วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เวลามนุษย์

พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
9 ต.ค. 2016
ชื่อหรือไม่มนุษย์เรามีเวลาสั่งสม บุญหรือบาป เพียง 13,687 วัน
เท่านั้นเอง
*ผู้ที่อ่านบทความนี้จนจบ จะรู้สึกเลยว่า เวลาที่ผ่านไปแต
่ละนาที มันช่างมีค่า และความหมายมากเพียงใด และเราก็
ไม่สามารถย้อนเวลาที่เราปล่อยผ่านไปปล่าวๆ ให้กลับคืนได้อี
กเลยตลอดกาล*
สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพ อายุของมนุษย์ใน
ยุคนั้นคือ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลัง
จากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว อายุขัยของมนุษย
์เมื่อล่วงเลยไปทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี เมื่อพระพุทธเจ้
าท่านปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เพราะฉนั้นอายุข
ัยของมนุษย์ในปัจจุบันได้ดลงไปแล้ว 25 ปี
อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จน
ถึงวันนี้ พ.ศ. 2548 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นว
ันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับ
เป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง
ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ
2,365,200,000 วินาที
เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี
สมการคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี =
2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี =
2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก
บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน
บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ
วันหนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12
ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะ
มีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น
เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่
13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500
ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่า
นั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำ
ให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก
มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ
จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ
บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7
ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7
สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7
ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วั
น ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมา
ทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก
อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไ
ปภพหน้ากันเถอะ
แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า " เดี๋ยวรอให้แก่ก่อน
แล้วค่อยทำบุญ " โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำ
ให้ท่านคิดเช่นนั้น แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ
อดีตชาติของท่านอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา
จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสี
ยชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตาย
ด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็
นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่ท่าน "จุติ" จากชาติที่แล้ว
จนท่านมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าท่านจะต้องตายเมื่อไร
วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ ไม้จิ้มฟันจิ้มเ
หงือกดันเสือกตาย"
โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที
อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร
ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี
เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้
ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้
ไม่ถึง 0.00000001 %)
การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะ
ต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4
อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพ
ุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ
1) การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป ที่มีอาการครบ 32 (
ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่ ประเทศเนปาล-อิน
เดีย นะครับ)
2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "
ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์
ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ,
และพระศรีอริยะ ในอนาคตกาล)
3) การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่
4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา
"สติปัฏฐาน 4" โดยพิจารณา กาย-เวทนา-จิต-ธรรม
เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน จนเกิด "ญาณ 16" ซึ่ง
จะนำเราไปสู่ความเป็น "พระโสดาบัน")
พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก
4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอ
กาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตาม
ืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไร
เกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มี
ปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการ
ได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า
บุญกิริยาวัตถุ 10)
1) ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
2) สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
3) ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (การเจริญ "
สติปัฏฐาน 4" จนได้ "ญาณ 16")
4) อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
5) ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วย
ในกิจการที่ชอบ
6) ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7) ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
8) ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
9) ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
10) ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (
เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี ,
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี-พระศรีอริยเมตรไตรย์มี , เชื่อว่าทรัพย์ส
มบัติติดตัวไปไม่ได้-เอาไปได้แค่บุญกุศล , ร่างกายมนุษย์มี
ไว้สร้างบุญบารมี-ไม่ได้เอาไว้หาความสุขสำราญ)
อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร
้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอด
ไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-
เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์
-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง
10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย
โลกมนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่
เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว
สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบ
ได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริง
และค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (
คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่ง
เป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...
แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณ
ต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "
ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป)
แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์
ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย
ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย
แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่า
นั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติด
ตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-
บาป เท่านั้น
ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า
ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่
สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรื
อไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเว
ลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์
สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ
โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ
เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่
ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเ
กิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้
ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไป
กับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะ
ได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!
*ก่อนจะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดย
ไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่า
นั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะครับ !!!*
**ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็
จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอน
นั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจา
กบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนาน
เท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้
อีก**
***พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ...
คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจา
กบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัว
เองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มัน
ให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงท่านจะสรรหาค
ำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอกครับ ..
หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้อง
ได้ผลมะม่วง ท่านจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ"
ท่านสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได่รับกรรมเช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะ
ไม่เชื่อ แต่กฏแห่งกรรมมันไม่ขึ้นกับความเชื่อของท่านหรอก
เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเ
ชื่อหรือไม่เชื่อ***
"ญาณ ๑๖" ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นพระอริยะบุคคลระดับ "
พระโสดาบัน"
ขอขอบคุณมี่มาจาก www.bp.or.th/webboard/index.php?
topic=14172.0%3Bwap2
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
9 ต.ค. 2016
เชื่อหรือไม่มนุษย์เรามีเวลาสั่งสม บุญหรือบาป เพียง 13,687 วัน
เท่านั้นเอง
*ผู้ที่อ่านบทความนี้จนจบ จะรู้สึกเลยว่า เวลาที่ผ่านไปแต
่ละนาที มันช่างมีค่า และความหมายมากเพียงใด และเราก็
ไม่สามารถย้อนเวลาที่เราปล่อยผ่านไปปล่าวๆ ให้กลับคืนได้อี
กเลยตลอดกาล*
สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพ อายุของมนุษย์ใน
ยุคนั้นคือ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลัง
จากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว อายุขัยของมนุษย
์เมื่อล่วงเลยไปทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี เมื่อพระพุทธเจ้
าท่านปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เพราะฉนั้นอายุข
ัยของมนุษย์ในปัจจุบันได้ดลงไปแล้ว 25 ปี
อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จน
ถึงวันนี้ พ.ศ. 2548 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นว
ันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับ
เป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง
ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ
2,365,200,000 วินาที
เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี
สมการคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี =
2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี =
2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก
บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน
บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ
วันหนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12
ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะ
มีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น
เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่
13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500
ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่า
นั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำ
ให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก
มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ
จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ
บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7
ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7
สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7
ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วั
น ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมา
ทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก
อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไ
ปภพหน้ากันเถอะ
แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า " เดี๋ยวรอให้แก่ก่อน
แล้วค่อยทำบุญ " โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำ
ให้ท่านคิดเช่นนั้น แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ
อดีตชาติของท่านอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา
จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสี
ยชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตาย
ด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็
นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่ท่าน "จุติ" จากชาติที่แล้ว
จนท่านมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าท่านจะต้องตายเมื่อไร
วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ ไม้จิ้มฟันจิ้มเ
หงือกดันเสือกตาย"
โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที
อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร
ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี
เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้
ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้
ไม่ถึง 0.00000001 %)
การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะ
ต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4
อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพ
ุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ
1) การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป ที่มีอาการครบ 32 (
ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่ ประเทศเนปาล-อิน
เดีย นะครับ)
2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "
ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์
ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ,
และพระศรีอริยะ ในอนาคตกาล)
3) การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่
4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา
"สติปัฏฐาน 4" โดยพิจารณา กาย-เวทนา-จิต-ธรรม
เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน จนเกิด "ญาณ 16" ซึ่ง
จะนำเราไปสู่ความเป็น "พระโสดาบัน")
พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก
4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอ
กาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตาม
ืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไร
เกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มี
ปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการ
ได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า
บุญกิริยาวัตถุ 10)
1) ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
2) สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
3) ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (การเจริญ "
สติปัฏฐาน 4" จนได้ "ญาณ 16")
4) อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
5) ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วย
ในกิจการที่ชอบ
6) ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7) ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
8) ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
9) ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
10) ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (
เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี ,
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี-พระศรีอริยเมตรไตรย์มี , เชื่อว่าทรัพย์ส
มบัติติดตัวไปไม่ได้-เอาไปได้แค่บุญกุศล , ร่างกายมนุษย์มี
ไว้สร้างบุญบารมี-ไม่ได้เอาไว้หาความสุขสำราญ)
อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร
้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอด
ไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-
เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์
-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง
10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย
โลกมนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่
เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว
สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบ
ได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริง
และค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (
คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่ง
เป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...
แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณ
ต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "
ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป)
แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์
ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย
ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย
แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่า
นั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติด
ตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-
บาป เท่านั้น
ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า
ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่
สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรื
อไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเว
ลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์
สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ
โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ
เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่
ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเ
กิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้
ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไป
กับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะ
ได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!
*ก่อนจะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดย
ไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่า
นั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะครับ !!!*
**ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็
จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอน
นั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจา
กบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนาน
เท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้
อีก**
***พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ...
คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจา
กบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัว
เองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มัน
ให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงท่านจะสรรหาค
ำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอกครับ ..
หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้อง
ได้ผลมะม่วง ท่านจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ"
ท่านสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได่รับกรรมเช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะ
ไม่เชื่อ แต่กฏแห่งกรรมมันไม่ขึ้นกับความเชื่อของท่านหรอก
เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเ
ชื่อหรือไม่เชื่อ***
"ญาณ ๑๖" ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นพระอริยะบุคคลระดับ "
พระโสดาบัน"
ขอขอบคุณมี่มาจาก www.bp.or.th/webboard/index.php?
topic=14172.0%3Bwap2
topic=14172.0%3Bwap2
9 ตุลาคม 2016 เวลา 14:45 น. · Facebook for Android ·
ความเป็นส่วนตัว: เฉพาะฉัน
เพิ่มรูปภาพ · บันทึก · เพิ่มเติม
คุณ, Orapan Obtong และคนอื่นๆ อีก 23 คน
ขุนเขา และ สายธาร
สาธุๆ
1 · ถูกใจ · ตอบกลับ · ลบ · 9 ต.ค. 2016
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
รู้แล้วให้มั่นไหว้พระสวดมนต์นะ
ถูกใจ · แสดงความรู้สึก · ตอบกลับ · แก้ไข · 9 ต.ค. 2016

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น