วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

มาปลง อสุภะ เห็นเป็นสิ่งไม่สวย หน้าไม่งามกันเถอะ

มาปลง อสุภะ เห็นเป็นสิ่งไม่สวย หน้าไม่งามกันเถอะครับ
เผื่อจะบรรลุธรรมง่าย เหมือนพระยสะ
ในชาติก่อน ในสมัยนั้นท่านพระยสกับเพื่อนอีก ๕๕ คน ต่างคนต่างเป็นสัปเหร่อสาธารณะ (เหมือนกับอย่างที่ปอเต๊กตึ้งเขาทำเวลานี้ คือใครตายที่ไหน ถ้ามีความยากจนเข็ญใจไม่สามารถจะปลงศพได้ เผาศพได้ เขาก็ช่วย ช่วยโดยไม่คิดการเงิน ไม่คิดการทองด้วยประการทั้งปวง) ทำอย่างนี้ตลอดมา
ภายหลังในวันหนึ่ง ปรากฏว่ามีศพสตรีท่านหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ และก็ตายลอยน้ำมา มาพะอยู่บริเวณใกล้สถานถิ่นที่นั้น กำลังขึ้นอืด ปรากฏว่ามีชาวบ้านไปเห็นเข้า จึงไปแจ้งให้พระยสกับบรรดาสหาย ๕๕ คนทราบว่า
“วันนี้มีศพสตรีกำลังตั้งครรภ์ด้วย แล้วก็ขึ้นอืดเหม็นเน่า ขอบรรดาท่านทั้งหลายพากันไปทำฌาปนกิจศพ”
คำว่า ฌาปนกิจศพ นี่แปลว่า การเผา คือเผาศพ
ท่านพระยสพร้อมไปด้วยคณะบางคน (ไม่ได้ไปพร้อมทั้ง ๕๕ คน) ก็ไปจัดการฌาปนกิจศพ นำศพขึ้นสู่เชิงตะกอน และก็เอาฟืนใส่ตามประเพณี เพราะฟืนเท่านี้มันต้องไหม้ศพแน่นอน เมื่อไฟติดดีแล้ว เผาแล้วมีความมั่นใจว่ายังไงๆ ศพก็ไหม้หมด จึงได้กลับมาสู่บ้านของตน
และในเวลานั้นนั่นเอง กำลังรับประทานอาหารอยู่ ก็ปรากฏว่าไฟที่เผาศพไหม้โทรมลงไปหมด ฟืนหมดเหลือแต่ถ่าน แต่ว่าศพสตรีบุคคลนั้นปรากฏว่าไม่ไหม้สมความปรารถนา ชาวบัานเมื่อได้ทราบเข้าแล้ว จึงเห็นว่าศพนี้ไม่ได้ไหม้ไฟไปตามความประสงค์ จึงได้มาแจ้งแก่พระยสว่า “ศพนี้ไม่ไหม้เสียแล้ว”
พระยสจึงได้กลับไปจัดการกับศพนี้ เห็นว่าศพนี้ขึ้นอืดมาก จึงเป็นเหตุให้การเผาคราวนั้นไม่สำเร็จผล จึงได้นำฟืนมาใหม่ใส่เข้าไปแล้วก็เสี้ยมไม้ให้มีปลายแหลมแทงร่างกายของสตรีนั้น คราวนี้น้ำมันก็ไหลลงมา มันก็ไม่ไหลแต่น้ำ มีน้ำเลือด น้ำหนองก็ไหลลงมาด้วย ดูผิวกายที่กำลังถูกไฟไหม้ หนังไหม้ เข้าไปทีละน้อยๆ เมื่อหนังไหม้เข้าไปแล้ว ความผ่องใสมันก็หมดเลย เนื้อบางส่วนก็ไหม้เข้าไป โบ๋เข้าไป ผลที่สุดอวัยวะภายในในก็หลั่งไหลลงมา เมื่อพิจารณาแล้วก็เกิดความสังเวชสลดจิตว่า
“โอหนอ…คนเราที่มีความคิดว่า ร่างกายสวยสดงดงาม เวลานี้สภาพของสตรีคนนี้นอกจากจะมีกลิ่นเหม็นคลุ้งและทุกสิ่งทุกอย่างก็หาความสดสวยงดงามไม่ได้ ภายในร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม”
ท่านเห็นเข้าก็เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในร่างกาย ก็มานั่งคิดว่า
ร่างกายของเขากับร่างกายของเรามันก็มีสภาพเหมือนกัน ร่างกายของเราถ้ายังมีจิตคุมก็สามารถจะควบคุมประสาทต่างๆ ให้ทรงตัวอยู่ได้ แต่เมื่อปราศจากจิตควบคุมเสียแล้วเมื่อไร ก็มีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน ความเน่าความเหม็น ความโสโครกทั้งหลายเหล่านี้นั้น ไม่ได้มีมาเมื่อเวลาที่ตายแล้ว แต่ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างมันปรากฏอยู่ในขณะที่มีชีวิตอยู่
เมื่อท่านพิจารณาอย่างนี้แล้วก็เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย ว่าร่างกายเป็นของไม่ดี สกปรกโสโครกแบบนี้ไม่ควรจะถือเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และในที่สุดมันก็ตาย
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วจึงได้กลับมาบ้านมาบอกภรรยากับบิดามารดาทั้งสอง ท่านทั้งหลายไปพิจารณาก็เห็นตามนั้น
ต่อมาพระยสก็สั่งไปหาเพื่อน ๕๕ คนด้วยกัน บอกว่าขอให้บรรดาเพื่อนทั้งหลายไปดูศพที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ ก็ปรากฏว่าบรรดาเพื่อนทั้งหลายไปเห็นศพเข้าก็จิตหดหู่ทันที ทั้งนี้ก็หมายความว่าใจไม่สบาย เห็นร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก และก็น้อมมาถึงกายของเราว่า
“ร่างกายของเราก็มีสภาพอย่างนี้ สตรีคนนี้ในขณะที่มีลมปราณอยู่ เธอก็มีสภาพเช่นเดียวกับเรา แต่ทว่าเวลานี้ลมปราณสิ้นไป ร่างกายของเธอก็เน่า ร่างกายของเธอก็เหม็น ซึ่งไม่มีประโยชน์ "ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับซึ่งแผ่นดิน หาประโยชน์ไม่ได้
(คลิบจาก you like คลิบเด็ด)
(เนื้อหาจาก เว็บบ้านโลกทิพย์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น