วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

1 โน๊ต ซีดี 2 โน๊ต ซีดี


พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
“เราจะนอนอย่างนี้ ให้ร่างกายมันเสื่อมไปหาความตายง่ายๆแบบนี้เลยหรือ..! 
ไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากที่ได้ร่างกายนี้มาจากพ่อจากแม่ มาอ่านธรรมะ มาทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาแก้ทุกข์ทางใจ ให้แก่ตนเองเลยหรือ ”
อันจะเป็นประโยชน์สองต่อทั้งปัจจุบันและโลกหน้า
ก็โลกหน้าคือสวรรค์นรกมีจริงหรือ?
หลายศาสนาต่างยืนยันว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ
ศาสนาคริสก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ
ศาสนาฮินดูหรือพรามก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ
 ศาสนาเซนก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มี นรกมีนะ
ศาสนาพุทธก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ พรหมโลกมีนะ นรกมีนะ
นี่คือสิ่งที่น่าทึ่งมาก ที่แต่ละศาสนาต่างมีคำสอนยืนยันบอกว่า พระเจ้ามี เทพเจ้าบนสวรรค์มีนะ และนรกก็มีนะ โลกหลังความตายมีนะ บาปมีนะ
ก็แสดงว่าไม่ได้มีแค่โลกที่เราอยู่ แต่มันยังมีโลกอื่นอีกที่วิทยาศาสนาหายังไม่เจอ คือสวรรค์ นรก และโลกวิญญาณ ผีเปตรทั้งหลาย ซึ่งพุทธศาสนาเองมีวิธีให้พิสูดโดยการปฏิบัติในด้านสมาธิให้ถึงระดับเกิดอภิญญาจิตจนเห็นสิ่งที่อยู่เหนือวิสัยมนุษย์ธรรมดา ที่จะล่วงรู้เห็นได้”
และนอกจากนั้นแล้ว แม้ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องหลังความตายเลย พอเผาศพญาติหรือคนรู้จักแล้ว ก็ยังมาปรากฏตัวให้เห็น ไม่ใช่น้อยราย แม้ผู้ที่ไม่นับถือพุทธศาสนาเลยแต่ทำสมาธิได้ระดับจนเกิดตาทิพย์ ก็เห็นนรกและสวรรค์ เห็นคนที่ตายแล้ว อย่างไม่ต้องเชื่อศาสนาหรือลัทธิใดๆเลย เพราะเห็นเอง
ในทุกศาสนาจะมีคำสอนต่างกัน แต่ถ้ารวบย่อคำสอนลง ก็จะได้ ๓ ข้อ ดังต่อไปนี้ (ขอใช้ศัพท์พุทธนะครับ)
 1 ศาสนาอิสราม ๑ จะมีสอนเรื่องให้ทาน ๒ สอนเรื่องรักษาศีล ๓ สอนเรื่องทำสมาธิ
2 ศาสนาคริส ๑ จะมีสอนเรื่องให้ทาน ๒ สอนเรื่องรักษาศีล ๓ สอนเรื่องทำสมาธิ 
3 ศาสนาพรามหรือฮินดู ๑ จะมีสอนเรื่องทำทาน ๒ สอนเรื่องรักษาศีล ๓ สอนเรื่องทำสมาธิ
และที่ไม่เหมือนใคร คือศาสนาพุทธจะมี 1สอนทำทาน 2สอนรักษาศีล 3สอนสมาธิ และ4 วิปัสนา 
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีคำสอนเลยขั้นสมาธิไปอีก คือมีขั้นวิปัสนาให้รู้แจ้งในทุกข์ เห็นไตรลักษณ์ในทุกข ละอัตตาเป็นขั้นๆไป โดยอาศัยสมาธิและปัญญา
สมาธิ ในพุทธศาสนามีอยู่๒ ชนิด
1 อารมณูปนิจฌาน 2 ลักขณูปณิจฌาน
 ทำสมาธิแบบใดก็ตามถ้าเข้าถึงสมาธิระดับที่4 แล้ว ถ้าชาติก่อนเคยได้ของเก่า คือ ตาทิพย์ หูทิพย์ เป็นต้น ก็จะบังเกิดขึ้นในฌานระดับสี่นี้
ชนิดที่หนึ่ง คือสมาธิที่สงบรวมลงเป็นอารมณ์อันเดียว เรียกว่า อารัมณูปนิฌาน เข้าสมาธิได้ถึงระดับที่แปด ฌาน8
ชนิดที่สอง คือสมาธิตั้งมั่น เห็นอารมณ์ไม่เที่ยง เรียกว่า ลักษณูปณิจฉาน เข้าสมาธิได้ถึงระดับที่เก้า ฌาน9 ระดับที่9นี่ คือนิโรธสมาบัต ซึ่งมีพระอนาคามีและพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะเข้าได้
ซึ่งต่างจากศาสนาอื่นที่มีแต่สมาธิชนิดที่สงบ (อารัมณูปณิจฌาน)
ถ้าศาสนาอื่นจะมีสมาธิ(ลักขณูปนิจฌาน)แล้ว ก็แสดงว่า ศาสนาอื่นก็มีพระอริยะบุคลเกิดขึ้นได้ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสิอย่างนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยะบุคคลเกิดขึ้นได้เฉพาะในศาสนาพระอง์เท่านั้น (ศาสนา แปลว่า คำสอน) นอกเสียจากว่าเขานำคำสอนพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ
ดังนั้นศาสนาอื่น ไม่มีสมาธิชนิดที่ตั้งมั่นเห็นไตรลักษณ์(ลักขณูปณิจฉาน) เหมือนในศาสนาพุทธ
รวมความแล้วก็คือ พุทธศาสนา มีสอนทำทาน สอนรักษาศีล สอนทำสมาธิ(๒ชนิด) และ สอนวิปัสสนาชำแรกกิเลส ตัวทุกข์
ส่วนศาสนาอื่น มีการสอนให้ทาน สอนรักษาศีล สอนทำสมาธิจิต และก็ปรุงแต่งยกจิตให้อยู่ในภูมิของพรหม เมตตา นึกถึงผู้มีคุณใหญ่ในศาสนาตน 
ศาสนาพุทธเองพระพุทธเจ้าก็สอนให้ยกจิตขึ้นสู่อาการภูมิของพรหม คือเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาแบบสัมโพชฌงค์ และก็ให้รู้ว่าอาการของจิตไม่เที่ยง 
รวมความแล้วก็คือ พุทธศาสนา มีสอนทำทาน สอนรักษาศีล สอนทำสมาธิ(๒ชนิด) และ สอนวิปัสสนาชำแรกกิเลส ตัวทุกข์ ละอัตตาทีละขั้น
แล้วพวกที่เหาะได้ ลอยได้ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้อดีตคนอื่นได้ สะกดจิตได้ ได้ตาทิพย์เห็นสวรรค์นรกได้ ได้หูทิพย์ รู้ใจหรือรู้ความคิดคนอื่นได้ รู้ความคิดของสัตว์เดรัจฉานได้ อยู่ในขั้นไหน ตอบว่า ยังอยู่ในขั้นสมาธิ พวกที่มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ รู้จิตคนอื่นได้ มีหูทิพย์ เป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วนั้น ยังจัดอยู่ในขั้นสมาธิ ยังไม่ใช่วิปัสนาเพื่อสิ้นทุกข์ 
