เพราะมีอวิชชาเป็นปีจจัย จึงมีสังขาร๓
เพราะมีสังขาร๓เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
(เธอดำริถึงสิ่งใด คิดถึงสิ่งใด
สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อตั้งอยู่แห่งภพ
(อสุจิและไข คือ ภพ)
(เพราะมันยังมีอวิขชาอยู่ มันเลยมีความคิดความดำริอยากสร้างภพ
ก็เพราะการดำริ(ถึงฐิติ ที่ตั้ง)นั้นแหละ
วิญญาณจึงมี ที่ก้าวลงไปตั้ง
ในส่วน รูปหรือนาม
เช่น ก้าวลงสู่ (อสุจิและไข่ ซึ่งเป็นส่วนรูป)
เมื่อก้าวลงสู่ รูปแล้ว นามย่อมเกิดตามมา
(เวทนา สัญญา สังขาร)
อันนี้คือ ถ้ามองในมุม การเกิดมนุษย์
แต่ถ้ามองในภาวะปกติในชีวิตประจำวัน
เพราะความไม่รู้แจ้งนั้นแหละ
จึงมีสังขาร๓ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
ถ้ามันรู้แจ้งแล้วเมื่อขันธ์แตกทำลายแล้ว
สังขาร๓จะไม่บังเกิดมีมาอีก
แม้จะรู้แจ้งหลุดพ้นแล้วก็ยังมี สังขาร๓อยู่
แต่เป็นสังขาร๓ที่สะอาด ไม่มีกิเลสแทรกได้เลย เพราะหมดกิเลสแล้ว
#สังขาร ๓ ก็คือขันธ์ ๕ นั้นเอง
หลวงตาพระมหาบัวบอกว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ขันธ์จะเป็นอุปกรณ์เครื่องมือของธรรม
แสดงว่าขันธ์ของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน
เพราะถ้าไม่มีวิญญาณขันธ์ พระองค์จะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้เลย แม้หูก็จะไม่ได้ยิน
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เช่นเดียวกัน
แม้รูปขันธ์(กายสังขาร) ที่ตั้งแห่งอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น ก็จะไม่มี
นามรูป คืออารมณ์(หรือ)
ถ้ากำลังโกธร นี่ก็คือภพ นรก ปุถุชนที่ตายในอารมณ์นี้ (อารมณ์คือนามที่วิญญาณมาตั้ง)อัตตาภาพแบบสัตว์นรกก็จะบังเกิดขึ้นครบถ้วนเลย
ถ้ากำลังสุขเบิกบาน นี่ก็คือภพ สวรรค
์เช่นเดียวกัน
ถ้ากำลังเฉยๆ นี่ก็คือภพ พรหม
ไม่เหมือน2ข้อ แต่จะเป็นรูปพรหม และอรูปพรหม
แต่เมื่อหลุดพ้นแล้ว
แม้อารมณ์ต่างๆจะมีอยู่ แต่จะไม่เรียกว่า(ภพ)
เพราะมันไม่ใช่ภพของพระอรหันต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น