วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สมณะผู้สละโลก" ของทุกอย่างมีเพื่อ อบรมจิตให้ออกจากโลก"ให้เหนื่อกามทั้งหลาย

สมณะผู้สละโลก
" ของทุกอย่างมีเพื่อ อบรมจิตให้ออกจากโลก"
ให้เหนื่อกามทั้งหลาย
______________
ขณะเดินจรงกลม และฟัง กรรมพยากร ฟังตอนเกี่ยวกับ ผัวเมียพูดเรื่องเซ็ก"

ขณะที่เดินก็เห็น "กามราคะทางเพศ อวัยะเพศก็กำลังแข็งขึ้น"

ทันใดนั้นก็ มีความคิดขึ้นว่า
'นี่กามราคะทางเพศนี่"

เราควรทำให้มันดับลงหายไป
หรือ
หรือเป็นผู้รู้ผู้ดู กามราคะ ที่เกิดขึ้นเฉยๆ 

หลังจากนั้น
ก็มีความรู้ขึ้นมาว่า
"กามราคะทางเพศนี่
มันมาจากความเคยชินจากอดีตชาติหลายชาติ ที่มันเคยโง่สะสมไว้
เพราะอำนาจกิเลสตัวบันดาล
ที่เราก็โง่เป็นทาสรับใช้มัน


ทันใดนั้นความคิดนั้นก็ดับลง

มีความคิดใหม่เกิดขึ้น
ว่าจะเดินไปนั้ง

ก็มามองดูกามราคะด้วยจิต
ก็ไม่เห็นกามราคะเพราะดับไปแล้ว

จึงได้อุทานขึ้นทางจิตว่า
นี่หละทุกอย่างมันดับได้ทุกอย่าง
____________
ถ้าเห็นรูปแล้วมีความไม่พอใจ แสดงว่ายีงติดรูปอญู่
__________
จดหมายจากยมบาล
-
...มีหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตกระทันหัน ก็เลยไปขอร้องยมบาลว่า
ยังไม่อยากตายขอเวลายมบาล ๑ เดือนเพื่อไปสะสางงานที่คั่งค้าง
เช่น ยังไม่ได้แบ่งแยกทรัพย์สินให้ลูก ยังไม่ได้โอนที่ดิน
ยังไม่ได้ไปทวงเงินกับลูกหนี้ ยังไม่ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง..ฯลฯ

ขอเวลา ๑ เดือน เพื่อไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจะยอมตาย ยมบาลบอกว่าไม่ได้ งั้นขอเวลา ๒ อาทิตย์ก็ได้
ยมบาลบอกว่าไม่ได้ งั้นขอเวลาอีก ๑ อาทิตย์ก็ได้
ยมบาลบอกว่าไม่ได้ ๑ นาทีก็ไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้น จึงถามว่าทำไมไม่ได้

ยมบาลจึงบอกว่า
ก็เคยมีจดหมายมาเตือนหลายครั้งแล้ว ไม่ได้รับหรือไง
ผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า จดหมายอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ยมบาลก็บอกว่า จดหมายที่เตือนว่า
ผมหงอก ปวดหัวเข่า ปวดหัว ปวดฟัน ปวดเมื่อยตามร่างกาย
โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
ที่เตือนว่า แก่แล้วให้รู้จักเตรียมตัวตาย อย่างให้วางแผนชีวิตให้ดี
ต้องรู้จักเตรียมตัวตาย อย่าประมาท ถ้าถึงเวลาตายจะได้หมดห่วง หมดกังวล ไม่ต้องมาร้องขอชีวิตเพื่อไปสะสางงาน...!!!

ขอถามว่า
คุณได้รับจดหมายจากยมบาลบ้างหรือยัง ???
_________
มีพระภิกษุรูปหนึ่ง
ตั้งปฏิภานไว้ว่า..
บวชครั้งนี้ "เพื่อจะเอาพระอรหันต์"
ให้ได้ในชาตินี้

ภิกษุรูปนั้น ในระหว่างนี่กำลังเดินมรรค๘

จิตของผู้ที่กำลังเดินมรรคแปด
จะค่อยๆละเอียดสว่างใสว

ผู้ที่ทำบุญด้วย ก็จะพลอยได้อานิสงค์มากกว่าเดิม

เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ให้ทานกับผู้กำลังทำโสดาบันให้แจ้ง มีอานิสงค์ไม่มีประมาณ"

ก็คือทำบุญด้วยนิดเดียว ก็มีอานิสงค์มาก

และทุกอย่างตรงกันข้ามเสมอ
ถ้าทำบาปนิดเดียวก็บาปมาก
___________
บุคคลบ้างคนในโลกนี้
เขาให้ทานโดยการ หวังผล มีจิตผุกพันในผล มุ่งหวังการสั่งสมบุญ
คิดว่าเราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้

บุคคลในโลกนี้ ให้ทานโดยไม่คิดเหมือนคนที่1
ที่ให้ทานโดยการหวังผลมีจิตผูกพันในผล
มุ่งหวังการสั่งสมบุญ คิดว่าเราตายไปจะได้เสวยผลของทานนี
้แต่ว่าให้ทานเป็นการดี

เมื่อเขาตายไปย่อมเข้าถึง เทวดาชั้นดาวดึง

3บุคคลบ้างคนในโลกนี้ เขาให้ทานโดยการคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายพาทำ เขาก็เลยให้ทาน
เมื่อเขาตายไปเขาย่อมเข้าถึงสวรรค์ชั้นยามมา

4 สมะณะไม่หุ่งหากิน แต่เราหุงหากิน ไม่ให้ไม่ควร เขาก็เลยให้ทาน
เมื่อเขาตายไปจะเข้าถึงเทวดาชั้นดุสิต

และให้ด้วยความเมตตาอนุเคราะอยากให้พระหรืออยากคนทั่วไปได้กิน ก็ไปดุสิต
เพราะพระโพธิ์สัตว์เป็นผู้มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์

5
คิดว่าทำตามฤษีที่บอกสอนมาในครั้งก่อน
นิมานรดี


6 ปลื้มใจ บิติใจ
ปรนิมิตสาวัตดี
__________________
เทศเรื่อง
วิบากกรรมของการขโมย

วิบากกรรมของการประพฤผิดในหญิงซึ่งมาดารักษา

วิบากกรรมของการโกหก
___________
ขณะนั้ง ฟังธรรม บรรยาย นักโทษเรือนจำ คัดธรรมะจะไรท์ลง  SD Card

ก็ได้มีความคิดว่า
เสียงผู้หญิงที่น่ารักก็ทำให้ใคร่ให้ติดได้ 

"ทันใดนั้นก็มี ตัวบันดาล สั่ง ให้เข้าเน็ตค้นหาเสียงผู้หญิงที่น่ารักที่สุด
จะได้รู้ว่าธรรมชาติ เสียงที่ทำให้ย้อมใจที่สุดมันเป็นยังไง
"
ก็กำลังจะจับโทรศัพท์ค้น

ก็รู้ทันว่ามีตัวสั่งหรือตัวบันดาลสั่งปึบแล้วดับหายไปเร็วมาก

ขณะนั้นเราก็เลย หยุด
วางมือวางโทรศัพท์ลง
___________"
มีคนเข้าใจผิดเพราะคำพูดของเราบ่อย


Um Kaew ตอนนี้มีคนเข้าใจผิดเพราะคำพูดของเราบ่อยมาก ทั้งๆที่ต้องการจะสื่อย่างหนึ่งแต่กลับถูกเข้าใจเป็นอีกอย่าง ปลอบใจตัวเองว่าเจตนาเราดีอยู่แล้ว ไม่อยากอธิบายเพิ่ม แต่ก็คิดมากค่ะ อะไรทำให้ตอนนี้เจอแต่เรื่องแบบนี้คะ


ดังตฤณ : 


ตามหลักกรรมวิบาก การโดนเข้าใจผิดหรือการโดนใส่ไคล้ เป็นการเผล็ดผลของกรรมในข้อมุสาวาทครับ เมื่อก่อนเราเคยบิดเบือนความจริง หรือทำความจริงให้บิดเบี้ยวด้วยคำพูด ธรรมชาติกรรมวิบากเลยดัดความจริงในตัวเราบัดนี้ให้บิดเบี้ยวบ้าง เป็นการเอาคืนให้สาสมกัน


ช่วงที่กรรมทางมุสาวาทเผล็ดผลนั้น พยายามพูดดีให้ตายก็โดนมองเป็นร้ายครับ บางทีก็กรรมก็จัดสรรให้เขาหูแว่วหรือตีความสีหน้าสีตาของเราเพี้ยนไปเอง แต่บางทีก็จัดสรรให้เราทำหน้าแปลกๆ ทำเสียงแปลกๆ หรือเลือกคำพูดแปลกๆ โดยไม่รู้สึกตัว กว่าจะรู้ตัวก็โดนเขาหมายหัวไว้แล้วว่าคนนี้ไม่เอาแล้ว ต่อไปคงต้องเป็นศัตรูกันแล้ว


พลังกรรมเป็นสิ่งที่น่ากลัว เรามีทั้งพลังสว่างและพลังมืดเป็นเงาตามตัว หากไร้อภิญญาก็มองไม่เห็น ใครพูดเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อมีโอกาสมาศรัทธาแล้ว ประจักษ์ด้วยตัวเองแล้วว่ามีรูปแบบอะไรบางอย่างเกิดขึ้นซ้ำๆกันในชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พึงศึกษาธรรมให้เข้าใจทั่วถึง การเข้าใจอย่างทั่วถึงจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงถึงรากถึงฐาน ไม่ใช่เปลี่ยนเฉพาะจุด และไม่ใช่เร่งรัดให้อะไรๆดีขึ้นทันใจ


ช่วงที่ถูกเข้าใจผิดอย่างไม่อาจป้องกันหรือแก้ไข ให้ทำใจว่านี่คืออีกครั้งที่เราถูกลงโทษโดยกรรม คนเข้าใจผิดเขาไม่ได้มีความผิดอะไร ก็จะรู้สึกมีแก่ใจอยากให้อภัยโดยไม่ต้องฝืน และเต็มใจตั้งสัจจะกับตนเองว่าต่อไปจะไม่โกหก ไม่ส่อเสียดว่าร้ายใครโดยไม่รู้จริง ไม่พูดถึงใครด้วยความประสงค์ร้ายหมายให้โดนเข้าใจผิด เรียกว่าทั้งแก้และทั้งกันครบวงจร อย่างน้อยใจเราก็เป็นสุขขึ้นที่เห็นว่าอะไรๆจะไม่แย่ลง แต่กลับจะค่อยๆดีขึ้น และดีที่สุดเมื่อถึงเวลาเหมาะสมครับ
_______________
สิ่งใดปรากฏอยู่ในปัจจุบัน สิ่งนั้นไม่ใช่เรา

อธิบายถ้าหากว่า
ถ้าตอนนี้สุขอยู่ สุขนั่นแหละคือสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน สุขนั้นไม่ใช่เรา

