วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Imported post: Facebook Post: 2020-06-25T00:41:07

1 ได้ยินพระเล่าว่าเรื่องนี้มันเป็นกฏแห่งกรรมที่จะเกิดขึ้นกับปู่หนู นี่ก็แสดงว่าแก้ไขให้อ่อนกำลังลงได้เท่านี้ แล้ว พูดถึงนักข่าวก็สงสารนะส่วนที่พูดจาเป็นอกุศลแบบนั้นคงหนีไม่พ้น แต่ก็มีกุศลกรรมด้วยนะตามที่ฟัง เพราะข่าวนี้ เห็นนะว่ามีทั้งวจีกรรมที่เป็นบุญกุศล อาชีพนักข่าวเป็นบุญเหมือนกันนะเพราะเป็นอาชีพที่สุจริตไม่ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหก ดื่มเหล้า แต่ระวังบิดเบียนข่าวหรือสร้างข่าวพูดข่าวเพื่อทำลายคนอื่น และให้คนดีเขาแตกสามามัคคีกัน มันจะเป็น ผรุสาวาจา ปิสุนะวาจา ถ้าพูดถึงต้นเหตุปัจจัยมาจากไหนมาจาก คนลงพื้นที่ไปทำข่าว คนเขียนข่าว > คนตัดต่อคลิปที่ออกแนวให้นักประกาศข่าวเข้าใจว่าเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำศาสตร์มืด >คนประกาศข่าว> ก็พูดทำให้คนเข้าใจว่าปู่หนูทำอะไรที่เป็นพระที่เลวทรามทำบาปกรรม ทั้งๆที่ไม่ใช่อย่างนั้น ก็พิจารณานะว่า เขาเหล่านี้ไปทำกรรมอะไรมาจึงต้องได้ทำหน้าที่นี้ ทำให้คนดูเกิดมิจฉาทิฏฐิเข้าใจผิดว่าเป็นพระแนวเลวแบบนี้ ก็คงเป็นกรรมใหม่ที่สมัครเข้าไป พูดถึงการทำงานสายนี้ มันมีนะที่จะเป็นบาป และเป็นบุญ คนเขียนเจตนายังไงตั้งใจให้พินาศไหม ถ้าตั้งใจก็บาป คนตัดต่อเจตนายังไงตั้งใจให้พินาศไหม คนพูดออกทีวีเจตนายังไง มันพ่วงกันไปหมดนะ เป็นพหุลกรรมส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จนไปถึงคนดูก็เข้าใจผิดแล้วคอมเม้นในแนวอกุศล ส่วนคนที่เห็นว่าประพฤติไม่ควรและไม่ใช่การทำบาปแล้วอยู่เฉยๆก็รอดตัวไป นึกถึงเรื่องหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กับศิษย์อยู่ในป่า แล้วมีชาวบ้านเขาเข้าใจผิดคิดว่าท่านกับศิษย์เป็นเสือเย็น คือเป็นเสือร้ายแปลงร่างเป็นมนุษย์จะกินคน เขาก็ไปเล่ากันต่อเป็นวจีกรรม มโนกรรม หลวงปู่มั่นทั้งที่ท่านอยู่ที่นั้นกับศิษย์ก็ลำบากเรื่องอาหารบิณฑบาตรอยู่แล้ว ก็ยังไม่ย้ายไปที่อื่นเพราะถ้าท่านไปจะไม่ได้แก้ความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิของพวกชาวบ้านที่เข้าใจว่าท่านกับศิษย์เป็นสภาวะอะไรที่ไม่ดีอย่างร้ายแรงเป็นเสือเย็นดุร้ายจะกินชาวบ้าน ถ้าท่านไปเวลาตายชาวบ้านเหล่านี้จะไปเกิดเป็นเสือ ท่านก็เลนอยู่ต่อหาอุบายช่วยแก้ไขให้เข้าใจท่านใหม่ว่าเป็นผู้มีธรรมมีศีลที่บริสุทธิ์เป็นพระ ต่อมาท่านก็ทำให้ชาวบ้านเข้าใจท่านใหม่ ไปหาอ่านเอาเรื่องเต็มๆนะยาวมาก ต่อไปถ้ามีข่าวแนวเกี่ยวกับคนรักษาศีลแต่ประพฤติที่ไม่เป็นบาป