วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2566

ถาม ถ้าเป็นคนที่เราทำกรรมชั่วไว้กับเขาแล้วเขามาเอาคืน

ถาม : 
ถ้าเป็นคนที่เราทำกรรมชั่วไว้กับเขาแล้วเขามาเอาคืน 
อย่างนี้ถือว่าเป็นการ
สนองกรรมอย่างสาสมหรือจัดเป็นกรรมชั่วที่เขาก่อขึ้นใหม่?

ตอบ :

๐ คนเราทำร้ายกันก็ด้วยมูลเหตุคือโทสะ 
เมื่อใดจิตก่อกรรมอันเจืออยู่ด้วยโทสะ เมื่อนั้นจิตเป็น
อกุศล กรรมที่เขาทำจึงนับเป็นบาป 
แม้เขาจะอ้างว่านั่นเป็นการล้างแค้นคืนอย่างสาสมกับกรรมที่
ศัตรูทำเขาไว้ก็ตาม

๐ ความพยาบาทคือมูลเหตุแห่งการจองเวร 
ต่างฝ่ายต่างผลัดกันมีอำ นาจเหนือกัน
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้แผ่เมตตาเป็นนิตย์ 
เมื่อใจมีความสงบเย็นเป็นเมตตา จิตจะทำตัวเป็น
แหล่งกำเนิดกระแสความปรารถนาดีต่อผู้อื่น 
อาจปรากฏชัดผ่านการทำทานไม่เลือกหน้า รวมทั้ง
การรักษาศีลให้บริสุทธิ์จนรู้สึกสะอาดทั่วพร้อม 
ถึงเวลานั้นคุณจะรู้สึกว่าภัยเวรลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ก็เพราะกระแสคุกคามในจิตคุณลดลง 
กระแสความน่าระคายของจิตคุณสะเทือนไปทำความ
รำคาญให้ผู้อื่นน้อยลง 
แม้แต่ศัตรูเก่าเมื่อเห็นคุณ
ก็จะไม่อยากจองเวรเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก

๐ พูดง่ายๆ คือถ้าแผ่เมตตาเก่งๆ มีน้ำจิตเย็นๆ 
ไหลรินออกมาเป็นธรรมชาติได้ล่ะก็ 
ไม่ใช่จะเป็นสุขแต่ตัวเราฝ่ายเดียว 
แต่ยังอาจช่วยยับยั้งศัตรูเก่าของเรา
ไม่ให้ต้องก่อบาปก่อกรรมก็ได้ 
เมื่อใดยุติการจองเวรก็ไม่มีใครต้องทำบาปทำชั่วต่อ 
ดีออกจะตาย ใครเริ่มก่อนได้ คนนั้นประเสริฐนัก

๐ เรื่องเมตตานี้เป็นของที่ต้องลงทุนกันด้วยน้ำใจ 
น้ำยิ่งมากเมตตายิ่งงอกเงย 
คนทั่วไปติดยึดอยู่กับความคิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน 
นิสัยมนุษย์แม้โตแล้วก็ไม่ค่อยต่างจากครั้งยังเด็ก 
ใครเตะมาก็จะเตะเขากลับ 
หรืออาจมีแถมลูกถีบให้ล้มกลิ้งโคล่ไปเลย 
กระแสจิตของคนส่วนใหญ่ถึงได้พร้อม
จะเป็นขั้วรับขั้วต่อแห่งการจองเวรไม่ขาดสายด้วยประการฉะนี้

---------------------------------
ที่มา
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น