พระพุทธองค์ทรงสอนเทคนิค
การเจริญอโลกกสิน(แสงสว่าง)ให้ได้ผล
[๔๕๒] พ. ดูกรอนุรุทธะ
พวกเธอต้องแทงตลอดนิมิตนั้นแล
แม้เราก็เคยมาแล้ว เมื่อก่อนตรัสรู้
ยังไม่รู้เองด้วยปัญญาอันยิ่ง
ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่าง
และการเห็นรูปเหมือนกัน
แต่ไม่ช้าเท่าไร
แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา
ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า
อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แสงสว่าง
และการเห็นรูปของเราหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า
วิจิกิจฉาแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็วิจิกิจฉาเป็นเหตุสมาธิของเรา จึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ
การเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้
ไม่เกิดวิจิกิจฉาขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๕๓] ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นแลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
ส่งตนไปในธรรมอยู่
ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป
แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูป
อันนั้นของเราย่อมหายไปได้
เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล
เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แสงสว่างและ
การเห็นรูปของเราหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า อมนสิการแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็อมนสิการเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา
และอมนสิการขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๕๔] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ถีนมิทธะแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ถีนมิทธะเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ
และถีนมิทธะขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๕๕] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า
ความหวาดเสียวแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ
การเห็นรูปจึงหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล
เกิดมีคนปองร้ายเขาขึ้นที่สองข้างทาง
เขาจึงเกิดความหวาดเสียว เพราะถูกคน
ปองร้ายนั้นเป็นเหตุ ฉันใด
ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ความหวาดเสียวแลเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ ,
ถีนมิทธะ และความหวาดเสียวขึ้นแก่เราได้อีก
[๔๕๖] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความตื่นเต้นแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ
การเห็นรูปจึงหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาแหล่งขุมทรัพย์
แห่งหนึ่ง พบแหล่งขุมทรัพย์เข้า ๕ แห่ง
ในคราวเดียวกัน เขาจึงเกิดความตื่นเต้น
เพราะพบแหล่งขุมทรัพย์ ๕ แห่งนั้นเป็นเหตุ
ฉันใด ดูกรอนุรุทธ
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ความตื่นเต้นแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ,
ถีนมิทธะ, ความหวาดเสียวและ
ความตื่นเต้นขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๕๗] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า
ความชั่วหยาบแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความชั่วหยาบเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ,
ถีนมิทธะ, ความหวาดเสียว, ความตื่นเต้น
และความชั่วหยาบขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๕๘] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า
ความเพียรที่ปรารภเกินไปแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความเพียรที่ปรารภเกินไปเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เปรียบเหมือนบุรุษเอามือทั้ง ๒
จับนกคุ่มไว้แน่น
นกคุ่มนั้นต้องถึงความตายในมือนั้นเอง
ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ความเพียรที่ปรารภเกินไปแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แลความเพียร
ที่ปรารภเกินไปเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูป จึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ,
ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว, ความตื่นเต้น
ความชั่วหยาบ และความเพียร ที่ปรารภเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๕๙] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า
ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เปรียบเหมือนบุรุษจับนกคุ่มหลวมๆ
นกคุ่มนั้นต้องบินไปจากเมืองเขาได้ ฉันใด
ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อน
เกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา ,
อมนสิการ , ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว ,
ความตื่นเต้น, ความชั่วหยาบ,
ความเพียรที่ปรารภเกินไป และความเพียร
ที่ย่อหย่อนเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๖๐] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า
ตัณหาที่คอยกระซิบแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและ การเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา, อมนสิการ,
ถีนมิทธะ, ความหวาดเสียว , ความตื่นเต้น ,
ความชั่วหยาบ , ความเพียรที่ปรารภเกินไป,
ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
และตัณหาที่คอยกระซิบขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๖๑] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท ฯลฯ
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า
ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เรานั้นจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา,
อมนสิการ, ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว ,
ความตื่นเต้น , ความชั่วหยาบ,
ความเพียรที่ปรารภเกินไป ,
ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ,
ตัณหาที่คอยกระซิบ และความสำคัญ
สภาวะว่าต่างกันขึ้นแก่เราได้อีก ฯ
[๔๖๒] ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
ส่งตนไปในธรรมอยู่
ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป
แต่ไม่ช้าเท่าไร
แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา
ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า
อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ให้แสงสว่างและการเห็นรูป
ของเราหายไปได้
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า
ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปแล
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ก็ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเหตุ
สมาธิของเราจึงเคลื่อน
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา , อมนสิการ,
ถีนมิทธะ , ความหวาดเสียว , ความตื่นเต้น, ความชั่วหยาบ , ความเพียรที่ปรารภเกินไป ,
ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป , ตัณหาที่คอย
กระซิบ , ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน
และลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปขึ้นแก่เรา
