วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Imported post: Facebook Post: 2020-06-25T00:49:49

2 หลวงปู่มั่นท่านก็เมตตาอนุโลมทำให้ฆราวาสคนหนึ่งที่มาขอท่าน หวลงปู่ดูล อตุโล ท่านก็เมตตาไปปลุกเสกของขลังให้นะ ถ้ามองเรื่องปลุกเสกดีๆรู้ไหมว่าทางพระคิดยังไงแต่ก็คงไม่ทุกองค์ มันเป็นเรื่องธรรมดาๆไปแล้วนะเพราะปลุกเสกวัตถุมงคลมันคืออัดพลังจิตปะจุลงในนั้น ทำให้มีอานุภาพในทางต่างๆแล้วแต่จะใช้ลักษณะจิตแบบไหนทำ ยันต์หลวงปู่มั่นคนลองนำไปทดสอบก็ยิงปืนไม่ได้เลย ลองหาอ่านดู มีป้านักปฏิบัติธรรมคนหนึ่งที่ชอบโดนผีมาก่อกวน พอเขามีของขลังคือกริช แล้วผีก็กลัวไม่มาก่อกวนป้าแกอีกเลยเวลานอน เรื่องปลุกเสกนี่มีมาแต่สมัยโบราณแล้ว เช่นควยธนูนี่เป็นอะไรที่ใช้ในทางให้เป็นบาปก็ได้ แต่พระสงฆ์ท่านไม่ปลุกเสกไปในทางที่ไม่ดี ไม่ให้ผลร้ายต่อผู้มีของขลัง ต่อไปนี้อย่าติเตียนเพราะจะเป็นบาปกรรมหนัก เรียกว่าติเตียนพระอริยะเจ้า อ่านแล้วมองเป็นเรื่องเฉยๆ พระอริยะท่านก็มีนะที่ท่านปลุกเสกของขลัง เพื่อประโยชน์บางอย่าง เพราะโยมมาขอให้ท่านเมตตาทำให้ เช่นที่หลวงปู่มั่นภูริทัตโต เรื่องยันต์ องค์อื่นๆอีกเท่าที่รู้ แต่ไม่ขอพูด สายปู่หนูนี่เป็นสายขาว สายแก้ สายช่วยคน ช่วยคนก็ได้บุญบารมีอีกแบบหนึ่งนะ เรียกว่าเมตตาทำสิ่งที่ดีต่อผู้อื่น จะต่างจากอีกสายที่ใช้วิชาอาคมทำคุณไสย์ดำใส่คนในบางครั้งให้ได้รับความเดือนร้อน เช่นตะปู ใบมีดโกน ซากสัตว์ทำใส่ร่างกาย ปลุกควยธนูทำร้าย คือแค่ปลุกเสกควยธนูเฉยๆแต่ไม่ใช้ไปลำลายคนอื่นยังไม่บาป แต่คนที่มีวิชาสายดำเขาไม่ได้ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีเป็นบาปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เรื่องดีเขาก็ทำ พวกเราอย่าไปจ้างให้ไปทำของใส่คนที่เราเกลียดไม่ชอบนะ เราบาป คนทำก็บาป คนถูกทำของใส่ก็เป็นทุกข์ ในบางครั้งคนถูกทำของใส่มาให้ลูกศิษย์ปู่หนูแก้ ถอดของออกจากกายสังขาร ก็มีเศษผมเศษตะปูอะไรออกมากับไข่ ฯลฯ ก็แปลกนะมันเข้าไปอยู่ในใข่นั่นได้ยังไง แต่วิชาธัมบันลุบันดาลนี้ถ้าเรียนมีข้อห้ามด้วย ถ้าจะเรียนตั้งแต่งขันธ์ครูมีอะไรหลายอย่างเลย มีพาน มีดอกไม้ ธูปเทียน ฯลฯและอื่นๆอีกหลายอย่างกว่านี้ ข้อห้ามก็มีหลายข้อ ถ้าทำผิดแล้วมันจะเป็นผลร้ายต่อตนด้วย หน้าจะดำค้ำสุขภาพไม่ดีทันตาเห็น ถ้าไม่แก้จะเป็นผลไม่ดีต่อร่างกายไปเรื่อยๆ เหมือนโดนมนต์ดำ วิธีการแก้รักษากายก็ยุ่งยาก สายขาวมีข้อห้ามทำ ส่วนเรื่องสายดำนี่ไม่รู้เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องสนใจ แต่ก่อนศึกษาวิชาอาคมคาถามนต์ตรานะ คิดว่าจะเรียนไว้ป้องกันตัวถ้ามีภัยจากอมุษย์ภูตผีภายนอก