ซึ่งสมาธิเป็นหลักสากลมีสอนกันทุกศาสนาแต่มีอุบายวิธีที่ทำจิตให้สงบแตกต่างกันออกไป ทุกศาสนามีสอนทำสมาธิทั้งนั้น เมื่อทำแล้วก็มีการได้คุณวิเศษที่แตกต่างกัน บ้างได้ตาทิพย์ บ้างได้หูทิพย์ บ้างรู้จิตผู้อื่น บ้างระลึกชาติได้ ดังที่กล่าวแล้ว
การทำสมาธิของศาสนาคริสต์
http://www.belongtothetruth.com/Holy/meditation/meditation02.htm
http://sinchaichao.blogspot.com/2008/11/blog-post_6317.html
การทำสมาธิ ของศาสนาอิสลาม
http://islamhouse.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=30&id=19584
ดังเช่นในลิงค์คลิบวิดีโอ ด้านล่างนี้ เขาได้สมาธิระดับไม่ธรรมดาแล้ว จึงทำได้
https://www.youtube.com/watch?v=MSFdP2SRjUA
https://www.youtube.com/watch?v=Fw3LB87KqrE
https://www.youtube.com/watch?v=w8cA8ukTfms
https://www.youtube.com/watch?v=zKkswv7gN_E
https://www.youtube.com/watch?v=H0E6KKHECDY
https://www.youtube.com/watch?v=Seaz5ZmvXyI
ถ้าดูวิดีโอจบ แล้วมีคำถามขึ้นมาในใจว่า ทำไมไม่เห็นพระเหาะให้ดู แสดงฤทธิ์ให้ดู 
ก็จะขอตอบว่า บารมีพระในสมัยนี้ต่างจากสมัยพุทธกาล บางองค์ทำได้แต่ไม่แสดงให้รู้ ให้รู้กันเฉพาะศิษย์ บางองค์ก็ทำไม่ได้
พระที่แสดงฤทธิ์ทำปาฏิหารย์ได้ในปัจจุบันก็น้อยกว่าสมัยพุทธกาลครับ
และพระพุทธเจ้าท่านมีความเห็นเกี่ยวกับการแสดงฤทธิ์ ตามพระสูตรนี้จะเห็นว่าท่านไม่สรรเสิญเพราะไม่เป็นไปเพื่อพ้นทุกข์
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=256&Z=432&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=94
สมาธิเป็นของสากล ส่วนวิปัสสนานั้น มีเฉพาะในศาสนาพุทธศาสนาอื่นไม่มี คนพุทธเองก็ไม่ค่อยรู้ ซึ่งน่าสลดสังเวชยิ่ง ของดีเจาะแทงทำลายความทุกข์ร้อนกังวนใจ มีอยู่ในศาสนาตนเองแท้ๆ แต่ก็ไม่รู้จักศึกษาใช้เอามาปราบทุกข์ใจให้ตน และผู้อื่นในเครือญาติครอบครัวที่มีทุกข์ 
วิปัสสนาเป็นคำสอนที่ ผู้ปฏิบัติตามแล้ว ทุกข์มีแต่จะสิ้นไปหมดไป เบาบางไป น้อยลงไป อย่างอรรศจรรย์ ถ้าถึงขั้นทำที่สุดแห่งทุกข์ คือไม่มีทุกข์ทางใจอย่างถาวร อันนี้ก็จบกิจสำเร็จเป็นพระอรหันต์ถึงจุดหมายปลายทางในพุทธศาสนา มรณะภาพแล้วก็นิพพาน ถึงซึ่งบรมสุขคือความดับไปแห่งกองทุกข์ขันธ์ทั้งหลาย ก็ขอกล่าวเพียงย่นยอแค่นี้กับนิพพาน
ผู้ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า ย่อมกล้าทำบาปใหญ่ได้
มีการฆ่า การปล้น การโกง เป็นต้น เพราะไม่เชื่อว่าจะมีนรกมีสถานที่ลงทัฑณ์ที่โหดร้ายแบบนั้น พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะได้ตรัสรู้ธรรมขั้นสูง หลายภพชาติที่ผ่านมาของท่าน ท่านเคยเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกระทำบาปกรรม จนเป็นเหตุให้ไปเกิดในนรก 
ท่านก็เอามาเล่าให้สาวกฟังว่า เราไม่เคยเห็นการจองจำลงทัฑณ์อื่นใด ที่เจ็บปวด แสบเผ็ด โหดร้าย ทรมาณ ทารุณเหมือนในนรกเลย จึงเตือนสาวกทั้งหลายของท่านอย่าได้ประมาท ให้รีบทำความเพียรในกุศลที่เป็นไปเพื่อหลุดพ้น และอายุในนรกก็ไม่ใช่น้อยๆ 1 วันในนรกขุมที่ตื้นที่สุด ก็เท่ากับ เวลา 9 ล้านปีของมนุษย์เรา จึงจะเป็น1วันของนรกขุมตื้นที่สุดนี้ ดังนั้น จะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ถ้าทำชั่วแล้วไปตกนรกนี่ถือว่าซวยมากครับ
ในทางพุทธผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าคือสวรรค์นรกเปตร ถือว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นที่ผิดมาก ซึ่งมิจฉาทิฏฐิแล้ว ถ้าไม่มีการทำทาน ไม่มีการรักษาศีล โทษของมันก็คือ ทำให้เข้าถึงนรกหรือกำเนิดเดรัจฉานได้ อันนี้คือคำตอบตามคำสอนพระพุทธเจ้า ดังนั้นต้องแก้ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อเรื่องโลกหลังความตาย จะได้มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อันเป็นกุศลใหญ่
ก็ขณะที่ร่างกายไหลไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา เราจะเพลิดเพลินกับโลก กับแสงสีเสียงกลิ่นรส ไปวันๆแค่นั้นหรือ” 
คนเราเกิดมา มาใช้ร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน เสพกาม แล้วก็ตายแค่นั้นหรือ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา
เราจะหาแต่ทรัพย์ทางโลกอย่างเดียว โดยไม่แสวงหาประโยชน์ที่แท้จริงของตนในทางธรรมเลยหรือ หรือมัวหลงไปแต่กับธรรมของโลก เขาแต่งรถ เราก็ต้องแต่งรถ เขามีกิ๊ก เราก็ต้องมีกิ๊ก เขาโกง เราก็ต้องโกง เขามีบ้านหลังใหญ่ เราก็ต้องมีหลังใหญ่ เขามีแฟน เราก็ต้องมีแฟน เขาแต่งงาน เราก็ต้องแต่งงาน จนเป็นทุกข์เพราะการตามธรรมของโลกียะ
