก
และคบกันมาตั้งแต่ ตอน ม.ปลาย 
จนมา ปี3 มโนก็เลยไม่อยากจากกันกับแฟนไปเร็วนัก
ทั้งวันในเวลาเรียนของมโน ภาษาในหัวจึงเต็มไปด้วยความฟุ้งซาน กระวนกระวายใจ เรื่องแฟน ตลอดเวลา

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน
ภาระกิจที่มโนทำเป็นประจำ
คือกอกน้ำใส่ตู้เย็น
ล้างถ้วยชาม
ให้อาหารหมาแมว แล้วออกไปปั่นจักรยานออกกำลังกายกับเพื่อน
เป็นอันหยุดซะงักลงไปด้วย

เพราะเมื่อมโนกลับมาถึงบ้าน
ก็ตรงดิ่งขึ้นห้องนอนส่วนตัว

มโนทรุดตัวลงกับที่นอนอันนุ่ม

ในหัวของมโนมีแต่ความคิด ฟุ้งซาน "เรื่องเกี่ยวกับหมอดูที่พยากรณ์เรื่องแฟนกับเธอไว้ ความคิดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวมโนตลอดเวลา"

มโนเป็นเด็กเรียนเก่ง ฉลาดหัวใว
คิดอ่านอะไรออกได้ทะลุปุโปร่งรวดเร็ว
เพื่อนๆมักจะโทรถามเรื่องการบ้านอยู่เสมอ

แต่เรื่องที่หมอดูพยากรณ์ไว้นี้
มโน คิดปลงยังไงก็ไม่ตก คิดหาทางออกเท่าไร่
ก็ไม่ปริ้งออกมาสักที

ทันใดนั้นมโนก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ มือถือ
NOKIA 3310 ที่พอซื้อให้มโนตอนงานวันเกิด มีเสียงดังขึ้น"
"ติ๊ดๆ..ๆ..ๆ.ตี๋ด.ๆ.ๆ..ติ้ด...ๆ.

มโนจึงคิดว่าคงเป็นเพื่อนที่โรงเรียนโทรมาถามการบ้านแน่เลย
แต่เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็ได้รู้ว่า เป็นเบอร์ของ
พี่สมารท์ ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของมโน

มโนรีบกดรับสาย 
แฟนหนุ่มได้ถามมโนขึ้นว่า" มโน...คืนนี้ว่างไหม ไปเที่ยวงานปีใหม่ในเมืองกับพี่ไหม"

มโน: อืม ..มโนรู้สึกเหนื่อย อะพี่
และอีกอย่างแม่คงไม่อนุญาติให้ไปไหน
โดยเฉพาะเวลากลางคืน"


พี่สมาทร์: เอ้า.. หรอๆ แม่คนงาม
 แอบๆเดินย่องๆออกไปทางประตูหลังบ้าน ไปรอพี่อยู่ตรงนั้นก็ได้ ถ้าแม่ไม่อนุญาต

(ภายในใจของสมาทร์ กำลังคึกคะนอง อยากชวนแฟนสาวไปเที่ยวให้ได้ )


มโน: พี่สมาทร์ มโนเป็นคนมีแม่น่ะ
มโมคงไม่ได้ไปเที่ยวกับพี่หรอก ขอโทษด้วยแมวน้อย 555

(ภายในใจของมโนเต็มไปด้วยความเหนื่อยหล้า แต่ฝืนพูดให้สดใส)



พี่สาทร์: แม๋..แม่ตีนแมว ครั้งก่อน
ยังชวนพี่หนีแม่ออกจากบ้าน แอบไปดูหมอลำซิ่งด้วยกันอยู่เลย ตอนนั้นย๊องเหมือนตีนแมวออกทางประตูหลังบ้าน ให้พี่ไปรับ จำไม่ได้รึเธอ



มโน: 555+ จำได้...ค่ะ แต่มันไม่เหมือนกันน่ะพี่
มโนเป็นคนชวน ไม่ใช่พี่เป็นคนชวน
ถ้าอยากไปเที่ยวนัก พี่ไปชวนคุณแม่พี่ไป้ 5555
ว่าแต่คุณแม่พี่ อยู่ตรงนั้นด้วยหรือเปล่า

(มโนพูดกลบเกลื่อนเรื่อง เพราะหวนคิดแล้วละอายที่เคยหนีเที่ยวกับผู้ชาย)


พี่สมาทร์: แม่พี่หรอ.. อยู่สิ ทำไมหรอ? มโน"

(สมาทร์ อยากรู้ว่ามโนถามหาคุณแม่ของเขาทำไม)


มโน: ป๊ะ..เปล่า..  แค่อยากจะฝากไปบอกคุณแม่พี่ค่ะ
ว่า..
"มีคนรักลูกชายของคุณแม่นะค๊ะ


สมาทร์: เหรอๆ..แม่ปากหวาน...
ว่าแต่รักคนไหนละ  แม่พี่มีลูกชายเต็มบ้าน มีตั้ง5คนแน๊ะ รักคนไหนๆ
บอกมาเลยหนูน้อย

(สมาทรู้สึกเบิกบานใจ ที่คนรักพูดหวาน หยอดมุขใส่ตน)


มโน: ฮึยคนนี่...รู้อยู่แล้วก็ยังจะถามอีกให้เขิล...
เขิลจนตัวเกรงจะแข็งอยู่แล๊ว..
รักพี่สมาทนั้นแหละค่ะ รักน่ะๆ "

(ทันใดนั้นเองก็มีเรื่องที่หมอดูพยาการ์ไว้ ผุดขึ้นมาในหัวมโนอีกครั้ง)


พี่สมาทร: พี่ก็รักหนูเหมือนกันนะ
รักๆ รักๆ รักมโนที่สุด ..ที่สูด เลยจ้า



มโน: รักแล้วต้องยังไงอีก ตอบมา?


พี่สมาทร: รักแล้วต้องซื่อสัตย์ต่อมโนคร้าฟ


มโน: อะไรอีก ตอบมาอีก?

