วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ประวัติช่วงก่อนบวชของพระมงคลชัย กิตติโสภโณ

ประวัติช่วงก่อนบวช

พระมงคลชัย กิตติโสภโณ


ประวัติพระ มงคลชัย กิตติโสภโณ

>>ตอนเป็นโยม<<

สมัยเรียนตอนเด็กๆ ชอบขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยชอบเล่นกับเพื่อน

ชอบทำอะไรแปลกๆ ที่คนอื่นเขาไม่ทำ เป็นคงเกร่งใจคนอื่นมาก

พอขึ้นมัธยม ใจมันยิ่งชอบสันโดด

ไม่ชอบอะไรเลยที่มันวุ่นวาย ชอบอยู่เงียบๆ เวลาอยู่กับเพื่อนมันรู้สึกว่าใจมันเข้ากับเพื่อนไม่ได้เลย คือมันอยากอยู่คนเดียว แต่ถ้าอยู่คนเดียวเขาจะหาว่าเป็นบ้า ก็เลยต้องไปกับเขา และรู้สึกว่าไม่ค่อยเบียดเบียนคนอื่น หรือแทบไม่เบียดเบียน ไม่ค่อยมีความโกรธ เกลียดอาฆาตพยาบาทเลย หรือแทบไม่มี มันไม่ชอบคิดอะไรที่ทำให้ใจไม่สบายใจเลย เวลามีเรื่องทุกข์ใจอย่างเช่นอกหัก 2-3 วันหายปกติเลย 

เวลาที่ต้องฆ่าสัตว์โดยคนอื่นใช้เรา

คือจะทำอาหารไปถวายพระบ้าง งานต่างๆบ้าง หรือทำกินเองในบ้าน ได้ยินอย่างนั้นแล้ว โอ้ยกูคึบ่อยากฆ่าแท้น้อ ย่านบาปเด้ๆ จนมันเอามีดปาดคอไก่เป็น

มามองกลับไปตอนเด็กแล้วมันรู้สึกว่าที่ผ่านมา

มันบำเพ็ญขันติบารมีนี่หน่า

เมตตาบารมีด้วย เห็นสัตว์ไม่มีทางออก ก็จะช่วยเลย

และดูเพิ่มเติมใน facebook แนวคิดทิฏฐิ


เรื่องเริ่มต้น ของการได้ออกบวช

ก็คือมาจาก การบนบวชกับ...?

คือช่วงนั้นพ่อป่วยเป็นมะเร็งตับ

แม่ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยพาไปจุดธูป บนบานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ช่วยให้พ่อหาย

ไอเราก็เป็นคนเชื่อฟังแม่ ก็ทำตามแบบไม่ขัดขืน ยอมกล่าวบนบาน ถ้าหากว่าหาย จะบวชอุทิศบุญให้


หลังจากนั้นผ่านไป ประมาณครึ่งปี พ่อก็ตายลง



หลังจากที่พ่อตายแล้ว เวลาผ่านไปๆเรื่อยๆ

จนถึงอายุครบ 20 ปี 

แม่ก็มาคุย "อายุครบ 20 ปีแล้วนะลูก

ถึงเวลาบวชแล้ว และบวชแก้บนด้วย และก็เป็นการได้บวชตมประเพณีด้วย สัก 1 พรรษา"


เราก็เฉยๆ เอ้าบวชก็บวช (คือเป็นคนว่าง่าย)

ถือเป็นการบวชแก้บนด้วย

บวชตามประเพณีด้วย แค่ 3 เดือนกว่า 90 กว่าวันคงไม่ตาย

เดี๋ยวก็ได้สึกออกมาแล้ว  

และพอหลังสึกเราจะไปเรียนช่างซ่อมคอม-มือถือ (วางแผน)

และบวชก่อนเอาเมียแม่พ่อจะได้บุญเยอะ

ถ้าเอาเมียแล้วบวช เมียจะไดบุญด้วย พ่อแม่จะได้น้อย

 ok บวชช่วงนี้ก็บวช ถือว่าจะได้ไม่เป็นอับปะมงคลแก่ชีวิตด้วย ! (ความเชื่อตอนนั้น)