 ประโยชน์ที่แท้จริงของมนุษย์ที่เกิดมาอยู่ชั่วคราวร้อยปีนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกไว้แล้วว่า ขณะมาอยู่ชัวคราวนี้ให้สร้างคุณงามความดีในบารมีขั้นต่างๆ ให้มาก ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา อันเป็นแก่นแท้ เพราะร่างกายนี้ไม่มีแก่นสารหรอก ถึงจะตกแต่งให้มันหล่อให้มันสวยแค่ไหน สุดท้ายมันก็เน่าเล๊ะตุ้มเปะตายเหม็น ไม่เหลือความทรงตัวความหล่อความงามไว้ได้เลย เพราะแก่นสารมันอยู่ที่จิตที่ใจ ผู้ใดทำจิตใจให้เป็นบุญเป็นกุศลได้นั่นแหละคือแก่สารแท้
ความสวยหาใช่แก่นไม่ จิตใจที่ดีงามเปี่ยมด้วยความเมตตาและไผ่ในกุศต่างหากจึงจะใช่แก่น ความหล่อก็หาใช่แก่นไม่ ถ้าหล่อแล้วจิตใจโหดเหี่ยมทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน กินข้าวแล้วก็ข่มเหงรังแกผู้อื่น อย่างนี้ถือว่าใช่ความหล่อจากบุญเก่าไปในทางผิดไม่เป็นประโยชน์แล้ว
การมียศการมีตำแหน่งมีเก้าอี้ใหญ่ให้นั่ง เก้าอี้ไม่ได้มีไว้ให้ทำชั่วแก่คนหมู่มาก แต่มีไว้ให้ทำคุณงามวามดีแก่คนหมู่มากอันเป็นบารมีใหญ่ให้ตน ไม่ใช่ให้ทำบาปใหญ่ให้ตน เหมือนเทวทัต เทวทัตจุดจบนรก2กัป มันธรรมดาเหรอสิ่งที่ทำกับคนหมู่มากไม่ใช่ของเล่นๆนะ เพราะถ้าเป็นทางดีก็เป็นบุญบารมีใหญ่มาก ถ้าทางไม่ดีก็ตรงกันข้ามเป็นมหาอกุศลบาปใหญ่มาก
และการที่ใครก็ตามถ้าได้มาเจริญสมถะ(ความสงบ)ให้เป็นฐานของวิปัสสนา(เห็นไตรลักษณ์ในทุกข) จะเป็นห้วงบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่หลวงมาก มาเกิดขึ้นที่ใจเขา เปรียบเสมือนห้วงน้ำจากมหาสมุทรทั้งสี่ไหลมารวมลงที่เดียวกัน ฉันใดห้วงบุญกุศลบารมีใหญ่หลวงนั้น ก็มาเกิดขึ้นรวมอยู่ที่ใจเขาอย่างหาประมาณมิได้
เมื่อท่านก็รู้อย่างนี้แล้ว ว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของเล่น ท่านก็จงอย่าทำเล่นๆกับชีวิตนะ ถ้านับถือพุทธก็ควรศึกษาวิธีเจริญวิปัสนาให้เป็น เห็นความทุกข์กังวนใจไม่เที่ยง ทุกข์จึงจะครอบงำท่านไม่ได้ และทุกข์นั้นมีแต่จะสิ้นไปๆหดหายไปๆ จนบรรลุโสดาบัน รอดพ้นจากอบายภูมินรกถาวร
เพราะคนพุทธเป็นอันมากยังไร้จุดหมายที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต
ยังมัวใช้ชีวิตปล่อยไปตามเวรตามกรรมอย่างไม่รู้เหตุไม่รู้ผล
ถ้าว่า ได้เกิดมามีรูปร่างกายที่ดี มีใบหน้าที่สวย ยิ้มได้อย่างมั่นใจ
หรือเกิดเป็นชายที่รูปร่างหน้าตาดี หล่อเท่มีฐานะที่ดีมั่น
 ก็คิดกันว่าเป็นความบังเอิญที่โชคดีจริงๆ หรือใครมาบันดานให้ช่างดีจริงๆ
ที่เราได้เกิดมามีหน้าตาแบบนี้มีครอบครัวแบบนี้ 
 แต่ความจริงหารู้เหตุรู้ผลไม่ ว่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากสักแค่ไหน 
ต้องเคยทำกุศลกรรมตั้ง 10 ข้อ มาก่อน (กรรม แปลว่า การกระทำ) จึงมีสิทธิ์ในการเข้าครรภ์มาเกิด
การที่ได้มาซึ่งความเป็นมนุษย์ทั้งร่างนี้ที่กำลังหายใจอยู่ นั้นก็แสดงว่าเราทุกคนในหลายชาติที่ผ่านมาต้องเคยทำกรรมด้านกุศลมาก่อน จึงมีสิทธิ์มาเข้าท้องคนได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเข้าไปสิงอยู่ในอสุจิและไข่ได้ (ภาษาชาวบ้านน่าจะเข้าใจง่ายกว่า ไซโกส)
การเกิดเป็นมนุษย์ จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิหรือเข้าท้องไปสิงอยู่ในอสุจิและไข่ แต่ว่าไม่ใช่ว่าวิญญาณทุกดวงจะสามรถเข้าไปปฏิสนธิหรือสิงอยู่ในอสุจิและไข่ได้ เพราะกฎแห่งกรรมเขาจะอนุญาตเฉพาะจิตวิญญาณที่มีกุศลกรรมบทสิบ หรือมีศีลเล็กน้อยเท่านั้น กฎแห่งกรรมจึงจะอนุญาตให้ไปปฏิสนธิในครรภ์สตรีได้ ศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องหาเวลารักษา ชักชวนคนรักคนรู้จักมารักษาศีล ถ้าไม่มีศีลก็หมดสิทธิ์ในการเกิดเป็นมนุษย์นะ
ถ้าหากเอาบุญจากการให้ทานอย่างเดียว ไม่เอาบุญจากการรักษาศีลเลย ก็จะไปเข้าท้องสัตว์เดรัจฉานตัวเมียเกิดเป็นลูกสัตว์เดรัจฉาน 
เช่น พวก เป็ด ไก่ วัว มด แมลงสาบ สุนัข ช้าง โค ม้า เป็นต้น ในที่นี้ขอยกเอา ช้าง มาอุปมาอธิบายให้เข้าใจว่า “การไม่มีศีลเลย แต่ทำทานมาก” วิบากตามที่พระพุทธเจ้าตรัสจะเป็นอย่างไร
 พระพุทธเจ้าพูดกับพราหมณ์ว่า :พราหมณ์ ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มักโลภ มักพยาบาท มีความเห็นผิด แต่เขายังให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของช้าง แต่เขายังได้ข้าว น้ำ มาลา และเครื่องประดับต่างๆ ในกำเนิดช้างนั้น. 
 พราหมณ์ ! ข้อที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นผิด ด้วยกรรมนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของช้าง และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ให้ข้าว ... เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ด้วยกรรมนั้นเขาย่อมได้ข้าว น้ำ มาลาและเครื่องประดับต่างๆ ในกำเนิดช้างนั้น. 
 ... ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของม้า ... . ... ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของโค ... . ... ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสุนัข ... .
