พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
ท่านก็จะเข้าใจแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีจริงและรู้เรื่องดวงอาทิตย์ว่ามีหลายดวง รู้ก่อนวิทยาศาสตร์เสียอีก ด้วยตาทิพย์ของพระองค์
ดังนั้นธรรมะทั้งหลายในพระไตรปิฎกควรเชื่อ
และลองอ่านพระสูตรต่อไปนี้ก็จะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสนัยยะว่า มนุษย์นั้นไม่ได้มาจากการเป็นลิงมาก่อน เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเขาว่ากันหรอก แต่มีต้นเหตุมาจากพรหม
หลังจากที่โลกพินาศเพราะดวงอาทิตย์เจ็ดดวงแล้ว ก็ไม่มีโลกตลอดหลายกัป จากนั้นโลกก็มีวิวัฒนาการค่อยๆเกิดเป็นโลกอีกครั้ง 
 ๕๘ การเกิดสังคมมนุษย์โลก
 -บาลี ปา. ที. ๑๑/๙๒/๕๖
 อันนี้ก็คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะ และสามเณรภาระทวาชะ ว่า 
 วาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล ที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ 
โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในอาภัสสรพรหม (อาภสฺสร) สัตว์เหล่านั้น ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ 
อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน. 
 วาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล ที่โลกนี้จะกลับเจริญขึ้น เมื่อโลกกำลังเจริญขึ้นอยู่ โดยมาก
 เหล่าสัตว์พากันจุติ(เคลื่อน) จากอาภัสสรพรหม (อาภสฺสรกายา) ลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์เหล่านั้น ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง 
สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน (ที่ผมอ้างว่าพระพุทธเจ้า เห็นดวงดาวทั้งหมดก็อยู่ในประโยคนี้ต่อไปนี้แหละครับ)
 ก็ในสมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้ เป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ ดาวนักษัตรและ
ดาวทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฎ กลางวันและกลางคืนก็ยังไม่ปรากฎ เดือนและปักษ์ก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎ เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลาย
 ถึงซึ่งการนับเพียงว่าสัตว์ (สตฺต) เท่านั้น 
 วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล ได้เกิดมีง้วนดิน (รสปฐวี) ขึ้นปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้น ง้วนดินนี้ลอยอยู่ทั่วไปบนน้ำ 
เหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยวให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็น จับเป็นฝาอยู่ข้างบน ง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็ก อันหาโทษมิได้ 
 เมื่อสัตว์เหล่านั้น พากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ รสของง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น
 ต่อมาก็ได้พากันพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ในคราวที่พากันบริโภคง้วนดินอยู่ รัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็ได้หายไป
 เมื่อรัศมีกายหายไป (คำต่อไปนี้ คือพระองค์เห็นด้วยตาทิพย์จากที่ยังไม่มีดวงดาวหรือแสงอาทิตย์เลย แต่พอรัสมีแสงของพวกเขาหายไป) 
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏ ดาวนักษัตรและดาวทั้งหลายย่อมปรากฏ เมื่อดาวนักษัตรและดาวทั้งหลายปรากฏ
 กลางคืนและกลางวันย่อมปรากฏ เมื่อกลางคืนและกลางวัน
ปรากฏ เดือนและปักษ์ย่อมปรากฏ เมื่อเดือนและปักษ์ปรากฏ ฤดูและปีย่อมปรากฏ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นอีก 
 ครั้นต่อมา สัตว์เหล่านั้น พากันบริโภคง้วนดิน รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน ด้วยเหตุที่สัตว์เหล่านั้น 
มัวเพลิดเพลินบริโภคง้วนดิน รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที
 ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม 
ได้พากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งาม เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้น เกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกัน เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินจึงหายไป 
 เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว ก็ได้เกิดมีกระบิดิน (ภูมิปปฺปฏิก) ขึ้น สัตว์เหล่านั้นได้ใช้กระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่สิ้นกาลช้านาน 
ผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป ด้วยเพราะมีการไว้ตัวดูหมิ่นกัน เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย กระบิดินจึงหายไป
 เมื่อกระบิดินหายไปแล้ว ก็ได้เกิดมีเครือดิน (ปทาลตา) ขึ้น สัตว์เหล่านั้นได้ใช้เครือดิน
เป็นอาหาร ดำรงอยู่สิ้นกาลช้านาน ผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป ด้วยเพราะมีการไว้ตัวดูหมิ่นกัน เพราะทะนงตัวปรารถผิวพรรณเป็นปัจจัย
 เครือดินจึงหายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว ก็ได้เกิดมีข้าวสาลีเกิดขึ้น ในที่ที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด มีกลิ่นหอม 
มีเมล็ดเป็นข้าวสาร ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้น นำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีนั้น ก็มีเมล็ดสุกแล้วงอกขึ้นแทนที่ 
ตอนเช้าสัตว์เหล่านั้น นำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า ตอนเย็นข้าวสาลีนั้น ก็มีเมล็ดสุกแล้วงอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย
 สัตว์เหล่านั้นจึงได้บริโภคข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงอยู่สิ้นกาลช้านานด้วยประการที่สัตว์เหล่านั้นมีข้าวสาลีเป็นอาหาร ดำรงอยู่สิ้นกาลช้านาน 
 สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ
 ด้วยว่า สตรีก็เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองเพศ ต่างก็เพ่งดูกันและกันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำหนัด 
เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เพราะความเร่าร้อนเหล่านั้นเป็นปัจจัย เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน 
ในสมัยนั้น สัตว์พวกใด เห็นสัตว์พวกอื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า “คนชาติชั่วจงฉิบหาย คนชาติชั่วจงฉิบหาย” 
ดังนี้ แล้วพูดต่อไปว่า “ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์ จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า” ข้อที่ว่ามานั้น จึงได้เป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ในชนบทบางแห่ง 
คนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง ในระหว่างที่เขาจะนำสัตว์ผู้ประพฤติชั่วร้ายไปสู่ที่ประหาร 
พวกพราหมณ์มาระลึกถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี อันเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย
 ในสมัยนั้น การโปรยฝุ่นใส่กันเป็นต้นนั้น สมมติกันว่าไม่เป็นธรรม มาในบัดนี้ กลับสมมติกันว่าเป็นธรรม ก็สมัยนั้น 
สัตว์พวกใดเสพเมถุนธรรมกัน สัตว์พวกนั้นเข้าบ้านหรือนิคมไม่ได้ สิ้นสองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายพากันเสพอสัทธรรมนั่นอยู่เสมอ 
เมื่อนั้น จึงพยายามสร้างบ้านเรือนกันขึ้น เพื่อเป็นที่กำบังอสัทธรรมนั้น 
 ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่งเกิดความเกียจคร้าน จึงได้เก็บข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคเสียคราวเดียวทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น
 ต่อมาสัตว์พวกอื่นก็ถือเอาแบบอย่างของสัตว์ผู้นั้น โดยเก็บข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคเสียคราวเดียวทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็นบ้าง 
เก็บไว้เพื่อบริโภคสิ้น ๒ วันบ้าง เก็บไว้เพื่อบริโภคสิ้น ๔ วันบ้าง เก็บไว้เพื่อบริโภคสิ้น ๘ วันบ้าง 
 เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น พยายามเก็บสะสมข้าวสาลีไว้เพื่อบริโภค เมื่อนั้นข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวที่มีรำห่อเมล็ดบ้าง 
มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นแทนที่ ปรากฏความบกพร่องให้เห็น จึงได้มีข้าวสาลีเป็นหย่อมๆ 
 (ต่อมาสัตว์เหล่านั้นพากันจับกลุ่มและได้ปรับทุกข์แก่กันและกัน ถึงเรื่องที่มีการปรากฏของอกุศลธรรมอันเป็นบาป 
ทำให้สัตว์เหล่านี้จากที่เคยเป็นผู้ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตน แล้วก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ 