อธิบายถ้าหากว่า
ถ้าตอนนี้ทุกข์อยู่
ทุกข์นั่นแหละคือสิ่งปรากฏในปัจจุบัน ทุกข์นั้นไม่ใช่เรา

อธิบายถ้าหากว่า
ถ้าตอนนี้อุเบกขาเฉยๆอยู่
อุเบกขาความเฉยๆคือสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน อุเบกขาเฉยๆนั้นไม่ใช่เรา

และสิ่งใดไม่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
สิ่งนั้น ก็ไม่ใช่เรา
______________
กิเลส
มันมาจุดไฟ แล้วหนี
ปล่อยให้ไฟทุกข์ มันไหมเรา เผาเรา มันจะให้เรารับผิดชอบ ดูซิ

ดูซิกิเลสซิมันมือบอลขนาดไหน จุดไฟแล้วหนี จุดแล้วหนีๆ 

ไม่มีรับผิดชอบเลย

มันไม่ได้จุดไฟทุกข์แค่ชนิดเดียวนะ 
พอมันจุดแล้ว
คนโง่ก็จะหลงเพลินอยู่กับไฟ

มันจุดไฟวิตกกังวนขึ้น
เราก็จะโดนความวิตกกังวนไหม้ อย่างโง่ๆไม่รู้

พอมามีน้ำคือสติ รู้ตัวอีกทีว่า กำลังโดนมันไหม้
เฮ้ย.. ความวิตกกังวนนิว้า มันจุดตั้งแต่ตอนไหนวะ

สติเปรียบเสมือนน้ำดับไฟ
ไฟจะค่อยๆคลายดับลง
พระสกิทาคามี จะดับได้เร็ว
เพราะน้ำคือสติมีคุณภาพ


ความวิตกกังวน ความระแวง
ความกลัว ทุกข์ต่างๆนาๆ ชนิด

เรานี่ต้องมี สติตัวรู้เฉยๆ ขึ้นมา มีสติรู้ตามมันให้ใวเท่าที่จะใวได้
ไม่งั้นมันจะเผานาน

ทุกข์จะเกิดจาก อายตนะ ๖ ช่องทางนี้
และวิธีรับมือคือ
อย่าหลงไป กับ อายตนะ ๖
๑.ตา เมื่อเห็นรูป สวยหล่อ
น่าพอใจไม่น่าพอใจ น่าเกลียดน่ารักแค่ไหน ให้เปลี่ยนมาดูที่ใจเป็นหลักแทน
ถ้าใจมันชอบ เราจะต้องพยามยามเป็นผู้อุเบกขาคือเฉยๆ และสำรวมคำพูดและทางกายไว้

ถ้าใจมันไม่ชอบเราต้องพยายาม
เป็นผู้อุเบกขาเฉยๆ ต่อมัน
และสำรวมระวังบาปทางปากและทางกายให้ดี 

เมื่อเราอุเบกขา และสำรวมอย่างนี้ กิเลสมันจะดิ้น ทุลนทุลาย
ปันป่วนเหมือนใต้ภูเขาไฟกำลังปะทุ อัดแน่น อยู่ภายใน


เราจะเห็น สภาวะอารมณ์อันไม่เที่ยง แปรปวน ทุลนทุลาย
ปรากฏให้ดูภายในธรรมรมณ์(ใจ)

"นั้นแหละครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
นั้นมันเป็นสิ่งถูกเห็นถูกรู้ แต่เราเป็นผู้เห็น มันไม่ใช่เรา อย่าไปยึดมัน"

๒.หู เมื่อได้ยินเสียง เสียงด่า เสียงนินทา เสียงยกยอ สรรเสิรญ
น่าพอใจไม่น่าพอใจ น่าฟังไม่น่าฟัง ให้เปลี่ยนมาดูที่ใจเป็นหลัก
ถ้าใจมันชอบ เราจะต้องพยามยามเป็นผู้อุเบกขาคือเฉยๆ และสำรวมคำพูดและทางกายไว้

ถ้าใจมันไม่ชอบเราต้องพยายาม
เป็นผู้อุเบกขาเฉยๆ ต่อมัน
และสำรวมระวังบาปทางปากและทางกายให้ดี 

เมื่อเราอุเบกขา และสำรวมอย่างนี้ กิเลสมันจะดิ้น ทุลนทุลาย
ปันป่วนเหมือนใต้ภูเขาไฟกำลังปะทุ อัดแน่นอยู่ภายใน ให้ใจผู้รู้


เราจะเห็น สภาวะอารมณ์อันไม่เที่ยง แปรปวน ทุลนทุลาย
ปรากฏให้ดูภายในธรรมารมณ์(ห้องอารมณ์)

"นั้นแหละครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
นั้นมันเป็นสิ่งถูกเห็นถูกรู้ แต่เราเป็นผู้เห็นผู้รู้ มันไม่ใช่เรา อย่าไปยึดมัน"

๓. จมูก เมื่อได้ดมกลิ่น กลิ่นหอมไม่หอม
น่าพอใจไม่น่าพอใจ
เช่นน้ำหอมใช้กันเยอะเลย
หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม คนเรามันติดกลิ่นอย่างนี้แหละ
ชอบพอใจ พอไม่ได้ก็ต้องดิ้นหามาให้ใช้ให้ได้
พอหมดออกไปหาซื้อใหม่ ถ้าหมดไม่มีขายสักร้านเลย คงจะเศร้าใจเป็นทุกข์
เพราะใจติดไปกับมันเสียแล้ว ให้เปลี่ยนมาดูที่ใจเป็นหลักแทน
ถ้าใจมันชอบ เราจะต้องพยามยามเป็นผู้อุเบกขาคือเฉยๆ และสำรวมคำพูดและทางกายไว้

ถ้าใจมันไม่ชอบเราต้องพยายาม
เป็นผู้อุเบกขาเฉยๆ ต่อมัน
และสำรวมระวังบาปทางปากและทางกายให้ดี 

เมื่อเราอุเบกขา และสำรวมอย่างนี้ กิเลสมันจะดิ้น ทุลนทุลาย
ปันป่วนเหมือนใต้ภูเขาไฟกำลังปะทุ อัดแน่น อยู่ภายใน


เราจะเห็น สภาวะอารมณ์อันไม่เที่ยง แปรปวน ทุลนทุลาย
ปรากฏให้ดูภายในธรรมรมณ์(ใจ)

"นั้นแหละครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
นั้นมันเป็นสิ่งถูกเห็นถูกรู้ แต่เราเป็นผู้เห็น มันไม่ใช่เรา อย่าไปยึดมัน"

๔. ลิ้น เมื่อลิ่มรส รสอร่อยไม่อร่อย
น่าพอใจไม่น่าพอใจ น่าหลงแค่ไหน หรือไม่น่าหลง ให้เปลี่ยนมาดูที่ก้น อย่าลืมก้น
กินข้าวอย่าลืมรู้สึกที่ก้นที่มันนั้ง
ลิ้มรสแล้ว มีสติกลับมารู้สึกที่ก้น

เพราะลิ้นนี่มันแรงมาก ดึงให้ขาดสติที่สุด รองมาจากธรรมารมณ์
 เราจะต้องพยามยามรู้สึกที่กายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่นก้นให้ได้
และสำรวมคำพูดอย่าให้มีบาปออกมาเพียงแค่เรื่องกินอาหาร มันจะไม่ต่างจากสัตว์
ถ้าเราไม่ยึดว่าอาหารเราๆ
ต่อให้สุนัขมันมาคาบไปต่อหน้า
เราก็เฉยๆไม่ทุกข์เลย

ส่วนผู้สติแก่กล้าแล้วก็ดูที่ใจเลยครับ
ถ้าใจมันไม่ชอบเราต้องพยายาม
เป็นผู้อุเบกขาเฉยๆ ต่อมัน
และสำรวมระวังบาปทางปากและทางกายให้ดี 

เมื่อเราอุเบกขา และสำรวมอย่างนี้ กิเลสมันจะดิ้น ทุลนทุลาย
ปันป่วนเหมือนใต้ภูเขาไฟกำลังปะทุอัดแน่น อยู่ภายใน


เราจะเห็น สภาวะอารมณ์อันไม่เที่ยง แปรปวน ทุลนทุลาย ไม่นิ่ง
ปรากฏให้ดูภายในธรรมรมณ์(ห้องอารมณ์)

"นั้นแหละครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
นั้นมันเป็นสิ่งถูกเห็นถูกรู้ แต่เราเป็นผู้เห็น มันไม่ใช่เรา อย่าไปยึดมัน"

๕. กาย เมื่อเห็นรูป สวยหล่อ
น่าพอใจไม่น่าพอใจ น่าเกลียดน่ารักแค่ไหน ให้เปลี่ยนมาดูที่ใจเป็นหลัก
ถ้าใจมันชอบ เราจะต้องพยามยามเป็นผู้อุเบกขาคือเฉยๆ และสำรวมคำพูดและทางกายไว้

ถ้าใจมันไม่ชอบเราต้องพยายาม
เป็นผู้อุเบกขาเฉยๆ ต่อมัน
และสำรวมระวังบาปทางปากและทางกายให้ดี 

เมื่อเราอุเบกขา และสำรวมอย่างนี้ ใจกิเลสมันจะดิ้น ทุลนทุลาย
ปันป่วนเหมือนใต้ภูเขาไฟกำลังปะทุอัดแน่น อยู่ภายใน


เราจะเห็น สภาวะอารมณ์อันไม่เที่ยง แปรปวน ทุลนทุลาย
ปรากฏให้ดูภายในธรรมรมณ์(ห้องอารมณ์)

"นั้นแหละครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
นั้นมันเป็นสิ่งถูกเห็นถูกรู้ แต่เราเป็นผู้เห็น มันไม่ใช่เรา อย่าไปยึดมัน"
______________________
มุนีไม่ทำความสนิทสนมในบ้านนั้น
คืออย่างไร

คือภิกษุบางองค์ไม่คลุกคลีกับพวกคฤหัสถ์ชาวบ้าน ไม่เพลิดเพลินกับพวกคฤหัสถ์ ไม่เศร้าโศกกับพวกคฤหัสถ์ ไม่พลอยสุขทุกข์กับพวกคฤหัสถ์
เมื่อพวกคฤหัสถ์มีสิ่งจะต้องทำเกิดขึ้นก็ไม่ช่วยเขาทำ
___________
สิ่งที่ผู้ทำไม่อยากได้
คนซื้อไม่อยากใช้
คนใช้ไม่รู้เรื่อง

คือโรงศพ
_____________
ในขณะที่ นั่งอยู่ใน ศาลา
ก็ได้มองดูรูปปฏิมากรรม ฝาผนัง
ก็ได้เห็นรูป หญิงสาว ชูชก
"ก็คิดว่า ธรรมะชาติสร้างมาให้สวยที่สุดให้หลงที่สุด ก็คงแค่นี้สินะ ที่สร้างมา
ให้คนหลง และกักเก็บไว้ไม่ให้หมดตัณหาความต้องการในโลก"