ก็เริ่มศึกษาทดลองด้วยศีลที่บริสุทธิแล้วทดลองสวดคาถาพอสวดแล้วรู้มีพลังงานบางอย่างเกิดขึ้นภายในกายร้อนๆ แต่พอสวดอีกบทจะรู้สึกเย็นๆๆกาย มันก็แปลกดีนะ และเคยโดนผีอัมพูดไม่ได้ขยับไม่ได้ ก็สวดคาถาบทหนึ่งในใจก็ปรากฏว่าผีมันก็ไป ก็เลยมองว่ามันเป็นของดีอีกอย่างไว้ช่วยตนเอง เพราะไม่ได้อภิญญามีอิธิฤทธิ์ แต่สุดท้ายก็เลิกศึกษาเล่าเรียน ส่วนเรื่องภายในใจปู่หนูนี่ท่านมีธรรมภายในใจคือท่านมีศีลภายในที่บริสุทธิ์นะ ถึงแม้สิ่งที่ท่านทำมันจะเป็นโลกะวัชชะชาวโลกติเตียน แต่การกระทำเหล่านั่นไม่ใช่เป็นการทำบาป เพราะท่านไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดโกหก ไม่ดื่มเหล้า แต่กินเอ็มร้อยฉันกาแฟอยู่ ก็ปกตินะและอื่นๆอีกที่เป็นศีลในกุศลกรรมบทสิบ ส่วนข้อจิตใจนี่ไม่รู้ว่าท่านทำได้บริสุทธิ์ไหมหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าถ้ายังไม่ใช่พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ศีลทางจิตจะมีหลุดบ้างก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน มีโกรธขึ้นมา มีโลภะขึ้นมา ก็ต้องละทิ้ง ศีลทางจิตคือไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ให้มีนิวรณ์ เพราะทุกคนถ้ายังจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิตลอดเวลามันอาจมีโลภโกรธขึ้นมา เราต่างต้องสู้กับกิเลสของตนให้ชนะไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยม จะสมาทานหรือไม่สมาทานรักษาศีลแม้ไม่ได้สมาทานถือศีล แต่ถ้าทำผิดมันบาปทันทีนะ โกรธขึ้นมาก็บาปทีหนึ่ง น่าเบื่อกิเลสนะถ้าหนีเข้านิพพานมันง่ายคงไปหมดแล้ว แต่บารมียังไม่เต็มก็ต้องสร้างบำเพ็ญให้เต็มต่อไป เมตตาบารมียังไม่เต็มก็ต้องมั่นเจริญเมตตาบ่อยๆ น่าคิดนะคนเราไม่รู้ว่าตัวเองบารมีเต็มแล้วหรือยัง ขาดบารมีข้อไหนที่ยังไม่เต็ม ศีลบารมียังไม่เต็มก็ต้องบำเพ็ญอีก ศีลภายในคือศีลทางกายและวาจาและทางใจที่เป็นวิบากให้ผลกับจิตเป็นกุศลโดยตรง ที่ว่าเป็นวิบากให้กับจิตโดยตรงนี้ก็คือ คือถ้าทำก็มีวิบากคือสุคติภพ ถ้าผิดจะนำให้ไปเกิดในอบายภูมิ อันนี้เรียกว่าศีลภายใน ให้ลองไปดูในมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นฝ่ายสัมมามรรค มันจะมีศีลเกี่ยวกับข้อประพฤติทางกายที่บริสุทธิ์ เรียกว่า ศีลบริสุทธิ์ทางกาย การไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มเหล้า เป็นต้น ส่วนศีลบริสุทธิ์ทางวาจาก็คือ ไม่พูดเท็จพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ความจริงการพูดใส่ร้ายใส่ความการพูดว่าให้ใครในแบบจิตสัมปยุต ด้วยอกุศลเจตสิก มันผิดศีลทางวาจาทั้งนั้น อันนี้ก็คือเป็นศีลทางวาจานะ อันนี้จะเป็นวิบากนำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ แล้วเป็นฐานให้อบรมจิตขึ้นสู่สมาธิปัญญาต่อไปได้ และก็สุดท้ายเลยคือเป็นศีลทางจิตก็คือการไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้นที่จิต ระวังป้องกันไม่ให้จิตเกิดบาปอกุศลขึ้น เช่นไม่ปรุงแต่งความโกรธ แล้วก็ไม่ปรุงแต่งความโลภ ไม่ปรุงแต่งกระแสจิตที่สัมปยุต วิหิงสาอกุศลคือเบียดเบียน ไม่ปรุงแต่งกระแสจิตที่สัมปยุตกามพยาบาท แล้วก็ไม่ให้เกิดนิวรณ์ ไม่ให้เกิดอภิฌา ไม่ให้เกิดโทมัส เป็นต้น นี่ก็คือเป็นศีลจริงๆเรียกว่าเป็นศีลในองค์มรรค เป็นศีลแท้ที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ท่านสอน ให้ยึดตัวนี้เป็นหลัก ส่วนศีลภายนอก เรียกว่าเป็นศีลที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่ของหมู่สงฆ์คณะสงฆ์ เพื่อให้มีความเรียบร้อยอยู่ด้วยกันด้วยความสงบสุข และให้ศาสนามีการดำรงไปต่อได้ด้วยดี ถ้าหากฆราวาสเห็นว่าไม่สมควรตำหนิติเตียนเรียกว่าโลกวัตชะ ทำผิดแล้วชาวโลกติเตียน อย่างเช่น รับเงินในสมัยนี้ชาวบ้านเขาไม่ค่อยติเตียนพระแล้วเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ไม่ทุกหมู่บ้านนะ ฉันอาหารในเวลาวิการณ์ พรากของเขียว ตัดไม้ดายหญ้า มีจีวรล่วงอรุณ พวกนี้ถ้าผิดมันไม่ได้เป็นวิบากกรรมที่ส่งให้ไปเกิดในอบายภูมิโดยตรง เพราะอย่างนี้ฆราวาสที่เข้าวัดฟังธรรมกินข้าวเย็น ไปตัดไม้ทำฟืนตัดหญ้าตามทุงนา รับเงินเดือน จึงไม่มีวิบากนำไปเกิดในอบายภูมิ๔เพราะเหตุนี้ แต่พระนี่ถ้าคิดกังวลว่าไม่ควรแล้วไปทำ แล้วใจเกี่ยวเนื่องเป็นอกุศลอันนี้เป็นวิบากตายแล้วไปอบายภูิมิได้ ดังเช่นเรื่อง เอกปัตตะนาคราช ที่สมัยแต่ก่อนเป็นพระแล้วเผลอพรากของเขียวทำตระไครน้ำขาด แล้วไม่ได้ปลงอาบัติก่อนตายชะวะนะจิตยกอารมณ์เรื่องพรากตะไคร้น้ำขาดขึ้นมาสัมปยุตแล้วเศร้าหมอง ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นนาคเดรัจฉาน ไม่ใช่นาคเทวดาที่บรรลุอริยะธรรมได้ ---------------------------- เรื่องอธิกรณ์นะ ถ้ามีเรื่องอธิกรณ์เอาง่ายๆเลยสรุปเลยแล้วกันนะ ในการขับไล่ท่านเนี่ย ไม่รู้นะว่าพินิจพิจารณาจากดุลพินิจข้อไหน ถ้าเอาวินัยตรวจสอบจริงๆนะก็ให้พิจารณาใช้อธิกรณ์สมถะระงับ ระงับอธิกรณ์เรื่องนั้นๆที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ บอกกล่าวด้วยวาจาก่อน หรือส่งหนังสือแจ้งไปบอกก่อน ถึงเรื่องที่ทำว่าเป็นยังไงๆ เช่นเรื่องพระรับเงินมีพระอาจารย์รูปหนึ่งสวดปาฏิโมกได้รู้วินัยมากบอกใช้ วิธีกลบไว้ด้วยหญ้า ฟังแล้วควรให้จัดหาโยมคนวัดเป็นคนรับแทน ถ้าหาได้นะ เวลาจะใช้ค่อยบอกโยม กิจภายในหมู่สงฆ์มีหลายเรื่องมาก ทั้งการทำสังฆกรรม