เวรย่อมระงับ
ด้วยการไม่จองเวร
#ชาติที่หนึ่ง
มีคนทำไม่ดีกับเรา
ทางกาย,วาจา,
ถ้าเราคิดจะจองเวรชายหรือหญิงคนหนึ่งนั้น
ซึ่งเขาได้ทำไม่ดีกับเรา
ทางกาย ทางวาจา
และเรายังติดใจยังจะเอาคืนเขาให้ได้
ให้เขาต้องรับทุกข์ทรมาณอย่าสาสมใจให้ได้
"ด้วยจิตคิดอาฆาตจองเวรแบบนี้แหละ"
พอตายถ้ากุศลให้ผลนะ
#ชาติที่สอง
พอตายลงด้วยกุศลส่งพอให้ได้เกิดเป็นมนุศย ส่งให้ทั้งสองคนเลยนะ
ได้อัตภาพความเป็นมนุษย์
คือได้เกิดเป็นมนุษย์
อยู่ในแวดวงใกล้กัน
เช่น คนรู้จัก ,ญาติ ,เพื่อน , คนรัก หรือใกล้ขนาดกระทั้งเป็น(แม่เวรแม่กรรม
พ่อเวรพ่อกรรม
ลูกเวรลูกกรม)
คืออยู่ในสายเลือดตระกูลเดียวกันเลย
พอสองคนนั้น ได้เกิดชาติมนุษย์ใหม่แล้ว
ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยจำกันไม่ได้ในอดีตชาติ
เลย
ก็จะต้องมีเหตุการณ์ที่จะต้องได้เจอกัน
มีแรงผลักดันหรือพลังอำนาจลึกลับที่จะให้เราต้องเอาคืนเขา เพราะเป็นทีของเรา กรรมมันจะดันลักษณะแบบนี้
แต่ก็ขึ้นอยู่กับเราด้วยเราจะสนองทำตามอำนาจแรงผลักดันนั้นไหม
ถ้าตั้งสติได้.ปฏิญานในใจ ไม่เอาคืนๆไม่ทำๆ จะอภัยๆ อภัยให้เขาทั้งๆที่
มันน่าจัดสุดๆ ตบสักฉากให้หายอึดอัด กำปั้นใส่สักทีให้สะใจ
ทางวาจา เปิดปากพ้นไฟพูดให้ไหม้ไปถึงโคตรมันเลย
ทางใจ กูจะคิดพยาบาต อาฆาตจองเวรสาบแช่ง มันให้ฉิบหายไปเลย เป็นต้น
โทษฐานทำความเดือดร้อน
เป็นทุกข์ทางกาย
เป็นทุกข์ทางใจให้กรู
แต่... เรากลับไม่ทำ
เราเลือกอภัยให้เขา ทำดีต่อเขาพูดดีต่อเขาคิดดีต่อเขา
ก็คือไม่ต้องการเอาจิตไปผูกเวรเขาไว้
เวรก็จะระงับด้วยการไม่จองเวร ดั่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
แต่ถ้าเราเลือก ฮื๋อ..มันน่าจัดสุดๆ ตบสักฉากให้หายอึดอัด กำปั้นใส่สักทีให้สะใจ
ทางวาจา เปิดปากพ้นไฟพูดให้ไหม้ไปถึงโคตรมันเลย
ทางใจ กูจะคิดพยาบาต อาฆาตจองเวรสาบแช่ง มันให้ฉิบหายไปเลย เป็นต้น
โทษฐานทำความเดือดร้อน
เป็นทุกข์ทางกาย
เป็นทุกข์ทางใจให้กรู
มันก็จะไม่ระงับ
#ชาติที่สาม
ทั้งสองได้อยู่ในแวดวงเหมือนชาติที่สอง
เขาได้ครูดีความคิดเขาจึงเปลี่ยนไป
รู้จักบาปบุญคุณโทษ กรรมดี กรรมไม่ดี
กรรมดำ กรรมขาว กรรมไม่ดำกรรมไม่ขาว ก็คือเขาเปลี่ยนไป เขาเป็นคนดีในสังคม เขามีศีลสัตย์ อยู่ในธรรมะ เขาเจริญภาวนา
เขาเดิดมรรคเพื่อเป็นโสดาบัน หรือเขาบรรลุอรหันต์