ทันใดนั้น ก็จับมือถือขึ้นมา
เข้าเน็ตด้วยความคิดอยากรู้ว่าไหน สวยที่สุดที่โลกสร้างมาให้หลงเป็นยังไงดูซิ ก็เลยค้นดูรูป

ดูไปๆ ก็มีความคิดว่า

"ปฐวีธวี หรือธาตุในจักวาล
ต้องให้คนอื่นหลง หลงให้ที่สุด 

ตัวบรรดาน(เจตนา คอยสั่ง
ต้องหลงร่างกายตัวเอง
ต้องทำให้คนอื่นหลง
ทุกทาง 
หลงรูปร่างกาย หลงสัดส่วน
หลงสี  เพื่อให้หลง
เสียง เพื่อให้หลง
กลิ่น เพื่อให้หลง
รส  เพื่อให้หลง
สัมผัส  เพื่อให้หลง
อารมณ์ทางใจ  เพื่อให้หลง
__________
คัณธะตัณหา. ของพระ
กลิ่นหอมๆ อย่างเช่น กลิ่น ผ้าที่มีน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไม่มีก็ต้องตัณหาไปซื้อ
________
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ ช่วงก่อนบวช
เรื่องเริ่มต้น ของการได้ออกบวช
ก็คือมาจาก การบนบวชกับ...?
คือช่วงนั้นพ่อป่วยเป็นมะเร็งตับ
แม่ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยพาไปจุดธูป บนบานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ช่วยให้พ่อหาย
ไอเราก็เป็นคนเชื่อฟังแม่ ก็ทำตามแบบไม่ขัดขืน ยอมกล่าวบนบาน ถ้าหากว่าหาย จะบวชอุทิศบุญให้

หลังจากนั้นผ่านไป ประมาณครึ่งปี พ่อก็ตายลง


หลังจากที่พ่อตายแล้ว เวลาผ่านไปๆเรื่อยๆ
จนถึงอายุครบ 20 ปี 
แม่ก็มาคุย "อายุครบ 20 ปีแล้วนะลูก
ถึงเวลาบวชแล้ว และบวชแก้บนด้วย และก็เป็นการได้บวชตมประเพณีด้วย สัก 1 พรรษา"

เราก็เฉยๆ เอ้าบวชก็บวช (คือเป็นคนว่าง่าย)
ถือเป็นการบวชแก้บนด้วย
บวชตามประเพณีด้วย แค่ 3 เดือนกว่า 90 กว่าวันคงไม่ตาย
เดี๋ยวก็ได้สึกออกมาแล้ว  
และพอหลังสึกเราจะไปเรียนช่างซ่อมคอม-มือถือ (วางแผน)
และบวชก่อนเอาเมียแม่พ่อจะได้บุญเยอะ
ถ้าเอาเมียแล้วบวช เมียจะไดบุญด้วย พ่อแม่จะได้น้อย
 ok บวชช่วงนี้ก็บวช ถือว่าจะได้ไม่เป็นอับปะมงคลแก่ชีวิตด้วย ! (ความเชื่อตอนนั้น)

ก็เลยได้บวชช่วงก่อนเข้าพรรษา บวชวันที่ 7 กรกฏาคม 

ก็อยู่มาเรื่อยๆ รู้สึกว่าได้นอนน้อย 3 ทุ่มครึ่ง นอนดึก ตื่นตี 3 กว่า 
รู้สึกเพีย แต่ก็อดทน จนวันเวลาล่วงมา 70 กว่าวัน
ความคิดในหัว เริ่มเปลี่ยนไป ออกพรรษา ที่ ๑. (ความคิด ภายในจิตใจ เริ่มเปลี่ยนทิศทางอยากจะสึก
แล้วไปบวชอยู่วัดป่า
___________
สภาวะผม สภาวะจิตใจผม
เป็น ณ ตอนนี้ รับปากครับว่าจะไม่บอกใคร
__________
เรื่อง"‪#‎ช่วยแม่จากนรก‬" หลวงปู่จันทา ถาวโร

ทีนี้ ก่อนอื่นที่จะออกบวชในศาสนานั้น
‪#‎แต่ก่อนมาโน้น‬ ก็ยังไม่ได้ใฝ่ฝันในการบวชหรอก 
ใด้เห็นพระตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ก็มีใจยินดีอยู่ 
แต่ยังไม่คิดว่า อยากจะบวช ต่อเมื่อได้สร้างโลก
(มีครอบครัว)จบสิ้นลงไปแล้ว
ทีนี้ "ก็เลยคิดอยากจะออกบวช" 
ทั้งนี้ ‪#‎เพราะมีความคิดถึงผู้บังเกิดเกล้า‬
เหล่ามารดาบิดาผู้มีพระคุณอย่างสุดยิ่ง 
คิดว่าจะบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศไปให้ท่าน 

เพราะ"นักปราชญ์ทั้งหลาย"ท่านพูดว่า 
จะทำอะไร เพื่อทดแทนบุญคุณของบิดามารดานั้น
‪#‎ทำได้แสนยากนัก‬ จะไปทำไร่ทำนาค้าขาย 
หารายได้จากสิ่งเหล่านั้น มาตอบแทน
"ก็ไม่สมดุลกับบุญคุณนั้น" 
จะเอาบิดามารดาขึ้นมานั่งบนบ่า ถ่ายราดหนักเบา 
ให้ท่านอยู่เย็นสบายทั้งวันคืน
ก็ยังไม่"สมดุล"กับบุญคุณของท่าน

‪#‎บุญคุณของมารดา_เท่ากับแผ่นดิน‬
บุญคุณของบิดา เท่ากับแผ่นฟ้าอากาศกว้างกลางหาว 
จะหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ไม่เสมอเหมือน

ปี ๒๔๙๐ ‪#‎ก็เลยได้ออกบวช‬ 
ครั้นเมื่อออกบวชแล้ว ก็ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม
"ด้วยการเดินจงกรม ยืนภาวนา 
นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์"เสร็จแล้ว๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม 
"‪#‎ก็อุทิศส่วนบุญ‬"ไปให้ทุกวัน ว่า 
“แม่ข้าพเจ้าชื่อว่า นางเลี่ยม ชมพูวิเศษ 
ตายแล้วไป ตกอยู่สถานที่ใดหนอ 
เป็นสุขหรือทุกข์ประการใด 
ขอบุญกุศลส่วนนี้ จงไปถึงและช่วยเหลือ
ให้พ้นจากสถานที่ทุกข์ร้อนด้วยเถิด”

นั่นแหละ กระทำอยู่อย่างนั้น
ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ มาเป็นระยะ ๆ 
จนอายุพรรษาล่วงมาได้ ๘ พรรษา

‪#‎ในสมัยหนึ่ง‬ ได้ไปภาวนาอยู่ที่ วัดป่าหนองแซง
อ หนองวัวซอ จ อุดรธานี กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ 
ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น 
วันนั้น "ทำความเพียรอย่างหนัก" 
ไม่ฉันอาหาร เดินจงกรมวันยังค่ำ 
พอค่ำมาก็เข้าที่นั่งสมาธิ ตลอดทั้งคืน ไม่ยอมนอน 
พอล่วงไปถึง ๔ ทุ่มความทุกข์เกิดขึ้น 
ความร้อนเกิดขึ้น จนถึงเที่ยงคืนจึงดับ
พอตี ๑ ความร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นอีกเป็นระยะ ๆ
จนกระทั่งแจ้งเป็นวันใหม่ นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิก

มาวันหลัง ‪#‎เข้าที่นั่งสมาธิอีก‬ จิตก็สงบ 
พอจิตสงบลงไป ‪#‎ก็เกิดนิมิตเห็นสัตว์ทั้งหลาย‬
มีกบ,เขียด,ปู,หอย,นก,หนู,ปูปีก
ที่ตนได้ฆ่าเขามาแล้วนั้น 
ทั้ง"วัวและหมู"ก็ได้ทำมาแล้ว 
แต่ควายไม่ได้ทำ และมนุษย์ก็ไม่ได้ทำ 
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น หลั่งไหลมาเต็มสถานที่นั้น 
จึงกำหนดจิตถามไปว่า

“มาทำอะไรกันมากมายเช่นนี้ ?”

เขาก็ตอบว่า 
“ได้ทราบข่าวว่าท่านมาบวชในศาสนาแล้ว
‪#‎จึงมาขอรับส่วนบุญ‬ ขอท่านจงแบ่งส่วนบุญให้ด้วย 
เพราะท่านเมื่อสมัยที่เป็นฆราวาสนั้น
"‪#‎ได้ฆ่าพวกข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร‬"
ฉะนั้น ถ้าไม่แบ่งส่วนบุญให้ จะขอจองเวร จองกรรมนะ 
ขอให้เป็นผู้ได้ประสบพบปะแต่เหตุเภทร้าย
อายุสั้นพลันตาย ประกอบด้วยโรคภัยนานาชนิด 
ไม่มีวันจบสิ้น”

เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น 
ก็เลยตั้งจิตอุทิศแบ่งส่วนบุญไปให้
และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ 
แล้วก็บอกให้เขามารับ ทุกวัน

เขาก็ว่า “ดีแล้ว ‪#‎นับว่าเป็นโชคลาภอันดี‬ 
จะได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ 
เพราะภพชาติของพวกข้าพเจ้านี้
ต่ำช้าลามก ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น”

‪#‎ก็เลยอุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้นไม่ลดละ‬ 
จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๐ พรรษา 
ไม่พบเห็นสัตว์เหล่านั้นมาหาอีกเลย 
จึงได้ไปกราบเรียนถาม"หลวงปู่บัว"
ท่านก็ว่า “‪#‎ผมเองก็เหมือนกัน‬ 
เมื่อภาวนาจนจิตสงบลงไปแล้ว 
จะเห็นฝูงสัตว์ทั้งหลาย มากันสนั่นหวั่นไหว
หลั่งไหลมาขอรับส่วนบุญ เมื่ออุทิศให้แล้ว เขาก็รับ 
‪#‎แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์‬ 
เขาไม่มาจองเวรจองกรรมอีกต่อไป
เพราะเขาเห็นว่า ภพชาติสังขารของเขานั้น
มันต่ำช้าลามก ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ 
‪#‎มนุษย์เป็นภพชาติสูงส่งยิ่งกว่าใด‬ ๆ ทั้งหมด 
สามารถทำคุณงามความดีได้ยิ่ง
เลิศประเสริฐทุกอย่าง”

นั่นแหละ ที่เรียกว่า 
‪#‎การบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป‬ 
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็สิ้นสงสัย

ทีนี้"เรื่องการอุทิศส่วนบุญให้แม่นั้น"
พออายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา 
‪#‎แม่ก็พ้นจากนรกมืด‬ มาเกิดกับหลานสาว
พออายุได้ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความ รู้เรื่อง

แม่ยายเขาเรียกใช้ว่า “อีหล้า 
ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”

“มึงอย่ามาเรียกกูว่า อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”

“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”

สมบัติร่างกายนี้ ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน
แต่ว่า ‪#‎ใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน‬”

นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู
ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน
เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน

เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน 
คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ 
‪#‎เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้หมด‬ รวมทั้งสามีภรรยา 
ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน 
เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง 
ตลอดจนเรื่อง เรือนสวนไร่นานั้น 
ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ
ก็บอกได้ไม่ผิด แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยก้นนะ 
จึงได้ถามเขาต่อไปอีก ว่า

“หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ ‪#‎จึงได้ออกบวช‬ 
แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”

เขาว่า “ได้รับ 
‪#‎ได้รับแต่ตอนกลางคืน‬ ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน
แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?” 
เขาต่อว่ากลับมาอีก

“โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อทำบุญน้อย 
พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวัน แล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป 
จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า 
จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร ‪#‎จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้‬ 
อุทิศให้เฉพาะตอนเย็นเพราะตอนเย็น
เดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน 
แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์
อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น
ได้บำเพ็ญบุญมาก

เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น 
‪#‎ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้เร็วกว่านี้‬”

ก็เลยถามเขาต่อไปว่า 
“ไปอยู่ในนรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”

เขาก็ว่า “‪#‎เมื่อขาดใจแล้ว‬ 
นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด
ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันคืน 
ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”

“‪#‎ในนรกมีคนมากเท่าไหร่‬ ?”

