ถ้าเป็นคนที่เราทำกรรมชั่วไว้กับเขาแล้วเขามาเอาคืน
อย่างนี้ถือว่าเป็นการ
สนองกรรมอย่างสาสมหรือจัดเป็นกรรมชั่วที่เขาก่อขึ้นใหม่?
ตอบ :
๐ คนเราทำร้ายกันก็ด้วยมูลเหตุคือโทสะ
เมื่อใดจิตก่อกรรมอันเจืออยู่ด้วยโทสะ เมื่อนั้นจิตเป็น
อกุศล กรรมที่เขาทำจึงนับเป็นบาป
แม้เขาจะอ้างว่านั่นเป็นการล้างแค้นคืนอย่างสาสมกับกรรมที่
ศัตรูทำเขาไว้ก็ตาม
๐ ความพยาบาทคือมูลเหตุแห่งการจองเวร
ต่างฝ่ายต่างผลัดกันมีอำ นาจเหนือกัน
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้แผ่เมตตาเป็นนิตย์
เมื่อใจมีความสงบเย็นเป็นเมตตา จิตจะทำตัวเป็น
แหล่งกำเนิดกระแสความปรารถนาดีต่อผู้อื่น
อาจปรากฏชัดผ่านการทำทานไม่เลือกหน้า รวมทั้ง
การรักษาศีลให้บริสุทธิ์จนรู้สึกสะอาดทั่วพร้อม
ถึงเวลานั้นคุณจะรู้สึกว่าภัยเวรลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ก็เพราะกระแสคุกคามในจิตคุณลดลง
กระแสความน่าระคายของจิตคุณสะเทือนไปทำความ
รำคาญให้ผู้อื่นน้อยลง
แม้แต่ศัตรูเก่าเมื่อเห็นคุณ
ก็จะไม่อยากจองเวรเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
๐ พูดง่ายๆ คือถ้าแผ่เมตตาเก่งๆ มีน้ำจิตเย็นๆ
ไหลรินออกมาเป็นธรรมชาติได้ล่ะก็
ไม่ใช่จะเป็นสุขแต่ตัวเราฝ่ายเดียว
แต่ยังอาจช่วยยับยั้งศัตรูเก่าของเรา
ไม่ให้ต้องก่อบาปก่อกรรมก็ได้
เมื่อใดยุติการจองเวรก็ไม่มีใครต้องทำบาปทำชั่วต่อ
ดีออกจะตาย ใครเริ่มก่อนได้ คนนั้นประเสริฐนัก
๐ เรื่องเมตตานี้เป็นของที่ต้องลงทุนกันด้วยน้ำใจ
น้ำยิ่งมากเมตตายิ่งงอกเงย
คนทั่วไปติดยึดอยู่กับความคิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน
นิสัยมนุษย์แม้โตแล้วก็ไม่ค่อยต่างจากครั้งยังเด็ก
ใครเตะมาก็จะเตะเขากลับ
หรืออาจมีแถมลูกถีบให้ล้มกลิ้งโคล่ไปเลย
กระแสจิตของคนส่วนใหญ่ถึงได้พร้อม
จะเป็นขั้วรับขั้วต่อแห่งการจองเวรไม่ขาดสายด้วยประการฉะนี้
---------------------------------
ที่มา
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น