ก็เลยได้บวชช่วงก่อนเข้าพรรษา บวชวันที่ 7 กรกฏาคม 


ก็อยู่มาเรื่อยๆ รู้สึกว่าได้นอนน้อย 3 ทุ่มครึ่ง นอนดึก ตื่นตี 3 กว่า 

รู้สึกเพีย แต่ก็อดทน จนวันเวลาล่วงมา 70 กว่าวัน

ความคิดในหัว เริ่มเปลี่ยนไป ออกพรรษา ที่ ๑. (ความคิด ภายในจิตใจ เริ่มเปลี่ยนทิศทางอยากจะสึก

แล้วไปบวชอยู่วัดป่า



ถ้าใครย้ากรู้ว่า ทำไมหลวงพี่เป็นอย่างนี้ หลวงพี่เป็นบ้ารึเปล่า?

หลวงพี่จะเล่าให้ฟังก็ได้ว่าทำไมหลวงพี่เป็นแบบนี้

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นน่ะ

>หลังจากที่หลวงพี่บวชเข้าไปแล้ว ประมาณ 2 อาทิตย์

คือมานึกตอนนี้ มีุญเหลือเกินที่ตอนนั้นได้ไปเจอวิดีโอในยูทูป เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน 

m.youtube.com/watch?v=RnHY97GSbV0


และได้ฟังจนจบ ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป

และพอฟังจบ มีบุญอีกแล้ว ได้ไปเจอธรรมะ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ตอนเทศโปรดเทวดา ก็ฟังจนจบ ฟังจบแล้วเข้าใจว่า เอ่อถ้าอยากจะเห็นเทวดาต้องเข้าฌาน4รึ

หลวงพี่ก็เลยอยากเห็นเทวดา เป็นตัวยังไงน่ะ จะเหมือนในรูปวาดในวัดไหม?


หลวงพี่ก็เลยหาคลิบพระเทศที่เกี่ยวกับสอน เรื่องฌาน ก็ฟังไปๆ เข้าใจว่า อ่อมันต้องนั้งสมาธิทำจิตใจให้สงบก่อน

ก็ไปนั้งๆๆๆๆนั้งๆๆๆ นั้งไปนั้งมาจิตมันสงบแจ่มใส อิ่มประมาณว่าไม่ต้องกินข้าวก็ได้1วัน2วัน3วัน คือมันอิ่มมากๆๆ

ก็เลยไปหาข้อมูลต่อต้องทำยังไงต่ออีก หลังจากจิตมันสงบแล้วแล้วอิ่มสมาธิไม่เจ็บไม่ปวด มีความสุขเหลือเกิน ถ้าจะเปรียบเทียบความสุขกับที่ผ่านมาในชีวิตตั้งแต่เกิดนี้ สู้นั้งสมาธิไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

หลังจากนั้นก็ศึกษา ศึกษาไปศึกษามา "เข้าใจว่าถึงจะได้ ฌานสมาบัติ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ 

ก็เลยไปศึกษาเรืองการเวียนว่ายตาเกิด พอศึกษาก็เข้า มนุษย์ และสัตว์ ทุกสิ่งทุกข์อย่าง แม้แต่เทวดาก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดหรอเนี่ยะ 

ก็เลยศึกษาต่อ ทำยังไงถึงจะไม่ต้งเวียนว่ายตายเกิด ได้ความว่าต้อง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เข้าสู้นิพพาน

ก็เลยมาหาข้อปฏิบัติให้เป็พระอรหันต์ ได้ความว่าต้องผ่านสังโยชน 10 ข้อ ไปให้ได้

ก็เลยมาเริ่มกรรมฐาน อสุภะกรรมฐาน หลวงพ่อฤษีลิงดำ และหลงตาบัว เป็นครูบารอาจารย์ youtube ในการปฏิบัติ

ก็เลยเพ่งอสุภะ เพ่งจนเป็นที่น่าพอใจ จนมีความเห็นว่าร่งกายเรานี้มีแต่กระดูก คนสัตว์ทังโลกก็เหมืนกัน อีกไม่นานก็จะตาย เปลี่ยภพภูมิกัน แล้วแต่บุญกับบาป


ช่วงพรรษาแรก ออกพรรษาใหม่ๆ

ทิสเกมส์ยังบ่สึกเลยตอนนั้น


ทิศเกมส์ : "ถ้าสิสึก กะเข้าไปบอกเพิลเด้อ"


ตอนนั้น อืม.. ?? ลังเล จะเอาไงดี ใจหนึ่งก็อยากสึก

เฮาอยากจะสึก.. สึกออกไปสักสามวันหรือเจ็ดวัน

แล้วหลังจากนั้น ไปบวชวัดป่า..