จนกระทั่งมาถึงในสมัยที่ดำรงอยู่ด้วยการบริโภคข้าวสาลี ที่มีรำห่อเมล็ด มีแกลบหุ้มเมล็ด ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นแทนที่
 ปรากฏความบกพร่องให้เห็น จากนั้นจึงได้มีการแบ่งส่วนข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน)
 วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลภ สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค
 สัตว์เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว ได้ตักเตือนอย่างนี้ว่า “แน่ะสัตว์ผู้เจริญ ก็ท่าน
กระทำกรรมชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่น ที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย” 
สัตว์ผู้นั้นได้รับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว 
 แม้ครั้งที่ ๒ สัตว์ผู้นั้นก็ยังขืนทำเช่นเดิมและรับคำสัตว์ทั้งหลายว่าจะไม่ทำอีก แม้ครั้งที่ ๓ สัตว์ผู้นั้นก็ยังขืนทำเช่นเดิมอีก 
สัตว์เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว ได้ตักเตือนว่า “แน่ะสัตว์ผู้เจริญ ท่านทำกรรมอันชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ 
ไปเอาส่วนที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมอันชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย” สัตว์ พวกหนึ่งประหารด้วยฝ่ามือบ้าง 
สัตว์พวกหนึ่งประหาร ด้วยก้อนดินบ้าง พวกหนึ่งประหารด้วยท่อนไม้บ้าง ใน เพราะมีเหตุเช่นนี้เป็นต้นมา การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จึงปรากฏ
 การติเตียนจึงปรากฏ การกล่าวเท็จจึงปรากฏ การถือท่อนไม้จึงปรากฏ 
 ครั้งนั้นแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน ครั้นแล้ว ต่างก็ปรับทุกข์กันว่า “ท่านผู้เจริญเอ๋ย การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ
 การติเตียนจักปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ ในเพราะอกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่าใด อกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วในสัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย
พวกเราจักสมมติ (แต่งตั้ง) สัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน 
ให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น” ดังนี้ ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้นพากันเข้าไปหาสัตว์ที่สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่า
 น่าเลื่อมใสกว่า และน่าเกรงขามกว่า แล้วจึงแจ้งเรื่องนี้ว่า “มาเถิดท่านผู้เจริญ ขอท่านจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน 
จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิด ส่วนพวกข้าพเจ้าจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ท่าน”
 สัตว์ผู้นั้นรับคำแล้ว จึงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่านั้นก็แบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้านั้น 
เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้า อันมหาชนสมมติ (แต่งตั้ง) นั้น อักขระว่า มหาชนสมมติ มหาชนสมมติ (มหาสมฺมต) จึงเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
 เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้า เป็นใหญ่ยิ่งแห่งเขตทั้งหลายนั้น อักขระว่า กษัตริย์ กษัตริย์ (ขตฺติย) จึงเกิดขึ้นเป็นอันดับที่ ๒ เพราะเหตุที่ผู้เป็นหัวหน้า 
ยังชนเหล่าอื่นให้สุขใจได้โดยธรรม อักขระว่า ราชา ราชา (ราช) จึงเกิดขึ้นเป็นอันดับที่ ๓ 
 ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ การบังเกิดขึ้นแห่งพวกกษัตริย์นั้นจึงมีขึ้นได้ เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณอย่างนี้ 
เรื่องของสัตว์เหล่านั้น จะต่างกันหรือเหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรมเท่านั้น
 ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในหมู่มหาชน ทั้งในปัจจุบัน (ทิฏธรรม) และภายหน้า(อภิสัมปราย) 
 ครั้งนั้นแล สัตว์บางจำพวก ได้มีความคิดขึ้นอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญเอ๋ย การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ จักปรากฏ 
