วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การทำสมาธิแบบลืมตาหรืออาโลกกสิณ

การทำสมาธิแบบลืมตาหรืออาโลกกสิณ

หลายๆท่านอาจจะได้เคยได้ยินหรือเข้าใจแล้วว่า อาโลกกสิณ แปลว่าอะไร แต่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ ก็ขอบอกว่า อาโลกกสิณ แปลว่า การเพ่งแสงสว่าง ครับ เอาละไม่ฝอยนาน... เริ่มเลย
 
ขั้นแรก

หาห้องที่พรางแสง หรือให้มีแสงคล้ายพลบค่ำ หรือฝึกยามค่ำ แต่แสงที่ต้องใช้ในห้องคือ สลัวๆ ในห้องต้องมีกระจกบานใหญ่ ให้เพ่งไปที่หลอดไฟ ซึ่งต้องใช้หลอดไฟเพียง 5 วัตต์ ให้เพ่งหลอดไปจนติดตาแล้ว ค่อยหันมาเพ่งที่กระจก ให้มองดูตัวเอง (ถ้าถอดเสื้อได้ยิ่งดี) หลังจากนั้นให้ให้เพ่งไปที่ลำคอและรอบๆศีรษะของตนเอง จะพบว่ามีรังสีเล็กๆอยู่รอบๆ และจะมีสีต่างๆกันไป ขึ้นอยู่กับสมาธิของแต่ละคน ถ้าคนที่ฝึกเห็นสีฟ้าและมีจุดประกายสีเหลือง ก็แสดงว่า ผู้ฝึกมีความก้าวหน้าพอสมควร ก็ให้ฝึกไปเรื่อย อย่าใจร้อน เพราะไม่ได้แข่งกับใคร  จบขั้นที่ 1
 
ขั้นที่ 2 ต่อไปเป็นการฝึกเพื่อให้มองทะลุสิ่งกีดขวาง

อย่างแรกเลยที่ต้องหามาใช้คือ ลูกแก้วใส หรือแก้วน้ำที่มีน้ำ ในห้องฝึกต้องไม่มีแสงสว่างให้มาก ให้สลัวๆเหมือนเดิม ให้ตั้งลูกแก้ว ห่างจากตัวประมาณ 1 ช่วงแขน ให้เพ่งลูกแก้วจนเกิดภาพนิมิตใหญ่เล็กได้  แต่ครูท่านได้แนะนำว่า ถ้าจะให้สำเร็จง่าย ให้พยายามนึกภาพของลูกแก้วเองก่อน โดยให้หลับตาและสร้างภาพจากมโนทวาร ให้เห็นเป็นลูกแก้ว จะช่วยได้มาก คราวนี้ เมื่อเรามองดูลูกแก้วขยายได้ หดได้ คราวนี้ก็ลองให้เขาขยับไปมา ให้ใกล้ได้ ไกลได้ แบบว่าบังคับได้.... และขั้นต่อไปให้หยุดภาพลูกแก้วให้นิ่ง คราวนี้ จะมีหมอกสีขาวมาปกคลุมลูกแก้ว จากเดิมที่ลูกแก้วมีสีใส ตอนนี้ภาพในนิมิตรของลูกแก้ว จะมีสีขุ่น ไม่ต้องตกใจและไม่ต้องสงสัย ให้มองต่อไปด้วยอาการสงบ.....

และตอนนี้ ผู้ฝึกได้มาถึงขั้นตอนการประสานทางของมิติของสองโลกแล้ว จะปรากฏภาพต่างขึ้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ให้เราเพ่งมองดูอย่างสงบและอย่างสงสัยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นภาพจะหายไปจะต้องเริ่มต้นใหม่ อย่าไปตื่นเต้นอะไร ให้จดจำภาพเหล่านั้น เมื่อได้เห็นภาพแล้วค่อยๆฝึกไปจนชำนาญ และเติมความต้องการเข้าไปว่าอยากจะเห็นอะไร ก็จะได้เห็นเช่นนั้นครับ .....การฝึกแบบนี้อาจจะกินเวลาหลายอาทิตย์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ อย่าหลงและอย่าพึ่งเชื่อในภาพต่างๆ จงเฝ้ามองดูและจดจำไปเรื่อย จนกว่า เหตุการณ์จริงจะปรากฏ.....ครับ