แต่ไม่กล้าสึกเพราะกลัวจะไม่ได้บวชอีก

แม้สึกปุ๊บ วันต่อมาบวชปั๊บ

เราก็ไม่กล้าเสี่ยง


เราเคยคิดจะสึก แล้วบวชต่อในวันถัดมา ห

เราก็ไม่กล้า เพราะนั่นยังประมาทอยู่

เพราะไม่มีอะไรมารับประกันว่า สึกแล้วจะได้บวชอีก

ไม่มีเลย


แม้จะวางแผนไว้แล้วว่า สึกวันจันทร์ ไปบวชวัดป่าวันอังคารต่อเลย ถ้ามันไม่เป็นไปตามนั้นละ

 

ขึ้นชื่อว่ากายหลุดจากผ้าเหลืองแล้ว สมณะสัญญาก็จะคลายหายไป(ความกำหนดหมายว่าเราเป็นสมณะ)


และสิ่งที่จะมาล่อใจให้ติดไปกับกามคุณ๕ นั้น มันอาจจะมาเป็นแน่ มาเป็นขบวน


เผลอๆ หญิงเนื้อคู่เก่า อาจมาเจอกันกับเรา

ตาต่อตา จิตต่อจิต มันก็จะไม่ได้ไปแต่งงานกันเหรอ


ดังนั้นจึงไม่กล้าสึกแม้วันเดียว


#พระอรหันต์ทุกๆพระองค์

ล้วนบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี มาหลายภพชาติ

ถ้าขาดเนกขัมมะบารมีจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เลย


บุคคลที่บวชแล้ว ใจแข็งไม่ยอมสึก

นำกายนำใจไม่ให้ติดในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส

ย่อมได้เนกขัมมะบารมี


เมื่อพยายามออกจากกาม ปัญญาย่อมเกิด

ใจย่อมสว่าง  

 เปรียบเทียบได้เลยว่าสุขจากการที่มีใจสว่าง  

มันดีกว่า สุขจากการได้เห็นสิ่งที่ถูกใจ

เช่น เห็นแฟนน่าหล่อ น่าสวย กำลังถือดอกไม้จะนำมาให้

มันดีกว่าสุขจากการมีเสียงอันชอบใจเข้าหู

มันดีกว่าสุขจากการมีกลิ่นหอมๆโชยมาถูกจมูก

มันดีกว่าสุขจากการที่รับประทานอาหารอันมีรสชาติถูกใจพญาลิ้น แซบเว้อคัก

มันดีกว่าสุขจากการ ได้ถูกต้องสิ่งที่นุ่มนิ่มน่าพอใจ


สุขเช่นนี้ เป็นสุขที่ไม่ควรกลัว


ธรรมใดเป็นไปเพื่อจมไปกับกามคุณ๕

เราอย่าได้ยึดติดธรรมนั้นเลย

เพราะคือเหตุเกิดทุกข์


#สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ยังไม่ชื่อว่าพ้นทุกข์


พระในวัดนี้เราก็ไม่รู้ว่า พวกท่านบวชมุ่งอะไร?


ท่านบวชเพื่อมรรคผลหรืออะไร


แต่กระผมบวชตอนแรก

เมื่อ (๗ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๕๗)

ก็อยู่มาเรื่อยๆ จนออกพรรษา

ก็ได้ ๑ พรรษา


ออกพรรษาแล้ว

ผมมีความคิดว่าจะสึกออกไป แล้วปล่อยเวลาไป๓วันไปบวชวัดป่าต่อ


แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป...


จนอยู่มา ๒ พรรษา..


จนอยู่มา ๓ พรรษา..