การติเตียนจักปรากฏ การกล่าวเท็จจักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ การขับไล่จักปรากฏ ในเพราะอกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่าใด
 อกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วในสัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรไปลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปนี้เถิด” 
ดังนี้ ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงได้พากันลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปทิ้งไป เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปอยู่ดังนี้
 อักขระว่า พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ (พฺราหฺมณ) จึงเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก 
 พราหมณ์เหล่านั้น พากันสร้างกระท่อม ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า เพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและ
บังด้วยใบไม้นั้น พวกเขาไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำข้าวทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า จึงได้พากันเที่ยวแสวงหาอาหาร 
ตามคามนิคมและราชธานี เพื่อบริโภคในเวลาเย็นและเวลาเช้า เขาเหล่านั้นครั้นได้อาหารแล้ว จึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกระท่อม
 ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก คนทั้งหลายเห็นการกระทำของพวกพราหมณ์นั้นแล้ว จึงพากันพูดอย่างนี้ว่า 
“ท่านผู้เจริญเอ๋ย สัตว์พวกนี้พากันมาสร้างกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า แล้วเพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้นั้น 
ไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำข้าวทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า จึงพากันเที่ยวแสวงหาอาหาร ตามคาม นิคมและราชธานี 
เพื่อบริโภคในเวลาเย็นและเวลาเช้า เขาเหล่านั้นครั้นได้อาหารแล้วจึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกระท่อม ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก” 
ดังนี้ เพราะเหตุนั้น อักขระว่า พวกเจริญฌาน พวกเจริญฌาน (ฌายิกา) จึงเกิดขึ้นเป็นอันดับที่ ๒ 
 บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์บางพวกเมื่อไม่อาจสำเร็จฌานได้ ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า 
จึงเที่ยวไปยังบ้านและนิคมที่ใกล้เคียง แล้วก็จัดทำคัมภีร์อยู่ คนทั้งหลายเห็นการกระทำของพวกพราหมณ์นี้นั้นแล้ว จึง
พูดอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญเอ๋ย ก็สัตว์เหล่านี้ ไม่อาจสำเร็จฌานได้ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า เที่ยวไปยังบ้าน
 และนิคมที่ใกล้เคียง จัดทำคัมภีร์อยู่ บัดนี้พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ บัดนี้พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่” 
ดังนี้ เพราะเหตุนั้น อักขระว่า อัชฌายิกา อัชฌายิกา (อชฺฌายิกา) จึงเกิดขึ้นเป็นอันดับที่ ๓ 
 ก็สมัยนั้นการทรงจำ การสอน การบอกมนต์ ถูกสมมติว่าเลว มาในบัดนี้ สมมติกันว่าประเสริฐ ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ การเกิดขึ้นแห่งพวกพราหมณ์นั้นจึงมีขึ้นได้
 บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์บางจำพวกยึดมั่นเมถุนธรรม แล้วประกอบการงานเป็นแผนกๆ เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นยึดมั่นเมถุนธรรม แล้วประกอบการงานเป็นแผนกๆ
 นั้นแล อักขระว่า เวสสา เวสสา (เวสฺสา) จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ การเกิดขึ้นของแพศย์นั้น จึงมีขึ้นได้.
 บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์บางจำพวกประพฤติตนโหดร้าย ทำงานต่ำต้อย เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นประพฤติตนโหดร้าย ทำงานต่ำต้อยนั้นแล
 อักขระว่า สุททา สุททา (สุทฺทา) จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ การเกิดขึ้นแห่งพวกศูทรนั้น จึงมีขึ้นได้. 
 มีสมัยที่กษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง ตำหนิธรรมของตน จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยประสงค์ว่า เราจักเป็นสมณะ
 ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้ พวกสมณะจึงเกิดมีขึ้นได้ จากวรรณะทั้งสี่ เหล่านี้. 
 กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี สมณะก็ดี ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมยึดถือกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
 เพราะยึดถือกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ทั้งสิ้น 
 กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี สมณะก็ดี ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมยึดถือกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
 เพราะยึดถือกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
 กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี สมณะก็ดี มีปกติกระทำกรรมทั้งสอง(คือสุจริตและทุจริต) ด้วยกาย มีปกติกระทำกรรมทั้งสองด้วยวาจา 
มีปกติกระทำกรรมทั้งสองด้วยใจ มีความเห็นปนกัน ยึดถือการกระทำ
ด้วยอำนาจความเห็นปนกัน เพราะยึดถือการ กระทำด้วยอำนาจความเห็นปนกันเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง 
 กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม ทั้ง ๗ แล้ว ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ทีเดียว 
 ก็บรรดาวรรณะทั้งสี่นี้ วรรณะใด เป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว วางภาระเสียได้แล้ว
 บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว หมดเครื่องเกาะเกี่ยวในภพแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ วรรณะนั้นปรากฏว่า เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้จริง มิใช่นอกไปจากธรรมเลย ความจริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่มหาชน ทั้งในปัจจุบัน และภายหน้า
 กษัตริย์เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจ ด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์.
อันนี้ก็ชัดแล้วนะว่า มนุษย์มาจากพรหมที่จุติมาจาก ชั้นอาภัทชระพรหม (พรหมชั้นที่2ของ พรหมโลก พรหมโลกนี่จะมี 20 ชั้นนะครับ 
ส่วนสวรรค์จะมีแค่ 6 ชั้น สวรรค์จะอยู่บนเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นภูเขาทิพย์ ต้องมองด้วยตาทิพย์)
ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอีกนานไหม ถ้าท่านอยากทราบต้องอ่านพระสูตรนี้
๕๙ ปัจจัยต่ออายุขัยของมนุษย์
-บาลี ปา. ที. ๑๑/๗๐/๓๙.
 ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อพระราชา มีการกระทำชนิดที่เป็นไปแต่เพียงเพื่อการคุ้มครองอารักขา แต่มิได้เป็นไปเพื่อการกระทำให้เกิดทรัพย์
 แก่บุคคลผู้ไม่มีทรัพย์ทั้งหลายดังนั้นแล้ว ความยากจนขัดสน ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 เพราะความยากจนขัดสนเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อทินนาทาน( ลักทรัพย์) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 เพราะอทินนาทานเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด การใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 เพราะการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึงการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 เพราะปาณาติบาตเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มุสาวาท (การหลอกลวงคดโกง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาจาก ๘ หมื่นปี เหลือเพียง ๔ หมื่นปี)
 เพราะมุสาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปิสุณาวาท
 (การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกันเป็นพวก เป็นหมู่ ทำลายความสามัคคี) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมื่นปี) 
 เพราะปิสุณาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด กาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้ การละเมิดของรักของบุคคลอื่น) 
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมื่นปี)
 เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ผรุสวาทและสัมผัปปลาปะ (การใช้คำหยาบ และคำพูดเพ้อเจ้อเพื่อความสำราญ) 
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันปี)
 เพราะผรุสวาทและสัมผัปปลาปะเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อภิชฌาและพยาบาท (แผนการกอบโกยและการทำลายล้าง)
 ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปี)
 เพราะอภิชฌาและพยาบาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ 
 (ความเห็นผิดชนิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นิยมความชั่ว) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด(ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ปี)
 เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งสาม คือ อธัมมราคะ (ความยินดีที่ไม่เป็นธรรม) 
วิสมโลภะ (ความโลภไม่สิ้นสุด) มิจฉาธรรม (การประพฤติตามอำนาจกิเลส) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อย่างไม่แยกกัน) 
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ปี)
 เพราะ (อกุศล) ธรรม ทั้งสาม ... นั้นเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งหลาย คือ
 ไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในมารดา บิดา สมณะพราหมณ์ไม่มีกุลเชฏฐาปจายนธรรม (ความอ่อนน้อมตามฐานะสูงต่ำ) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด.