(กสินทิพย์แห่งดวงตาที่ ๓ ฝึกตาทิพย์)
ขอเล่าจากประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกมากกว่า 20 ปี เป็นการเล่าดีกว่านะ อย่าถือว่าเป็นการมาสอนกันเลยนะครับ ให้ถือว่าผมมาเล่าสู่กันฟังดีกว่า เดิมผมก็เป็นคนธรรมดานี่ล่ะ ไม่ได้มีญาณหยั่งรู้อะไรเลย แต่ด้วยฟ้าคงลิขิตให้เรามีหน้าที่หรือเปล่า ผมได้เจอตำราอยู่เล่มหนึ่ง เขาพูดถึงการเข้าสู่สภาวะแห่งจุดสูงสุด ในตำราพูดถึงปรมาตมัน อาตมัน และการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า และพูดถึงศาสตร์โยคะ
 
ผมไปสะดุดอยู่หน้าหนึ่งเขาพูดถึงการที่เราจะมีสภาวะที่เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า โดยการใช้ภักติโยคะ ซึ่งใครฝึกได้จะได้พลังของผู้ที่เรานับถือบูชาและได้ตาทิพย์ หูทิพย์เป็นของแถม ผมก็เลยลองลงมือปฏิบัติดู ก็ไม่ผิดหวังครับ ในตำราเขาเขียนไว้ไม่ผิดจริงๆ วิธีฝึกไม่ยากครับ เพียงท่องพระนามของเทพที่เราบูชาในขณะที่เรานั่งสมาธิไปเรื่อยๆ และเพ่งจุดกึ่งกลางของหน้าผากให้เห็นรูปพระองค์ ซึ่งไม่ต่างจากการฝึกสมถะของพุทธศาสตร์ครับ เมื่อเราฝึกได้ระดับหนึ่ง ให้รู้สึกว่าหน้าผากเราตึง ปวดหน่วงๆเหมือนหน้าผากเราจะแยกออก ให้ทนครับ ไม่ต้องตกใจว่ามันจะแตกจริง นั้นแสดงว่า ตาที่สามของเราจะเปิดแล้ว ให้ทนถึงที่สุดครับ
 
ต่อจากนั้น พลังที่เรารู้สึกว่าเป็นดวงๆที่หน้าผากเราจะพุ่งไปข้างหน้า ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะนั้นเป็นสภาวะที่เราจะเรียกว่า เข้าไปสัมผัสพลังงานสูงสุด เขาจะวิ่งไปสู่พลังงานหลัก ให้จับความรู้สึกนี้ให้ดี เพราะวันหนึ่งเราจะกลับมาที่นี่อีก แต่ไม่ทราบว่าเมื่อไร เมื่อพลัง(ดวงจิต)เราพุ่งไปรวมกับพลังสูงสุดเราจะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ยากจะอธิบาย แล้วไม่นานครับ จิต(อาตมัน)เราจะยิงกลับมาที่กายหยาบ(สังขาร)อีกครั้ง ครั้งนี้แหละที่หลายๆคนจะได้พบกับความแปลก เพราะเราจะได้เห็นในสิ่งที่คนหลายคนไม่ได้เห็น นั้นคือตาทิพย์นั้นเองครับ เห็นมั้ยว่า ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ ข้อแนะนำอีกข้อ ในขณะฝึก ถ้าเรามีเพลงประกอบให้จิตได้ฟังตามจะดีมาก ให้เปิดไปเรื่อยๆ วันหนึ่งหูเราจะปิด สมาธิเราจะเข้าได้เร็ว และเมื่อเราอยู่ในที่ชุมชน เราก็สามารถเข้าสมาธิได้เร็วครับ เพราะเราชินกับเสียงเพลงหรือคำสวดแล้ว
 
