สัตว์เดรัจฉานนั้นแปลตามความหมายทางภาษาบาลีว่า สัตว์ผู้ที่มีลำตัวหรือกระดูกสันหลังไปในทางขวางต่อพื้นโลก หรือสัตว์ผู้มีแนวทางการใช้ชีวิตที่ขัดขวางต่อพระนิพพาน คือสัตว์เดรัจฉานนั้นจะมีสัญญาหรือความจำแค่ ๓ อย่างคือ
๑)กามสัญญา รู้จักเสพกาม
๒)โคจรสัญญา รู้จักกินและนอน เคลื่อนไหวร่างกาย
๓)มรณสัญญา รู้จักกลัวความตาย
ซึ่งสัตว์เดรัจฉานนั้นจะไม่มีสติสัมปชัญญะ และ ปัญญาในการใคร่ครวญหาเหตุผล ความรู้สึกผิดชอบชั่่วดี และปัญญาในการตัดสินใจว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ชั่วคือมีชีวิตที่ไม่สามารถทำตนให้ถึงพระนิพพานได้ถือว่าเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง
มนุษย์นั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัตว์ประเสริฐ ซึ่งสามารถแปลตามบาลีได้ว่า สัตว์ผู้ที่มีลำตัวหรือกระดูกสันหลังตั้งตรงต่อพื้นโลก หรือสัตว์ที่มีแนวทางการดำเนินชีวิตที่เข้าถึงนิพพานหรือเป็นไปตามหนทางของพระนิพพานได้ ซึ่งมนุษย์หรือสัตว์ประเสริฐนั้นมีสัญญาที่เหมือนสัตว์เดรัจฉานอยู่ ๓ อย่างและยังมีสัญญาที่ละเอียดลึกซึ้งมากกว่าสัตว์เดรัจฉานขึ้นไปอีก เช่น มนุษย์จะมีสติสัมปชัญญะและปัญญาในการใคร่ครวญหาเหตุผล ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และปัญญาในการตัดสินใจว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ชั่ว คือมีชีวิตที่สามารถทำตนให้เข้าถึงหนทางแห่งพระนิพพานได้ ถือว่าเป็นกุศลกรรมหรือบุญอย่างหนึ่งในการเกิดมาเป็นมนุษย์
เพราะฉะนั้นการที่คนเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนั้น หากใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ เคลื่อนไหวร่างกายไปมา กินและนอน เสพกามตลอดชีวิต และไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ทำลายทำร้ายชีวิตคนและสัตว์ไปวันๆ แล้วไซร้ มันก็คงจะมีชีวิตที่ไม่ได้วิเศษดีเลิศ หรือแปลกแตกต่างไปกว่าสัตว์เดรัจฉานสักเท่าไรเลย ดังนั้นมนุษย์จึงมีความดีเลิศและแปลกแตกต่างกว่าสัตว์เดรัจฉานตรงที่ มีสติสัมปชัญญะในทุกๆอิริยาบถ กินและนอนอย่างมีสติ ไม่เสพกามตลอดชีวิต รู้จักแยกแยะดีชั่ว ไม่เที่ยวไปทำลายทำร้ายชีวิตคนและสัตว์
มันก็พอจะมีทางที่จะเข้าถึงนิพพานได้บ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น