 (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐-๒๐๐-๑๐๐ ปี)
 สมัยนั้น จักมีสมัยที่มนุษย์มีอายุขัยลดลงมาเหลือเพียง ๑๐ ปี (จักมีลักษณะแห่งความเสื่อมเสียมีประการต่างๆ 
ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า) หญิงอายุ ๕ ปี ก็มีบุตร รสทั้งห้า คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และรสเค็ม ก็ไม่ปรากฏ มนุษย์ทั้งหลาย 
กินหญ้าที่เรียกว่า กุท๎รูสกะ แทนการกินข้าว กุศลกรรมบถหายไป ไม่มีร่องรอย อกุศลกรรมบถ รุ่งเรืองถึงที่สุด ในหมู่มนุษย์ 
ไม่มีคำพูดว่ากุศล จึงไม่มีการทำกุศล มนุษย์สมัยนั้น จักไม่ยกย่องสรรเสริญ ความเคารพเกื้อกูลต่อมารดา (มัตเตยยธรรม)
 ความเคารพเกื้อกูลต่อบิดา (เปตเตยยธรรม) ความเคารพเกื้อกูลต่อสมณะ (สามัญญธรรม) ความเคารพเกื้อกูลต่อพราหมณ์ 
(พรหมัญญธรรม) และ ความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล (กุลเชฏฐาปจายนธรรม) เหมือนอย่างที่มนุษย์ยกย่องกันอยู่ในสมัยนี้ 
ไม่มีคำพูดว่า แม่ น้าชาย น้าหญิง พ่อ อา ลุง ป้า ภรรยาของอาจารย์ และคำพูดว่า เมียของครู สัตว์โลกจักกระทำการสัมเภท (สมสู่สำส่อน)
 เช่นเดียวกันกับแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอก ความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดฆ่า เป็นไปอย่างแรงกล้า
 แม้ในระหว่างมารดากับบุตร บุตรกับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พี่กับน้อง น้องกับพี่ทั้งชายและหญิง เหมือนกับที่นายพรานมีความรู้สึกต่อเนื้อทั้งหลาย.
 ในสมัยนั้น จักมี สัตถันตรกัปป์ (การใช้ศัสตราวุธติดต่อกันไม่หยุดหย่อน) ตลอดเวลา ๗ วัน :
 สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นจักมีความสำคัญแก่กันและกัน ราวกะว่าเนื้อ แต่ละคนมีศัสตราวุธในมือ 
ปลงชีวิตซึ่งกันและกันราวกะว่า ฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ.(มีมนุษย์หลายคน ไม่เข้าร่วมวงสัตถันตรกัปป์ด้วยความกลัว 
หนีไปซ่อนตัวอยู่ในที่ที่พอจะซ่อนตัวได้ตลอด ๗ วัน แล้วกลับออกมาพบกันและกัน ยินดีสวมกอดกัน กล่าวแก่กันและกันในที่นั้นว่ามีโชคดีที่รอดมาได้
 แล้วก็ตกลงกันในการตั้งต้นประพฤติธรรมกันใหม่ต่อไป ชีวิตมนุษย์ก็ค่อยเจริญขึ้น จาก ๑๐ ปี ตามลำดับๆ จนถึงสมัย ๘ หมื่นปี อีกครั้งหนึ่ง 
จนกระทั่งเป็นสมัยแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า เมตเตยยสัมมาสัมพุทธะ)