ผลการปฏิบัติกรรมฐาน

ที่ผ่านมา

มันทำให้ผมอยากจะหลุดพ้นมาก


เวลาเดินบิณฑบาตอยู่ บางทีมันก็ขึ้นมา


"อาการทางใจที่อยากหลุดพ้นเต็มที" เมื่อมีอาการนี้มันมีแต่จะไม่สนใคร


#แม้อาจารย์ไกร ก็บอกว่า อาการนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับท่าน"


นี่มันเกิดขึ้นกับเราครั้งแรกชวงยังไม่เข้าพรรษา๒ด้วยซ้ำ

อาการนั้นเมื่อเกิดขึ้นที่ใจแล้ว

มันอยากบรรลุธรรมมากเหลือเกิน


เกิดขึ้นครั้งใด มันจะไม่สนใคร มีแต่อยากจะหลุดพ้น 

เราถึงกับต้องออกไปป่าช้าคนเดียว


แม้ตอนนี้ใจมันก็ดิ้น อยากจะออกไปบำเพ็ญเพียร

ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ถึงปีใหม่ไหมนะ


#เมื่อก่อนห่วงงานเอกสาร

แต่ตอนนี้ไม่ห่วงแล้ว


ห่วงตนเองมากกว่า (นี่คือศรัทธา)เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติตายไปไม่รู้จักจบจักสิ้น


ถ้าคนหรือเทวดาที่ ไม่เห็นภัยในสังสารวัฏ

ก็อย่าได้ขัดขวางกันเลย


พระทุศีล คือพระไม่มีศักดิ์ศรี

เราพูดกระทบเรา "


เราจะไปทำให้ตนเองมีศีลบริสุทธิ์และหลุดพ้นให้จงได้ ภายในชาตินี้ ก่อนที่กายนี้มันจะแตกดับทำลายคืนสู้ดิน


ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ อย่าพึงดีใจ

อย่าพึงนอนใจเลย เตือนตน..!!


เวลาหมดแล้วหมดเลยนะ


เกิดมาพบพุทธศาสนา

ควรแท้ที่จะ "ศึกษามรรคภาวนา"

ให้เป็น 


>ใครชอบสมาธินำปัญญา

"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย" 

"หลวงปู่เทส เทสรังสี"


ใครชอบปัญญานำสมาธิ

"หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมทยโช"


84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=4431&Z=4451



โยม โจโฉ เสียงธรรม  หลวงพี่ขอบคุณมากๆ 

ที่หลวงพี่ขอบคุณมานี่ก็คือ เรื่องเสียงอ่านเสียดายคนตายไม่ได้อ่านจากYoutube 

หลวงพี่โหลดมาฟังแล้ว ชีวิตหลวงพี่เปลี่ยนไปมาก (คือน้อมไปทางธรรมมาก) สรุปก็คือชีวิตเปลี่ยนไปในทางดี


 ตอนนี้บวชอยู่และปฏิบัติธรรม (แบบตัวคนเดียวฟังจากเน็ตบ้างโหลดมาฟังบ้างและปฏิบัติตาม ไม่รู้ทำถูกมากน้อยแค่ไหน) และทางวัดไม่มีสอนอะไรเลยเกี่ยวกับการหลุดพ้น มีแต่พาทำผิดศีล แล้วก็มีแต่กิจนิมนต์ไม่เว้นเลย

วัดที่หลวงพี่บวชอยู่นี้ ถ้าจะบวชมาหาเงินนี่สมปราถนาเลยทุกราย มันได้เงินง่ายๆและได้เยอะด้วย แต่มันขัดกับหลวงพี่มากๆ มันเป็นกิเลสชัดๆ หลงแท้บกันทุกคน เหมือนเราแตกต่างจากพระรูปอื่น เหมือนเป็นบ้าคนเดียว ตอนยังไม่ได้บวช ตอนนั้นเพิ่งเรียน ม6จบ พ่อตาย มันรู้สึกเฉยๆ ไม่รู้จะร้องไห้ทำไม

มันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วต่อก็ใช้ชีวติแบบคนทั่วไปกิเลศหนา กาม หนักมาก เรื่องลามกๆหื่นๆหนักๆๆๆมากๆๆๆ

และชอบดูหนังมากๆๆๆๆๆชอบละเมิดลิขสิทธ

คือมีความรู้หนักไปทางคอม โทรศัพท์บ้ามากๆๆๆ

แล้วหลังจากนั้นมาบวช ได้ฟังเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ก็เปลี่ยนไปเลย   โอ้ยโง่มาตั้งนานโง่มาไม่รู้กี่ชาติก็ตอนนี้ก็เลยเป็นอย่างที่เหล่านี่แหละ