แต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรก็ให้ใช้ใจที่เป็นกลางๆพูดไปเ้วยความที่คิดว่าถูกต้องตามธรรมตรงๆว่าไม่ควรอย่างนั้นอย่างนี้ นึกแล้วทำไมคณะสงฆ์ไม่ส่งหนังสือเอกสารแจ้งไปวัดถ้ำจารย์ครูภิหินต่างก่อน ว่าทำไม่เหมาะอย่างนั้นอย่างนี้นะ และต่อด้วยเดินทางขึ้นไปด้วยกันเป็นหมู่สงฆ์สักถามถึงเหตุผลก่อน ถ้าเป็นสิ่งไม่ควรก็ให้ละแล้วสวดประกาศท่ามกลางสงฆ์เลย นี่ขับให้ออกจากจังหวัดมุกดาหารเลย เคยได้ยินแต่ในพระไตรปิฏกผิดสังฆาทิเสสข้อนั้นแค่ขับออกจากวัดนั้น ปู่หนูก็ไม่ได้ปาราชิกสักข้อเลย สังฆาทิเสสสักข้อก็ไม่ใช่ เคยเห็นแต่สิกขาบท สังฆาทิเสสข้อนั้นที่พระพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพร้อมกับพระอีกๆหลายรูป ไปบอกให้พระที่ประพฤติไม่เหมาะสม ให้เลิกประพฤติและขับไล่ออกไปจากวัดนั้น แต่ถ้าดูในอรรถกถาแล้ว ถ้าประจบคฤหัส จะต้องบอกแล้วสวดกรรมวาจาให้เลิกถอนการประพฤตินั้น ถ้าไม่เลิกจะปรับอาบัติไปเรื่อยๆ จนถึงสังฆาทิเสส ถ้าติดสังฆาทิเสทแล้วก็ต้องเข้าปริวาสกรรม ขอมานัตตะ ส่วนเรื่องปาจิตตีย์ข้อรับเงินมันมีหลายวัดนะปัจจุบัน แต่รับแล้วเอาไปทำประโยชน์ ความจริงคาถาอาคมเรียนไว้ป้องกันตัวและช่วยคนนิดหน่อยก็ดีนะ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติธรรมไป และไม่ผิดสิกขาบทปาราชิกหรือสังฆาทิเสสเลย แต่มันอาจจะส่อไปเข้าเดรัจฉานวิชชาถ้าทำมาก แยกศัพออกมา [ ติรฉานัง = เดรัจฉาน แปลว่าไปแบบทางขวาง ไปแนวขวาง ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือสัตว์หมาแมวงูมันจะไปแบบขวางๆต่อพื้นโลก ไม่ตรงๆเหยียดขึ้นเหมือนมนุษย์ที่เดินไปแบบตรงๆต่อพื้นโลกไม่ไปแบบขวางๆเหมือนสัตว์ประมาณนี้พอเข้าใจไหม) [วิชา = ศาตร์วิชา แปลว่าอะไรอันนี้ง่ายมากแปลแล้ว] ที่จริงความหมายคือตั้งสำนักเป็นเดรัจฉานวิชาเต็มๆเลย เป็นหมองู หมอแมลงป่อง หมอผีทำกระเทยให้เป็นชาย ทำนายดวงดาว เยอะแยะเลยไปหาอ่านเอง แต่ส่วนสำคัญเลยก็คือถ้าเล่นคาถาอาคมแล้วไม่เจริญภาวนาเลย เรียกว่าเป็นเดรัจฉานวิชาแท้จริงๆ ก็จะไม่ต่างกับคนที่เกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศานาและไม่รู้จักเจริญภาวนาอบรมจิตให้บรรลุอริยธรรมเลย พระพุทธเจ้าจึงห้ามไว้อย่าไปสนใจนัก แต่ถ้าเราอ่านเกร็ดประวัติครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น เช่นหลวงปู่ตื้อตอนที่ท่านยังไม่บรรลุอรหันต์ ช่วงที่ท่านออกธุดงท่านจะมีวิชาอาคมไว้ป้องกันตัวจากเหล่าอมนุษย์และพวกอื่นๆ ท่านก็ปลุกเสกว่านออกไปนะ แล้วท่านก็นั่งภาวนาของท่านต่อ ถ้าถามว่าผิดสิกขาบทไหมก็ไม่ผิด