“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนาด 
แออัดกันอยู่ ‪#‎เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ‬”

ทีนี้ เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ 
จ่า ยมบาล ก็ว่า

“นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ 
‪#‎ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน‬”

นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน
ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา 
‪#‎ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น‬ 
มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล 
เพราะอำนาจของบุญนั้น
"ตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้"
เขาก็ปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว 

ขอแม่เจ้า จงไปตามเรื่องเถิด 
"จงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้"
เสียงประตูดังสั่น เหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้า ก็ดีใจ 
แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรก ว่า

“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อน”

พวกที่เหลืออยู่ ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว
"เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้"
เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น
บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม

จากนั้น จ่า ยมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี
โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี
ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญส่งมาให้ก็ดีมาก
"นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”

นั่นแหละ "ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ"
อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด 
บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดตระกูลเดิมได้ 
ก็หมดความห่วงใย อาลัยแล้ว 
ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น

ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า 
“ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ ?”

พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) 
เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาว
ทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง

“ทำอย่างไรเล่า ?”

น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ
ครั้งละโหลไหใหญ่ ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด
ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย
"สมัยนั้น วัวควายราคาถูก" 
ทำบุญแต่ละครั้ง หมดวัวควายไป๔-๕ ตัว
ตัวละ๑๐สลึงก็มี ตัวละ ๖ สลึงก็มี 
บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์มี 
สมัยนั้น วัวควายไม่มีราคา

“แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น "มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร ?”

หลวงปู่นั้นหรอ
พระเหล่านั้น 
กินข้าวแลงแกงร้อน(กินข้าวมื้อเย็น)
เล่นสีกงสีกานารี พูดจาไม่สำรวม
"ถือเงินบายทองใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส" ไม่เป็นไปเพื่อเผยแผ่พระศาสนา 
และที่วัดนั้น พระซื้อเลขเบอร์หวย เล่นอบายมุข เหมือนเป็นโยม
แต่อาศัยเห็นผ้าเหลืองจึงทำบุญด้วย

ถ้าทำบุญอย่างนั้น ก็ไม่ได้บุญมากหรอก 
ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม่ถึงหรอก 
เหตุที่อุทิศให้ไม่ถึง ก็เพราะ

๑ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์นั่นไปขวางไว้

๒ ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล 
พระทุศีลอุทิศให้ไม่ถึงนะ 
เพราะเครื่องส่ง คือศีลนั้นมันขาด 
ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับ 
เพราะมีแต่บาป จะรับไทยทาน
ส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้า ก็ไม่ถึงทั้งนั้น

นั่นแหละ 
เรื่องการบวชใช้หนี้แทนสินพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า 
ก็จบสิ้นบริบูรณ์ทุกอย่าง แล้ว 
ก็เบาใจ เบากาย นี่แหละ 
"เรื่องการบวช" ก็ต้องมีเครื่องยึด
เครื่องอยากได้ มันจึงจะบวชได้ ยึดอยากได้สวรรค์ นิพพาน 
มันจึงพอใจออกบวชได้ นอกนั้นไม่มี
_______

ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นนิกายใด ก็สามารถบรรลุธรรมได้ใช่ไหม

 

ถาม – ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นนิกายหินยานหรือนิกายมหายาน 
หากปฏิบัติได้ตรงตามหลักที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ 
ย่อมมีโอกาสเข้าถึงธรรมได้เหมือนกันใช่หรือไม่คะ 
ดังเช่นที่เปรียบทางเดินสู่นิพานเหมือนทางเดินขึ้นยอดเขา ซึ่งสามารถขึ้นได้หลายทาง

 

ตอบ – คำว่าขึ้นได้หลายทางหมายความว่า เริ่มต้นมาจากมุมมองที่แตกต่างกันได้ 
อย่างเช่น บางคนนะ จับลมหายใจเป็นหลักก่อน บางคนมาทางกสิณ 
บางคนเนี่ยนะ อย่างพวกพราหมณ์ที่บรรลุธรรมได้ง่ายๆ สมัยเจอพระพุทธเจ้าเนี่ย 
ก็ได้อรูปฌานกันนะครับ 
แต่ละคนเนี่ยตั้งต้นมาจากมุมมองที่ต่างกัน 
แต่ว่าจะต้องเห็นเหมือนกัน คืออะไรๆ ที่กำลังปรากฏอยู่ในตัวในตน 
ภาวะใดๆ ก็ตามที่ปรากฏอยู่บ่อยๆ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นที่สุด 
ว่าตัวนั้นน่ะเป็นฉันหรือว่าเกี่ยวข้องกับฉัน
จะต้องมองให้ได้ว่า มันเป็นสิ่งปรุงแต่งชั่วคราว แล้วก็มีความไม่เที่ยง


เนี่ยพูดอย่างนี้มันฟังเหมือนง่ายนะ 
แต่พอไปเจอกับตอนะ ไปชนตอเข้าจริงๆ ไปชนกับอุปาทานเข้าจริงๆ 
สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่ หรือว่าเป็นภาวะที่ปรากฏกับเราบ่อยที่สุดเนี่ย
ตัวนี้เนี่ยมันไม่สามารถที่จะมองเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยงได้ง่ายๆ 
จนกว่าเราจะรู้สึกถึงจิต รู้สึกถึงอารมณ์เกิดดับที่มันผุดอยู่ตลอดเวลานะ 
รู้ว่าแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา ฟ้องตัวเองอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง 
จนกระทั่งเนี่ยเราต้องมาแจกแจงกันว่าใครมีประสบการณ์ยังไง ยึดอะไรตรงไหน 
แล้วถึงว่ากันเป็นจุดๆ จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นสิ่งที่ตัวเองยึดไว้ แล้วก็ปล่อยไปได้ 
ตรงนั้นแหละที่มันถึงจะเข้านิพพานได้จริงนะครับ บรรลุธรรมกันได้จริง 
ไม่จำกัดหรอกว่าเป็นหินยาน หรือว่ามหายาน 
จำกัดอยู่ตรงที่ว่าจิตเนี่ย สามารถเห็นได้หรือเปล่า
ว่าอะไรๆ ภายในกายภายในใจ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวตน
Dungtrin
_____________
นางเห็นอะไร รู้อะไรบ้าง


-มีจิตโน้มเลื่อมใสมาที่พระพุทธเจ้า

-เห็นความโกธร ร้อนๆ ผุดขึ้น
เห็นความไม่พอใจผุดขึ้น

-ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น เรื่องปาฏิหาร

1วันได้ 2 ชัวโมง
l 2

l 2
l2

l2
l2

l2
l2

l2




l2

l2
l2
____________________________
การฝึกสมาธิ โดยใช้แสงสว่างนำ แนวทางของท่าน ไสยบาบา  
 

คำนำ

การ ฝึกสมาธิมีหลายรูปแบบ สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นวิธีการฝึกสมาธิที่เสนอแนะโดยท่านสัตยาไสบาบา ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีความสำคัญอย่างมากในโลกปัจจุบัน ท่านยังเป็นนักการศึกษา ท่านสอนหลายอย่าง ในเรื่องของสมาธิ ท่านได้สอนว่า วิธีการฝึกสมาธิโดยใช้แสงสว่าง เป็นวิธีการที่เป็นสากลและได้ผลมากที่สุดสำหรับยุคนี้

ขอ ให้ท่านผู้อ่านเปิดใจกว้าง ลองปฏิบัติดูให้ประจักษ์กับตนเอง แล้วจึงสรุปด้วยตนเองว่าการฝึกสมาธิโดยใช้แสงสว่างที่ว่าได้ผลดีจริงหรือไม่

ผมขอขอบคุณ หม่อมหลวงรัชฎาราศี ชยางกูร ซึ่งกรุณาสนับสนุนการพิมพ์หนังสือเล่มเล็กนี้

 

ผศ.นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ พบ.

MRCPsych [UK]

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ๒๕๔๑

 

 

การฝึกสมาธิ

ท่าน สัตยาไสบาบาสอนว่า สมาธิที่แท้จริงคือการที่จิตใจของเราอยู่กับพระเจ้า หรือพุทธะ หรือจิตที่บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา คือสภาวะที่จิตใจของเราผูกพัน นึกถึงแนบแน่นจนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตที่บริสุทธิ์ สภาวะที่ว่านี้เราทุกคนสามารถฝึกฝนให้บรรลุได้ด้วยความเพียรพยายาม

ในกรณีของการฝึกนั่งสมาธิ ท่านไสบาบาแนะนำว่า

๑.   เราควรฝึกในตอนเช้า เวลาระหว่าง ๐๓.๐๐ – ๐๖.๐๐ นาฬิกา จะเป็นเวลาที่ดีที่สุด

๒.   ไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำก่อน แต่ถ้าง่วงมาก ก็ให้ไปอาบน้ำเย็นให้หายง่วง

๓. ควรนั่งในท่าที่สบายและให้แผ่นหลังตรงและนั่งบนผืนผ้ารองระหว่างพื้นกับตัว เรา เพราะขณะที่ฝึกปฏิบัติจะมีพลังงานที่สำคัญไหลผ่านตัวเรา การที่ต้องนั่งหลังตรง ก็เพื่อให้พลังงานถ่ายเทขึ้นลงโดยสะดวก และการที่ต้องนั่งบนผ้ากั้นตัวเรากับพื้น ก็เพื่อให้ผ้าทำหน้าที่เป็นฉนวนมิให้พลังงานไหลลงสู่ดินไปหมด

 