สวดปาฏิโมก ฯลฯ เกี่ยวกับบิณฑบาตก็มี ต้องนุ่งผ้าห่มผ้าให้พอดี ฉันอาหารในเวลาที่ควร ก็คือไม่เลยเที่ยง ทั้งที่แต่ก่อนในพระไตรปิฏกพระอุทายีฉันได้เช้า เที่ยง เย็น เลย แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าตัดมื้อเย็นออก และต่อมาก็ตัดมื้อเที่ยงออก ตอนนี้พระเลยได้ฉันแค่เวลาเช้าไปจนถึงก่อนเที่ยง ข้อห้ามเยอะนะ ไม่รับเงิน ไม่ปล่อยให้ผ้าจีวรล่วงอรุณ ถ้าไม่ได้อยู่กับตัว ห้ามตัดหญ้าดายหญ้า ห้ามขุดดิน ห้ามขึ้นต้นไม้ถ้าไม่จำเป็น ห้ามก่อไฟ ห้ามอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง เป็นต้น แล้วที่สำคัญก็คือห้ามเล่าเรียนคัมภีโลกายตนะ ก็คือเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับศาสต์ทางโลก เป็นคัมภีร์ศาสตร์อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับคำสอนที่เนื่องด้วยอบรมจิตให้เป็นศีลสมาธิปัญญา พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติเป็นทฺุกกฺฏหรือว่าทุกกฎ คำว่าทุกกฏฺไม่ได้หมายถึงทุกข้อนะ แต่มันเป็นภาษาบาลีแปลว่าทำไม่ดีนะ หนึ่งเลยก็คือรับซอง เงิน สิกขาบทข้อนี้เนี่ยก็เคยอ่านนะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำนี่คิดว่าข้อนี้น่ะเป็นข้อที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ถอนออกได้ เพราะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป อันนี้จริงๆอ่านมา ในเรื่องการรับเงินก็เห็นพระรูปหนึ่งรับนะรับสมัยพรรษา 1 บวชเสร็จ ในบ้านมีคนตายไปสวดอภิธรรม ซองเยอะมากๆ พอรับแล้วไม่ได้รับเอาไปทำเรื่องไม่ดีเลย ก็เห็นมีแต่เอาไปทำประโยชน์นะ เติมเงินสมัครเน็ตฟังเทศณ์ อ่านธรรมะ อื่นๆอีก จนมาพิจารณาว่าถ้าพระรูปนี้ไม่รับเงินและมาสมัครเน็ตนี่จะรู้ธรรมะและส่งต่อยอดจนถึงได้อ่านคัมภีร์พระไตรปิฏกในแอพ etipitaka ใน play store ไหมนะ จะได้ฟังเทศณ์ไม่นะ และค้นหาข้อธรรมที่สงสัยไม่นะ ได้คำตอบว่า น่าจะยาก คือถ้าบวชในวัดที่เคร่งวินัยข้อห้ามรับเงิน ก็คงไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตมือถือและอาจจะไม่ได้เล่นโทรศัพท์เลย ส่วนปู่หนูแต่ก่อนที่ไปวัดท่านก็ถวายซองให้ฝากกับศิษย์ไว้ก็เอาไปทำประโยชน์นะ ไม่ได้เอาไปทำเรื่องไม่ดี ถ้าพูดถึงเรื่องพระรับเงินมีหลายวัดนะมันจะยาวก็ไม่ขอพูดมาก แต่คิดว่าการให้โยมรับแทนแล้วเวลาจะใช้ค่อยบอก มันยุงยากยุนะ มันไม่เหมือนรับไว้เองเวลาจะใช้ก็ใช้ได้เลย แต่ภายหลังก็จำเป็นต้องทำตามสิกขาบท พระรูปนนี้เวลาใช้เงินก็มีแต่ทำประโยชน์ สร้างบุญ สร้างโรงพยาบาล ทำcdธรรมแจกตามที่ต่างๆหมดไปหลายหมื่นเลยนะ จะว่าบาปคงไม่ถูกเพราะจิตคนละดวงกับอกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิตเจตสิก สำหรับปู่หนูถ้าท่านใช้เงินก็คงจะเป็นในการทำประโยชน์สร้างบารมี เรื่องฆ่าสัตว์ไม่เคยเห็น เรืีองขโมยก็ยังไม่เคยเห็น คือศีล๕ไม่เคยเห็นท่านผิด ศีล8ก็เหมือนกัน ส่วนศีลข้ออื่นๆไม่รู้ไม่ได้อยู่กับท่านตลอด อันที่เป็นบาปท่านคงไม่ทำ ท่านก็มีแต่ไปช่วยคนนะ ไปช่วยคนช่วยยังไงรู้ไหมเขานิมนต์ให้ไปทำพิธีนู่นนี่นั่นท่านก็ไป และก็ไปในธุระเกี่ยวกับธรรมของท่าน ก็ไม่อยากพูดมากนะ ทั้งเรื่องอสุภะพิจารณากายท่านก็บอกนะ เหมือนว่าท่านเอาทั้งธัมบันลุบันดาลและกรรมฐานธรรมในพระไตรปิฏก ขอสรุปว่าปู่หนูอยู่สายขาว พระองค์ไหนโดนของหรือฆราวาสคนไหนโดนของผีเข้าเป็นต้นไปหาท่านได้ แต่ก่อนสมัยพุทธกาลก็มีนะพระถูกทำของใส่ถูกทำยาแฝดใส่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกวิธีแก้ว่าให้ไปเอาดินใต้ผานไถที่เขาไถดิน นำมากิน ก็ทำตามและก็หายจากเสน่ยาแฝดนั้น และก็ตอนนี้ก็มีคนตำหนิติเตียนเรื่องนี่มาก ที่ว่าสื่อวิญญาณ อวดอุตริความจริงแล้วไม่ควรใช้คำว่าสื่อวิญญาณนะ รู้จักไหมคำว่าวิญญาณ วิญญาณในความหมายของพุทธศาสนาในจริงๆมันคือวิญญาณธาตุ ก็คือธาตุรู้ หรือว่าธรรมชาติที่รู้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ความหมายของวิญญาณในพุทธศาสนาแบบนี้ ส่วนความหมายที่คนเข้าใจกันอยู่ในทุกวันนี้ไม่ทุกคนนะ "วิญญาณมันคือภาวะอย่างหนึ่งหรือว่าพลังงานอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ออกจากร่างของคนตาย อันนี้ใช่ไหมที่เข้าใจกันว่าเป็นวิญญาณ แต่ในความหมายทางพุทธศาสนาเนี่ยเขาไม่ได้เรียกวิญญาณนะ เขาเรียกว่าเปรต เปตะซึ่งแปลว่าผู้ละไปจากโลกนี้แล้ว เรื่องอวดอุตริ ทำท่าที ร้อง หมุนตัว 70 กว่ารอบ ทำท่าทางต่างๆนั้น มันไม่ใช่อวดอุตริที่ไม่มีในตนตามพระวินัยปิฏกว่าไว้นะ คนที่เคยถูกผีสิงร่าง หรือเทพลงประทับ หรือถูกผีอัมบังคับร่างกายไม่ได้จะพอเข้าใจว่ามันเป็นยังไง ดวงธรรมประทับร่าง นั้นคือจิตของเทพเทวดาลงมาแทรกในร่างกายท่าน แทรกแบบครึ่ง จะทำให้รู้สึกตัวแต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้ ถ้าแทรกแบบเต็มตัวเลยจะไม่รับรู้ว่าตัวเองทำอะไรจับจิตของเทพที่มาประทับไม่ได้เลย ความจริงท่านจะปิดไว้ไม่ให้จิตเทพภายนอกมาแทรกก็ได้มีวิธี แต่นี่ท่านเปิดไว้เพราะว่ามันมีประโยชน์บางอย่างในการทำพิธี เช่น เทพที่ฤทธิ์มากมาช่วยปลุกเสขวัตถุ นาคที่ฤทธิ์มากมาช่วยปลุกเสก เป็นต้น ที่ว่าเรื่องดวงธรรมมาเข้าร่างประทับร่างหรือที่เข้าใจเป็นว่าวิญญาณมาเข้าร่างมันไม่ใช่ มันคือจิตเทพเทวดามาประทับแทรกเข้าร่างทำพิธีในขณะนั้น (จบช่วงที่2)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น