หมาตัวที่เป็นอยู่สบาย เช่นหมาในบ้านคนรวย หมาในวัดที่พระท่านเมตตาคุกอาหารเหลือให้กิน ก็เพราะบุญเก่าจากการให้ทานค้ำชูล่อเลี้ยงไว้ อันนี้ก็คือ ให้ทานมาก แต่ไม่รักษาศีลเลย แม้ประมาณน้อยก็ไม่รักษาเลยศีล 
 คนพาลอยากไปเกิดเป็นเดรัจฉาน แล้วไม่ขาดแคลนโภคทรัพย์หรืออาหาร นี้คือหนึ่งในหนทางที่จะทำให้เข้าถึง
และแย่กว่านั้นอีกคือศีลก็ไม่รักษา ทานก็ไม่ทำ วิบากจะเป็นอย่างไร คนที่แย่กว่าหมาตัวนี้ก็คงจะมีมาก คือบุญจากการให้ทานก็ไม่ทำ บุญจากการรักษาศีลก็ไม่ทำ วิบากอย่างหนักคือเกิดในนรก วิบากอย่างเบาก็คือ คุณเดินไปตามถนนก็คงจะเคยเห็นพวกหมาจรจัดหมาขี้เลือน เป็นตุ่มเป็นหมัด ผอมแห้ง อดๆอยากๆ 
ซอกหากินตามถังขยะเน่าไม่มีอันจะกิน เป็นต้น ซึ่งแตกต่างกับหมาที่มีเจ้าของเลี้ยงให้สบาย
 มีอาหารอันเลิศรสให้กิน มีชุดหมาอันแสนอบอุ่นให้ใส่ ในบ้านที่แสนน่าอยู่
นี่ก็คือผลของการ 
ไม่ทำทานเลย
ไม่รักษาศีลเลย
ไม่เจริญจิตภาวนาเลย
 ดังนั้นเราควรจะทำ ๓ อย่างนี้ให้ครบ แม้ทำนิดหน่อยก็ยังดี แม้ทำพอประมาณก็ยังดี 
ถ้าในภพหน้าเรากลัวยากจนขาดแคลน เราต้องทำทานนะ
ถ้าในภพหน้าเรากลัวว่าจะไม่ได้ร่างกายแบบอัตตาภาพมนุษย์นี้อีก เราต้องหาเวลารักษาศีลให้ได้ 
(ตัวอย่างคนในสมัยพุทธกาลฆราวาสเขาจะสมาทานรักษาศีล๕ ในเฉพาะวันพระ นี่ก็คือเขาเตรียมกายในชาติหน้าไว้) 
(และอีกพวกจะสมาทานรักษาศีลอุโบสถ ๘ ในวันหนึ่งและคืนหนึ่ง #อยู่จำอุโบสถ ในที่นี้หมายถึงอธิษฐานอยู่จำอุโบสถศีล 
อุโบสถศสีลมี ๓ อย่างคือ
 ๑. ปกติอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเฉพาะวันที่กำหนดไว้ ในปัจจุบันนี้กำหนดเอาวันพระ คือวัน ๘ ค่ำและ ๑๕ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
 ๒. ปฏิชาครอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันครั้งละ ๓ วัน คือถือเอาวันที่กำหนดไว้ในปกติอุโบสถเป็นหลัก
 แล้วเพิ่มรักษาก่อนกำหนด ๑ วัน เรียกว่าวันรับ และหลังวันกำหนดอีก ๑ วัน เรียกว่าวันส่ง เช่นวัน ๘ ค่ำเป็นวันรักษาปกติอุโบสถ
 ผู้ที่จะรักษาปฏิชาครอุโบสถ ก็เริ่มรักษาตั้งแต่วัน ๗ ค่ำไปสิ้นสุดเอาเมื่อสิ้นวัน ๙ ค่ำ คือรักษาในวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำและ ๙ ค่ำ รวม ๓ วัน ๓ คืน 
อย่างเช่นวันพระตรงกับวันอาทิตย์ จะเริ่มรักษาตั้งแต่วันเสาร์ตอนเช้าไปจนถึงวันอาทิตย์ ไปจนถึงวันจันทร์ ไปจนถึงวันอังคารตอนเช้าค่อยออก
 ๓. ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเป็นประจำทุกวันตลอดพรรษา ๓ เดือนอย่างหนึ่ง ถ้าไม่อาจรักษาได้ตลอด ๓ เดือนก็รักษาให้ตลอด ๑ เดือน หลังจากออกพรรษาแล้ว คือรักษาในกฐินกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ อย่างหนึ่ง ถ้ายังไม่อาจรักษาได้ตลอด ๑ เดือน ก็รักษาเพียงครั้งละครึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงสิ้นเดือน ๑๑ อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า ปาฏิหาริยปักขอุโบส ศีลอุโบสถนั้นเป็น ศีลรวม หรือ ศีลพวง 
คือมีองค์ประกอบถึง ๘ องค์ ถ้าขาดไปองค์ใดองค์หนึ่งก็ไม่เรียกว่า ศีลอุโบสถ ตามพุทธบัญญัติ เพราะฉะนั้นการล่วงศีลอุโบสถเพียงข้อใดข้อเดียว ก็ถือว่าขาดศีลอุโบสถ เพราะเหลือศีลไม่ครบองค์ของอุโบสถศีล พูดง่ายๆว่าขาดศีลองค์เดียว ขาดหมดทั้ง ๘ องค์
ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลจึงต้องสำรวมระวังกาย วาจา เป็นพิเศษ (องฺ.ติก.อ. ๒/๓๘/ ) 
ดังนั้นเราควรหาเวลารักษาศีลและเจริญจิตภาวนาเพื่อประโยชน์ของเราเอง
ก็คือสรุปว่า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ จะต้องเป็นจิตวิญญาณที่เคยทำบุญด้วยการรักษาศีล๕ ศีล๘ ได้ครบทุกข้อมาก่อน จึงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ได้
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ! บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการ อย่างไรเล่า ? คือ 
(๑) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน 
(๒) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีล 
(๓) บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยภาวนา 
 ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานนิดหน่อย 
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลนิดหน่อย ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นผู้มีส่วนชั่วในมนุษย์. 
