วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ระดับพระอนาคามี

ปฏิจสมุปบาท คือ อาการของจิตที่เปลี่ยนแปลง
คำศัพท์บัญญัติ ในพระสูตรปฏิจสมุปบาท  เช่น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็คือคือ อาการของจิต 
แม้ในหมวดธรรมในด้านปัญจขันธ์ ที่เป็นเป็นส่วนนามธรรม คือ เวทนา สัญญา เจตนา สังขาร วิญญาณ ก็คืออาการของจิต

ฉะนั้น ผู้ศึกษาอาการของจิตจนแจ้มแจ้ง ก็เรียกว่า ผู้แจ้มแจ้งแล้วในปฏิจสมุบาท แม้ไม่รู้จักชื่อสมมุติบัญญัติหมาย ว่า อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าเวทนา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสัญญา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสังขาร อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าวิญญาณ   ดังนั้นผู้ศึกษาอาการของจิต ก็คือผู้ศึกษาปฏิจสมุบาทของจริง  #มีแต่พระอรหันต์ที่แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปบาทในระดับมรรคคา
/ เจริญพร / ท่านผู้ใฝ่ในธรรม

___________________________________________
###[ พิจารณาดีๆจะเห็นว่ามันคล้ายๆปัจจยาการธรรมที่เกิดจากธรรมหนึ่งๆ แล้วเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ทีละขันธ์ขึ้นมา อันเรียกว่าปฏิจสมุปบาท ]###

1รูป~1วิญญาณ~1สัญญาหมายหมายว่าจุดๆ)
แปรสภาพเป็นอายตนะที่หก
   } 1สัญญาหมายว่าจุดๆ ~ 1วิญญาณ ~ 1สัญญาหมายขึ้นมาใหม่ ~ 1วิญญาณ ฯลฯ 

และ
1รูปานามมารมณ์~1สัญญาหมาย ฯลฯ

#และให้แตกออกคือพิจารณาอายตะอันอื่นต่อในทำนองเดียวกัน

#หมายเหตุ ในที่นี้คือไม่ได้เอาเวทนามาใส่
ถ้าว่าตามปัจยาการจริงๆ ต้องเริ่มด้วย 1รูป 1วิญญาณ 1เวทนา 1สัญญา 1สังขาร 

___________________________________
รูป ~ ธรรมชาติที่เห็นรูป  ~  เวทนาความรู้สึก~ธรรมชาติที่เห็นเวทนา ~ สัญญาหมาย ~ ธรรมาชาติที่เห็นสัญญาหมาย ~ สังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว:แล้วก็เกิดธรรมชาติที่เห็นสังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว  และก็เกิดธรรมชาติที่เห็นใหม่ขึ้นมาเพราะเหตุคือเกิดผัสสะ(ตา รูป จักขุวิญญา /  หู เสียง โสตะวิญญาณ / จมูก กลิ่น ฆานะวิญญาณ / ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ / กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ / 

หรือยังเกิดวิญญาณที่เป็นภายในคือมโนวิญญาต่อไปอีก   ผัสสะ รูปานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยรูปานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับรูปปานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)

             ผัสสะ สัทธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยสัทธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับสัทธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)

             ผัสสะ คัณธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยคัณธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับคัณธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
             ผัสสะ ระสานามมารมณ์  วิญญาณที่เนื่องด้วยระสานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับระสานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
             ผัสสะ โผฏฐัพพานามมารมณ์  วิญญาณที่เนื่องด้วยโผฏฐัพพานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับโผฏฐัพพานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)

             ผัสสะ ธรรมสัญญา(กำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมา)
    #ตรงกำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมานี้ตรงกันเด๊ะกับ "เจตนา" เลย   และก็ "เจตนา" ก็ไปตรงกับสภาวะ "กามมะตัณหา"  "ภวตัณหา"  "วิภวะตัณหา" 

และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากมากๆที่จะให้สำเร็จตามความประสงค์ จะเกิดทุกข์

และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากไม่มากคือมีความอยากแบบอ่อน เช่น ก้าวเท้าเดินจรงกลมไปมา แล้วมันรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิ ก่อนหน้านั้นคือมีความอยากแบบอ่อนๆไม่มาก  ถ้าไม่มีความอยากเลยก็ไม่ได้ทำการเดินจรงกรม

#และมีแต่พระอรหันต์แจ่มแล้วในปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ส่วนพระเสขะยังไม่แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทสายถอนโมหะเต็มบริบูรณ์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น