และ

หลวงพี่คิดว่าจะย้ายวัดไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมจริงๆ เอาเป็นเอาตายหลวงพี่อยากหลุดพ้นมากๆ ไม่อยากมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เทวดาเทพพรมไม่เอา นรกนี่ยิ่งไม่เอา (ชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นเทพ หมอธรรมดูทรงญานบอก เจ้าชู้มากด้วย ไปแย้งเมียคนอื่นและ บุญยังใช้ไม่หมดโดนลงโทษให้ไปเกิดในมนุษย์ ก็อกหักบ่อย ไม่ค่อยสมหวังในความรัก

มันเลยทำให้เรา ชอบอยู่คนเดียวมั้ง คิดฟุงซานนาๆ ตอนนี้นี้เห็นข้อดี(คือเนกขัมมะ)สรุปอยาก เข้านิพานไปเลย


แต่เรื่องบารมีไม่รู้มีเท่าไร ก็เลยถือโอกาสได้เงินมาเอ้อสร้างบารมี และคิดว่าได้บวชมาในวัดที่มีแต่เงินเข้าๆๆเราจะไม่ให้มันมีกิเลส เพราะเงินก็คือธาตุ ไม่รู้จะไปอะไรยึดกับมัน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ก็เลยคิดว่าเอ้อเอามาสร้าง บารมี10ทัศดีกว่า ก็เลยคิดว่า เราควรไปโหลดหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมสอนให้หลุดพ้นทุกข์เป็นไฟล์มาปริ้น เข้าเล่มแจกตามวัดต่างๆ แต่พระวัดแถวนี้ มีแต่กิเลศพิมพ์ไป ก็กว่าจะไม่อ่านไม่ปฏิบัติ

เหมือนเราว่านข้าวไปผืนนาเลว

และก็คิดอีก ควรโอนเงินให้ โจโฉ ผู้ทำให้เห็นธรรมเบื้องตนคนแรกของเรา เพื่อให้เขาได้นำเงินนี้ไปทำสิ่งดีๆออกมาให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้

 

ตอนนี้คิดว่าตอนนี้เวลาออกไปสวดมนต์งานต่างๆที่ไหนที่ทางวัดรับนิมนต์

เวลามองญาติโยม มันจะคิดกำหนดเป็นอสุภะทันที เราจะเห็นเป็นกระดูก เหมือนเป็นภาพซ้อน คือบางครั้งก็กำหนด

บ้างครั้งก็ไม่ได้กำหนด 

รู้สึกว่า คนเรานี้เวลามันตายแล้ว ธาตุ4ก็แยกออกจากกัน คืนไปตามธรรมชาติของมัน  เหมือนว่าโลกนี้มันวาง ไม่มีคนไม่มีรถ สักแต่ว่าธาตุ

มีแค่จิตที่มันมาอาศัยในร่างกาย

แล้วก็หลงคิดเอาอันนั้นอันนี้เป็นของเรา ไม่ชอบก็ไม่พอใจ ชอบก็พอใจ บ้างครั้งเห็นซ้ำๆซากๆเบื่อเฉยๆ

แล้วจิตนี้มันก็ ไม่เป็นทั้งผู้หญิงไม่เป็นทั้งผู้ชาย

คือมันเป็นจิตอยู่เฉยๆ แล้วแต่มันจะไปอาศัย ร่างแบบไหน ก็เลยได้แบ่งเป็นเพศ

แล้วที่เวลาชายเห็นผู้หญิง แล้วมันเกิดความรู้สึกแบบนั้น

มันเป็นเพราะสันดานนิสัยจิตมาตั้งแต่ชาติก่อนๆๆติดมานับไม่ได้ มันก็เลยเกิดความรู้สึกแบบนั้น


ตอนนี้มันโล่งใจมากๆๆๆไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน คือไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน มันเป็นแค่ธาตุ4


รู้สึกเบาใจเบากายมากๆๆบอกไม่ถูก

ตอนนี้ดูจิตอย่างเดียว มันมีอารมพอใจไหม หรือไม่มี มันโกรธไหม หรือไม่มี คือรู้มัน มันคิดอะไร เหมือนกับว่าเราแยกออกจากความคิดนั้น  

ตอนนี้ก็เลยกำลังตัดขัน5อยู่สรุปว่าดูขัน5อยู่ ไม่ค่อยเข้าใจ วิญญาน เลย ช่วยอธิบายได้ไหมโยมโจโฉ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น