อธิบายว่า (คำว่า "ส่วนชั่ว" นี้ คือ ๒ นัยยะความหมายนี้ คือ 
 ๑. บุคคลบางคนในโลกนี้
บังเกิดในสกุลต่ำ คือ สกุลจัณฑาล สกุลคนเป่าปี่ (ขอทาน)สกุลนายพรานป่า 
หรือสกุลกุลีเทหยากเยื่อ ซึ่งเป็นสกุลที่ยากจน มีข้าวน้ำโภชนาหารน้อย มีความเป็นไปฝืดเคือง
มีของกินและเครื่องนุ่งห่มหาได้โดยฝืดเคือง และเขาเป็นคนมีผิวพรรณหม่นหมองไม่น่าดู ต่ำเตี้ย
มากด้วยความป่วยไข้ เป็นคนบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นโรคอัมพาตหาข้าวน้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม 
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องตามประทีปไม่ได้
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมเป็นผู้ขาดแคลนในเรื่องเกี่ยวกับพวก อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม โภคทรัพย์ เงินทอง เป็นต้น
 ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเราก็คือ เขามีไม่พอใช้จ่ายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทำนู้นทำนี้นั้นเอง 
 นี่ก็เพราะวิบาก(ผล)ของการให้ทานนิดหน่อย(ทานนิดหน่อยไม่ได้หมายถึง ให้น้อยนิดนะครับ 
แต่หมายถึงให้สม่ำเสมอ เช่นตื่นเช้าใส่บาตรพระด้วยข้าวสวยร้อนๆซ้อนเดียว เป็นประจำทุกวัน
 นี่เรียกว่าทานมาก แม้วัตถุทานจะไม่มาก ส่วนพวกที่ให้ไม่สม่ำเสมอ นานๆครั้งจึงให้ เวลาให้ก็วัตถุทานมาก
 พวกนี้เป็นพวกที่ให้ปริมาณมาก พวกนี้บุญจะให้ผลใหญ่และหมดเร็ว อุปมาเหมือนกับกระแสคลื่นน้ำ
 คนที่ให้เป็นประจำสม่ำเสมอย่อมมีคลื่นกระทบฝั่งเซาะกิเลสสม่ำเสมอ ส่วนคนที่ให้วัตถุมากนานๆครั้งที 
ก็เหมือนบุรุษยกก้อนหินใหญ่โยนลงน้ำเกิดคลื่นวงใหญ่ไปกระทบฝั่งเซาะกิเลสครั้งเดียวแล้วก็หมดคลื่น แล้วคลื่นก็สงบ 
ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ การให้ทานก็เหมือนกับการทำความเพียรทำลายกิเลส ผู้ให้น้อยแต่ให้สม่ำเสมอก็มีคลื่นไปทำลายกิเลสได้สม่ำเสมอ 
ส่วนผู้ให้มากแต่ไม่สม่ำเสมอก็เหมือนกับมีคลื่นใหญ่ครั้งเดียวทำลายกิเลสแล้วก็หมดคลื่น ในสองคนนี้มีข้อดีต่างกัน
ถ้าคนแรกให้มากและสม่ำเสมอ โดยไม่ทุกข์ ถือว่าเยี่ยม
ถ้าคนที่สองให้สม่ำเสมอ และมาก โดยไม่ทุกข์ ถือว่าเยี่ยม แต่ในพระสูตรนี้ ทานนิดหน่อย ทรงหมายถึงผู้ที่ให้ไม่สม่ำเสมอ)
๒. เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาที่ทราม มีผิวพรรณที่ไม่ดี ไม่น่าดู ไม่น่าชม ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ 
ร่างกายไม่สมส่วน แขนไม่เท่ากัน ขาไม่เม่ากัน นิ้วด้วน ขาบิดแขนเบี้ยว ตาเหล่ ตาเข ปากแหว่ง มีปานดำใหญ่บนใบ้หน้า 
มีหน้าอัปลักษณ์มีผมหยิกเหมือนยักษิณี หน้าก็ไม่สวย หรือถ้าเป็นชายก็ไม่หล่อและขี้เหล่มาก หรือพิการส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นต้น นี่ก็เพราะวิบากของการรักษาศีลนิดหน่อย) 
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานพอประมาณ 
ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลพอประมาณ ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
 เมื่อตายไป เขาย่อมเข้าถึงความเป็นผู้มีส่วนดีในมนุษย์.
อธิบายว่า (คำว่า "ส่วนดี" นี้ คือ ๒ นัยยะความหมายนี้ คือ)
๑.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาย่อมเป็นผู้ ปานกลาง ในเรื่องเกี่ยวกับพวก อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม โภคทรัพย์ เงินทอง เป็นต้น 
ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเราก็คือ เขามีพอใช้จ่ายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทำนู้นทำนี้นั้นเอง สรุปก็คือ ไม่จน และไม่รวยถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐี 
นี่ก็เพราะวิบากของการให้ทานพอประมาณ
๒.เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมมีรูปร่างที่สมส่วนดีแบบปานกลาง มีหน้าตาที่งามแบบปานกลาง มีผิวพรรณดีแบบปานกลาง
 ถ้าเป็นชายก็หล่อแบบปานกลาง ผิวพรรณดีแบบปานกลาง ถ้าเป็นหญิงก็สวยก็งามแบบปานกลาง มีผิวพรรณดีแบบปานกลาง
 ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเราก็คือ ถ้าเป็นชายก็ไม่ขี้เหล่และไม่หล่อมาก ถ้าเป็นหญิงก็ไม่ขี้เหล่และไม่สวยมาก เป็นต้น นี่ก็เพราะวิบากของการรักษาศีลพอประมาณ)
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง
 ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป 
เขาย่อมเข้าถึงสวรรค์(ชั้นใดชั้นหนึ่ง) ๑ คือจาตุมหาราชิกา และเขาย่อมมีอำนาจเหนือพวกเทวดาเหล่าจาตุมหาราชิกาโดยฐานะ ๑๐ ประการ 
คือ อายุทิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์(สัมผัสที่เป็นทิพย์ )
เขาย่อมเข้าถึงสวรรค์ชั้น๒ คือดาวดึงส์ และเขาย่อมมีอำนาจเหนือพวกเทวดาเหล่าดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการ
 คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์(สัมผัสที่เป็นทิพย์ )
เขาย่อมเข้าถึงสวรรค์ชั้น๓ คือยามา. และเขาย่อมมีอำนาจเหนือพวกเทวดาเหล่ายามาโดยฐานะ ๑๐ ประการ
 คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์(สัมผัสที่เป็นทิพย์ )
เขาย่อมเข้าถึงสวรรค์ชั้น๔ คือดุสิต. และเขาย่อมมีอำนาจเหนือพวกเทวดาเหล่าดุสิตโดยฐานะ ๑๐ ประการ
 คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์(สัมผัสที่เป็นทิพย์ )
เขาย่อมเข้าถึงสวรรค์ชั้น๕ คือนิมมานรดี. และเขาย่อมมีอำนาจเหนือพวกเทวดาเหล่านิมมานรดีโดยฐานะ ๑๐ ประการ 
คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์(สัมผัสที่เป็นทิพย์ )
เขาย่อมเข้าถึงสวรรค์ชั้น๖ คือปรนิมมิตวสวัตตี. และเขาย่อมมีอำนาจเหนือพวกเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัตตี โดยฐานะ ๑๐ ประการ 
คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์(สัมผัสที่เป็นทิพย์ )
(และเมื่อหมดอายุไข ตาย(จุติ)จากความเป็นเทวดา ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมเป็นผู้มีความไม่ลำบากในเรื่องเกี่ยวกับพวก อาหาร
 ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม โภคทรัพย์ เงินทอง เป็นต้น ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเราก็คือ ไม่จน ไม่ปานกลาง แต่มีมากมายมหาศาลเลย นี่ก็เพราะวิบากของการให้ทานมีประมาณยิ่ง
และทางด้านร่างกาย ย่อมสมบูรณ์ ย่อมสมส่วนทุกประการ ถ้าเป็นชายก็หล่อมากหล่อยิ่งนัก ถ้าเป็นหญิงก็สวยก็งามมากยิ่งนัก)
ส่วนมาก เราจะเห็นหรือรู้ได้เลยว่า คนที่มีหน้าตาไม่ดี มีมากกว่า คนที่มีหน้าตาดี 
ก็เพราะมนุษย์ส่วนมาก ไม่มีศีลไม่มีธรรม 
คิดจะสร้างบาปด้วยกายก็ทำ คือ ฆ่า ลัก ข่มขืนกรรมสิทธ์ของผู้อื่น(คือพ่อแม่) 
คิดจะสร้างบาปด้วยวาจาก็พูด คือ พูดโกหก พูดยุให้คนแตกกันทะเลาะกัน พูดคำหยาบเสียดแทงทำร้ายจิตใจผู้อื่น 
พูดเพ้อเจ้อมั่วไร่สาระไม่มีประโยชน์ทำให้คนอื่นเสียเวลาฟัง พูดคำที่ไร้ประโยชน์ได้ทั้งวัน เป็นต้น
คิดจะสร้างบาปด้วยใจก็ทำ คือ ละโมบโลภมากอยากจะขโมยของๆผู้อื่น อาฆาตพยาบาทจองเวรผู้อื่น มิจฉาทิฏฐิเห็นธรรมผิดเข้าใจธรรมที่ผิดประพฤติสิ่งที่ผิดต่อธรรม
ส่วนมาก เราจะเห็นหรือรู้ได้เลยว่า คนจนนั้น มีมากกว่า คนรวย
ก็เพราะมนุษย์ส่วนมาก มีความตระหนี่ไม่ชอบให้ทาน เห็นแก่ตัวไม่อยากให้ทานเอื้อเฟือเผื่อแผ่ใคร เน้นเอาอย่างเดียวเน้นรับอย่างเดียว ไม่เน้นให้ไม่เน้นสละออกไปเพื่อทาน
ส่วนมาก เราจะเห็น คนโง่ไร้ปัญญา มีมากกว่า คนที่ฉลาดมีปัญญา
ก็เพราะมนุษย์ส่วนมาก มีความความเกียจคร้านไม่สนใจใฝ่ศึกหาความรู้ทั้งจากการอ่านและการฟังและการถาม 
ไม่กระตือรือร้นในการที่จะอ่านและการฟังและการถาม กับทั้งไม่ชอบบอกความรู้ที่ตนมีให้คนอื่นได้รู้ตาม 
และยังมีกรรมที่ ไปขัดขวางผู้อื่นด้วยกายด้วยวาจาไม่ให้เขาได้ศึกษาหาความรู้ ทางกาย 
 เช่น พวกโจรใต้ไปเผาโรงเรียนไม่ให้เด็กๆได้เรียนหนังสือเลย หรือไปยิงครู ยิงผู้ที่มีหน้าที่ให้ความรู้
ทางวาจา เช่น ไปพูดเยาะเย้ยเพื่อนที่ทำแบบฝึกหัดผิด หรือพูดเยาะเย้ยเพื่อนที่สอบตก
 จนเขาหมดกำลังใจ ถอดใจ ขอยอมโง่ไม่เรียนแล้วลาออกไปเลย ทำให้เขาไม่ได้พัฒนาให้มีความรู้เลย เป็นต้น 
ดังเราจะเห็นส่วนมาก เรามักจะพูดให้เพื่อนว่า ไอ้โง่ ไอ้ปรึก ไอ้ความรู้ห่างอึง เจตนาเหยียดหยามหรือไม่ก็ตาม
 พอเข้าหูเพื่อนแล้ว เพื่อนเขาท่อใจเศร้าใจนั่นแหละ เป็นกรรมแล้ว เมือมีกรรมก็จะมีวิบาก(คือผล)ของการพูดไม่ดี ตามให้ผล
 บางที่อาจให้ผลในชาตินี้เลย หรือให้ผลในชาติหน้า หรือให้ผลในชาติถัดๆไป นี้คือหลักการหรือเงือนไขในการให้ผลของกรรม จะมีแค่ ๓ เงือนไขนี้
ดังนั้น จงพูดแต่วาจาที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี 
ดังนั้นอย่าลืมด้านกุศล 3 นี้เด็ดขาด ทาน ศีล ภาวนา 
จงทำทานไปเถิด บุญที่เกิดจากการให้ทาน ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน แต่มันจะให้ผลใน๓ข้อนี้
๑ เวทนียกรรม ให้ผลในปัจจุบันแบบทันตาเห็นเลย(ให้ผลในชาตินี้)
๒ อุปปัชชเวทนียกรรม ให้ผลในภพชาติหน้า
๓ อปรปริยายเวทนียกรรม ให้ผลในภพชาติถัดๆต่อ ๆ ไป
บุญจากให้ทาน บุญจากการรักษาศีล และบุญจากการภาวนา มีส่วนให้ผลทั้งในปัจจุบันและภพในอนาคต
ผู้ที่ทำทานแล้ว ผลแห่งทานให้ผลสนองคืนในชาตินี้ทันตาเห็นเลย ถ้าสิ่งนำไปทานคือพวกอาหาร เช่นก้อนข้าวที่เราใส่บาตให้พระทุกวัน
 คือผิวพรรณเราจะดีขึ้นสว่างขึ้น ส่วนมากเกิดจากการให้ทานกับพระอริยะเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ 
ท่านเหล่านี้ถ้าเป็นพระก็มุ่งภาวนาตัดกิเลสอย่างเดียว ไม่มีเพลิดเพลินจมไปกับเรื่องทางโลกหรอก
ส่วนมากท่านจะบำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าในเขา
เหมือนหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงพ่อชา เป็นต้น
การรักษาศีลก็เช่นเดียวกัน บุญที่เกิดจากการรักษาศีลก็ให้ผลในเงื่อนไข ๓ ข้อดังกล่าวเช่นกัน
บางคนหน้าตาไม่ค่อยดีลองรักษาศีล จิตใจข้างในมันก็พลอยดีบริสุทธิ์ไปด้วย มันก็ส่งผลออกมาโชว์ภายนอกคือรูปร่างหน้าตาผิวพรรณสว่างดีขึ้น 
เป่งปรั่งมีน้ำมีนวล มีสง่าราศี, มีผิวพรรณผ่องใส อย่างน่าอัศจรรย์
อันนี้คือบุญมีส่วนในการให้ผลในปัจจุบัน และจะให้ผลในชาติหน้าอีก ไม่ใช่ให้ผลในชาตินี้แล้วจบ
แต่ว่าชาตินี้อาจจะไม่พลิกแบบว่า หน้าแบบตุ๊กกี้หรือหน้าแบบหม่ำ พลิกไปเป็น หน้าสวยแบบนางเอกละคร
 หรือพระเอกละครที่หน้าหล่อๆนะ ถ้าหวังแบบนี้ระวังจะหมดศรัทธาเด้อ เพราะมันเปลี่ยนไปขนาดนั้นไม่ได้ 
แต่ว่า จะรู้สึกในปัจจุบันได้เองว่า ผิวหน้าผิวกายเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น ผิวพรรณเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น และสังเกตดูว่า
 จะมีคนอื่นมาทักว่าหน้าตาผิวพรรณเปลี่ยนไปในทางดี อันนี้คือชาติปัจจุบันที่จะประจักษ์กับอานิสงค์ของศีล ส่วนชาติหน้าก็จะสวยแน่นอนหรือหล่อแน่นอนตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้
"บุคคลที่รักษาศีลชื่อว่า เป็นผู้มีอภัยทาน ผู้ที่มีอภัยทานย่อมไม่มักโกธร เหมือนนาง สิริมหามายา 
ที่เป็นผู้งดงามมากเพราะเป็นผู้มีศีล๕บริสุทธิ์มาแต่เดิมแล้ว" อันนี้คือธรรมะที่อนุโลมอรรถ ถ้าไปค้นในพระไตรปิฎกจะไม่เจออักษรนี้
ว่าด้วยการภาวนา (สมถะและวิปัสสนา)
การภาวนา (หรือคำว่า "ภาวนา" มาจากภาษาบาลี ซึ่งเมื่อแปลเป็นไทย จะมีความหมายว่า "พัฒนา") 
เมื่อนำคำว่า"ภาวนา"มารวมกับคำว่า "จิต" ก็จะได้คำใหม่ออกมาว่า "จิตตะภาวนา" 
ซึ่งแปลว่า พัฒนาจิต,อบรมจิตให้สูงขึ้น, ฝึกจิตให้อยู่เหนือกิเลส,เป็นต้น)
เรามักจะได้ยินพระท่านเทศว่า "วันนี้จะมาสอนเรื่องการ"เจริญจิตภาวนา" ความหมายท่านก็คือมาพัฒนา
 ยกระดับจิตหรืออบรมจิตให้สูงขึ้น ให้อยู่เหนือกิเลส จนหลุดพ้นจากกิเลสที่เป็นเหตุทำใจให้เศร้าหมองเป็นทุกข์ นั้นเอง
โดยการรู้สภาวะอารมณ์ที่เกิดจาก ๖ ช่องทางนี้ แล้วทำยังไงจึงจะไม่มีทุกข์มาก หรือเมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้วจะทำยังไงกับมัน
6 ทางนี้ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๑.เมื่อตาได้เห็นรูปภาพต่างๆทั้งหลายแล้ว จะทำอย่างไร ใจจึงจะไม่มีความทุกข์เพราะการเห็น .จึงจะไม่ผิดศีลเพราะการเห็น..! 