สมาทร์:  ต้องรอ มโนได้  ถึงมโนจะเรียนจนแก่ พี่ก็จะรอ มโนจ้า...
แต่ มโน 
จะต้องซื่อสัจซื่อตรงกับพี่ด้วยนะ


มโน: วันนี้มโนจะซื่อตรงกับพี่สมาทร
่และวันข้างหน้ามโนก็จะซื่อตรงกับพี่ แต่ไม่รู้กรรมจะซื่อตรงต่อเราไหม
ให้เราเป็นอย่างนี้ได้ตลอดไปไหม
พร้อมด้วยเพลอพูดว่า"
มโน"เหนื่อย"ใจ จัง"

พี่สมาทร์: มโน...มโนมีเรื่องไม่สบายใจ อะไรเหรอ เรื่องพี่ที่เป็นต้นเหตุหรือเปล่า 
หรือเหนื่อยเรื่องอะไรเหรอ
ถ้าเป็นเพราะพี่ พี่ขอโทษด้วยน่ะ


มโน: พี่สมาทร์ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก
พี่สมาทร์เป็นคนดี มีคุณธรรมสุภาพบุรุษ
ครบ ไม่ฉวยโอกาสผู้หญิงทีเผลอ ไม่เคยข่มเหงรังแกผู้หญิงแม้ด้วยคำพูดเลย
กับทั้งปกป้องผู้หญิงจากภัยสถานะการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่าง ซูปเปอร์แมน ได้เลย กับทั้งพี่สมาทร์เป็นลูกดีเด่นของคุณแม่พี่
ในจำนวนลูก 9 คน อย่างยอดเยี่ยม


พี่สมาท : 
มโนไม่ต้องพูดยาวออกไปเลยไกลหาเรื่องอื่นเลย
มีอะไรที่ไม่สบายใจ บอกพี่ได้ไหม บอกพี่มาเลย พี่พร้อมจะฟังเดี่ยวนี้แหละ


มโน: คือว่า..เมื่อวันก่อน มโนเดินผ่าน ร้านพยากรณ์ดวงต่างๆ สำนักหมอดูต่างๆ หลายร้านหลายแบบ ที่แรกมโน คิดวนไปวนมา ถามตัวเองว่าจะลองไหม จะแม่นขนาดไหนกัน มโน ก็เลยลองเดินเข้าไปในสำนักเซียมซี 
มโน ก็เขย่าไปๆไม้เซียมซีเลข9ก็ตก ก็เอาเลขไป หาใบคำตอบ อ่านดูใบคำตอบที่พยากรณ์ไว้ ก็ดีน่ะ บอกว่าช่วงนี้จะได้โชคใหญ่ มีลาภลอยเข้า ลงทุนอะไรจะได้กำไรมากเพราะช่วงนี้ดวงกำลังขึ้นปึ๋งๆเลย"

"มโนไม่ได้เป็นคนโง่ ที่จะให้อะไรจูงใจนำไปง่ายๆ ที่จะเชื่ออะไรง่ายๆโดยปราศจากเหตุผล"

มโน จึงลองอีกครั้ง ก็เขย่าเซียมซีใหม่อีกครั้ง ไม้เซียมซีเลข4ก็ตก ก็เอาไปตรวจอีก มันพยากรณ์บอกว่ายังไง รู้ไหมพี่?


พี่สมาทร: พี่ไม่รู้... พยากรณ์ ว่าไงหรอ? มโน เล่าต่อๆๆๆ พี่รอฟัง"

มโน: ในใบคำพยากรณ์ เขาพยากรณ์ว่า
ช่วงนี้ ไม่เหมาะกับการลงทุน เรื่องการเงินต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ
อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
เพราะช่วงนี้ดวงกำลังตก"


พี่สมาท: อ่าว คำพยากรณ์ ทำไม ไม่เที่ยงกลับกรอกเป็นงั้นไปละ มโน"


มโน: มโน ก็สงสัยเหมือนกัน
จึงเดินไปเปิดอ่านดูใบพยากรณ์ ที่เขาแนบติดไว้
ก็ได้รู้ว่า 
เลข1 คำพยากรณ์เหมือนกันหมด
เลข2 คำพยากรณ์เหมือนกันหมด
เลข3 คำพยากรณ์เหมือนกันหมด
เลข4 .เลข5 ..เลข6.. เลข7..เลข8..
เลข9 คำพยากรณ์มันเหมือนกันหมดเลยพี่

เสียกะตังทิ้งไปตั้ง2ครั้ง 30+30 ..... บาท
เอาเงินไปซื้อผลไม้ถวายใส่บาตพระยังจะดีกว่า




พี่สมาทร: แต่มโนก็ได้อ่านความรู้สาระเรื่องคำพยากรณ์เซียมซีตั้ง9ใบ ของคนแต่งแล้วไม่ใช่เหรอ 555




มโน: 555 พี่สมาท พูดได้อย่างไรว่าได้สาระความรู้
ได้ อสาระ เสียมากกว่า
คำทำนายเบื้องหลังที่มั่วกันทั้งแผง พิมพ์แต่งกันเอาเองเอ่อเอง หลอกคนอ่าน 
นี่ดีขนาดไหนมโนไม่ฉีกทิ้ง จะได้ไม่มีไว้หลอกคนอื่น นี่ถ้าคนเฝ้าอยู่จะขอให้เปิดกุญแจเอาเงินคืน


พี่สมาท: ช่างเขาเถอะ มโน บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่า กำลังทำกรรมคือหลอกคนอื่นให้หลงผิดอยู่
หรือเขาอาจลำบากทุกข์ร้อนเรื่องเงินก็เป็นได้ ช่างเขาเถอะ  อย่าเอาใจไปโยงผูกเวรต่อเขาเลย
เดี๋ยวได้เจอกันชาติใหม่ เห็นกันปุ๊บคิดไม่ดีต่อกัน กัดกันปั๊บ นะ

มโน: จ้า พ่อธรรมะธรรมโม
เดี๋ยวมโนจะ แผ่เมตตาให้เขา
จะได้ไม่ผูกเวรกันกับเขาทางวิญญาณ
และคงจะเป็นกรรมเก่าของมโนด้วย
อาจจะเคยไป หลอกเอาเงินคนอื่น 30 บาท
เขาเลยขอคืนอีกเท่าหนึ่งก็เป็นได้
ถือว่าทำทานแล้วกัน ดีกว่าจะมานั้งคิดให้เป็นทุกข์ว่าเสียเงิน


สมาทร: อืม...ดีแล้วๆ คิดถูกแล้วๆ
เรื่องนี้หรอที่ทำให้ มโน ไม่สบายใจ?