ถามว่าเรียนแล้วป้องกันตัวและช่วยคนอื่นนิดหน่อย ไม่ได้ไปตั้งสำนักช่วยคนอย่างเดียวจนไม่ปฏิบัติภาวนาอะไรเลย มันเป็นสิ่งที่พอรับได้นะถ้าเป็นมุมมองนักปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าทุกคนไหม และสุดๆเลยคือองค์หลวงปู่ตื้อท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยการภาวนาจนปัญญาแก่รอบตัดสังโยชน์สิบประการขาด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้สำเร็จเพราะวิชาอาคมหรอกนะ แต่วิชาอาคมก็มีส่วนดีนะ นึกถึงหลวงปู่แหวน สุจิณโน กับพระเพื่อนที่ไปธุดงด้วยกันในป่า สมัยที่ท่านยังไม่บรรลุธรรม ทั้งที่ท่านก็ศีลบริสุทธิ์ ปฏิบัติภาวนาเป็น ด้วย ท่านถูกผีเข้าสิง แต่ดีหน่อยพระเพื่อนหาอุบายวิธีไล่ออกไปได้ ด้วยใช้ดนไฟจี้ให้กลัว ผีจึงออก ถ้าผีไม่ออกเลยองค์หลวงปู่แหวนคงไม่ได้ปฏิบัติภาวนาและคงไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ นี่ถ้าเพื่อนพระท่านมีคาถาวิชาอาคมไล่ผีออกไปโดยใช้คาถาหรือของขลังบางอย่าง ก็คงง่ายเลยเช่น สายสินหลวงปู่องค์หนึ่งที่โคราช ที่ผีต่างกลัวกันมาก อย่าไปติเตียนท่านนะจิตท่านไม่ธรรมดา พูดมาแล้วก็สงสารนักข่าวด้วย และสงสารแฟนคลับของช่องนั้นด้วย ที่คอมเม้นแนวอกุศล นึกถึงวัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่างแล้ว แต่ก่อนเมื่อหลายปีแล้วก็สพายบาตร ย่าม เต้น ขึ้นรถไปวัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่าง วัดนี้จะอยู่บนภูเขาระดับกลาง ไม่อยู่สูงมาก รวมช่วงที่อยู่ในวัดก็เกือบอาทิตย์หนึ่ง ไปกางเต้นบนโขดหินนั่งทำสมาธิ ไปพักอยู่วัดถ้ำจารย์ครูภูหินต่างอยู่หลายวัน ไปสองครั้ง วัตรปฏิบัติภายในวัดเท่าที่ทราบก็มีปกติๆทั่วๆไปนะ มีทำวัตรเช้าสวดมนต์ตามหนังสือสวดมนต์ภาษาบาลี ทั้งบทอุทิศบุญ และบทอื่นๆ แต่พอสวดเสร็จแล้ว พระกับลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสจะสวดมนตร์ธรรมบันลุบรรลดาลกันต่อ เป็นภาษาที่ฟังแล้วไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกัน ทั้งพระทั้งโยมสวดได้แต่เราสวดไม่ได้เพราะไม่ได้แต่งขันธ์เรียนกับหลวงปู่หนู แล้วต่อมาพอสวดเสร็จ ก็ได้ไปจัดเตรียมที่ฉัน วางขาบาตร หากระโถน หาน้ำขวดมาตั้งรอไว้ฉัน แล้วก็ขึ้นรถโยมพาลงไปเดินบิณฑบาตรในหมู่บ้านโคกหินกองข้างล่าง เวลาโยมใส่บาตรก็ปกตินะ พระก็ให้พรย่อๆ อภิวทานาสี ลิดสะนิดจัง วุฒฑาปะจายิโนจัตตาโร ธัมมาวัตทันติ อายุวัณโณสุขังพะลัง ให้พรเสร็จก็เดินบิณฑบาตรไปต่อเรื่อยๆ จนหมดที่รับบิณฑบาตร เสร็จแล้วก็ขึ้นรถกะบะกลับขึ้นมาบนศาลา ก็ถ่ายบาตรเอากับข้าวเอาอาหารออกจากบาตร ไปใส่ไว้ที่กล้องข้าวใหญ่ๆส่วนพวกกับก็ไว้ในถาดใหญ่ จากนั้นก็กลับไปกุฏิตนจะเข้าห้องน้ำสงน้ำอะไรก็ตามสบายแล้วแต่เลยในช่วงนี้ และระหว่างนี้รอโยมที่ตามมาถวายที่วัดอีก ก็จะมีโยมผู้หญิงอุปฐากพระในวัดทำอาหารเสริมเพิ่มเติมจากที่ได้จากบิณฑบาตร ก็เหมือนที่วัดอื่นนะ ก็รอเวลาฉันภัตตาอาหาร พอถึงเวลาแล้วก็มาที่ศาลา ล้างเท้าขึ้นบนศาลากราบพระประธานนั่งบนผ้านิสีทนะผ้ารองนั่ง แล้วก็กล่าวนำให้ญาตโยมสมาทานศีล และกล่าวคำถวายอาหาร เสร็จแล้วก็สวดสัพพีและอื่นๆอีกต่อด้วยอิมินากวาดน้ำ และก็ลงมือฉันอาหารในบาตร จะใช้ซ้อนหรือไม่ใช้ก็แล้วแต่ ฉันเสร็จก็เก็บกระโถนและเอาบาตรไปล้าง เซ็ดบาตรฯลฯ จากนั้นก็กลับกุฏิใครกุฏิมันเอาบาตรไปตากแดด และเก็บบาตร เสร็จ ก็ออกมาพูดคุยกันกับหมู่พระที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ พระบางองค์ก็กำลังแกะสลักไม้เพื่อทำของขลัง .ก็คุยสนทนาด้วยเรื่องทั่วๆไป ก็กลับขึ้นไปบนภูเข้าเต้นนั่งสมาธิ ฟังเทศณ์ในโทรศัพท์ต่อ ตกค่ำก็มีการสวดมนต์ทำวัตร์เย็นเหมือนที่วัดอื่นๆสวด สวดบทนั่นบทนี้ในหนังสือมีหลายบทเลย แต่สุดท้ายบทที่สวดจะเป็นสวดธัมบันลุบันดาลกัน ส่วนเราก็นั่งฟัง คือถ้าคนที่ไม่ได้แต่งขันธ์ครูเรียนมนต์นี้จะสวดไม่ได้เลย เราก็ได้แต่ฟังว่านี่มันภาษาอะไรนะบาลีหรือเขมรหรือภาษาขอมก็ไม่อาจทราบได้ว่าคือภาษาอะไร พอเสร็จแล้วก็ กลับกุฏิใครกุฏิมันแยกย้าย ส่วนเราขึ้นไปบนโขดหินนั่งสมาธิ อุทิศบุญ แล้วจากนั้นก็ฟังเทศณ์ แล้วก็จำวัดนอน ตื่นมาอีกวัน ก็จะคล้ายๆแบบนี้วัตรปฏิบัติภายในวัด ก็ป็นบางวันก็เห็นพระรับแขกคือมีโยมที่มาให้ดูนั่นดูนี่ แต่งขันธ์๕มา ท่านก็ดูให้หลับตาสักพักแล้วก็พูดๆๆ ก็คงเป็นการดูดวง อันนี้ครูบากลิ้งนะเป็นศิษย์หลวงปู่ที่ดู ไม่ใช่ปู่หนู ที่มาครั้งแรกๆเลยก็มีโยมมาขอเลขกับปู่หนู มาเป็น 10 กว่าคนเลย ก็ได้นั่งฟังอยู่ในนั้นด้วย ท่านก็พูดๆออกมาเรื่องอื่นๆด้วยๆเรื่องที่จำได้เลยก็คือ ท่านพูดประมาณว่า""ถ้าเรามองดินที่ใกล้ๆเท้าที่เหยียบ สายตาเราก็จะเห็นดินสุดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเรายิ่งมองระยะไกลออกไปเท่าไร่ เราจะเห็นสิ่งต่างๆเยอะแยะเลย" (สิ่งต่างๆนั้นก็คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้ก่อกิเลส ที่จะล่อให้ใจเราเป็นทุกข์) พอพูดธรรมะเปรยๆเสร็จ ต่อมา ก็บอกข้างล่างข้างบน โยมก็จดๆไว้ ต่อมามันก็ออกเป๊ะๆนะ2ตัว เท่าที่รู้ก็คือทั้งใบ้ให้ตีความเอง และบอกตรงๆเลย ปู่หนูจะเป็นแบบว่าเวลาท่านพูดจะมีพูดทีเล่นทีจริง เห็นข่าวแล้ว "เรื่องสั่งอาหารทางไลน์ คิดว่ามันไม่จริงหรอกที่ท่านสั่งอาหารทางไลน์ เพราะมีโยมอุปฐากวัดทำอาหารที่อยู่ในโรงครัวอยู่ โยมอุปฐากแต่ละคนนิสัยดีจิตใจนะ พูดจาดีใจดี บางคนก็เป็นเจ้าของปั้มน้ำมัน เรื่องขาดอาหารบิณฑบาตรนี่น่าจะยาก เพราะแค่ลงไปเดินบิณฑบาตรแล้วขึ้นมาก็ต้องมีข้าวอาหารผลไม้ติดมาบ้างแหละ ข้าวก็เหลือตั้งเยอะที่โยมใส่บาตรที่เอามารวมในกล้องข้าวใหญ่ๆเดียวกัน ถ้าไปดูคลิบเต็มๆที่เพื่อนปู่หนูให้สัมภาษ์ ฟังดูดีๆมันคือพูดทีเล่นนะ เพื่อนปู่หนูก็ยังบอกเลยอาจเป็นพูดที่เล่น และก็เรื่องที่เพื่อนปู่หนูพูดล้วนพูดแต่เรื่องสมัยเก่าหลายปีแล้วทั้งนั้น เรื่องภายในใจรู้หรือไม่ก็ไม่ทราบ ว่าท่านก็มีกรรมฐานอยู่เหมือนกัน ลูกศิษย์ภายในวัดทั้งที่เป็นพระและนุ่งขาว ต่างรู้เรื่องภายในว่ามีอะไร ขนาดเราเองมาจากที่อื่นเห็นและประสบกับตัวเองเลยว่า ปู่หนูนี่มีอะไรที่พิเศษกว่าท่านอื่นๆ เท่าที่เคยประสบคือเรื่องการให้เลข ที่คนมาขอเพิงขอให้ท่านบอกหวย คนที่ถูกเลขเพราะปู่หนูนี่เยอะมาก พูดจาปากต่อปากข้ามจังหวัด ก็เลยมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะเพราะอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือเพราะที่ท่านไปโผดผายช่วยเหลือทั้งเรื่องแก้มนต์ดำ แก้ของที่มันเคยเข้าตัวเขา ทำพิธีนู้นนี่นั้นในการช่วยเขา แ้วลเขาเกิดความศรัทธาจึงมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะมาก ทั้งรถคันนั้นก็ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสซื้อถวายให้ เรื่องอดอยากไม่มีอะไรฉันเป็นไปไม่ได้หรอก เห็นนักข่าวตัดต่อออกเอาเฉพาะให้เข้าใจว่าสั่งทางไลน์ เห็นแล้วทำให้คนเข้าใจผิดนะ จะบาปไม่บาปก็อยู่ที่ว่าจิตคิดยังไงจึงตัดเอาเฉพาะแค่นั้น ต่อมาหลายปีก็คิดๆอยู่นะว่าเราจะเอาธัมบันลุบันดาลไหมนะ จะได้สัมผัสอะไรแปลกๆภายนอกได้เร็วๆ โดยไม่ต้องทำสมาธิถึงฌานแล้วทะลุอภิญญา เพราะอภิญญาตาทิพย์หูทิพย์ก็ยังไม่มี ถ้าสวดธัมบันลุบันดาลแล้วจะได้สัมผัสเรื่องแปลกๆของคนอื่นโดยไม่ต้องมีอภิญญาเลยน่าสนนะ ก็คิดแบบนี้ในสมัยนั้น วิชาธรรมบันลุบรรดาลนี่มันมีผลทำให้มีความสามารถที่เหนือกว่าคนทั่วไป แต่ต้องสวดมนต์บันลุบันดาล ลูกศิษย์ท่านบางคนได้แล้วก็สัมผัสอะไรภายนอกได้ ก็อัศจรรย์อยู่ว่ามันเริ่มรู้สิ่งแปลกๆภายนอกได้ยังไง คนนี้ๆเป็นคนยังไงมันจะสัมผัสได้ แต่ต่อมาห่างหายไปไม่ค่อยได้สวด ก็สัมผัสอะไรไม่ได้ อันนี้คือเขาเล่าให้ฟัง มีหลายองค์นะลูกศิษย์ปู่หนูที่ได้วิชชาแล้ว สามารถทำนู้นนี่นั่นได้ ทั้งตั้งศาลพระภูมิ แก้มนต์ดำ แก้คุณไสย์ ตรวจกรรม ปลุกเสกของขลังให้มีอำนาจ เรื่องของขลังถ้ามีไว้กันพวกผีก็ไม่เสียหายนะ (จบช่วง1)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น