เช่น เราเห็นแฟนเราเดินควงแขนไปกับคนอื่น แล้วเกิดความโกธรทุกข์ร้อนอกร้อนใจขึ้นมา อยากจะไปฆ่าให้ตายทั้งสองคน
เราก็เพียงแค่สักแต่ว่าเห็น และมีขันติอดทนสังเกต ดูอารมณ์ทางใจที่เป็นทุกข์ดูความคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ กูจะฆ่าพวกมึงสองคนให้ตาย เสียเวลาที่กูไว้ใจ เป็นต้น
เราจะเห็นเลยว่าความโกธรเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่ถูกเรารู้ถูกเราดู อยู่ห่างๆ 
แม้แต่ความคิดเราก็จะเห็นเลยว่า มันไม่ใช่เรา มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผ่านมาเหมือนสายน้ำแล้วก็ผ่านไป 
เราจะเห็นเลยว่ามันเกิดขึ้นมาชั่วคราวแล้วหายไป ความกังวนก็ไม่ใช่เรา ความน้อยใจก็ไม่ใช่เรา 
เราจะเห็นเลยว่ามันเป็นคนละอันกันกับเรา 
๒.เมื่อหูได้ยินเสียงต่างๆทั้งหลายแล้ว จะทำอย่างไร ใจจึงจะไม่ความทุกข์เพราะเหตุว่าได้ยินเสียง ..!
เช่น เสียงเขาด่าว่าให้เรา ใจมีความโกธรเกิดขึ้น เราก็เพียงแค่สังเกตเข้าไปที่ใจเลย จะเห็นเลยว่า ความโกธรไม่ใช่เรา ความหงุดหงิดไม่ใช่เรา 
ความโกธรเป็นอีกสิ่งหนึ่ง คนละอันกับเรา มันเกิดขึ้นมาเพราะผัสสะไม่ใช่เราเป็นคนโกธร
๓.เมื่อจมูกได้รู้กลิ่นต่างๆทั้งหลายแล้ว จะทำอย่างไร ใจจึงจะไม่มีความทุกข์เพราะได้รู้กลิ่น ..!
๔.เมื่อลิ้นได้รับรู้รสชาติต่างๆทั้งหลายแล้ว จะทำอย่างไร ใจจึงจะไม่มีความทุกข์เพราะได้รู้รส ..!
๕.เมื่อผิวกายถูกต้องสัมผัสสิ่งต่างๆทั้งหลายแล้ว จะทำอย่างไร ใจจึงจะไม่มีความทุกข์ เพราะเหตุว่าถูกต้องกับสัมผัสทางผิวกายทั้งหลาย ..!
และเมื่อใจถูกต้องกับความทุกข์แล้ว ทำอย่างไร ทุกข์จึงจะเคลื่อนหายไปจากใจได้ไว ทุกข์จึงจะแปรปรวนดับหายไปอย่างไว ..?
"ผมจะไม่ตอบว่า ต้องภาวนาทำเหมือนผมนะ ต้องปฏิบัติเหมือนผมนะ ทุกข์จึงจะดับออกไปจากอกจากใจได้ไว วิธีอื่นอื่นอย่าไปทำ" 
ไม่เลย..ผมจะไม่ตอบแบบนี้
 เพราะอะไร ก็เพราะแต่ละคนนั้นมีจริตนิสัยหรืออุปนิสัยวาสนาบารมีไม่เหมือนกัน วิธีภาวนาจึงต้องต่างกันออกไปตามความถนัดของจิต
สำหรับผมกรรมฐานที่ถนัดกับจิต ก็คือการ กำหนดรู้เวทนา รู้สุข รู้ทุกข์ ที่มันขยันมาให้รู้ขยันมาให้ดู แล้วทุกข์มันก็ค่อยๆแปรปรวนหายไป กลายเป็นความว่างให้รู้แทน 
จากนั้นความว่างก็หายไป สลับกันไปสลับกันมาไม่แน่ไม่นอนของมัน สุขก็ขยันมาให้รู้ขยันมาให้ดู แล้วสุขมันก็ค่อยๆแปรปรวนหายไป กลายเป็นความว่างให้รู้แทน 
จากนั้นความว่างก็หายไป สลับกันไปสลับกันมาไม่แน่ไม่นอนของมัน ก็เท่านี้แหละครับง่ายๆ แต่เมื่อภาวนาไปเรื่อยๆจะมีความเข้าใจถูกต้องว่า
มันกับเราคนละอันกัน ความทุกข์ทางกายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนเราเป็นจิตผู้รู้ อยู่คนละฝั่งกับมันเลย
มันกับเราคนละอันกัน ความสุขทางกายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนเราเป็นจิตผู้รู้ อยู่คนละฝั่งกับมันเลย
มันกับเราคนละอันกัน ความสุขที่มาให้เห็นทางใจ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ส่วนเราเป็นจิตผู้รู้ อยู่คนละฝั่งกับมันเลย
มันกับเราคนละอันกัน ความทุกข์ที่มาให้เห็นทางใจ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนเราเป็นจิตผู้รู้หรือผู้เห็น อยู่คนละฝั่งกับมันเลย
ทั้งสุขและทุกข์ถ้าจะเปรียบเทียบ มันก็เหมือนงูเห่าตัวหนึ่งนั่นแหละ
ส่วนห่างคือสุข ส่วนหัวคือทุกข์
ถ้าจิตไปยึด( สิ่งที่ถูกรู้ คือ ความสุขว่าเป็นจิตเสียแล้ว เขาย่อมไม่หลุดพ้นไปจากตัวงูทั้งตัวได้
ถ้าจิตไปยึด(สิ่งที่ถูกรู้ คือ ความทุกข์ว่าเป็นจิตเสียแล้วเขาย่อมไม่หลุดพ้นจากตัวงูทั้งตัวได้
ทั้งสุขและทุกข์ถ้าจะเปรียบเทียบ มันก็เหมือนงูเห่าตัวหนึ่งนั่นแหละ
ได้ยินเสียงเขาด่า เขานินทา มีความทุกข์คับแค้นเกิดขึ้นมาให้รู้ แต่เขากลับไปยึดความทุกข์ ซึ่งทั้งๆที่ความทุกข์มันไม่ใช่อันเดียวกันกับจิตเลย 
ผู้ที่ไปยึด ..โง่ฉิบหาย..เลยวะ..โง่ระดับมหาโง่.. (ซึ่งผมว่าให้ตนเอง แม้ผมเองตอนที่ยังไม่มีใครสอนภาวนา ก็ยึดหมดทั้งสุขทั้งทุกข์ว่าคืออันเดียวกันกับเรา ว่าคือเรา
 แต่เมื่อได้ฟังธรรมะสอนเจริญจิตภาวนาของจริงซึ่งอยู่ใน แผ่นนี้โฟรเดอรที่ 5 และอยู่ในแผ่นที่ ๒ ทั้งหมด จึงหายโง่ไปเปราะหนึ่ง :) )
ถ้าจิตเราอยู่ใต้กิเลส ความทุกข์เพราะคำด่าเพราะคำนินทาก็จะเกิดขึ้น แต่เมื่อเรารู้มัน มันจะอยู่เหนือเราไม่ได้