ได้อีก ฯ
[๔๖๓] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นแลรู้ว่า
วิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองจึงละวิจิกิจฉาตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าอมนสิการเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองจึงละอมนสิการตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าถีนมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองจึงละถีนมิทธะตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมอง จึงละความหวาดเสียว
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองจึงละความตื่นเต้นตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองจึงละความชั่วหยาบตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าความเพียรที่ปรารภเกินไป
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง
จึงละความเพียรที่ปรารภเกินไป
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง
จึงละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองจึงละตัณหาที่คอยกระซิบ
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง
จึงละความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
รู้ว่าลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง
จึงละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ ฯ
[๔๖๔] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
ย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป
เห็นรูปอย่างเดียวแลแต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง
ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง
ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง
เรานั้นจึงมีความดำริดังนี้ว่า
อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้เรารู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแลแต่ไม่เห็นรูป
เห็นรูปอย่างเดียวแลแต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง
ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง
ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง
ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า
สมัยใด เราไม่ใส่ใจ นิมิตคือรูป
ใส่ใจแต่นิมิตคือแสงสว่าง สมัยนั้น
เราย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล
แต่ไม่เห็นรูป
ส่วนสมัยใด เราไม่ใส่ใจนิมิตคือแสงสว่าง
ใส่ใจแต่นิมิตคือรูป สมัยนั้น
เราย่อมเห็นรูปอย่างเดียวแล
แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง
ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืน
และกลางวันบ้าง ฯ
[๔๖๕] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
ย่อมรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย
เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่าง
อย่างหาประมาณมิได้
เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้
ตลอดกลางคืนบ้างตลอดกลางวันบ้าง
ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง
เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า
อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้เรารู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย
เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่าง
อย่างหาประมาณมิได้
เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้
ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง
ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง
ดูกรอนุรุทธ
เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า
สมัยใด เรามีสมาธินิดหน่อย
สมัยนั้นเราก็มีจักษุนิดหน่อย
ด้วยจักษุนิดหน่อย
เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย
เห็นรูปได้นิดหน่อย
ส่วนสมัยใด
เรามีสมาธิหาประมาณมิได้
สมัยนั้น เราก็มีจักษุหาประมาณมิได้
ด้วยจักษุหาประมาณมิได้
เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างหาประมาณมิได้
และเห็นรูปหาประมาณมิได้
ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง
ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ฯ
ดูกรอนุรุทธ
เพราะเรารู้ว่าวิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละวิจิกิจฉา
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าอมนสิการเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละอมนสิการ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าถีนมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละถีนมิทธะ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละความหวาดเสียวตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละความตื่นเต้นตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละความชั่วหยาบตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าความเพียรที่ปรารภเกินไป
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละความเพียรที่ปรารภเกินไป
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเครื่องเกาะจิต
ให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละตัณหาที่คอยกระซิบตัวเกาะจิต
ให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าความสำคัญสภาวะต่างกัน
เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละความสำคัญ สภาวะว่าต่างกัน
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
รู้ว่าลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็น
เครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว
เป็นอันละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป
ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้
เรานั้นจึงได้มีความรู้ดังนี้ว่า
เครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองนั้นๆ ของเรา
เราละได้แล้วแล ดังนั้น เราจึงเจริญสมาธิ
โดยส่วนสามได้ในบัดนี้ ฯ
[๔๖๖] ดูกรอนุรุทธ เรานั้น
ได้เจริญสมาธิ มีวิตกมีวิจารบ้าง
ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตก มีแต่วิจารบ้าง
ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง
ได้เจริญสมาธิมีปีติบ้าง
ได้เจริญสมาธิไม่มีปีติบ้าง
ได้เจริญสมาธิสหรคตด้วยสุขบ้าง
ได้เจริญสมาธิสหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ฯ
ดูกรอนุรุทธ
เพราะสมาธิชนิดที่มีวิตก มีวิจารบ้าง
ชนิดที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจารบ้าง
ชนิดที่ไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง
ชนิดที่มีปีติบ้าง
ชนิดที่ไม่มีปีติบ้าง
ชนิดที่สหรคตด้วยสุขบ้าง
ชนิดที่สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง
เป็นอันเราเจริญแล้ว ฉะนั้นแล
ความรู้ความเห็นจึงได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
วิมุตติของเราไม่กำเริบ
ชาตินี้เป็นชาติที่สุด
บัดนี้ ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ท่านพระอนุรุทธจึงชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
_________________
อุปักกิเลสสูตร
ตท(ฉบับหลวง)
เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๓๔-๒๓๙
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น