วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า

พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า"
"มีความสวยงดงามมาก เหมือนไข่มุข แก้ว เพชร 

#การอันตรธานของพุทธศาสนา

ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนาทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีปต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาคก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวมกันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่าพระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้ นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากันกระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อว่าอันตรธานไป
     #จากพระไตรปิฎก มหามกุฏราชวิทยาลัยเล่ม 15 หน้า 251
______

ศุภกิจ เยี่ยมไธสง
 : การเก็บสะสมหินสีอัญมณีก็เป็นเรื่องส่วนตัวในเรื่องความชอบของแต่ละคนแต่คนทั้งหลายในประเทศไทยที่ได้หรือมึของเหล่านี้แล้วเที่ยวอ้างว่าเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้าบ้างหรือพระธาตุของพระอรหันต์บ้างนั้นมันคือคนลวงโลก(ผมไม่ได้ว่าคนที่มี)แต่ผมว่าคนที่เที่ยวอ้างว่าหินสีหรืออัญมณีเหล่านี้คือพระธาตุของพระพุทธเจ้าหรือพระธาตุของพระอรหันต์นี่ต่างหากนะครับความศรัทธาความเชื่อที่สักแต่ว่าเชื่อตามเขาว่ามานั้นยังเป็นความเชื่อที่ขาดปัญญาเป็นที่มาของพวกอีแอบทำมาค้าขายโดยเอาศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระอรกันตสาวกมาบังหน้าหากินอยู่โดยการหลอกลวงแม้ห่มผ้ากาสาวะพัตรและคนพวกนี้ก็หน้าด้านเพราะอ้างว่าตำราอ้างตำราอยู่ตลอดเลยเที่ยวอ้างตำราหากินกับสิ่งเหล่านี้มาตลอดนะครับจนไม่รู้สึกอะไรแล้วก็คิดว่าตนเองทำถูกมาตลอดเพราะการอ้างตำราจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วนะครับ

พระ: ถ้าท่านคอมเม้นปักปำคนโพสนี้ ว่าชวนให้คนอื่นงมงาย และเอาตำรามาใส่เพื่อยิ่งให้เกิดความงมงายแก่คนหมู่มาก "  เจตนาคนโพสไม่ได้มุ่งไปอย่างนั้น การเข้าใจคนอื่นผิดเป็นสิ่งที่มีความผิดแก่ตนเป็นเบื้องต้นก่อนเลย แล้วทำกายกรรม วจีกรรม แสดงออกไป ยิ่งก่อให้คนอื่นเข้าใจผิดตาม  นี่ยิ่งเป็นการ ทำตัวเหตุให้คนอื่นเข้าใจคนโพสผิด

ศุภกิจ เยี่ยมไธสง:ผมก็ไม่ได้เห็นว่าหลวงพ่อประกาศขายนี่ครับ

พระ: เห็นไหมว่า การเข้าใจคนอื่นผิด  มันผิดที่ตนเองก่อนเลย

ดังอาตมาเข้าใจว่าโยมคอมเม้นปักปำอาตมา ทั้งๆที่โยมอาจจะเม้นไปโดยไม่ได้มุ่งปักปำ

พระ: ดังนั้นความเข้าใจโยมผิดนี้ เป็นความผิดทางใจของอาตมาก่อนเลยในเบื้องแรก

ศุภกิจ เยี่ยมไธสง: ครับหลวงพ่อ   ผมผิดด้วยที่ใช้ภาษาเขียนที่รุนแรงเกืนไปนะครับ   กราบเรียนตรงๆว่าคนสมัยนี้   มันศรัทธาบ้าเลือดนะครับหลวงพ่อแล้วมันจึงเป็นการเปิดช่องให้พวกแสวงหาผลประโยชน์จับกลุ่มมาทำมาหากินแอบแฝงในศาสนาและมีเยอะด้วยนะครับ ยังงัยผมก็ขอกราบขออภัยหลวงพ่อด้วยนะครับ

พระ: ถ้ามีแต่ศรัทธาเป็นใหญ่แต่ปัญญาน้อย ถ้าได้อยู่กับผู้ที่รู้จริงเห็นจริง ย่อมเจริญ  เพราะท่านพูดจริงอันเป็นผลมาจากการที่ท่านเห็นจริง

แต่ถ้าไปอยู่กับคนพาลอัปปัญญา รู้ผิดเห็นผิด  อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเชื่อไปหมดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่ถ้ามีปัญญาใหญ่กว่าศรัทธาแม้ไปอยู่กับท่านที่เห็นผิด ก็ย่อมสามารถเอาตัวรอดจากความเห็นที่ผิดได้  สมกับบาลีที่ว่า  "ปัญญา สมาอาภา" ความสว่างใดก็ไม่เท่าปัญญา"

ศุภกิจ เยี่ยมไธสง: สาธุธรรมครับๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น