แม้ไม่ได้ไปถวายด้วย หรือไม่ได้ไปทำบุญด้วยกันเลย
แค่อนุโมทนา มีความยินดีในการกระทำของเขา ที่เขาทำบุญ
คนที่อนุโมทนานั้นก็มีส่วนแห่งบุญเกิดบุญกับตนเองทันที
และเป็นลักษณะของวิบากเหมือนกันเลย
อย่างเช่น วิบากของการให้อาหารเป็นทาน
คือ มีกินมีให้อิ่ม ตลอดไปจนถึงมีอาหารทิพย์เมื่อเข้าถึงสวรรค์ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่เกิดในตระกูลที่อดอยาก
คนที่อนุโมทนาก็มีกินมีให้อิ่ม ตลอดไปจนถึงมีอาหารทิพย์เมื่อเข้าถึงสวรรค์
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่เกิดในสกุลที่อดๆอยากๆ
แต่ถึงแม้วิบากจะออกมาลักษณะเดียวกัน
แต่ว่า แน่นอนเลย ผู้ทำกำลังจิตย่อมเข้มขนกว่า เพราะตนให้อยู่มาดๆเมื่อกี้นี้ ร่วมพิธีอยู่เพิ่งเสร็จเมื่อกี้
ส่วนผู้อนุโมทนานั้นกำลังจิตก็เข้มขนไปอีกแบบหนึ่ง จึงมีแรงบุญแรงอานิสงค์ยาวต่างกัน
สรุปแล้ว ผู้ทำก็ได้บุญ ผู้อนุโมทนาก็ได้บุญ
วิบากของการให้ธรรมะเป็นทาน
คือ เป็นผู้มีสติปัญญามากในทางธรรม ในทางที่จะเปื้องตนออกจากทุกข์
ในทางจิต ในทางอารมณ์ ฯ พูดง่ายๆฉลาดทางจิต อันนี้อานิสงค์เยอะมากจริงๆ พรรณายาก ประมาณยากมาก
เพราะคำสอนพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้าทั้งภูมิโลกุตระก็อยู่ในนั้น
ทั้งภูมิโลกียะก็อยู่ในนั้น
และก็ผู้รับถ้าเป็นพระอริยะจะขั้นใดก็ตาม อานิสงค์นับประมาณไม่ได้เลยว่ากี่กัปล์
กัปล์หนึ่ง ก็หลายล้านปีมากๆ
คาถาท้าววิรูปักมหาราช (กันงูและพญานาคที่ดุร้าย)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น