มโน: เรื่องนี้ก็ใช่ แต่ไม่มากเท่าเรื่องต่อไปนี้
คือหลังจากมโนออกมาจากร้านเซียมซีนั้นแล้ว มโนก็เข้าไปร้าน ดูดวงแบบโหราศาตร์
ทันที่เข้าไป เขาก็เชิญนั้ง
พร้อมกับพูดว่า สวัสดีครับ ดูน่ามีราศีดีจังเลยครับ ดูดวงไหมครับ
ผมว่า หน้าแบบนี้ดวงต้องออกมาดีแน่ๆ


(ข้อเสียของมโนคือรับปากคนง่าย โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาเลย)

ก็เลยตอบไปว่า: ค่ะ แล้วต้องยังไงบ้างค่ะ พอดี ยังไม่เคยดูค๊ะ

หมอดูจึงตอบมาว่า: ค่าดูเรื่องหนึ่ง 300 บาทครับ ขอทราบ วัน เดือน ปี เกิด ครับ จะได้คำนวนดู ว่าตอนเกิดนั้นตกอยู่ภายใต้อิทธิพล
ของดาวไหน


มโน: ก็เลยจ่ายเงินให้เขา300บาท พร้อมบอกวันเดือนปีเกิดให้เขาทำนาย

สมาทร: แล้วเขาทำนายว่าอย่างไรบ้างละ?


มโน: เขายังไม่ทำนายค่ะ เขาถาม มโนว่า
จะดูเกี่ยวกับเรื่องไหน?

มโนก็คิดในใจ "เอ้ หมอดูนิ ถามแปลกๆ มาดูหมอ ก็ต้องมาดูดวงสิ"

จึงตอบไปว่า ดูทุกเรื่องเกี่ยวกับขีวิตค่ะ


ดูด้านความรัก 300 บาท
ดูด้านการงาน 300 บาท
ดูด้านสุขภาพ ก็300 บาท
จะดูด้านไหนครับ


มโนก็ตอบเขาไปว่า  ดูเรื่องความรักค่ะ



หลังจากนั้น
หมอดูก็ใช้เวลาประมาณ15นาที ไปกับการขีดๆเขียน บวกลบคูณหาร อะไรก็ไม่รู้ ซับซ้อนดูตามแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลย



จากนั้นเขาก็พูดออกมาว่า
ดวงไม่ดีนะ เกี่ยวกับความรัก จะมีเหตุให้ตัองพรัดพรากจากคนที่รักที่พอใจหรือจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ คือจะเสียของรักในเร็วๆนี้


มโนก็ถามต่อไปอีกว่า
เสียของรัก!
แม่ของมโนจะตายหรือค่ะ พ่อของมโนจะตายหรือค่ะ


ลุงหมอดู: ลุงก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า แม่หนูหรือพ่อหนูใครจะตาย
แต่คำว่าจะเสียของรัก ไม่ใช่จะหมายถึงแต่ว่า ต้องตาย อย่างเดียว
แต่ยังมีความหมายไปอีกแบบคือ ต้องจากกัน"


ถ้าหนูอยากรู้ เอาวันเดือนปีของแม่และพ่อหนู
มาให้ลุงดูสิ
ลุงจะดูให้ ในเรื่องสุขภาพ ว่าเกณฑ์ชีวิตของพ่อแม่หนูจะถึงค้าด
ที่ต้องตายในช่วงเร็วๆนี้หรือไหม

แต่ค่าดูของแม่ และของพ่อหนู
จะต้องคนละ300บาทนะ


(ด้วยความที่มโนอยากทราบ และเป็นห่วงชีวิตพ่อแม่ จึงค๊วกเงินให้ทันที)


ค่ะ นี่ค่ะ 1,000บาท
ดูเรื่องสุขภาพให้หนูด้วยนะค๊ะ เกณฑ์อายุของหนูจะได้นานเท่าไร
หนูอยากรู้หนูจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี



หลังจากนั้นลุงหมอดู
ก็คำนวนถอดรหัสกรรม ของคุณแม่ คุณพ่อ และของมโน โยงใส่กันก็ได้รู้ว่า
ที่มโนจะต้องสูญเสียงจากสิ่งที่รักนั้น ไม่ใช่คุณแม่ ไม่ใช่คุณพ่อ


(มโนเป็นคนหัวเร็ว ก็คิดไปที่ พี่สมาทร"
จะเสียพี่สมาทรไป เพราะพี่สมาทรเป็นสิ่งอันเป็นที่รักของมโน)



หลังจากนั้นลุงหมอดูแจ้งผลจากการคำนวนดวงดาว ตอบให้ทราบดังนี้ว่า
แม่หนู เกณฑ์อายุชีวิต 98 ปีนู้นแหละ
พ่อหนู เกณฑ์อายุชีวิต 87 ปีนู้นแหละ
ส่วนหนู..... ส่วนหนู......?



มโนตกใจก็เลยถามว่า หนูเกณฑ์อายุเท่าไรค่ะ
หนูจะมีชีวิตอยู่ได้เท่าไร่ค่ะ ตอบหนูมาเถอะค่ะลุง
หนูเสียเงินให้ลุงแล้วนะ
หนูไม่โกรธลุงหรอก


เกณฑ์ชีวิตหนู่ จะอยู่ได้อีก50 ปี

มโนได้ยินก็หน้าซีดทันที พร้อมกับร้องไห้กับชีวิตตนเอง
ที่ชีวิตนี้มันน้อยนัก สั้นนัก ทำไมหนอ

ลุงหมอดู ก็เลยปลอบโยนว่า เกณฑ์ชีวิตของลุงเอง 77 ปี อีก2ปี ลุงก็จะถึง 77 ปีแล้ว ลุงก็จะไปก่อนก่อนหนูแล้ว
หนูยังมีชีวิตยังมีโอกาสทำความดี
ทำบุญ สร้างบารมี ได้ตั้งหลายปี
แต่ลุงนี่จะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี นี่ลุงก็หาเงินเตรียมทำศพให้ตนเองอยู่ ลูกเมียของลุงต่างก็ไปก่อนลุงหมดแล้ว
















จนเวลาเลิกเรียน มโนจ แวะไปหาหมอดูจิตสะ

มโนหาทางพอที่จะแก้ไข มโนจึงไปหาหมอจิตสะอาดนั้น

มโน: แล้วถ้าไม่ใช่คู่บารมี ได้มารู้จักกันได้ไงค่ะ

หมอดู: 
การที่คุณกับเขาได้รู้จักกันนี่
ก็เพราะว่าในชาติก่อน
ได้ทำกรรมดีร่วมกันกับเขาไว้ อันเป็นบุญกรรมดีอันดี จึงต้องได้เกี่ยวโยงกันเวียนมาพบกันอีก
ข้ามภพข้ามชาติ มารู้จักกันจนได้ และตอนนี้กรรมนั้นก็กำลังให้ผลกับหนูและเขาอยู่

