วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

มหาพรหมอนาคามีสายจิตตานุปัสนา

มหาพรหมอนาคามี
8 มี.ค. 2016

๑.เวลาที่มีคนด่าเรา?
เสียงด่าของเขานั้นมันไม่ได้ เป็นยาสั่งหรือยาดลใจสั่งให้เรา
ต้องแน่นอกอึดอัดร้อนทุกข์ใจเลย

"ต้องอารมณ์เสียนะ" ไม่มี

"ต้องไม่สบายใจนะ" ไม่มี

"ต้องอารมณ์ไม่ดีนะ" ไม่มี

"ต้องหงุดหงิดนะ" ไม่มี

"ต้องโกธรเลือดขึ้นหน้านะ" ไม่มีสั่งเลย

""
และในเสียงด่า ก็ไม่มีคำพูดหรือคำพยัญชนะ
ที่สั่งจิตเราบอกเรา อ๊ะ..ให้สร้างกระแสจิต ที่เป็นความทุกข์ใจมาเผาตนเองนะ"
เอาให้ร้อนๆไปเลย ระเบิดประทุอยู่กลางใจเลยนะ
ไม่มีบอกเลย

แต่ความอัดอัดแน่นร้อนใจที่เป็นทุกข์นั้น เรานี่เองเป็นผู้ปรุ่งผู้สร้างมันขึ้นมา
เพื่อเผารนบันทอนจิตจนร้อนอกร้อนใจ
จนไม่เป็นสุข

เสียงด่าก็อยู่ส่วนหนึ่ง ที่มาจากปากเขา
..................
ความอึดอัดแน่นร้อนกลางอก
เหมือนมีลูกไฟวิ่งอยู่ภายใน
อันนี้ไม่ได้มาจากเขาเลย

แต่จิตเรานี้เองเป็นผู้สร้างความไม่สบายใจขึ้นมา สร้างมาเผาจิตตนเอง จนเป็นทุกข์ซ้ำใน ทั้งกลางวันและกลางคืน

เมื่อมันผ่านไปแล้ว..... จิตก็ยังปรุงยังสร้างกระแสความทุกข์ขึ้นเผารนอีก ร้อนอกร้อนใจอีกเป็นรอบที่สอง
ผ่านไปอีกก็ยังสร้างมาเผาอีกเป็นรอบที่สาม ที่สี่ ที่ห้า..... จนวันตายก็ไม่รู้

#ตามธรรมดาผู้เป็นปุถุชน ต้องโง่แบบนี้กันทุกคน

ต่อเมื่อได้ฟังหรือได้อ่านจนเขาใจว่า
อ๋อ... ความทุกข์ทางใจ เรานี่เองเป็นผู้โง่สร้างขึ้นมาทำร้ายบันทอนจิตตนเอง
เหมือนกับเผลอเอามีดแทงตนเองเลือดไหลใหญ่เลย....

#นี้คือปุถุชนผู้โง่เขลา

ต่อเมื่อเป็นปุถุชนผู้ฉลาดมีปัญญาดี
ไม่หลงสร้างไฟทุกข์ภายในขึ้นมาซ้ำเติมตน
เขาจะปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ

เขาจะพยายามข่มจิตไว้
ไม่ให้มันโง่..หลงสร้างไฟ
คือความทุกข์ร้อนมาย่างเผาตนเอง

อุปมาเหมือนกับ บุรุษอยู่ในกองฟางข้าว(กองเฟือง)
ถึงจะหนาวแค่ไหน จะข่มจิตไว้ ไม่ยอมหลงจุดไฟเพื่อผิง
เพราะมันจะไหม้ตนเองร้อนตาย

# เขาคนนี้ข่มจิตตนเองไว้
ไม่ให้..หลงก่อไฟร้อนมาย่างเผาตนเอง
เขาไปไหน..มาไหน..ไม่ทุกข์ใจเอิงเอ่ย...
ส่วนคนด่านั้น ด่าไปด้วยทุกข์ไปด้วย
ทั้งๆที่จริงเขาด่าแบบไม่ต้อง มีทุกข์ก็ได้

# ทางตาก็เหมือนกัน

เวลาที่มีคนแสดงอาการเคลือนไหวของร่างกาย ท่าต่างๆ
รูปเคลือนไหวท่าต่างๆนั้นที่เราเห็น
มันไม่ได้เป็นยาสั่งหรือยาดลใจ
สั่งเรา บังคับเรา
ต้องแน่นอกอึดอัดร้อนทุกข์ใจเลย