ตอนนี้ขอให้เตรียมเทียนไขหรือตะเกียงแล้วจุดไฟให้เทียนหรือตะเกียงสว่าง

ก่อน ที่จะเริ่มต้นนั่งสมาธิต่อไป ท่านไสบาบาแนะนำให้เราภาวนาหรือสวดมนต์สักเล็กน้อยด้วยบทสวดอะไรก็ได้ที่จะ ทำให้จิตใจสงบ จากนั้นให้เฝ้าดูลมหายใจเข้าออกของเราแล้วภาวนา ถ้าเป็นชาวพุทธอาจภาวนาคำว่า “พุทโธ” หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” เราอาจภาวนาคำว่า “โซ-ฮัม” ซึ่งแปลว่า เราคือจิตที่บริสุทธิ์ โดยหายใจเข้า “โซ” หายใจออก “ฮัม” ภาวนาเช่นนี้ ประมาณ ๒-๓ นาที

เมื่อ จิตใจสงบลงแล้ว ให้จ้องแสงเทียนหรือตะเกียงสักครู่หนึ่ง จนหลับตาก็สามารถนึกภาพแสงเทียนนี้ได้ ท่านไสบาบาแนะนำให้ใช้แสงเทียนจะดีกว่าการจินตนาการถึงแสงสว่างที่ไร้รูป ร่างท่านสอนว่า จะเป็นการยากกว่ามากที่จะนึกถึงแสงสว่างที่ไร้รูป การนึกถึงแสงสว่างที่มีรูปร่างจะง่ายกว่า

ต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนการฝึก หลังจากที่เราหลับตานำภาพแสงเทียนเข้ามาในศรีษะของเราโดยผ่านเข้ามาที่หน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง

 

          ๑.เมื่อแสงสว่างอยู่ในศรีษะของเราให้บอกกับตนเองในใจว่า เราจะคิดแต่สิ่งที่ดี

          ๒.นำ แสงสว่างเคลื่อนลงมาจากศีรษะมาที่บริเวณหัวใจของเรา และให้จินตนาการว่าตรงบริเวณหัวใจของเรามีดอกบัว เมื่อดอกบัวได้รับแสงสว่างดอกบัวก็บานออกมาสวยงาม แสงสว่างชำระล้างความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราไม่มีความมืดอีกต่อไป มีแต่ความสะอาดและสว่าง

          ๓.นำ แสงสว่างจากหัวใจไปที่แขนและมือทั้ง ๒ ข้าง ให้มือทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะใช้มือทั้ง ๒ ข้างในการทำแต่สิ่งที่ดี เราจะรับใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เสมอ

          ๔.นำ แสงสว่างไปที่ขาและเท้าทั้ง ๒ ข้างให้เท้าทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะเดินก้าวหน้าไปในทางที่ดี ไปสถานที่ที่ดี และไปพบคนดี

          ๕.นำ แสงสว่างกลับขึ้นมาที่ปากและลิ้นของเรา ให้ปากและลิ้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะพูดแต่สิ่งที่ดี พูดแต่ความจริง และพูดเท่าที่จำเป็น

          ๖.นำแสงสว่างไปที่หูทั้ง ๒ ข้าง ให้หูทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะฟังแต่สิ่งที่ดี

          ๗.นำ แสงสว่างไปที่ตาทั้ง ๒ ข้าง ให้ตาทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะมองแต่สิ่งที่ดี เราจะเห็นแต่สิ่งที่ดีในทุกสิ่ง

          ๘.นำแสงสว่างกลับมาที่ศีรษะอีกครั้งหนึ่ง ให้นึกว่าศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่างมากขึ้น เจิดจ้าขึ้น

ใน ตอนนี้ เราจะกระจายแสงสว่างไปให้กับคุณพ่อ คุณแม่ ครู อาจารย์ เพื่อน แม้กระทั่งศัตรูของเรา ให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ให้ทั้งโลกเต็มไปด้วยแสงสว่าง ขอให้เห็นแสงสว่างว่าครอบคลุมทุก ๆ คน ทุก ๆ ชีวิตให้ทุกชีวิตเต็มไปด้วยแสงสว่าง  ขอให้เห็นว่าแสงสว่างที่อยู่ในตัวเราก็อยู่ในตัวทุกคนด้วย เป็นแสงสว่างเดียวกัน บอกกับตนเองว่า เราอยู่ในแสงสว่าง แสงสว่างอยู่ในตัวเรา เราคือแสงส

ถึง ตอนนี้เราจะจบการนั่งสมาธิโดยการแผ่เมตตา จากนั้นก็เก็บความรู้สึกที่สะอาด สว่าง ของแสงสว่างในหัวใจไว้กับตัวเราตลอดวัน หรืออาจนึกถึงรูปหรือนามของพระเจ้าที่เราบูชา ให้ปรากฏอยู่ในแสงสว่างในหัวใจของเรา แล้วเก็บภาพและความรู้สึกนี้ไว้กับเราตลอดวัน ตลอดเวลา

         ลำดับ ของแสงสว่างตั้งแต่ที่หัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้จุดสุดท้ายนั้น เป็นแสงสว่างที่ศีรษะของเราอีกครั้งหนึ่ง

ท่าน ไสบาบาสอนว่า ถ้าเราฝึกเช่นนี้ทุกวันอย่างจริงจังและเป็นระบบแล้ว วันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราไม่สามารถมองไม่ดี ฟังไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีได้เลย เพราะเราได้ปลูกฝังแสงสว่าง ซึ่งเป็นตัวชำระล้างส่วนต่าง ๆ ของเรา จนกระทั่งเราไม่สามารถทำในสิ่งไม่ดีได้

สมาธิที่แท้

ท่าน ไสบาบาสอนว่า การนึกถึงแสงสว่าง และนำแสงสว่างไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการฝึก เพราะสมาธิที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือการคิด ถ้าเรายังคิดอยู่ก็ไม่ใช่สมาธิที่แท้จริง แต่การนำแสงสว่างไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นอุบายที่ให้จิตใจคิดไปในทางที่ถูกต้องก่อนจนกระทั่งจิตใจสงบขึ้นและตอน ที่กระจายแสงสว่างออกไปจากตัวเรา ตอนนั้นเองที่เรามักจะลืมร่างกายของตนเอง และจมลึกไปอยู่กับแสงสว่างที่กระจายและปรากฏอยู่ในตัวทุกชีวิต ตอนนั้นเราจะเริ่มดิ่งลงสู่สมาธิที่แท้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราลืมร่างกายของเราโดยสิ้นเชิง และตระหนักถึงแต่แสงสว่างเท่านั้น สภาวะนั้นเป็นสภาวะของความปีติ มีแต่แสงสว่าง และปัญญาก็จะเกิดขึ้นเองโดยปราศจากการคิด เป็นสภาวะที่ไม่สามารถบังคับให้เกิดขึ้นตามใจเองได้

เหตุผลของการใช้แสงสว่าง

ท่าน ไสบาบาสอนว่า ถ้าเราไปเอาทรายมาจากกองทราย ในไม่ช้าทรายก็หมด ถ้าเราเอาน้ำมาจากบ่อ ในไม่ช้าบ่อน้ำก็จะแห้ง แต่เราสามารถไปเอาแสงสว่างจากเทียนเล่มหนึ่งที่จุดสว่างอยู่ได้อย่างไม่ จำกัด ถึงอย่างไรแสงสว่างก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป 

ท่าน ยังกล่าวอีกว่า ไม่ว่าเราจะนึกถึงพระเจ้าหรือจิตที่บริสุทธิ์ในรูปนามใด ที่สุดแล้วพระเจ้าก็ยังไม่ใช่และอยู่เหนือรูปและนามนั้น ด้วยเหตุผลอันนี้เอง ที่บรรพบุรุษของเราใช้แสงสว่างเป็นสัญลักษณ์แทนพระเจ้า หรือจิตที่บริสุทธิ์ มันเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนที่ใกล้เคียงและเหมาะสมกับพระเจ้าที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นชนทุกชาติ ศาสนาก็ยังยอมรับและให้ความเคารพในสัญลักษณ์นี้

เคล็ด ลับอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า แสงสว่างเป็นตัวชำระล้างและนำความบริสุทธิ์ที่ดีที่สุด เมื่อเราชำระล้างตาของเราให้ “ตาสว่าง” เราก็ไม่สามารถดูอะไรที่ไม่ดีอีกต่อไป เมื่อแสงสว่างอาบหูของเราทุกวัน เราก็ไม่สามารถไปฟังสิ่งไม่ดี เช่นการนินทาต่าง ๆ เมื่อปากของเราได้รับการชำระ เราก็ไม่พูดความเท็จหรือสิ่งไม่ดี หัวใจของเราเมื่ออยู่กับแสงสว่าง ความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ มือที่สว่างก็ไม่ทำชั่ว 

        

สรุป

ท่าน ไสบาบาสอนว่า การฝึกสมาธิโดยการใช้แสงสว่างเป็นวิธีการฝึกนั่งสมาธิที่เป็นสากล และให้ผลมากที่สุดในยุคนี้ หลายคนคิดว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ง่ายและไม่ซับซ้อน คงเหมาะสำหรับเด็กเท่านั้น และคงไม่ก่อให้เกิดปัญญาหยั่งรู้ความจริงหรือช่วยให้หลุดพ้นอย่างแน่นอน คงเป็นแค่การผ่อนคลาย

หา มิได้ ท่านไสบาบาบอกในทางตรงข้าม คือ การฝึกเช่นนี้เหมาะกับทุกคน ทุกวัย และควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเยาว์ และมันสามารถให้ผลจนถึงขั้นนำไปสู่ความหลุดพ้น และเกิดปัญญาพ้นทุกข์ได้แน่นอน ก่อนที่จะนำไปสู่จุดนั้น การฝึกเช่นนี้ยังให้ผลพลอยได้คือ มันทำให้เราได้รับการผ่อนคลายอย่างมากด้วย

ท่าน แนะนำให้เราฝึกเป็นประจำ เริ่มต้นจากวันละไม่กี่นาทีทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แล้วค่อย ๆ ขยายเวลาออกไป ผู้คนจำนวนหลายล้านคนทั่วโลกถือว่า ท่านไสบาบาเป็นองค์อวตารแห่งยุค คำว่าองค์อวตารแห่งยุคคือ ผู้นำทางจิตวิญญาณที่ให้คำสอน พร และพลังที่จะนำมนุษย์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ อวิชชา และความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงในยุคนั้น ๆ องค์อวตารแห่งยุคมักจะให้คำสอนที่เหมาะ และได้ผลสำหรับยุคนั้น ๆ ท่านสัตยาไสบาบา เทพอวตารแห่งกลียุคก็ได้ให้เคล็ดลับของการฝึกสมาธิที่เหมาะกับยุคนี้แล้ว

สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้เชื่อว่าท่านเป็นเทพอวตารแห่งยุค การฝึกสมาธิโดยใช้แสงสว่างก็ยังเป็นวิธีที่เป็นสากล ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใด และให้ผลได้ดีหากท่านได้ลองฝึกด้วยตนเอง

ขอภาวนาให้พรขององค์ภควันศรีสัตยาไสบาบา จงอยู่กับทุกท่านที่พากเพียรปฏิบัติตน เพื่อให้เข้าใจตนเองและพ้นจากความทุกข์ตลอดไป
โอม ศานติ ศานติ ศานติ
_______________
ปัจจัย๔ ที่ญาติโยม นำมาถวาย

อันไหนที่จะทำให้พระศาสนาเจริญ
ตั้งอยู่ได้นานๆ
นั่นแหละดี ใช้ปัจจัยไปในแนวทางนี้แหละ
ปลอดภัย    

อย่าไปแครคำพูดผู้อื่น ที่จะทำให้ความคิด ใช้เงิน ออกนอกลู่นอกทางไปจากนี้เลย


ที่นี้ทุกอย่างมันย่อมมีสอง มีถูกกับผิด

พระรูปใด ใช้ปัจจัย ๔ ที่ญาติโยมนำมาถวายไม่ถูกไม่เป็น 
เขาย่อม
เปรียบเสมือน บุรุษ ใช้มือกำหญ้าคา จะดึงขึ้น

เขากำไม่แน่น เขาดึงขึ้น ย่อมบาดมือเขา และมีเลือดไหลออก"


ประมาณนี้


แล้วโยมเกี่ยวไหมค่ะ  ถ้าพระใช้เงินไม่ถูก?