ถึงเวลาถึงคราวให้ผลแล้นนี้
จึงได้เกี่ยวโยงกัน
เกี่ยวข้องกันดังที่เป็นแฟนกันที่เห็นๆอยู่นี้แหละ

แต่เมื่อจะหมดเหตุ หมดปัจจัยที่ต้องได้เกี่ยวข้องกันเกี่ยวโยงกัน ตามธรรมชาติของมันก็จะคลายกันออก แปรปวนเป็นธรรมดาอย่างนี้แหละ
เหมือนกับที่คุณเริ่มทะเลาะกันมีปากเสียง
พ้นไฟใส่กัน
___________


แต่เมื่อทำยังไง เขายังไม่เข้าใจเราได้ถูก

เราเองก็พลอยทุกข์ใจนะ เพราะไปคาดหวังตั้งเป้าไว้ ให้เขาต้องเขาใจเราถูก"

เห็นที่คงต้องใช้ใจอุเบกขา
แปรสภาพตัวออกมา จากตัณหาวุ่นวาย

ก็ไม่อยากปล่อยให้เขาโดนความคิดหลอกให้ทุกข์อีกต่อไปหรอก

ไม่ได้เบียนทางใจกับเขาด้วย
ไม่ได้คิดร้ายต่อเขาด้วย

แต่มันเหนื่อยใจเหลือเกินที่จะไปแก้ความคิดใครให้ได้ดั่งใจเรา

วางยังไงก็ไม่ตกครับ
เพราะมัน ฟุ้งอยู่ในหัวตลอดเวลาเลย

ผมก็เลยได้แต่ ดูอาการอึดอัดคัดแน่นใจ
ดูลูกไฟเผาลนอยู่ในกลางอก

ผมก็มองว่า คงเป็นกรรมเก่าที่มึงไปเค่ยไปก่อไว้ละมั่ง เอาละนะ จะเสจิญสติดูทุกข์ใจใช้กรรมไปนี่แหละ  ดีกว่าไปใช้ในภพอื่น นรกเปตรว่าไง
และจะใช้กรรมแบบจิตเศร้าหมอง
หรือจิตผ่องใจ เลือกเอา

เขาไม่ได้ทำร้ายร่างกายเราซะหน่อย
เลือดสักหยดไม่เห็นมีเลย

#ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอไปบิณฑบาต เธออย่าคิดตั้งความหวังว่า เขาจะถวายอาหารดีประณีต"

ถ้าหากเขาไม่ถวายตามที่เธอ ตั้งปรถนาไว้นั้น
เธอก็พึงเป็นทุกข์ปางตาย หรือทุกข์เจียนตาย

ถ้าเธอมีความคิดตั้งความหวังไว้ว่า

เขาจะถวายอารหารแก่เรามาก

แต่เมื่อเขาถวายน้อย
เธอก็พึงถึงความทุกข์ปางตาย

#ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าหาเพื่อนดีคบไม่ได้ ก็ไปมันคนเดียวซะ
แล้วไม่ทำบาปทั้งปวง"
ไม่ไปทำร้ายใคร 
ไม่ว่าร้ายใคร
ไม่คิดร้ายต่อใคร

อยากให้คุณผ่านปัญหาทางใจได้ ด้วยใจใหม่ นะครับ
อย่าใช้ใจดวงเดิมความคิดแบบเดิม เผชิญปัญหา เพราะมันจะออกมาเหมือนเดิม

อาจารย์ดังตฤณ์ บอกไว้ว่า ทำไมความคิดคนเราถึงเปลี่ยนยากนัก?
เพราะความคิดคือมโนกรรม
ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ก็เท่ากับ
เปลี่ยนเส้นทางกรรมด้วย
อันเป็นสิ่งเปลี่ยนยากที่สุด

มโน แปลว่า ใจ

 แม้แต่เขาเองเมื่อก่อนยังดีๆกับคุณอยู่เลย
เขาเปลี่ยนมโนใหม่
เขาจึงเปลี่ยนไป

คุณก็สามารถเปลี่ยนใจใหม่
โดยไม่สนใจความคิดหรืออารมณ์ที่ชวนให้กระโดดเข้าไปร่วมกับวงจรทุกข์"

สู้ๆครับ คนในโลกนี้มีแต่คนทุกข์ทางใจ
ทางกายนี่มีน้อย แต่มีน้อยคนครับที่จะได้มาอ่านเพจนี้ และมีเพื่อนทางธรรมช่วยแนะ
_________
แปลกจังเลยครับ ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายเราทางกายเลย ไม่ได้เอาท่อนไม้มาตีหัวเราให้แตก ไม่มีว่าทิ้งบาดแผลปรากฏให้เห็นทางกายไว้เลย" 

เราก็อุตสา" คิดให้ตนเป็นทุกข์"

เหมือนกับที่อาจารย์ดังตฤณกล่าวไว้"
โลกนี้เต็มไปด้วยคนโชดดีที่ไม่รู้ตัว
แม้แวดล้อมสิ่งที่เป็นสุข ก็ขยันหมั่นคิดให้เป็นทุกข์
แม้พ่อแม่ปูทางไว้ให้ร่ำรวย
ก็อุตสาเลือกเดินไปทางยากยน
แม้รูปงามนามพร้อมเหมาะจะเป็นที่รัก
ก็รู้จักแต่พูดจาและทำท่าให้น่าเกลียด
แต่โลกนี้ก็ยังมีคนโชดร้ายที่โชคดี
แม้แวดล้อมสิ่งที่เป็นทุกข์
ก็ขยันหมั่นคิดให้เป็นสุข
แม้พ่อแม่มีแต่ทางลาดลงต่ำสู่ความย้ากจน
ก็ดิ้นลนปีนป่ายมาพบสู่ความร่ำรวย
แม้รูปทรามนามเฉื่อยไม่สะดุดหูตา
ก็รู้จักพูดจาและมีกิริยาน่าเลื่อมใส"

ผมว่า ถ้าเขาเข้าใจเราผิดแบบนี้
และเขายังเชื่อความคิดที่เข้าใจเราผิดนั้น ว่าเราต้องเป็นอย่างนี้"

และทำตามความคิดถัดต่อแต่นั้นมาว่า" ต้องไม่คบกับคุณ ต้องปลีกตัวไปอยู่กับกลุ่มอื่น ต้องหาเรื่องคุณ ต้องไม่ชอบใจคุณ ประมาณนี้