ตอนนี้ศาสนาในประเทศไทยก็มีแต่ข่าวไม่ค่อยดีเกิดขึ้นให้ได้ทราบกัน โยมก็คิดว่าเป็นเพราะพระเองนั้นแหละทำตัวไม่ดี 
ทำวาจาไม่ดี ทำจิตไม่ดี จึงได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น โทษกันไปโทษกันมา
ซึ่งก็เป็นปกติ ของศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ก่อนศาสนาจะหายล่วงลับไปก็ต้องมีเหตุลักษณะอย่างนี้แหละก่อน 
คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นั้นแหละจะทำลายศาสนาของพระองค์ 
ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่สามารถทำลายศาสนาได้ อันนี้คือพระองค์ตรัสไว้ในพระไตรปิฏก 
ภิกษุทำลายศาสนาอย่างไร ทำลายอย่างไรละ พระก็ไม่พากันศึกษาวินัยไม่พากันศึกษาธรรม และไม่ปฏิบัติ
 ไม่ยึดวินัยและธรรมในพระไตรปิฏกเป็นหลัก และก็ไม่พากันปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ส่วนอุบาสก อุบาสิกา ทำลายยังไง ก็ไม่ศึกษาธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
มันก็เลยไม่พบความสุขชนิดหนึ่ง เมื่อไม่พบความสุขชนิดนั้นมันก็เลยไม่เห็นคุณค่าของศาสนา
ก็ไม่อยากส่งลูกส่งหลานมาสืบต่อพุทธศาสนา อันนี้คือความเห็นส่วนตัวผมนะครับ
ตอนนี้จำนวนพระภิกษุในประเทศไทยเหลืออยู่แค่ สองแสนกว่า ซึ่งจำนวนลดลงทุกปี
ในอนาคตต่อไป ในประเทศไทยจะไม่มีพุทธศาสนาเหลืออยู่เลย อันนี้คือคำทำนายหลวงปู่มั่น 
(อันนี้หลวงปู่มั่นท่านมี อนาคตังสญาณ คือญาณรู้อนาคต) ตอนนี้ใครช่วยกันอุ้มศาสนาให้ฟื้นฟูขึ้นมาให้ดำรงอยู่นานจะเป็นบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่มาก
วิชา อนาคตังสญาณ นี้ก็เป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าสอนภิกษุในสมัยพุทธกาล 2,559 ปีล่วงมาแล้ว วิชานี้สำหรับผู้ที่ทำให้เกิดขึ้นได้แล้วกับจิตตนเอง 
ย่อมสามารถ รู้เห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ เลขหวยจะออกอะไร ย่อมรู้ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านรู้เหตุการณ์ในอนาคต
 ว่าคราวที่โลกจะพินาศก็เพราะมี ดวงอาทิตย์ 7 ดวง ปรากฏ)
และกระผมอยากให้ท่านทั้งหลาย ออกบวชศึกษาวินัยศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม
 เพื่อประโยชน์ตนและเป็นการต่ออายุพระศาสนาไปในตัวและยังจะให้คนที่เกิดมาในภายหลังได้รับอมฤทธิ์ธรรมะที่ประหารความทุกข์ ที่พวกท่านยังสืบทอดทำให้เหลืออยู่
คำสอนของพุทธมีทั้งแบบ...
1. แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ได้ง่าย เช่นศีล 5, สติ, สมาธิ, อิทธิบาท 4, ทศพิศราชธรรม, กาลามสูตร 
2. ตรงข้ามกับแบบแรก เช่น ฌาณ, อภิญญา, มรรค ผล นิพพาน, นรก สวรรค์ เทวดา 
หากไม่เชื่อถือในเนื้อหาประเภทหลัง ก็อย่าเพิ่งเหมารวมว่าคำสอนทั้งหมดแย่-ใช้ไม่ได้ 
สำหรับผม เพียงแค่เนื้อหาแบบแรก ก็มีคุณประโยชน์อย่างเหลือคณานับ และควรค่าแก่การเลื่อมใสศรัทธาแล้ว
เจตนาที่จัดทำ CD และไฟล์เท็ก "จงใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าในด้านดี" นี้ขึ้นมา
 ก็เพื่ออยากจะโน้มน้าวจิตใจของคนที่เกิดมาในยุคที่เจริญทางด้านวัตถุมาก เป็นยุคที่ทันสมัยมาก
 เจริญในทางด้านวัตถุแต่ทางจิตใจกลับตกต่ำเพราะอยู่ใต้อำนาจกิเลส จนเป็นทุกข์ทางใจอย่างน่าสงสาร
จึงได้พยายามคัดสรรเนื้อหาธรรมะที่คิดว่าเหมาะสมกับวัยทีนวัยรุ่น วัยกำลังอยาก วัยกำลังกล้า วัยกำลังค้นหา
 ไม่รู้หาสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์นะ ถ้าหากได้รับธรรมะในช่วงนี้ก็จะมีประโยชน์มากนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
และที่สำคัญคือมุ่งให้ฟังแล้วเกิดความสลดสังเวช กลัวภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนในอนาคต ตราบใดถ้ายังไม่ บรรลุโสดาบัน อย่าลืมว่ายังไม่รอดพ้นจากนรกได้ถาวรนะ และอีกอย่าง
ชาติหน้าเราอาจเกิดมาเป็นเด็กทารกที่พิการก็ได้ ผ่าตัดสิบครั้งแล้วก็ไม่เสร็จสักที่ เหมือนในข่าว 
 เพราะใครเล่าจะรู้ว่าอาจจะมีวิบากกรรมที่เป็นบาปที่เราอาจจะเคยก่อสร้างไว้ในอดีตชาติ นับถอยหลังไป 37 ชาติ มาให้ผลก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ดังนั้นควรเจริญจิตภาวนา ให้บรรลุเป็นโสดาบัน ก็จะปลอดภัย ก็จะอุ่นใจ สบายใจ ก็จะไม่กังวนเรื่องภพชาติข้างหน้า
เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว จะแต่งงานก็ได้ จะมีลูกก็ได้ เหมือนนางวิสาขาบรรลุโสดาบันตอนเป็นเด็ก พอตอนโตก็แต่งงานมีลูก
 มีหลานได้ เลี้ยงหลานได้ อันนี้คือนางวิสาขาที่จิตนางบรรลุโสดาบัน ก็เลยยกมาให้ดู
*และสิ่งที่ข้าพระเจ้ากลัว กลัวว่าความเชื่อของคนในยุคที่ทันสมัยนี้ เขาจะเลือกเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาตร์ก่อนเท่านั้นถึงจะเชื่อ
ต้องผ่านวิทยาศาสตร์ก่อนน่ะ ฉันถึงจะเชื่อธรรมะในเรื่อง พวกกฏแห่งกรรมวิบาก บุญกุศล บาปอกุศล สวรรค์ นรก เปตร ผีสาง เทวดา เจ้ากรรมนายเวร อะไรเนีย คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เอาไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะพระทำตัวไม่ดีให้ดู ก็เลยไม่เชื่อ ซึ่งความคิดแบบนี้อันตรายมาก 
ถ้าไม่เชื่อพระที่บอกสอนธรรมะในปัจจุบันนี้ เทศทีก็ชวนแต่ทำบุญในด้านทาน ขอแต่เงินๆ ถ้าต้องการเชื่อเฉพาะพระพุทธเจ้า
ถ้าอยากรู้อะไรที่พระพุทธเจ้าสอน จงไปอ่านเองในพระไตรปิฏกเสียเอง เพราะพระบอกสอนผิดก็มีเหมือนกันในปัจจุบันนี้ (โดยเฉพาะพระที่ไม่ใช่ระดับอริยะ)
โชคดีนะครับ*
และคำสอนพระพุทธเจ้าจะอยู่ในนี้ครับ แบบอ่านผ่านเว็บ ออนไลน์ http://www.84000.org/ แบบอ่านผ่านเว็บ อ๊อฟไลน์ โหลดจากลิงค์นี้ครับ http://www.geocities.ws/tmchote/download_tpd/tpd-dwload.htm แบบอ่านผ่านโปรแกรม โหลดจากลองค์นี้ครับ www.etipitaka.com สามารถอ่านคำสอนได้โดยไม่ต้องใช้เน็ตครับ