"ต้องอารมณ์เสียนะ" ไม่มี

"ต้องไม่สบายใจนะ" ไม่มี

"ต้องอารมณ์ไม่ดีนะ" ไม่มี

"ต้องหงุดหงิดนะ" ไม่มี

"ต้องโกธรเลือดขึ้นหน้านะ" ไม่มีสั่งเลย

""
และในรูปที่เคลือนไหว ก็ไม่มีคำพูดหรือคำพยัญชนะ หรือความหมายเป็นนัยว่า
ที่สั่งจิตเราบอกเรา อ๊ะ..ให้สร้างกระแสจิต ที่เป็นความทุกข์ใจมาเผาตนเองนะ"
เอาให้ร้อนๆไปเลย ระเบิดประทุอยู่กลางใจเลยนะ
ไม่มีบอกเลย

แต่ความอัดอัดแน่นร้อนใจที่เป็นทุกข์นั้น เรานี่เองเป็นผู้ปรุ่งผู้สร้างมันขึ้นมา
เพื่อเผารนบันทอนจิตจนร้อนอกร้อนใจ
จนไม่เป็นสุข

รูปเคลื่อนไหวก็อยู่ส่วนหนึ่ง ที่มาจากเขาขยับร่างกายส่วนต่างๆ
คนเดียวบ้าง สองคนบ้าง หลายคนบ้าง
..................
ความอึดอัดแน่นร้อนกลางอก
เหมือนมีลูกไฟวิ่งอยู่ภายใน
อันนี้ไม่ได้มาจากเขาเลย

แต่จิตเรานี้เองเป็นผู้สร้างความไม่สบายใจขึ้นมา สร้างมาเผาจิตตนเอง จนเป็นทุกข์ซ้ำใน ทั้งกลางวันและกลางคืน

เมื่อมันผ่านไปแล้ว..... จิตก็ยังปรุงยังสร้างกระแสความทุกข์ขึ้นเผารนอีก ร้อนอกร้อนใจอีกเป็นรอบที่สอง
ผ่านไปอีกก็ยังสร้างมาเผาอีกเป็นรอบที่สาม ที่สี่ ที่ห้า..... จนวันตายก็ไม่รู้

#ตามธรรมดาผู้เป็นปุถุชน ต้องโง่แบบนี้กันทุกคน

ต่อเมื่อได้ฟังหรือได้อ่านจนเขาใจว่า
อ๋อ... ความทุกข์ทางใจ เรานี่เองเป็นผู้โง่สร้างขึ้นมาทำร้ายบันทอนจิตตนเอง
เหมือนกับเผลอเอามีดแทงตนเองเลือดไหลใหญ่เลย....
#นี้คือปุถุชนผู้โง่เขลา

ต่อเมื่อเป็นปุถุชนผู้ฉลาดมีปัญญาดี
ไม่หลงสร้างไฟทุกข์ภายในขึ้นมาซ้ำเติมตน
เขาจะปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ

เขาจะพยายามข่มจิตไว้
ไม่ให้มันโง่..หลงสร้างไฟ
คือความทุกข์ร้อนมาย่างเผาตนเอง

อุปมาเหมือนกับ บุรุษอยู่ในกองฟางข้าว(กองเฟือง)
ถึงจะหนาวแค่ไหน จะข่มจิตไว้ ไม่ยอมหลงจุดไฟเพื่อผิง
เพราะมันจะไหม้ตนเองร้อนตาย

# เขาคนนี้ข่มจิตตนเองไว้
ไม่ให้..หลงก่อไฟร้อนมาย่างเผาตนเอง
เขาไปไหน..มาไหน..ไม่ทุกข์ใจ เอิงเอ่ย......

ชาตินี้ปุถุชนคนนี้ได้วิชาฉลาด เจอธรรมแท้พระพุทธเจ้า
ไม่หลงสร้างทุกข์ขึ้นมา
เผาตน เมื่อเกิดการเห็นสิ่งอันเป็นที่ไม่น่าพอใจทั้งหลาย ก็เฉยๆไม่รู้จะสร้างความร้อนใจมาเผาตนทำไม หาเหตุผลไม่ได้เลย

....

ถ้าเมื่อต้องมาเกิดชาติใหม่
อุปนิสัยเก่าคือการที่ไม่ยอมสร้างทุกข์ใจขึ้นมาเผาตน จะติดตามมาด้วย...

#คำว่าทุกข์ คืออาการทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่สบายใจ
หงุดหงิดเอ่ย เซงเอ่ย เศร้าเอ่ย โกธรเอ่ย โมโหเอ่ย
แค้นใจเอ่ย กระวนกะวายใจเอ่ย
เจ็บจากการอกหักเอ่ย เป็นต้น

#####################
ในกรณีแห่ง อินทรีย์5
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เมื่อเกิดผัสสะหรือเกิดการเห็น เหมือนสองข้อแรก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น