ถ้าเขายังยึดติดทิฐินี้ไว้ หลายชั้นแบบนี้ คงยากมากที่จะคลายออกได้ง่ายๆ

และถึงแม้เขาสำนึกใจทีหลัง
ก็กลัวจะเสียฟอมอีก 
ได้ดำเนินการมาแล้วกลับตัวไม่ได้แล้ว"

ถึงคุณ
อยากปรับให้เขาเข้าใจคุณถูก"

แต่เมื่อการปรับให้เขาเข้าใจถูกนั้นต้องใช้กำลังใจมากมายเลย

ผมก็เคยตกอยู่ในสถานะแบบคล้ายๆกับคุณ

แต่เมื่อทำยังไง เขายังไม่เข้าใจเราได้ถูก

เราเองก็พลอยทุกข์ใจนะ เพราะไปคาดหวังตั้งเป้าไว้ ให้เขาต้องเขาใจเราถูก"

เห็นที่คงต้องใช้ใจอุเบกขา
แปรสภาพตัวออกมา จากตัณหาวุ่นวาย

ก็ไม่อยากปล่อยให้เขาโดนความคิดหลอกให้ทุกข์อีกต่อไปหรอก

ไม่ได้เบียนทางใจกับเขาด้วย
ไม่ได้คิดร้ายต่อเขาด้วย

แต่มันเหนื่อยใจเหลือเกินที่จะไปแก้ความคิดใครให้ได้ดั่งใจเรา

วางยังไงก็ไม่ตกครับ
เพราะมัน ฟุ้งอยู่ในหัวตลอดเวลาเลย

ผมก็เลยได้แต่ ดูอาการอึดอัดคัดแน่นใจ
ดูลูกไฟเผาลนอยู่ในกลางอก

ผมก็มองว่า คงเป็นกรรมเก่าที่มึงไปเค่ยไปก่อไว้ละมั่ง เอาละนะ จะเสจิญสติดูทุกข์ใจใช้กรรมไปนี่แหละ  ดีกว่าไปใช้ในภพอื่น นรกเปตรว่าไง
และจะใช้กรรมแบบจิตเศร้าหมอง
หรือจิตผ่องใจ เลือกเอา

เขาไม่ได้ทำร้ายร่างกายเราซะหน่อย
เลือดสักหยดไม่เห็นมีเลย

#ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอไปบิณฑบาต เธออย่าคิดตั้งความหวังว่า เขาจะถวายอาหารดีประณีต"

ถ้าหากเขาไม่ถวายตามที่เธอ ตั้งปรถนาไว้นั้น
เธอก็พึงเป็นทุกข์ปางตาย หรือทุกข์เจียนตาย

ถ้าเธอมีความคิดตั้งความหวังไว้ว่า

เขาจะถวายอารหารแก่เรามาก

แต่เมื่อเขาถวายน้อย
เธอก็พึงถึงความทุกข์ปางตาย

#ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าหาเพื่อนดีคบไม่ได้ ก็ไปมันคนเดียวซะ
แล้วไม่ทำบาปทั้งปวง"
ไม่ไปทำร้ายใคร 
ไม่ว่าร้ายใคร
ไม่คิดร้ายต่อใคร

ขอให้คุณผ่านปัญหาทางใจได้ ด้วยใจใหม่ นะครับ
อย่าใช้ใจดวงเดิมความคิดแบบเดิม เผชิญปัญหา เพราะมันจะออกมาเหมือนเดิม

อาจารย์ดังตฤณ์ บอกไว้ว่า ทำไมความคิดคนเราถึงเปลี่ยนยากนัก?
เพราะความคิดคือมโนกรรม
ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ก็เท่ากับ
เปลี่ยนเส้นทางกรรมด้วย
อันเป็นสิ่งเปลี่ยนยากที่สุด

มโน แปลว่า ใจ

สู้ๆนะครับ แม้แต่เขาเองเมื่อก่อนยังดีๆกับคุณอยู่เลย
เขาเปลี่ยนมโนใหม่
เขาจึงเปลี่ยนไป

คุณก็สามารถเปลี่ยนใจใหม่
โดยไม่สนใจความคิดหรืออารมณ์ที่ชวนให้กระโดดเข้าไปร่วมกับวงจรทุกข์"

สู้ๆครับ คนในโลกนี้มีแต่คนทุกข์ แต่มีน้อยจะได้มาอ่านเพจนี้ และมีเพื่อนทางธรรมช่วยแนะ
__________
แปลกจังเลยครับ ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายเราทางกายเลย ไม่ได้เอาท่อนไม้มาตีหัวเราให้แตก ไม่มีว่าทิ้งบาดแผลปรากฏให้เห็นทางกายไว้เลย" 

เราก็อุตสา" คิดให้ตนเป็นทุกข์"

เหมือนกับที่อาจารย์ดังตฤณกล่าวไว้"
โลกนี้เต็มไปด้วยคนโชดดีที่ไม่รู้ตัว
แม้แวดล้อมสิ่งที่เป็นสุข ก็ขยันหมั่นคิดให้เป็นทุกข์
แม้พ่อแม่ปูทางไว้ให้ร่ำรวย
ก็อุตสาเลือกเดินไปทางยากยน
แม้รูปงามนามพร้อมเหมาะจะเป็นที่รัก
ก็รู้จักแต่พูดจาและทำท่าให้น่าเกลียด
แต่โลกนี้ก็ยังมีคนโชดร้ายที่โชคดี
แม้แวดล้อมสิ่งที่เป็นทุกข์
ก็ขยันหมั่นคิดให้เป็นสุข
แม้พ่อแม่มีแต่ทางลาดลงต่ำสู่ความย้ากจน
ก็ดิ้นลนปีนป่ายมาพบสู่ความร่ำรวย
แม้รูปทรามนามเฉื่อยไม่สะดุดหูตา
ก็รู้จักพูดจาและมีกิริยาน่าเลื่อมใส"
__________
ดู "จากเป็นจากตาย【๕】- รักแท้มีจริง" บน YouTube