โยมไม่เกี่ยวหรอก เพราะโยมไม่รู้การใช้ปัจจัยของพระแต่ละรูป
โยมให้ตาม
หน้าที่ผู้ให้ด้วยความมีศรัทธา ในตอนให้ กับทั้งไม่รู้อะไรกับพระ จึงจัดว่าไม่เกี่ยว)


เหมือนสมัยก่อน พวกชาวบ้านก็นำอาหารมาถวายใส่บาตให้พระเทวทัต และใส่ให้กลุ่มภิกษุที่อยู่กับพระเทวทัต

ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าพระเทวทัตจะทำลายศาสนาด้วยความหลงโมหะ
และชาวบ้านเขาก็ให้อาหารใส่บาตให้ ตามธรรมดาของเขา เขาผู้ให้

พอพวกชาวบ้านตายลง
ก็ไม่เห็นมีบอกว่าไปเกิดในนรกหรือแดนเปตรเลย

จึงไม่เกี่ยวไม่รู้กับการใช้เงินพระ

อันว่า
พระศาสนาของพระอรหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันนี้ มีชื่อว่า โคดม หรือ โคตะมะ หรือ ตถาคต นี้
มีผู้ทำนาย ไม่รู้นะว่าใคร
แต่บอกว่า จะตั้งอยู่ได้แค่ ถึง พ.ศ.5000  
ตอนนี้มัน พ.ศ. 2558 

อายุในกัปลเกณฑ์นี้ คือ 75 ปี
ถ้าใครเลย 75 ปี ถือว่าได้กำไรนะ

อีก 100 ปีผ่านไป
อายุเกณฑ์ในกัป ก็จะ 74 ปี

อายุมนุษย์100ผ่านไปอีก จะลดลง 1 ปี  คือเหลือ 73 ปีเสมอ 
ผ่าน100ปีไปอีกก็ลดลงอีก ตลอด

พระพุทธเจ้าบอกว่า
หมู่สัตว์ในช่วงอายุมนุษย์ขาลง กิเลสจะหนาแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ
จะประพฤเลวมาก
ความประพฤตำทรามมาก
การกระทำมีแต่การกระทำที่เป็นบาปมากขึ้นเรื่อยๆ คำพูดที่พูดออกไป มีแต่เป็นบาปย้อนกลับมาหาตัวเองให้ผลตนเองในภายหลัง
บาปทางใจก็ยิ่งมาก
อกุศลกรรมบท 10 กำลังมากขึ้น

หมู่สัตว์ในยุคนั้น ไปเกิดในนรกมากมายเหลือหลาย

"ถึงเวลานั้นทั้งผมและคนอ่าน
คงไม่ได้นั้งถื้อตัวแข็ง มีตัวมีตนอยู่อย่างนี้
คงจะหายสลายคืนไปกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือไม่ก็ถูกไฟไหม้เพราะเผา"

ดังนั้น
"จะอยู่อาชีพไหนก็ตาม จะทำอะไรก็ตาม
สุดท้ายท้ายที่สุด
วัดกันที่ รวบยอดกันที่
บุญกุศล กับบาปอกุศล

ตอนที่ได้ครองก้อนดิน คือร่างกาย ที่ปั้นมาจากอาหาร นี่อยู่ เพราะอาหารมาจากดิน

มีบุญจากทาน จากศีล จากสมาธิภาวนา เท่าไร่
มีบาปที่ทำเท่าไร่ 

หรือไม่มีวัตถุทำทาน
บุญทางใจทำไหม เช่นสวดมนต์ นั้งสมาธิ ภาวนา ถือว่าเป็นการรักษาศีลในตัวขณะที่สวดมนต์ หรือนั้งสมาธิภาวนา

สรุปแล้วคนเกิดมาแล้วตาย
มีบัญชี2บัญชี ถูกแบ่งยอด
คือบุญ กับบาป แค่นั้นแหละ

ผู้ที่ไปไม่ถึงนิพพานก็เช่นกัน
ยังติดอยู่ ในวงการกรรมอยู่
แต่ส่วนมากจะเป็นกรรมดี


แล้วพอตายลงแล้ว
แยกย้ายกัน แม่ไปเกิดนู้น.. ภพนั้น
ลูกไปเกิดโน้น..ภพนี้
หลานไปเกิด ภพนั้น ญาติไปเกิดภพนี่

ไปคนละทิศละทาง
ด้วยอำนาจกรรม

"เพราะกรรมไม่เคยส่งใครมาเกิดผิดที่"
________
ปัจจัย๔ ที่ญาติโยม นำมาถวาย

อันไหนที่จะทำให้พระศาสนาเจริญ
ตั้งอยู่ได้นานๆ
นั่นแหละดี ใช้ปัจจัยไปในแนวทางนี้แหละ
ปลอดภัย    

อย่าไปแครคำพูดผู้อื่น ที่จะทำให้ความคิด ใช้เงิน ออกนอกลู่นอกทางไปจากนี้เลย


ที่นี้ทุกอย่างมันย่อมมีสอง มีถูกกับผิด

พระรูปใด ใช้ปัจจัย ๔ ที่ญาติโยมนำมาถวายไม่ถูกไม่เป็น 
เขาย่อม
เปรียบเสมือน บุรุษ ใช้มือกำหญ้าคา จะดึงขึ้น

เขากำไม่แน่น เขาดึงขึ้น ย่อมบาดมือเขา และมีเลือดไหลออก"


ประมาณนี้


แล้วโยมเกี่ยวไหมค่ะ  ถ้าพระใช้เงินไม่ถูก?

โยมไม่เกี่ยวหรอก เพราะโยมไม่รู้การใช้ปัจจัยของพระแต่ละรูป
โยมให้ตาม
หน้าที่ผู้ให้ด้วยความมีศรัทธา ในตอนให้ กับทั้งไม่รู้อะไรกับพระ จึงจัดว่าไม่เกี่ยว)


เหมือนสมัยก่อน พวกชาวบ้านก็นำอาหารมาถวายใส่บาตให้พระเทวทัต และใส่ให้กลุ่มภิกษุที่อยู่กับพระเทวทัต

ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าพระเทวทัตจะทำลายศาสนาด้วยความหลงโมหะ
และชาวบ้านเขาก็ให้อาหารใส่บาตให้ ตามธรรมดาของเขา เขาผู้ให้

พอพวกชาวบ้านตายลง
ก็ไม่เห็นมีบอกว่าไปเกิดในนรกหรือแดนเปตรเลย

จึงไม่เกี่ยวไม่รู้กับการใช้เงินพระ

อันว่า
พระศาสนาของพระอรหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันนี้ มีชื่อว่า โคดม หรือ โคตะมะ หรือ ตถาคต นี้
มีผู้ทำนาย ไม่รู้นะว่าใคร
แต่บอกว่า จะตั้งอยู่ได้แค่ ถึง พ.ศ.5000  
ตอนนี้มัน พ.ศ. 2558 

อายุในกัปลเกณฑ์นี้ คือ 75 ปี
ถ้าใครเลย 75 ปี ถือว่าได้กำไรนะ

อีก 100 ปีผ่านไป
อายุเกณฑ์ในกัป ก็จะ 74 ปี

อายุมนุษย์100ผ่านไปอีก จะลดลง 1 ปี  คือเหลือ 73 ปีเสมอ 
ผ่าน100ปีไปอีกก็ลดลงอีก ตลอด

พระพุทธเจ้าบอกว่า
หมู่สัตว์ในช่วงอายุมนุษย์ขาลง กิเลสจะหนาแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ
จะประพฤเลวมาก
ความประพฤตำทรามมาก
การกระทำมีแต่การกระทำที่เป็นบาปมากขึ้นเรื่อยๆ คำพูดที่พูดออกไป มีแต่เป็นบาปย้อนกลับมาหาตัวเองให้ผลตนเองในภายหลัง
บาปทางใจก็ยิ่งมาก
อกุศลกรรมบท 10 กำลังมากขึ้น

หมู่สัตว์ในยุคนั้น ไปเกิดในนรกมากมายเหลือหลาย

"ถึงเวลานั้นทั้งผมและคนอ่าน
คงไม่ได้นั้งถื้อตัวแข็ง มีตัวมีตนอยู่อย่างนี้
คงจะหายสลายคืนไปกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือไม่ก็ถูกไฟไหม้เพราะเผา"

ดังนั้น
"จะอยู่อาชีพไหนก็ตาม จะทำอะไรก็ตาม
สุดท้ายท้ายที่สุด
วัดกันที่ รวบยอดกันที่
บุญกุศล กับบาปอกุศล

ตอนที่ได้ครองก้อนดิน คือร่างกาย ที่ปั้นมาจากอาหาร นี่อยู่ เพราะอาหารมาจากดิน

มีบุญจากทาน จากศีล จากสมาธิภาวนา เท่าไร่
มีบาปที่ทำเท่าไร่ 

หรือไม่มีวัตถุทำทาน
บุญทางใจทำไหม เช่นสวดมนต์ นั้งสมาธิ ภาวนา ถือว่าเป็นการรักษาศีลในตัวขณะที่สวดมนต์ หรือนั้งสมาธิภาวนา

สรุปแล้วคนเกิดมาแล้วตาย
มีบัญชี2บัญชี ถูกแบ่งยอด
คือบุญ กับบาป แค่นั้นแหละ

ผู้ที่ไปไม่ถึงนิพพานก็เช่นกัน
ยังติดอยู่ ในวงการกรรมอยู่
แต่ส่วนมากจะเป็นกรรมดี


แล้วพอตายลงแล้ว
แยกย้ายกัน แม่ไปเกิดนู้น.. ภพนั้น
ลูกไปเกิดโน้น..ภพนี้
หลานไปเกิด ภพนั้น ญาติไปเกิดภพนี่

ไปคนละทิศละทาง
ด้วยอำนาจกรรม

"เพราะกรรมไม่เคยส่งใครมาเกิดผิดที่"
____________________
ปัจจัย๔ ที่ญาติโยม นำมาถวาย

อันไหนที่จะทำให้พระศาสนาเจริญ
ตั้งอยู่ได้นานๆ
นั่นแหละดี ใช้ปัจจัยไปในแนวทางนี้แหละ
ปลอดภัย    

อย่าไปแครคำพูดผู้อื่น ที่จะทำให้ความคิด ใช้เงิน ออกนอกลู่นอกทางไปจากนี้เลย


ที่นี้ทุกอย่างมันย่อมมีสอง มีถูกกับผิด

พระรูปใด ใช้ปัจจัย ๔ ที่ญาติโยมนำมาถวายไม่ถูกไม่เป็น 
เขาย่อม
เปรียบเสมือน บุรุษ ใช้มือกำหญ้าคา จะดึงขึ้น

เขากำไม่แน่น เขาดึงขึ้น ย่อมบาดมือเขา และมีเลือดไหลออก"


ประมาณนี้


แล้วโยมเกี่ยวไหมค่ะ  ถ้าพระใช้เงินไม่ถูก?

