วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

มารดาของ"หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร"เมื่อ15กรกฎาคม2556นับเป็นวันมหามงคลเนื่องจากโลกได้รับทราบว่ามีพระอรหันต์ได้บังเกิดขึ้นในโลกอีก๑องค์เพื่อเป็นสักขีพยานแก่ชาวโลกก็คืออัฐิได้กลายเป็นพระธาตุทันทีหลักจากการเผาเสร็จในวันจันทร์ที่15กรกฎาคม2556หลวงแม่ชีอุ่น.ไร่พิมาย.ซึ่งเป็นโยมมารดาของหลวงพ่อฉลวย.อาภาธโร.พระผู้พ้นแล้วแห่งวัดโคกปราสาทตำบลหลุ่งตะเคียนอำเภอห้วยแถลงจังหวัดนครราชสีมาหลวงแม่ชีท่านมีบุญมากมีอายุครบ100ปีพอดีท่านรักษาสัญญาไว้กับหลวงพ่อว่าท่านจะอยู่100ปีจึงจะระสังขารแม้อายุของท่านจะมากขนาดนี้แต่ตลอดเวลาท่านยังมีสติสัมปชัญญะดีมากอันเป็นผมมาจากการเจริญภาวนาของท่านมายาวนานและผลบุญที่หลวงพ่อผู้บุตรชายได้เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วอีกทั้งบรรดาลูกหลานท่านอื่นๆต่างก็เป็นนักภาวนาจึงได้เกื้อกูลหนุนส่งบุญซึ่งกันและกันอัศจรรย์อัฐิได้กลายเป็นพระธาตุทันทีท่านทั้งหลายสิ่งที่สร้างความอัศจรรย์และความปิติแก่ทุกคนก็คืออัฐิของหลวงแม่ได้กลายเป็นพระอรหันตธาตุทันทีหลังจากการเผาเสร็จและหลังจากการบรรลุธรรมในวินาทีสุดท้ายเพียงสองวันซึ่งความจริงแล้วท่านได้ฟอกธาตุขันธ์มานานแล้วท่านบอกลูกหลานว่าท่านเห็นใจของท่านใสมานานแล้วหลวงพ่อก็บอกเช่นกันว่าหลวงแม่มีญาณรู้เห็นมานานแล้วกิเลสก็เบาบางที่สุดแล้วเพียงแต่ไม่มีปัญญาในการตัดกิเลสให้ขาดสะบั้นเท่านั้นจึงต้องรอเวลาจนถึงในวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตดังนั้นอัฐิของท่านจึงได้กลายเป็นพระธาตุทันทีเพราะการฟอกธาตุขันธ์มานานแล้วนั้นเองหลวงพ่อฉลวย อาภาธโร(บุตรชาย)แสดงธรรมโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้ายวันเสาร์ที่13กรกฎาคม2556หลังจากหลวงแม่อุ่นผู้เป็นโยมมารดาของหลวงพ่อผู้ติดดินแห่งวัดโคกปราสาทท่านได้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหมดแรงเป็นเวลา2วันเมื่อญาติได้นำท่านกลับมาที่วัดตามความประสงค์ของท่านไม่กี่นาทีหลังจากได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อจบลงท่านก็ได้ระสังขารด้วยอาการสงบในเวลา17.30น.ธรรมที่หลวงพ่อแสดงโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ"การละธาตุขันธ์ของพระอรหันต์เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน"จึงเป็นหน้าที่สุดท้ายของหลวงพ่อที่ได้แสดงออกต่อมารดาผู้มีพระคุณอย่างสมบูรณ์ที่สุดธรรมที่หลวงพ่อแสดงออกมานั้นมีใจความสรุปได้ว่าเมื่อธาตุขันธ์จะสิ้นลมมีอาการหมดแรงขยับกายไม่ได้ลมค่อยๆดับวิญญาณจะออกจากร่างมายืนพิจารณากายแล้วจึงทำลายขันธ์ห้ารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณให้แตกสลายไปวิญญาณเป็นตัวสุดท้ายที่ต้องทำลายในวินาทีสุดท้ายหากทำลายวิญญาณไม่ได้ก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกพระอรหันต์ท่านจึงทำลายขันธ์ห้าได้ก็ต่อเมื่อละสังขารเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสู่นิพพานได้หลวงพ่อเล่าให้ฟังต่อมาว่าผู้ที่กำลังจะตายนั้นวิญญาณจะเข้าๆออกๆคือเวลาจะหมดลมหายใจแต่ละช่วงวิญญาณก็จะออกแต่พอมีลมหายใจกลับมาวิญญาณก็จะเข้าร่างกลับมาเพราะร่างกายยังไม่หมดลมหายใจส่วนหลวงแม่นั้นเมื่อท่านถูกนำกลับมาถึงวัดและได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อแล้วจิตของท่านเข้าสู่สภาวะอันสงบจิตออกจากร่างมายืนพิจารณากายสังขารของตัวเองจนเกิดเบื่อหน่ายขณะเดียวกันหลวงแม่ท่านก็มีใจจดจ่อในธรรมพร้อมกับพิจารณาตามหลวงพ่อแล้วจึงดับรูปขันธ์เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์ตามลำดับเมื่อดับได้แล้วจะเหลือแต่"รู้"อยู่ผู้"รู้"เห็นอวิชชาจึงทำลายอวิชชาจนขาดสะบั้นความสว่างไสวบังเกิดขึ้นภพชาติได้สิ้นสุดลงพร้อมกับเข้าสู่แดนพระนิพพานในทันทีท่านบรรลุธรรมและละสังขารในเวลาห่างกันเพียงเศษเสี้ยววินาทีเวลาประมาณ17.30น.ด้วยวัย100ปีนับเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตและเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งการสิ้นภพชาติอันยาวนานของท่าน..นำมาพิมพ์ลงกลุ่มประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์สายกรรมฐานที่ยังครองธาตุขันอยู่ในปัจจุบันโดย

มารดาของ"หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร"
เมื่อ15กรกฎาคม2556นับเป็นวันมหามงคลเนื่องจากโลก
ได้รับทราบว่ามีพระอรหันต์ได้บังเกิดขึ้นในโลกอีก๑องค์เพื่อเ
ป็นสักขีพยานแก่ชาวโลกก็คืออัฐิได้กลายเป็นพระธ
าตุทันทีหลักจากการเผาเสร็จในวันจันทร์ที่15กรกฎาคม
2556หลวงแม่ชีอุ่น.ไร่พิมาย.ซึ่งเป็นโยมมาร
ดาของหลวงพ่อฉลวย.อาภาธโร.พระผู้พ้นแล้วแห่งวัด
โคกปราสาทตำบลหลุ่งตะเคียนอำเภอห้วยแถลงจังหวัด
นครราชสีมาหลวงแม่ชีท่านมีบุญมากมีอายุครบ100ปี
พอดีท่านรักษาสัญญาไว้กับหลวงพ่อว่าท่านจะอยู่100ปี
จึงจะระสังขารแม้อายุของท่านจะมากขนาดนี้แต
่ตลอดเวลาท่านยังมีสติสัมปชัญญะดีมากอันเป็นผมมา
จากการเจริญภาวนาของท่านมายาวนาน
และผลบุญที่หลวงพ่อผู้บุตรชายได้เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วอีกทั้ง
บรรดาลูกหลานท่านอื่นๆต่างก็เป็นนักภาวนาจึงได้
เกื้อกูลหนุนส่งบุญซึ่งกันและกัน
อัศจรรย์อัฐิได้กลายเป็นพระธาตุทันที
ท่านทั้งหลายสิ่งที่สร้างความอัศจรรย์และความปิ
ติแก่ทุกคนก็คืออัฐิของหลวงแม่ได้กลายเป็นพระอร
หันตธาตุทันทีหลังจากการเผาเสร็จและหลังจากการบ
รรลุธรรมในวินาทีสุดท้ายเพียงสองวันซึ่งความจริงแล้วท่าน
ได้ฟอกธาตุขันธ์มานานแล้วท่านบอกลูกหล
านว่าท่านเห็นใจของท่านใสมานานแล้วหลวงพ่อก็บอก