โลกนี้เต็มไปด้วยคนโชดดีที่ไม่รู้ตัว
แม้แวดล้อมสิ่งที่เป็นสุข ก็ขยันหมั่นคิดให้เป็นทุกข์
แม้พ่อแม่ปูทางไว้ให้ร่ำรวย
ก็อุตสาเลือกเดินไปทางยากยน
แม้รูปงามนามพร้อมเหมาะจะเป็นที่รัก
ก็รู้จักแต่พูดจาและทำท่าให้น่าเกลียด
แต่โลกนี้ก็ยังมีคนโชดร้ายที่โชคดี
แม้แวดล้อมสิ่งที่เป็นทุกข์
ก็ขยันหมั่นคิดให้เป็นสุข
แม้พ่อแม่มีแต่ทางลาดลงต่ำสู่ความย้ากจน
ก็ดิ้นลนปีนป่ายมาพบสู่ความร่ำรวย
แม้รูปทรามนามเฉื่อยไม่สะดุดหูตา
ก็รู้จักพูดจาและมีกิริยาน่าเลื่อมใส
______
5,507

1000หนึ่ง เหลือ 4,507

707 เหลือ  3800บาท


พระไตรปิฏกฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว
361บาท

พระไตรปิฎก ฉบับย่อความและอธิบายความ เล่ม 1-2 (บรรจุกล่อง : Book Set)
ฉบับย่อความและอธิบายความ อังคุตตรนิกาย (หมวด 1-9)
570 บาท

พระไตรปิฎก ฉบับขยายความ (สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 15) (เล่ม 1-2) (บรรจุกล่อง : Book Set)
หนังสือเล่มนี้ได้เก็บพระพุทธภาษิตจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย เล่ม 15 เเล้วขยายพระพุทธภาษิตนั้นพอเป็นเเนวทางเเห่ง
617บาท
___________
 ๔. นวสูตร
[๖๙๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
 เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล ภิกษุใหม่รูปหนึ่ง เดินกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต
เข้าไปสู่วิหารแล้ว เป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลาทำจีวร
 ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาท
แล้วนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๖๙๗] ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใหม่รูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้เดินกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัตเข้าไป
สู่วิหารแล้ว เป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งอยู่  ย่อมไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลากระทำจีวร
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจงไปบอกภิกษุนั้นตาม
คำของเราว่าพระศาสดาให้หา ภิกษุนั้นทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้วเข้าไปหาภิกษุนั้น ครั้น
เข้าไปหาแล้วได้กล่าวกะเธอว่า พระศาสดาตรัสเรียกท่าน เธอรับคำของภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อย
แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะเธอว่า จริงหรือภิกษุ ได้ยินว่าเธอเดินกลับจากบิณฑบาตในเวลา
ปัจฉาภัต เข้าไปสู่วิหารแล้วเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย นิ่งอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายใน
เวลากระทำจีวร ฯ
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็กระทำกิจส่วนตัวเหมือนกัน ฯ
[๖๙๘] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของภิกษุนั้นด้วย
พระทัย จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ายกโทษภิกษุนี้เลย ภิกษุนี้
เป็นผู้มีปรกติ ได้ฌาน ๔ อันเป็นสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอันอาศัยอธิจิต ตามความปรารถนา
ไม่ยาก ไม่ลำบาก กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออก
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ
[๖๙๙] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้วจึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปว่า
บุคคลปรารภความเพียรอันย่อหย่อน ปรารภความเพียรด้วย
กำลังน้อย ไม่พึงบรรลุพระนิพพานอันเป็นเครื่องปลดเปลื้อง
กิเลสทั้งปวงได้ แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้ เป็นอุดมบุรุษ ชำนะมาร
ทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งอัตภาพมีในที่สุด ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๔


๑๐. เถรนามสูตร
[๗๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขต
พระนครราชคฤห์ สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อว่าเถระ มีปรกติ
อยู่ผู้เดียว และสรรเสิญการอยู่ผู้เดียว
อยู่ผู้เดียว เธอเป็นผู้เดียว เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เป็นผู้เดียวเดินกลับ ย่อมนั่งในที่ลับ
ผู้เดียว และย่อมเป็นผู้เดียวอธิษฐานจงกรม ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่ง
เรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้
มีชื่อว่าเถระ มีปรกติอยู่คนเดียว และมีปรกติกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว ฯ
[๗๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจง
ไปบอกภิกษุชื่อเถระตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งให้หาภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
 เข้าไปหาท่านพระเถระถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน
ท่านพระเถระรับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวาย
อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๗๑๘] ครั้นท่านพระเถระนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า ดูกรเถระ
ได้ยินว่า เธอมีปรกติอยู่คนเดียวและมักสรรเสริญการอยู่คนเดียว จริงหรือ ฯ
พระเถระกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรเถระ ก็เธอมีปรกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียวอย่างไร ฯ
ถ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ คือข้าพระองค์คนเดียวเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต
เดินกลับคนเดียว นั่งในที่ลับคนเดียว อธิษฐานจงกรมคนเดียวข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า
พระองค์มีปรกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว อย่างนี้แล ฯ
[๗๑๙] พ. ดูกรเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่ เถระ อนึ่ง
การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าด้วยประการใด เธอจงฟังประการนั้น จง
ทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระเถระทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
ดังต่อไปนี้ ฯ
[๗๒๐] ดูกรเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ใน
ข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึงสิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว
ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์
โดยพิศดารกว่านี้ อย่างนี้แล "
[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปว่า
เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้
ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่ง
ทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็นผู้มี
ปรกติอยู่คนเดียว ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่๑๐

ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏในปัจจุบัน
ย่อมแปรเป็นอดีต และธรรมทั้งหลายที่ยังมาไม่ถึงก็ย่อมแปเปลี่ยน บุคคลผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้นในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา
_____________
จะขอเกิดเป็นมนุษย์ ตลอดไปทุกภพชาติ
จะขอเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
ขอให้ได้เป็นมนุษย์ทุกชาติไป

"ขอแบบนี้ ไม่ใช่จะได้ง่ายๆ"

ถ้าหาก(
__________
โดยเริ่มต้นเปิดโครงการ ผ้าป่าช่วยชาติ"
มาตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2541

(ตอนนั้นเราอยูอนุบาล1)

หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ไว้ว่า "เงินนี้เป็นเงินพระนะ ไม่
ได้เหมือนเงินธรรมดาของคนทั่วๆไป นี้รวมเข้ามาให้เราแล้ว
กลายเป็นเงินพระไปแล้ว เป็นเงินสงฆ์ด้วย เพราะฉะนั้นใคร
จึงมาทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ตกนรกไม่มีวันขึ้นเลย
เรื่องนี้กรรมหนักนะ เพราะมหากุศลของชาตินี่นะ
จะทำเล่นๆได้เหรอ จมอย่างไม่มีวันฟื้นเลย
หมดทางเลยว่างั้นเถอะน่า ถ้าใครมาแต่มายุ่ง
กับเงินเหล่านี้ เพราะมันบาปหนัก กรรมหนักจริงๆไม่
ใช่ธรรมดา ไม่ได้เหมือนเงินทั่วๆ ไป สงฆ์ยกให้เพื่อชาติ
นั่นมีแต่เรื่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงได้เตือนไว้ให้ทราบทุกคน
อย่ามาทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ"
หลวงตามหาบัวท่านได้ปฏิบัติตามปณิธาน "เวลามีชีวิต
อยู่นี้ เราจะทำความดี ให้โลกทั้งหลายได้
เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วย
ความเมตตาสงสารต่อโลก"


้แถลงข้อมูลโครงการช่วยชาติมีใจความ
ส่วนหนึ่งบรรยายถึง
ความเสียสละของหลวงตาก่อนที่จะออกมา
ช่วยชาติว่า“...ครั้นปลายปี พ.ศ . ๒๕๔๐
พระหลวงตาผู้ชรารูปหนึ่ง จำพรรษา
อยู่ที่กุฏิหลังน้อยกลางป่าเพียงลำพังแต่รูปเดียว
ดำรงสมณเพศ ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ เพียง ๓ ผืน
และอัฏฐบริขาร ขณะนั้นสังขารอาพาธ ถ่ายวันละ
๗ - ๘ ครั้ง จนถึงต้องเกาะราวระเบียงกุฏิ พยุงสังขาร
เข้าออกห้องสุขาด้วยกำลังแรงที่เหลืออยู่ของตนเอง
ไม่ยอมให้สังขารเป็นภาระแก่ผู้ใด บางครั้งเมื่อเดิน
จากกุฏิไปยังศาลาเพื่อฉันจังหัน ระยะทางเพียง
ไม่กี่สิบเมตร ต้องหลบ
เข้าราวป่าข้างทางเพื่อบรรเทาทุกข์ของธาตุขันธ์
เพราะการถ่ายไม่หยุด ฉันยาใดก็ไม่
สามารถยับยั้งขันธ์ที่ชำรุดร่วงโรยนั้นไว้ได้
หลวงตาได้ขอให้หมู่คณะและศิษย์สร้างเมรุขึ้น
ไว้ที่หน้าวัด เพื่อที่จะใช้จัดการ
กับสังขารอันผุพังของท่านอย่างเรียบง่าย แต่เหตุ
ใดพระหลวงตารูปนี้จึงตายไม่ได้ ในเวลาเดียว
กันนั้น แผ่นดินไทยอัน
เป็นที่ประดิษฐานพระบวรพุทธศาสนา ประสบ
ความคับขัน
ชีวิตของประชาชนถูกบีบคั้นทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
ความล่มสลายคืบคลาน เข้าสู่ครัวเรือน
อย่างน่าหวาดวิตก ความเดือดร้อน
ได้แพร่ขยายไปทั่ว จิตใจของประชาชนขาดที่พึ่ง
ไฟที่ลุกท่วมหัวใจของชาวไทย
เริ่มแพร่ขยายลุกลามออกจากหัวอก
เป็นไฟที่ลุกท่วมแผ่นดินได้ในไม่ช้า หาก
ไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม เหตุการณ์นี้หามีผู้ใดรู้เห็นได้
นอก
จากพระญาณหยั่งรู้ตามแนวทางพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
________
ถ้าอยากมีญาณยังรู้อภิญญา
เห็นกรรมของสัตว์

จิตต้องอยู่นอกออกไปจากการเกี่ยวข้องกับปุถุชน ไม่ว่าจะแม่ ญาติพี่น้อง คือไม่ลำเอียง และไม่ข้องอยู่กับกาม

แต่เห็นว่าเขาเป็นสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ

แล้วบำเพ็ญสมาธ

เสริมจากครูดังตฤณ
คือ จิตต้องสะอาดอยู่ประจำ
__________
ตอนนี้จิตสะอาดสะว่าง รู้อะไรได้ตามเป็นจริงตามทางพระพุทธเจ้าว่า

เรื่องมารดา เป็นวัตถุเกมกรรมชนิดหนึ่ง
ที่มีอุปาทานหนาแหน่นมากๆ เคลือบจิตให้หลงติดยึดจมในมารดา

แม้แต่ที่สุดถ้านาง เกิดเป็นเทพธิดา นางก็จะมีธรรมารมณ์ที่เปลี่ยนไปเอง

ไม่ควรใช้คำว่านาง เพราะสัตตานัง หรือนามธรรม ไม่มีเพศ

และเจตสิกอารมณ์ ปรุงแต่งทั้งหลายก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอนย่อมแปรปรวนคลายกระจายออกไป

ฉะนั้นถ้ามุ่งอรหันต์หวังออกจากโลกจอมปลอม ที่เหมือนจริง ที่กรรมธรรมชาติสร้างขึ้นมาให้หลง
แต่ธรรมชาติมันเป็นของมันเองของมัน
เรานี่สิเป็นผู้ไปหลง

และเราก็ไม่มีเราเลย
ผ่านไปแล้ว ผ่านไปอีกแล้ว
__________
งานโลกกะบ่ออยากเฮ็ด เห็นว่าเสียเวลา

แล้วถ้างานทางธรรม โลกุตระ
ยังขี้คร้าน บ่อสู้ แบบนี้

เขากะเอิ้นว่า ขี้คร้านเต็มๆ
โลกกะบ่อเอา
โลกุตระกะบอเอา
สิให้เอิ้นว่าอิหยัง...

สิให้ครูบาอาจารย์
พระอริยะทั้งหลาย ทั้งที่เป็น มนุษย์ หรืออมนุษย์เทวดา
สิให้เพิ้ลเห็นว่าดู่ 
ตั้งใจ มี วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซันติ...