โยมไม่เกี่ยวหรอก เพราะโยมไม่รู้การใช้ปัจจัยของพระแต่ละรูป
โยมให้ตาม
หน้าที่ผู้ให้ด้วยความมีศรัทธา ในตอนให้ กับทั้งไม่รู้อะไรกับพระ จึงจัดว่าไม่เกี่ยว)


เหมือนสมัยก่อน พวกชาวบ้านก็นำอาหารมาถวายใส่บาตให้พระเทวทัต และใส่ให้กลุ่มภิกษุที่อยู่กับพระเทวทัต

ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าพระเทวทัตจะทำลายศาสนาด้วยความหลงโมหะ
และชาวบ้านเขาก็ให้อาหารใส่บาตให้ ตามธรรมดาของเขา เขาผู้ให้

พอพวกชาวบ้านตายลง
ก็ไม่เห็นมีบอกว่าไปเกิดในนรกหรือแดนเปตรเลย

จึงไม่เกี่ยวไม่รู้กับการใช้เงินพระ

อันว่า
พระศาสนาของพระอรหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันนี้ มีชื่อว่า โคดม หรือ โคตะมะ หรือ ตถาคต นี้
มีผู้ทำนาย ไม่รู้นะว่าใคร
แต่บอกว่า จะตั้งอยู่ได้แค่ ถึง พ.ศ.5000  
ตอนนี้มัน พ.ศ. 2558 

อายุในกัปลเกณฑ์นี้ คือ 75 ปี
ถ้าใครเลย 75 ปี ถือว่าได้กำไรนะ

อีก 100 ปีผ่านไป
อายุเกณฑ์ในกัป ก็จะ 74 ปี

อายุมนุษย์100ผ่านไปอีก จะลดลง 1 ปี  คือเหลือ 73 ปีเสมอ 
ผ่าน100ปีไปอีกก็ลดลงอีก ตลอด

พระพุทธเจ้าบอกว่า
หมู่สัตว์ในช่วงอายุมนุษย์ขาลง กิเลสจะหนาแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ
จะประพฤเลวมาก
ความประพฤตำทรามมาก
การกระทำมีแต่การกระทำที่เป็นบาปมากขึ้นเรื่อยๆ คำพูดที่พูดออกไป มีแต่เป็นบาปย้อนกลับมาหาตัวเองให้ผลตนเองในภายหลัง
บาปทางใจก็ยิ่งมาก
อกุศลกรรมบท 10 กำลังมากขึ้น

หมู่สัตว์ในยุคนั้น ไปเกิดในนรกมากมายเหลือหลาย

"ถึงเวลานั้นทั้งผมและคนอ่าน
คงไม่ได้นั้งถื้อตัวแข็ง มีตัวมีตนอยู่อย่างนี้
คงจะหายสลายคืนไปกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือไม่ก็ถูกไฟไหม้เพราะเผา"

ดังนั้น
"จะอยู่อาชีพไหนก็ตาม จะทำอะไรก็ตาม
สุดท้ายท้ายที่สุด
วัดกันที่ รวบยอดกันที่
บุญกุศล กับบาปอกุศล

ตอนที่ได้ครองก้อนดิน คือร่างกาย ที่ปั้นมาจากอาหาร นี่อยู่ เพราะอาหารมาจากดิน

มีบุญจากทาน จากศีล จากสมาธิภาวนา เท่าไร่
มีบาปที่ทำเท่าไร่ 

หรือไม่มีวัตถุทำทาน
บุญทางใจทำไหม เช่นสวดมนต์ นั้งสมาธิ ภาวนา ถือว่าเป็นการรักษาศีลในตัวขณะที่สวดมนต์ หรือนั้งสมาธิภาวนา

สรุปแล้วคนเกิดมาแล้วตาย
มีบัญชี2บัญชี ถูกแบ่งยอด
คือบุญ กับบาป แค่นั้นแหละ

ผู้ที่ไปไม่ถึงนิพพานก็เช่นกัน
ยังติดอยู่ ในวงการกรรมอยู่
แต่ส่วนมากจะเป็นกรรมดี


แล้วพอตายลงแล้ว
แยกย้ายกัน แม่ไปเกิดนู้น.. ภพนั้น
ลูกไปเกิดโน้น..ภพนี้
หลานไปเกิด ภพนั้น ญาติไปเกิดภพนี่

ไปคนละทิศละทาง
ด้วยอำนาจกรรม

"เพราะกรรมไม่เคยส่งใครมาเกิดผิดที่"
_______________
เย็นวันหนึ่ง ขณะนั้งรอรถ

ขณะรอว่างๆอยู่ ก็จับโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
คิดว่าจะลงแอพเฟสบุ๊กแล้ว ค้นหาเพื่อนในบริเวรแถวนี้
จะได้แอดไปดูเขา

"ขณะนั้น ได้มีความคิด และอุทานขึ้นว่า"จิตนี่มันมักหาแต่ภาระตั้วนิ"

มันมักแสวงหาแต่ภาระพาทุกข์มาให้เจ้าของตั๋วนิ"

บ่อว่าสิเป็นมักผู้งิง แสวงหาความรัก
มันแสวงหาทุกข์คักๆตั๋วนิ

บอว่าสิแต่งงาน
มันมีความสุขหม่องใดวะ
มีแต่ทุกข์คักๆ 
เดี๋ยวหาเงิน เดี๋ยวเลี้ยงลูก
เดี๋ยวยุงนั้นยากนี่ นำการนำงาน
ถ้าสิป๋ากะบอได้ สังคมกระแสนิยมเขาพาเป็นพาเฮ็ด

**ภิกษุ กิตติโสภโณ
อย่าตามอย่าไป นำกระแสสังคมเด็ดขาด ซั้นบ่มีหลุดพ้นได้ดอก
ถ้าไปตามกระแสสังคมนิยมของ ฆราวาสผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่
___________
เส็จแล้ว 90 แผ่น สมมุติ100แผ่น แนวทางปฏิบัติ, วิธีปฏิบัติ

หนังสือทั้งหมด 445 เล่ม

แจกคนในหมู่บ้าน
และตามหัวหน้าส่วนราชการล
*********************
ว่าจะทำแจกวัยรุ่น
ทำซีดี1แผ่น กรรมพยากร์แทรก ,รักแท้มีจริงแทรก จิตจักรพรรดิ์แทรก,สวนสันติธรรมแทรก

ซื้อแผ่นมาอีก 355 แผ่น ครบหนังสือ

2 กล่อง 100 แผ่น

2 กล่อง 100 แผ่น

2 กล่อง 100 แผ่น

2 กล่อง 100 แผ่น

วัยรุ่น  นักศึกษา 
ควรเป็นแผ่นDVD

1 กล่อง DVD  50 แผ่น 220 บาท
1 กล่อง VCD 50 แผ่น 170 บาท



********

6 กล่องของบ้านหนองยอ


1 หลัง มี 12 หลอด 
แผ่น VCD หลอดละ  165 บาท
ซื้อ 1 หลัง ขึ้นไป ลดเหลือ หลอดละ 160 บาท


ถุงใส่ แผ่น VCD  1แพ็ค 
ราคา 130 บาท 
มีประมาณ 400 แผ่นใส

ซื้อ 3 แพ็คลดเหลือ 25 บาท
_______
"ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง ๒๐ ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง ๔ มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ"

บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้ากันหรอกนะ ขอเจริญพร

หมายเหตุ
- ไตรสรณคมน์ 

แปลว่า การถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ได้แก่การเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งพิงที่ระลึกว่า


พุทฺธัง สรณัง คัจฺฉามิ
ธมฺมัง สรณัง คัจฺฉามิ
สงฺฆัง สรณัง คัจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ
ตติยมฺปิ

ไตรสรณคมน์เป็นการน้อมกาย วาจา ใจ นำพระรัตนตรัยเข้าไปไว้ในตน เพื่อแสดงว่าตนมีพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกยึกถึงและเป็นที่พึ่งตลอดไป และแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เป็นผู้รับนับถือพระพุทธศาสนา

เอกสารประกอบการเขียน
- ศรัทธาชาวสุวรรณภูมิ , อ.สิริเดชะกุล
- จากเรื่องคุณไสยแพ้ สามประโยคสั้นๆ เรื่องเล่าของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) 

ขอเชิญเข้าไปอนุโมทนาบุญ อ่านธรรมะสั้นๆให้จิตคุ้นชินอยู่ในกระแสธรรมของพระพุทธเจ้า จะได้เจอพุทธศาสนาทุกภพชาติ
www.facebook.com/groups/344843882326904/ 

หรือดาวน์โหลดวิธีปฏิบัติแก้ทุกข์ในชีวิตประจำวัน (ถ้าแก้ไม่ได้ให้ด่าฟรีเลย)
www.dhamma.com/tag/cd59/ 




เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิจนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัดจงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนตร์ของท่านเช่นนี้ จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนตร์คาถาในภูตผีปิศาจ ของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนตร์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก...กุกกัก ดังขึ้นมา จึงได้จุดเทียน และพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัว ของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึ่งกล่าวคำสวดมนต์

" พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ "

ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักพำนักอยู่ อาตมาบอกว่าอาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้น ก็อันตรธานหายไป









  นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนตร์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนตร์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมาได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนตร์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนตร์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกาในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนตร์มีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก

และอีกเรื่องหนึ่ง
#การที่เราแผ่เมตตา จะมีกระแสธาตุไฟออกจากวิญญาณ#

ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อทุกครั้งที่เราแผ่เมตตาก็จะมีรัสมีพลังงานออกจากกายเราจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน

 สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นรัสมีแสงพลังงานกระจายออกไปฉะนั้น ตาเนื้อมองไม่อาจเห็นได้ แต่ตาทิพย์นี่เขาเห็น และท่านผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำจะมีอายุยืน
และจะจิตแน่วแน่ โรคที่เป็นอยู่ทางกายมันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้
ฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายอย่าได้มัวประมาทในชีวิตที่น้อยนี้เลย
วันคืนมันก็ล่วงไปๆบัดเราทำอะไรอยู่

