กสินไฟ...โดยหลอดไฟ....เปลวเทียนไหว......(จุดไฟ...กลัวไฟไหม้)....หลอดไฟฉาย....แล้วก็....หลอด LED ........มีสีแดง...สีเขียว....สีส้ม...แล้วก็สีเหลือง....ใช้ได้หมด...แต่สีแดง เขียว ส้ม เหลือง ไม่ใช่ กสินไฟแล้ว เป็นกสินเหมือนกัน...แต่เป็นกสินอื่น.....ถ้าเพ่งเปลวเทียนให้เพ่งดูที่มีแสงทึบ...แล้วอย่าเพ่งเปลวไฟที่เคลื่อนไหว...(กำหนดจิต..เพ่งหมายเอา)...เพ่งจนติดตาติดใจ....เพ่งจนหลับตาก็เห็น....จะลืมตาก็เห็น...ประเภทไปไหนข้าไปด้วย(แม้ในขณะอยู่ในสถานที่อื่น...นอกเหนือจากที่ฝึก)...ฝึกเอาจนนึกก็เห็น...(ลืมตาข้างเดียวก็เห็นได้.....อันนี้พูดเล่น ที่จริงถ้าเพ่งจนชำนาญแล้ว...มัน..นึก..คิด.หรือมันอยู่ไหนหว่า...มันก็เห็นแล้ว)กำหนด...จิต...เอานิมิตนั้นไว้ในตัวเรา...(ไม่ส่งจิต ออกนอก)ไม่ว่าจะหน้าอก.....หน้าผาก.....ศรีษะ....หรือศูนย์กลางกาย....ตอนแรกมันจะเป็นดวงออกสีค่อนข้างแดงก่อน.....ต่อมาสีมันจะเปลี่ยน.....ก็อย่าตกอกตกใจเข้าล่ะ.....ประคองนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น....ไม่ต้องไปอยากเห็น อยากรู้อะไร หรือไปสงสัยมันเข้า มันอาจจะกัดเอาได้...พูดเล่นอีกแล้ว....ให้นิ่ง...เฉย...ไว้...ให้มันเป็นไปของมันเอง....กำหนดจิต..รู้อยู่ที่เรา...ไม่ใช่ไปอยู่ที่นิมิตที่เห็น....เพ่งฝึกไปเรื่อยๆ...สำคัญ..นิ่งเฉยเข้าไว้...เพ่งนิมิตแบบสบายๆๆ...(สำคัญต้องสบาย...สบายอย่างไร......อันนี้ไม่อธิบายแล้ว....เพราะว่ามันสบาย) ทำตามหน้าที่..คือ...มีหน้าที่เพ่ง...กำหนด...นิมิตก็เพ่ง..ฝึกไปเรื่อยๆ...ส่วนคำบริกรรมภาวนาก็ว่าไปเรื่อยๆ..ๆ.....เตโชกสินัง.....เตโชกสินัง....ฯ (ถ้าคำภาวนามันหายไปก็ช่างมันปล่อยให้มันหายไป...อย่าไปตามมันกลับมาเข้าล่ะ...นิ่งเฉยเข้าไว้...ปล่อยให้เป็นไปของมันเอง.....) นิมิตหรือดวงที่เห็นก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว......จากขาวก็ค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ....ใสจนไม่มีอะไรเจือปน......ก็...ฝึกไปเรื่อยๆ...จากใสก็มีประกาย....พรึก.........เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน.....การเพ่งเทียนนิมิตที่เห็นจะไม่ค่อยกลม...เออ...จะเป็นวงรี.....ต้องค่อยฝึก....ตอนอุคหนิมิต....หรือตอนไหนผู้ฝึก...กำหนดหมายเอาเอง...ให้เห็นเป็นดวงกลม...ซึ่งก็ต้องลำบาก...ลำบน..พอสมควร...ส่วนการเพ่งกสินไฟโดยใช้หลอดไฟฟ้านั้น...(สะดวกดี.....และก็การฝึกก็เหมือนเพ่งเทียน)..ในเว๊ปก็เห็นมีคนกล่าวถึงไว้แล้ว....