คิดๆเบิงแล้ว ถ้าขี้คร้าน บ่อยากเป็นพระอรหันต์พ้นทุกข์
สึกออกไปยังสิคือยุเบาะฮึ

ถ้ามันอยากบวชใหม่

ให้มันได้บวชยากๆ

ให้เลือกเอาเด้อ
งานทางโลกบ่ออยากเฮ็ด
อันนี้พออนุโลม
แต่งานทางธรรมโลกุตระนั้น
คึสิบ่อใด้ ถ้าบ่อเฮ็ด
ต้องเฮ็ด   จากใจตอนนั้น
____________
หมาสอนธรรม

ในขณะที่กำลังนอน
ได้ยินเสียงหมามันเห่า

เราก็รู้สึกตัวขึ้น
ก็เกิดความไม่พอใจขึ้น แต่จิตผู้รู้ก็ไม่พลาดจะรู้

"ขณะที่ความพอใจมันฟุ้งๆอยู่ ผู้รู้ก็รู้อยู่

ก็มีความคิดว่า

เราติดอุเบกขา ติดความสงบ ติดชอบความไม่มีเสียงดัง พอใจในการไม่มีเสียงรบกวน 

อ๋อนี่เราเป็นทุกข์เพราะ อุเบกขาไม่ได้จริง
ถ้าอุเบกขาจริงๆ ก็ต้องอุเบกขาต่อเสียงรบกวนด้วยสิ

"ฉไนเลย เราควรไม่ยึด การต้องการ การไม่มีเสียง เราไม่ควรยึด


จึงวางทิฐินั้นลง

แล้วอุทานขึ้นว่า

โอ้..เรายึด อทุกขมสุขอวิชชานุสัย..
___________
ธรรมะคนเป็นหนีสิน โดยพระมงคลชัย กิตติโสภโณ
ถึงจะเป็นหนีเยอะแค่ไหนก็ตาม
ก็ต้องแบ่งไว้ทำบุญกับผู้จิตใจสะอาดส่วนหนึ่ง (ในที่นี้ขอยกมาแสดงตามลำดับที่ดี
๑.พระ พระก็ต้องเป็นพระที่จิตใจสะอาดน่ะ โดยเฉพาะถ้าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ คือพระพุทธเจ้ายิ่งดีที่สุดใหญ่ ๒.หรือเป็นพระอรหันตสาวก 
๓.หรือไม่ก็พระอนาคามี
๔.พระสกิทาคามี
๕.พระโสดาบัน
๖.หรือไม่ก็บุคคลผู้ทรงอภิญาทรงฌาน(ผู้ไม่บริโภคกาม๔)
ถ้าต่ำลงมาอีก
๖.คือผู้รักษาศีลได้จริงๆ เช่น เณร แม่ชี บางที่ก็มีโยมที่จิตใจสะอาดรักษาศีลได้เหมือนกัน)

และก็ต้องแบ่งไว้เลี้ยงสังขารร่างกายเพื่อให้มันมีเรี่ยวมีแรงมีกำลังหาเงินมาใช้หนีเขาต่อ อย่าปล่อยให้ตนเองตาย
ไม่งั้นได้เปลี่ยนวิธีใช้หนี
เดี๋ยวได้ไปเกิดเป็นวัวเป็นควายใช้หนีเขา ให้เขาฆ่ากิน

เหมือนพระที่กินๆฉันอาหารที่เขาถวายแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แล้วก็นอน
ไม่ปฏิบัติในข้อวัตรไตรสิกขาสาม
ตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นวัวให้เขาฆ่า

(ไม่ใช่แค่นี้น่ะที่ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์เป็นวัวได้ แต่ยังมีกรรมอื่นๆอีกที่สามารถทำให้เข้าถึงกำเนิดวัวได้)

ถ้าเจ้าของหนี้เขาไม่ยอมยกหนี้ให้ คือโมฆะ อย่าเพิ่งฆ่าตัวตายหนีหนี้

ถ้าทำตัวอยากป่วยอยากไข้ให้คนอื่น
สงสารอยากให้คนอื่นช่วยเหลือ คิดหวังอย่างนั้นมันไม่ได้ดั่งใจหรอก
นี่ยิ่งเป็นการซ้ำเติมจิตใจตนทางความคิด

และที่สำคัญอย่าขโมยของๆผู้อื่นเด็ดขาด
ไม่ว่าอยู่บ้านหรืออยู่ไร่นา เงินหรืออะไรก็ตาม ที่เขาหวง อะไรก็ตามที่เจ้าของเขายังไม่อนุญาตินั่นแหละ เช่นมะม่วงอยู่ส่วนไร่นาคนอื่น อันนี้ต้องขอเขาก่อน

และย้ำว่าอย่าผิดศีลข้อ๒เด็ดขาด
เพราะตัวนี้แหละจะเป็นกุญแจที่เรามองไม่เห็น
มันจะช่วยเราปลดหนี้อีกทาง ย้ำอย่าผิดศีลข้อ๒
เพราะมันจะเป็นการสร้างหนี้กรรมเพิ่มเข้าไปซ้ำเติมดวงดาวให้มีอิทธิพลกับตน
ในทางไม่ดีแย่ลงไปอีก ศีลข้อ๒นี่อย่าผิดเด็ดขาดเลย
และในศีล๕ถ้ารักษาได้หลายข้อยิ่งดี


และให้ทำสมาธิ วิเวกหลีกเร้นอยู่ผู้เดียวบ้าง

เพราะความลับของโชคชะตาดีร้ายของดวงดาวที่เราเกิดอยู่ภายใต้ดาวดวงไหน
กำหนดไว้แล้วว่า จะทุกข์เรื่องอะไร (ช่วงเดือนไหนปีไหน สั้นหรือยาว)

พระพุทธเจ้าท่านมีญาณความรู้เข้าไปรู้ตรงนี้
อ๋อสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใต้กิเลสเป็นไปตาม
ดวงดาวเป็นไปตามวิบากกรรมของตนเอง

ถ้าเราผิดศีลเราจะเป็นไปตามดวงดาว
ที่เขากำหนดไว้ 
แต่ถ้ามารักษาศีล เจริญสมาธิ ภาวนา นี่เริ่มผิดธรรมชาติของแผนเดิมของกรรมแล้ว จิตวิญญาณเราเริ่มเข๋ออกจากอิทธิพลของดวงดาวนั้นแล้ว เราเริ่มตีดออกจากแผนเดิมของดวงดาวที่เขาวางเกมกรรมวางเหตุการณ์กำหนดไว้ให้เราเจอ คืออิทธิพลของดวงดาวให้ผลในทางไม่ดี
กับเราไม่ได้เต็มที

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ราหูอมราหูแทรกเราไว้ แต่เราทำจิตให้มีสติออกจากอาการยึดทางใจ มันก็เท่ากับว่า
เรามีกำลังเหนือราหู เหนือเคราะห์
อันนี้ก็คือในทางจิตใจ

ถ้าจิตเราสะอาด เราจะเจอแต่เรื่องดี หรือถ้าจากซวยมาก ก็ซวยน้อย จากซวยน้อยก็เบาบางจนไม่ซวย
_____________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น