และบุญทุกครั้งขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้







  "ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง ๒๐ ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง ๔ มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ"

บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้ากันหรอกนะ ขอเจริญพร

หมายเหตุ
- ไตรสรณคมน์ 

แปลว่า การถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ได้แก่การเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งพิงที่ระลึกว่า


พุทฺธัง สรณัง คัจฺฉามิ
ธมฺมัง สรณัง คัจฺฉามิ
สงฺฆัง สรณัง คัจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ
ตติยมฺปิ

ไตรสรณคมน์เป็นการน้อมกาย วาจา ใจ นำพระรัตนตรัยเข้าไปไว้ในตน เพื่อแสดงว่าตนมีพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกยึกถึงและเป็นที่พึ่งตลอดไป และแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เป็นผู้รับนับถือพระพุทธศาสนา

เอกสารประกอบการเขียน
- ศรัทธาชาวสุวรรณภูมิ , อ.สิริเดชะกุล
- จากเรื่องคุณไสยแพ้ สามประโยคสั้นๆ เรื่องเล่าของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) 

ขอเชิญเข้าไปอนุโมทนาบุญ อ่านธรรมะสั้นๆให้จิตคุ้นชินอยู่ในกระแสธรรมของพระพุทธเจ้า จะได้เจอพุทธศาสนาทุกภพชาติ
www.facebook.com/groups/344843882326904/ 

หรือดาวน์โหลดวิธีปฏิบัติแก้ทุกข์ในชีวิตประจำวัน (ถ้าแก้ไม่ได้ให้ด่าฟรีเลย)
www.dhamma.com/tag/cd59/ 
_____________
ให้ดูอารมณ์ที่ไปหมายรู้
เช่น เห็นคนอ้วน
ให้รู้ทันใจที่ไปให้ความหมายเขาว่าอ้วน

หรือ เห็นคนผอม
ให้รู้ทันใจที่ไปให้ความหมายเขาว่าผอม


ให้ดูอารมณ์ว่าความโกรธกระเพี่ยมขึ้นมา

ให้ดูอารมณ์ว่าความไม่ชอบไม่พอใจกระเพี่ยมขึ้นมา

ให้ดูอารมณ์ว่าเป็นเรากระเพี่ยมขึ้นมา


รู้ทันใจที่ไปให้ความหมายกับสิ่งต่างๆ



ใจที่มีราคะ จะใช้มือหรือร่างกายสนองราคะให้เข้มข้นเข้าไปอีก





###
ผู้ที่จะทรงฌาน
จะต้องไม่สนใจไม่ไหลให้ความสำคัญ...
โลกทั้ง6
๑.โลกตา
๒.โลกหู
๓.โลกจมูก
๔.โลกลิ้น
๕.โลกกายสัมผัสที่น่าพอใจ
๖.โลกใจ

เพราะโลกพวกนี้ เป็นประตู ให้ธรรมชาติ ที่มีทั้งอารมณ์สิ่งที่น่าพอใจน่าหลงไหล
ทั้งอารมณ์สิ่งที่ไม่น่าพอใจไม่ชอบใจ ผ่านเข้ามาตลอดเวลา ให้ธรรมชาติผ่านเข้ามาตลอดเวลา

มันเข้ามาแล้ว ก็เอาอารมณ์ทุกข์เวทนาอันเผ็ดร้อนเสียดสีแสบ
มาโชว์ให้ผู้รู้ดู

มันเข้ามาแล้ว
ก็เอาอามรม์เพลินอารมณ์ให้หลงมาโชว์
ให้ผู้รู้ดู

ผู้รู้ก็คือวิญญาณ


สิ่งใดไม่มีในปัจจุบัน
สิ่งๆนั้น ไม่ใช่เรา


อารมณ์ทั้งหลายเป็นตัวปรุงแต่ง
เอาอารมณ์นี้ ไปใส่อารมณ์นั้น
เอาอารมณ์นั้น มาใส่อารมณ์นี้
จับอารมณ์ความรู้สึกนั้นไปใส่อารมณ์ความรู้สึกนี้
อารมณ์ปัจจุบันนี้ปรุงแต่งไป
ต่ออารมณ์อื่น(อนาคต)
อารมณ์อื่น(ปัจจุบัน) ปรุงแต่งต่อไปสู่ อารมณ์อื่น(อนาคต)


ถ้าเชื่อความคิด เราก็จะทำตามความคิด
ถ้าเชื่อความคิด เราก็จะคิดหาคำตอบเพื่อมาตอบความคิดที่ดับไปแล้ว
ถ้ามีตัณหากับความคิด ก็คือการหาคำตอบมาตอบความคิด
หาวิธีแก้ร้อนไปดับมัน
มันกำลังร้อนอยู่ ถ้าดับมันไม่ได
้ก็อยากจะหาความเย็นมาดับมัน
ก็เท่ากับการหาคำตอบมาตอบมัน
และมันก็เหมือนกับว่า เอาเชื่อไปใส่มัน



จะใช้กรรมแบบจิตเศร้าหมอง
หรือจะใช้กรรมแบบจิตไม่เศร้าหมอง




ถาม: ทำไม่สุขเวทนาทางกาย อย่างซักเว่า มีเพศสัมพัน  มันถึงได้รุนแรงดึงให้สิ่งหนึ่งเชื่อและหลงจมไปกับมันได้
ทั้งๆที่ สุขจากการนั่งสมาธินั้นประณีตกว่าดีกว่า สุขกว่าบริสุทธิ์กว่า ดีกว่าทุกอย่าง
ก็แต่ทำไม ผู้ที่ทำสมาธิไปถึงฌาน ก็รู้อยู่ว่า นั้งทำสมาธิสุขกว่า อารมณ์ทางเพศเป็นไหนๆ
แต่ทำไม่ยังหลงไปกับมันได้ ยังกระตุ้นอวัยะเพศให้แข็ง และโชว์เวทนาของกามได้

ตอบ: กิเลสแบบนั้น อารมณ์แบบนั้น แบบที่ถามมานั้น เราเคยผ่านการเกิดและเจอมันหลงไปกับ หรือพยามหลีกออกจากมัน แต่ไม่สำเร็จเพราะมันมีกระแสอำนาจความเคยติดเคยเสพมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ในหนึ่งวัน เวลาที่จะคิดดำริต่อต้านที่จะออกจากกาม 
ก็มีเวลาน้อยมาก ถ้าเปรียบกับเวลาที่หลงไปกับมันและตามไปกับมัน
ลองเดินแบบเร็วๆหรือวิ่งให้แบบเร็วๆ แล้วสั่งร่างกายหยุดทันที่
มันก็ไม่สามารถหยุดได้ทันทีทันใด
เพราะอะไร เพราะความกระแสความเร็วจากการเดิน เพราะกระแสจากความเร็วจากการวิ่ง
นั้นมีพลังอำนาจมากกว่าที่จะข่มให้หยุดได้ทันที
ฉันนั้นเหมือนกัน กิเลสกามราคะทั้งหลาย
เราเจริญอสุภะเจริญธาตุจักวาล
เจริญแยกมหาภูตธาตุ๔ เจริญแยกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มันไม่มีผู้หญิงผู้ชายเลย
เราก็รู้ กามราคะก็คลายออกค่อยๆหายไป
เพราะมันรู้
แต่เวลาผ่านไปกามราคะมีขึ้นมาอีก
เพราะกระแสจากที่มันเคยผ่านมาเคยหลงมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ตอนนั้นมันก็ลืมอสุภะลืมหมดตัว

แก้กามราคะ

ต้องนั้งสมาธิแล้วพอออกจากสมาธิ แล้วเทียบสภาวะอารมณ์ของสมาธิ กับมาราคะ
เทียบกันบ่อยๆเลย
ให้สิ่งๆนั้นรู้ว่า อันไหนเป็นอันไหนดีกว่ากัน

และอารมณ์ความสบาย นี่ก็มาจากกระแสของการที่เราได้พบได้ประสบมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
มันจึงต้องเป็นแบบนี้แหละ สภาวะอารม์มันจึงต้องเป็นแบบนี้แหละ เพราะภพก่อนชาติก่อนมันประสบมันหลงไหลไปกับมัน
มันจึงมาให้เห็นแบบนี้แหละ
มันจึงต้องเป็นแบบนี้แหละ
ให้พยายามใช้วิชาของพระพุทธเจ้าที่ท่านกล่าวโอวาสประทานให้  เพื่อที่จะหลุดพ้นถึงที่สุดแห่งความเป็นธาตุ



***

กิเลส
มันมาจุดไฟ แล้วหนี
ปล่อยให้ไฟทุกข์ มันไหมเรา มันจะให้เรารับผิดชอบ ดูซิ

ดูซิมันมือบอล ขยาดไหนจุดไฟแล้วหนี

ไม่มีรับผิดชอบ

เรา นี่ต้องบ่มสติปัญญารู้ทันมันให้มาก



**

ให้ดูแค่ ถ้ากำลังเสวยอารมณ์สุขอยู่ ให้คอยดูมันเปลี่ยนแปลงไป

ให้ดูแค่ ถ้ากำลังเสวยอารมณ์ทุกข์อยู่
ให้คอยดูแค่เห็นมันเปลี่ยนไป

ให้ดูแค่ 
ถ้ากำลังเสวยอารมณ์อุเบกขาเฉยๆอยู่ ให้ดูให้เห็นแค่มันเปลี่ยนไป

ถ้าเราเสวยอารมณ์ใดอยู่ ก็ให้ดูแค่นี้ เห็นอารมณ์มันเปลี่ยนไป

**

แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์

แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์

แม้ความเจ็บก็เป็นทุกข์

แม้ความตายก็เป็นทุกข์
ทุกข์แท้เด้ความตาย

บัดสิตายนิเจ็บเมิดตนเมิดโต
ปวดเมิดตนเมิดโต บ่มีเว้น

ทรมาณแท้เด้
ทรามาณจังได์ ให้ลองไปอิเค้กอยู่หลังกุฏีปู่ถ่าน

เบิ่งมันโซบ่านได๋ ฮ่้อง คึเจ็บคึสิปวดในมันคัก
กลางคืนค้างอยู่ ฮือๆ อื้อ 
ถ้าแมนภาษาเฮากะสิโอ้ย..
เจ็บ โอ้ยปวด โอ้ย เจ็บ เจ๊บเมิดตนเมิดโต โอ้ยทรมาณ

นิมันค้างจังสิ

ถ้าสิเชื่อว่ามันบ่อทุกข์ดอก  ต้องฮู้เองบัดสิตาย

มีดบาดนิ้วมือ ก็บ่อทุกข์ซำบาดสิตายดอก

ทุกข์แต่หม่องถืกบาดซื้อๆ

แต่บัดสิตายนั้น ทุกข์เมิดโต
บ่อมีหมองเว้น
___________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น