แต่ว่าด้วยแรงกรรม ด้วยอำนาจมืดผลักดัน มันให้โอกาสเราทำเขา
ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ หลายอย่าง
"ถ้าเราไม่มีสติ ยับยั่ง
ก่อกรรมทางกาย
ทางวา
ทางใจ
เราฉิบหายแน่ๆเลย ถ้าไปทำกับคนอย่างนั้นเข้า
ถึงกรรมจะให้โอกาสเป็นทีเราก็ตาม
ถ้าเราฝืนไม่ได้ ทำลงไป ภพใหม่อาจล่วงลงถึงนรก
โดยเฉพาะทำกับพระโสดาปัตติมรรคขึ้นไป
คือ บุคคลที่ธรรมะธรรมโมหน่อย กำลังเจริญภาวนาเพื่อขึ้นเป็นโสดาบัน
คนที่ภาวนานั้นดูได้ยากมาก
ว่าคนไหนภาวนา
เพราะมันนามธรรม จับต้องจิตไม่ได้เลย
จึงรู้ได้ยาก
ถ้าเราเผลอทำกรรมกับคนประเภทนั้นลงไป
จะหนักมาก
#ทำกรรมทางกาย,
#ทำกรรมทางวาจา,
ล้วนออกมาจากเจ้านาย คือจิตวิญญาณ
หรือมโน,ใจ
ขอยกเรื่องพระสูตรหนึ่งขึ้นมา
ในสมัยพุทธกาล
มีชายคนหนึ่งไปเรียนดีดกวาดกับอาจารย์
หลังจากเรียนจบ
พอเรียนจบแล้ว
อยากจะทดลองวิชาดีดกวาดที่ตนเองได้เรียนมา อาจารย์จึงบอกว่า อย่าไปดีดใส่สัตว์ใส่คน เพราะเขามีเจ้าของ
หลังจากเวลานั้นผ่านไป
เขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังจะเดินผ่าน จึงคิดว่า จะทดลองกับ ชายคนนี้แหละ คงจะไม่มีเจ้าของ
ชายคนนั้นกำลังเดินจะไปขออาหารในหมู่บ้าน
ชายดีดกวาด จึงดีดกวาดใส่รูหูซ้าย ของชายที่กำลังเดินไปขออาหารนั้น
ก็ได้โดนรู้หูซ้ายทะลุรูหูขวา
ชายขออาหารคนนั้นเมื่อโดนดีดใส่แล้ว เลือดก็ไหลออก ทุกขเวทนาจึงเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า
ไม่สามารถเดินเข้าไปบิณฑบาตได้ต่อ
จึงเข้าฌานแล้วเหาะกลับไปที่ภูเขาที่ตนอยู่
แล้วก็ปรินิพพาน
#ชายขออาหารคนนั้นก็คือพระปัจเจกพุทธะ
#คนดีดกวาดคือผู้ทำกรรมใหม่ หรืออาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรของ พระปัจเจก ที่กรรมให้โอกาสเอาคืน
สรุปคือ ชายขออาหารคือพระปัจเจก ท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว ท่านจึงปรินิพพาน
ชายดีดกวาด ต่อมาได้ตาย และหมกไหม้อยู่ในนรกหลายล้านๆๆๆปี
พอกรรมเบาบาง เคลือนจากนรก
มาเป็นเปตรถูกไฟไหมตลอดเวลา
จนเวลาผ่านมาถึง ศาสนาของพระพุทธเจ้า
เราในปัจจุบัน พระพุทธะเจ้าเราตรัสรู้แล้ว
จึงบอกบุพกรรมของเปตรนั้นคราวทีเป็นมนุษย์ และเปตรตนนั้นก็ยังไม่พ้นจากอัตภาพความเป็นเปตรเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น