เอาละขอกล่าวถึงเรื่องตาทิพย์แค่นี้ก่อนครับ ผมคิดว่าหลายๆคนคงมีประสบการณ์ไม่ต่างจากผมมาก คงคล้ายๆกันนี้แหละ หรือการฝึกท่านใดไปแปลกไปจากผม ลองนำมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะครับ เกือบลืม ท่านั่งสมาธิ ให้นั่งวางมือนิ้วโป้งจีบนิ้วชี้(เน้นอำนาจ บารมี และสงบ) หรือนิ้วโป้งจีบนิ้วกลางนะครับ(เข้าสู่สภาวะสูงสุด) เพราะว่ากระแสปราณเขาจะได้ไหลวนไปมาในร่างกายครับ (วนเป็นเลข แปดแนวนอน) เรื่องนี้ได้คำแนะนำจาก คุรุท่านหนึ่งครับ 
 
มีเคล็ดอีกเล็กน้อยที่ลืมบอกไป คือ อย่าได้หวังในสิ่งที่ต้องการ เช่นอยากได้ตาทิพย์ เราจะไม่ได้ อยากจะได้หูทิพย์ เราจะไม่ได้ เราอยากได้พลังจากองค์เทพ เราจะไม่ได้ ให้คิดว่าเราจะนั่งเพื่อถวายท่านเพื่อให้ท่านได้รับรู้ถึงการบูชาของเรา เพียงเท่านี้ครับ แล้วถวายการนั่งสมาธิเป็นการถวายเพื่อเป็นบูชาสูงสุด ห้ามคิดว่าจะได้อะไร อย่าไปหวังสิ่งที่จะได้ เพียงเท่านี้ เมื่อเราไม่เกิดความโลภ ความอยากได้ สิ่งที่ต้องการเขาจะมาเอง แล้วก็เมื่อได้สิ่งที่ตนเองได้มาแล้วก็จงอย่าคะนอง(อีโก้) ว่าเรามี เราได้ เราเก่ง ขอให้เรารับรู้ไว้ว่า สิ่งที่เกิดได้ย่อมดับได้เช่นกัน ไม่มีอะไรอยู่กับเราถาวร เราไม่ได้เป็นเจ้าของ กายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา แล้วประสาอะไรพลังวิเศษจะเป็นของเรา
 
และเมื่อเรามีพลังนี้ ให้ระลึกอยู่เสมอว่า องค์เทพท่านให้เรายืมมา เมื่อใช้เสร็จก็คืนท่านไป อย่าเก็บไว้กับตัว ไม่เช่นนั้น ความหลงจะเกิดขึ้นทันที เมื่อความหลงเกิดขึ้น ความฉิบหายจะตามท่านมา ผมเคยทนงตนเมื่อสมัยได้มาใหม่ๆ เที่ยวอวดไปเรื่อย จนวันหนึ่งผมเจอดีจนได้ ท่านยึดพลังเหล่านี้กลับคืน นับว่าเป็นเวลาที่เราต้องมาทบทวนตัวเราเอง ก็มีเพียงเท่านี้ครับ ที่อยากจะมาบอกไว้ ...และอีกนิด พลังเหล่านี้ ท่านให้เรายืมมาเพื่อช่วยเหลือคน อย่าไปใช้ในทางอบายมุขเด็ดขาด มิฉะนั้นเรื่องร้ายๆจะเกิดกับตัวท่านเช่นเดียวกันครับ เพราะสิ่งที่ผมเขียนบอกนี้ล้วนแล้วผมผ่านมาแล้วทั้งสิ้น เวลาท่านให้ท่านให้เยอะจริงๆ แต่ถ้าท่านเอาคืนแล้ว หมดตัวแน่นอนครับ ขอให้ทุกท่านฝึกให้ได้ทุกคนนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น