เช่นกันว่าหลวงแม่มีญาณรู้เห็นมานานแล้วกิเลสก็
เบาบางที่สุดแล้วเพียงแต่ไม่มีปัญญาในการตัดกิเลส
ให้ขาดสะบั้นเท่านั้นจึงต้องรอเวลาจนถึงในวิน
าทีสุดท้ายแห่งชีวิตดังนั้นอัฐิของท่านจึงได้กลาย
เป็นพระธาตุทันทีเพราะการฟอกธาตุขันธ์มานานแล้ว
นั้นเอง
หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร(บุตรชาย)
แสดงธรรมโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
วันเสาร์ที่13กรกฎาคม2556หลังจากหลวงแม่อุ่นผู้
เป็นโยมมารดาของหลวงพ่อผู้ติดดินแห่งวัดโคกปราส
าทท่านได้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหมดแรง
เป็นเวลา2วันเมื่อญาติได้นำท่านกลับมาที่วัดตาม
ความประสงค์ของท่านไม่กี่นาทีหลังจากได้ฟังธรรม
จากหลวงพ่อจบลงท่านก็ได้ระสังขารด้วยอาการสงบ
ในเวลา17.30น.ธรรมที่หลวงพ่อแสดงโปรดมารดา
เป็นครั้งสุดท้ายก็คือ"การละธาตุขันธ์ของพระอรหันต์เพื่อ
เข้าสู่พระนิพพาน"จึงเป็นหน้าที่สุดท้ายของหลวงพ่อที่
ได้แสดงออกต่อมารดาผู้มีพระคุณอย่างสมบูรณ์ที่ส
ุดธรรมที่หลวงพ่อแสดงออกมานั้นมีใจความสรุปได้ว่า
เมื่อธาตุขันธ์จะสิ้นลมมีอาการหมดแรงขยับกายไม่
ได้ลมค่อยๆดับวิญญาณจะออกจากร่า
งมายืนพิจารณากายแล้วจึงทำลายขันธ์ห้ารูปเวทนาส
ัญญาสังขารวิญญาณให้แตกสลายไปวิญญาณเป็นตัวสุดท
้ายที่ต้องทำลายในวินาทีสุดท้าย
หากทำลายวิญญาณไม่ได้ก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอ
ีกพระอรหันต์ท่านจึงทำลายขันธ์ห้าได้ก็ต่อเมื่อละสังขาร
เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสู่นิพพานได้หลวงพ่อเล่าให้ฟัง
ต่อมาว่าผู้ที่กำลังจะตายนั้นวิญญาณจะเข้าๆออกๆ
คือเวลาจะหมดลมหายใจแต่ละช่วงวิญญาณก็จะออกแต่พ
อมีลมหายใจกลับมาวิญญาณก็จะเข้าร่างกลับมาเพราะ
ร่างกายยังไม่หมดลมหายใจ
ส่วนหลวงแม่นั้นเมื่อท่านถูกนำกลับมาถึงวัดและได้ฟังธรรม
จากหลวงพ่อแล้วจิตของท่านเข้าสู่สภาวะอันสงบจิตออก
จากร่างมายืนพิจารณากายสังขารของตัวเองจนเกิดเบื่อ
หน่ายขณะเดียวกันหลวงแม่ท่านก็มีใจจดจ่อในธรรมพร้อม
กับพิจารณาตามหลวงพ่อแล้วจึงดับรูปขันธ์เวท
นาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์ตาม
ลำดับเมื่อดับได้แล้วจะเหลือแต่"รู้"อยู่ผู้"รู้"เห็นอวิชชาจึง
ทำลายอวิชชาจนขาดสะบั้นความสว่างไสวบังเกิดขึ้น
ภพชาติได้สิ้นสุดลงพร้อมกับเข้าสู่แดนพระนิพพาน
ในทันทีท่านบรรลุธรรมและละสังขารในเวลาห่างกันเ
พียงเศษเสี้ยววินาทีเวลาประมาณ17.30น.ด้วยวัย100ปีนับ
เป็นวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตและเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งการส
ิ้นภพชาติอันยาวนานของท่าน..
นำมาพิมพ์ลงกลุ่มประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์สายกรร
มฐานที่ยังครองธาตุขันอยู่ในปัจจุบันโดย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น