วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ความไม่ประมาท ในการบำเนกขัมมะบารมี

ช่วงพรรษาแรก ออกพรรษาใหม่ๆ
ทิสเกมส์ยังบ่สึกเลยตอนนั้น
ทิศเกมส์ : "ถ้าสิสึก กะเข้าไปบอกเพิลเด้อ"
ตอนนั้น อืม.. ?? ลังเล จะเอาไงดี ใจหนึ่งก็อยากสึก
เฮาอยากจะสึก.. สึกออกไปสักสามวันหรือเจ็ดวัน
แล้วหลังจากนั้น ไปบวชวัดป่า..
แต่ไม่กล้าสึกเพราะกลัวจะไม่ได้บวชอีก
แม้สึกปุ๊บ วันต่อมาบวชปั๊บ
เราก็ไม่กล้าเสี่ยง
เราเคยคิดจะสึก แล้วบวชต่อในวันถัดมา ห
เราก็ไม่กล้า เพราะนั่นยังประมาทอยู่
เพราะไม่มีอะไรมารับประกันว่า สึกแล้วจะได้บวชอีก
ไม่มีเลย
แม้จะวางแผนไว้แล้วว่า สึกวันจันทร์ ไปบวชวัดป่าวันอังคารต่อเลย ถ้ามันไม่เป็นไปตามนั้นละ
ขึ้นชื่อว่ากายหลุดจากผ้าเหลืองแล้ว สมณะสัญญาก็จะคลายหายไป(ความกำหนดหมายว่าเราเป็นสมณะ)
และสิ่งที่จะมาล่อใจให้ติดไปกับกามคุณ๕ นั้น มันอาจจะมาเป็นแน่ มาเป็นขบวน
เผลอๆ หญิงเนื้อคู่เก่า อาจมาเจอกันกับเรา
ตาต่อตา จิตต่อจิต มันก็จะไม่ได้ไปแต่งงานกันเหรอ
ดังนั้นจึงไม่กล้าสึกแม้วันเดียว
ล้วนบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี มาหลายภพชาติ
ถ้าขาดเนกขัมมะบารมีจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เลย
บุคคลที่บวชแล้ว ใจแข็งไม่ยอมสึก
นำกายนำใจไม่ให้ติดในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส
ย่อมได้เนกขัมมะบารมี
เมื่อพยายามออกจากกาม ปัญญาย่อมเกิด
ใจย่อมสว่าง
เปรียบเทียบได้เลยว่าสุขจากการที่มีใจสว่าง
มันดีกว่า สุขจากการได้เห็นสิ่งที่ถูกใจ
เช่น เห็นแฟนน่าหล่อ น่าสวย กำลังถือดอกไม้จะนำมาให้
มันดีกว่าสุขจากการมีเสียงอันชอบใจเข้าหู
มันดีกว่าสุขจากการมีกลิ่นหอมๆโชยมาถูกจมูก
มันดีกว่าสุขจากการที่รับประทานอาหารอันมีรสชาติถูกใจพญาลิ้น แซบเว้อคัก
มันดีกว่าสุขจากการ ได้ถูกต้องสิ่งที่นุ่มนิ่มน่าพอใจ
สุขเช่นนี้ เป็นสุขที่ไม่ควรกลัว
ธรรมใดเป็นไปเพื่อจมไปกับกามคุณ๕
เราอย่าได้ยึดติดธรรมนั้นเลย
เพราะคือเหตุเกิดทุกข์
#สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ยังไม่ชื่อว่าพ้นทุกข์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น