และก็ประสพพบเห็นก็มากมาย.....แม้กระทั้งตัวผู้เขียนเองก็ยังใช้เลย.......(โลกมันเปลี่ยนไป....ยุคสมัยก็เปลี่ยนไปแล้ว....เอาเป็นว่า...คำนึงถึงผลที่เกิด..ที่ได้ดีกว่า)...ก็...ขอเกริ่นเอาไว้เปรียบเทียบ...ไว้คิด....พิจารณา....ลองไปปฏิบัติใช้....ดู...หรือศึกษาไว้เป็นข้อมูลก่อนก็ได้....(ส่วนตัวผู้เขียน....ล่อ...ลอง...ปฏิบัติ...ไป.....ไม่...หมด....เพราะฝึกทุกอย่างไปเรื่อยๆไม่เห็นหมดสักที...มีมาให้ฝึกเรื่อยๆทั้งสมถกับวิปัสสนากรรมฐาน...รวมถึงทั้งมารมาทดสอบ...ทำบททดสอบให้)หลอดไฟที่จะใช้..ก็น่าจะเป็นหลอดกลม....(ประเภทหลอดปิงปอง) ทึบ...หรือหลอดฝ้าสีขาว...ถ้าเป็นไปได้อย่าเอาที่มีพิมพ์ยี่ห้อ...ติดกับหลอดไฟ...เพราะนิมิตที่เห็นมันจะติดไปด้วย(เนื่องจากมีคนฝึก...แล้วนิมิตที่เห็นติดยี่ห้อไปด้วย......อันนี้ไม่ใช่ผู้เขียนนา....คนอื่น....ผู้เขียนรู้และระวังไว้ก่อนแล้ว)ไม่ควรใช้หลอดใส....วัตต์ก็ใช้วัตต์น้อยๆ....ผู้เขียนถ้าจำไม่ผิดล่อ...100...แล้วลดลงมาเรื่อยๆ 60 แล้วก็ 40 วัตต์.....แล้วก็ 25 วัตต์....ก็แสบตาน่าดู....(เมื่อก่อน..นานมา....ก็เป็นสิบกว่าปีแล้ว....ก็เพ่งเทียน........มาเรื่อยๆ....ประเภทฝึกบ้าง.... ไม่ฝึกบ้าง...เหมือนกัน.......แล้วก็หลอดไฟ....แล้วก็ดวงอาทิตย์...แล้วก็หลอดไฟ..ฯลฯ..หลังๆใช้นึกกำหนดเห็นเอา....)ที่สำคัญเพ่งพอประมาณ....ก็หลับตาลง......ให้เห็นนิมิต...ถ้าหายไปก็เพ่งใหม่.....จนติดตา..ติดใจ...รู้สึกแสบตาหรือไม่ไหวแล้วก็หยุดเสีย...(ให้รู้ว่าตามันรับได้แต่ไหน....ไม่ใช่ยายน่ะ) สำหรับดวงอาทิตย์นั้นอย่าเพ่งตอนกลางวันให้เพ่งตอนเช้า...พระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือกำลังตกดิน...เพราะแสงไม่สว่างจ้าจนเกินไป....และให้เพ่งระยะเวลาอันสั้น....แล้วค่อยเริ่มพรุ่งนี้ใหม่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ...(ให้ระมัด...ระวังด้วยเดี๋ยวตาจะบอด....ไม่ใช่ยายบอด...เพราะยายแกไม่รู้เรื่องด้วย)......กสินไฟก็มีประโยชน์และโทษเหมือนกัน...ลองฟังความคิดเห็นของผู้เขียนดู...การฝึกกสินไฟนั้นถ้าเป็นคนอารมณ์ร้อน...หรือประเภทขี้โมโห..หรือหงุดหงิดง่าย..หรือหุนหันพลันแล่น ก็จะเพิ่มดีกรี หรือความรุนแรงเพิ่มขึ้น ต้องระวังควบคุมอารมณ์ไว้ให้ดี...(สำคัญอย่าประมาท.....หรือทะนงตน)...ต้องหรือใช้กรรมฐานอื่นแก้เพื่อบรรเทาให้สงบระงับ...เช่นพรหมวิหารสี่ซึ่งเป็นกรรมฐานเย็น...ต้องคอยฝึกกำกับไว้ให้..ได้ตลอดเวลาก็จะเป็นการดี...หรือการฝึกกสินน้ำ...ไว้....ลด..บรรเทาอาการความลุ่มร้อน..ให้สงบระงับ(อันนี้ไม่ค่อยอยากจะแนะนำ ควรที่จะฝึกให้ได้เป็นอย่างๆไปจะดีกว่า ซึ่งจะสำเร็จได้ง่ายและเร็ว....ซึ่งต้องใช้การวางจิต...กำหนดจิตที่ดี ถึงจะเป็นผล) อีกอย่างหนึ่งก็คือความร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา.....การฝึกกสินไฟพอฝึกไปได้สักระยะ....พอมีผล...ก็จะเกิดอาการปวดแสบ...ปวดร้อน...ตามร่างกาย....หรือบางทีพอนึกกำหนดเท่านั้น ก็ร้อนขึ้นมาทันที...(ร้อนมาก ร้อนน้อยก็คงแล้วแต่สมาธิที่กำหนด)บางทีหน้าแดง...ตัวร้อนเหมือนจะเป็นไข้....ร้อนตามเนื้อตามตัว...ต้องกำหนดจิต...ไว้ว่าร้อนคือเรา..เราคือร้อน...หรือเป็นส่วนหนึ่งของเรา อะไรทำนองนี้แหละก็จะบรรเทา..ไปได้...บ้าง...บางทีอาจ....ก่อนเพ่งให้หาน้ำใส่ขวดแบน.....มองผ่านซะก่อน...ไปที่ดวงไฟที่เพ่ง...ก็จะพอลด...บรรเทาอาการร้อนไปได้บ้างเหมือนกัน(หาวิธีเอาเอง..ตามถนัด...ไว้บ้างก็จะดี)......ถ้าอยู่ในฤดูหนาวฝึกเพ่งกสินไฟ...ก็ลดภาระของความร้อนไปได้บ้าง...แถมอบ...อุ่น...อีกต่างหาก.....(เนื่องจากผู้เขียนอยู่ภาคเหนือ)ที่สำคัญอย่าอยากได้...อยากมี...อยากจะเป็น...ที่กำหนดจะให้ร้อนน่ะ.....มันจะหายไป...ฝึกไปเรื่อยๆก็จะรู้เอง(เป็นปัจจัตตัง.....ไม่ใช่สตางค์เที่ยวไปจ่ายแจกใครได้)........อึม...ชักจะนอกเรื่องไปกันทั้งใหญ่และเล็ก....เพราะถามเรื่องหลอดไฟ.....เลยเป็นไฟลามทุ่งไปเสีย......เขียนและพิมพ์มาเป็นคุ้งเป็นแควเลย......เอาเป็นว่าอย่าเชื่อ..คนที่จะต้องแก่เลย.....ศึกษาไว้เป็นข้อมูล...สำหรับเตรียม...สำหรับเปรียบเทียบ...หรืออ่านเล่นเอาดีกว่า......แบบเพลินๆสบายๆ...(แต่ถ้าจะฝึกตามนี้ก็ไม่ว่ากัน) เนื่องจากผู้เขียนก็ยังจะต้องฝึกตน...เอง....อีกมาก....ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเป็นเรื่อง....เป็นราวเหมือนกัน.......กิเลสมันไม่ยอมหด...ไม่ยอมหาย...หมด...ไปเสียที....ผุดๆ...โผล่....อยู่อย่างนั้น.....ก็เลยเบื่อ.....โลกมนุษย์......ไม่อยากจะมาเกิด....มาทุกข์......ทรมานอีก......แต่.....ก็ต้องสู้...และทน...(วิริยบารมี...ขันติบารมี) เพื่อตนเองและผู้อื่นต่อไป
สุดท้ายฝากสุภาษิตไว้คิดไว้อ่านดังนี้
สีลสมาธิคุณานํ ขนฺติ ปธานการณํ
สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ขนฺตฺยาเยว วฑฺฒนฺติ เต.
ขันติเป็นประธาน เป็นเหตุแห่งคุณศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวง ย่อมเจริญ เพราะขันติเท่านั้น
ความรูโยม จาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น