ส่วนผู้ใดอบรมจิตให้พยามยามอยู่เหนือกิเลสอยู่เหนือความสุขเหนือความทุกข์ ต่อไปความทุกข์ก็จะสั้นลงๆเรื่อยๆ จนไม่มี
แม้รถสุขมาก็ไม่เพลินหลงเข้าไปนั่ง จนมันขับหนีไปเอง เพราะเราไม่ขึ้นนั่นเอง
แม้รถทุกข์มาก็ไม่เพลิดเพลินหลงเข้าไปนั่ง จนมันขับหนีไปเอง เพราะเราไม่ขึ้นนั่นเอง
อันนี้คืออุปมาให้เห็นสภาวะทุกข์ สภาวะสุข ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่ถูกเรารู้
ฉะนั้น สภาวะอารมณ์ใดๆก็ตามที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราต้องมีสติกำหนดรู้มัน โดยการทำในใจว่า "มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู"
อารมณ์เป็นสุข มันเป็นสิ่งที่ถูกจิตดูถูกจิตรู้
อารมณ์ที่เป็นทุกข์ มันก็เป็นสิ่งที่ถูกจิตดูถูกจิตรู้
อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่จะมาให้รู้ในอนาคตก็ไม่เที่ยง แม้อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏให้รู้ ณ ปัจจุบันก็ไม่เที่ยง
ผลของการภาวนาได้ระยะหนึ่ง จะเห็นผลทางรูปธรรมและนามธรรม 
1. ทางรูปธรรม คือผิวกายผิวพรรณและผิวหน้าจะดีขึ้น สดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 
เพราะเลือดฝาดมันไหลมาล่อเลี้ยงดี จึงทำให้หน้าตาผิวพรรณผ่องใสสว่างเป็นธรรมมาชาติ นี่ก็เพราะด้วยอำนาจของสมาธิภาวนานั้นเอง 
สมาธิมี2ชนิด 1. สมาธิแบบสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว 2. สมาธิแบบตั้งมั่นเป็นผู้รู้หรือเป็นผู้ดูอารมณ์ต่างๆ 
ซึ่งสมาธิแบบที่สองนี่แหละที่คนส่วนมากสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
2 ส่วนทางนามธรรม จิตจะพบความสุขชนิดหนึ่งที่ไม่เคยเจอในชีวิตมาก่อน และอยากจะให้คนอื่นพบความสุขชนิดนี้มาก
 จะเห็นคุณของพระศาสนามาก ที่มีการสอนภาวนาให้เห็นความไม่เที่ยงทางใจ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนหลุดออกจากทุกข์ จนทุกข์หลุดออกจากใจ 
และนอกจากนี้การภาวนายังมีส่วนให้จิตมีสติปัญญาเกิดขึ้นจิตฉลาดกว่าเดิมนั่นเอง
และเมื่อเราเจริญจิตภาวนาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า 
จิตจะบรรลุ ๔ โลกุตรธรรม สี่ขั้นนี้
จิตจะบรรลุขั้นที่๑ เป็นจิตแบบโสดาบัน (เราจะกลายเป็นบุคคลที่ รอดพ้นจากอบายภูมิ๔ได้อย่างถาวร คือพ้นแล้วจากการที่ต้องไปเป็นเปตร พ้นแล้วจากการที่ต้องไปเป็นเดรัจฉาน พ้นแล้วจากการที่ต้องไปเป็นอสูรกาย ภพที่จะต้องเกิดก็จะมีแค่ สวรรค์ และโลกมนุษย์ เท่านั้น ก็ถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จทางจิตในขั้นต้น รอดพ้นจากขุมนรกอบายได้อย่างถาวร ไม่มีสิทธิไปปฏิสนธิในนรก ไปเกิดในนรกไม่ได้เลย แม้เปตร เดรัจฉาน อสูร ก็ในทำเดียวกันไม่มีสิทธ์ตีตั๋วไป)
จิตจะบรรลุขั้นที่๒ เป็นจิตแบบกสกิทาคามี (รอดพ้นจาก อบายภูมิ๔ เหมือนกัน ภพที่เกิด เกิดในเทวาโลก และมนุษย์โลก เท่านั้น
จิตจะบรรลุขั้นที่๓ เป็นจิตแบบอนาคามี (รอดพ้นจาก อบายภูมิ ๔ เหมือนกัน ภพที่เกิด เกิดในพรมโลกเท่านั้น )
จิตจะบรรลุขั้นที่๔ เป็นจิตแบบอรหันต์ ( รอดพ้นจาก อบายภูมิ ๔ เหมือนกัน และกระผมขอไม่อธิบาย สภาวะของอรหันต์ สภาวะของนิพพาน เพราะกลัวอธิบายผิด อธิบายผิดแล้วเดี๋ยวคนจะไม่อยากบรรลุอรหันต์ ไม่อยากปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ เพราะคิดว่า พระอรหันต์ท่านตายแล้วสูญ นิพพานแล้วสุญ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้อย่างนั้นเลย
นิพพาน เป็นบรมสุข เป็นความที่ทุกข์ดับไป ต่างหาก


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น 
นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้นเป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลิน มิได้แล้ว จักเย็น(มรณะภาพ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล
(ธาตุสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๒๒๒/๑๙๒)
นิพพานธาตุ ๒
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนั้น ภิกษุจำนวนมากก็เหมือนกัน ถ้าแม้ยังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความเต็มของนิพพานธาตุย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์
(พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๗/๔๖๑/๑๘๔)
นิพพานก็มีความหมายดังที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้แล
และอยากฝากไว้
การภาวนาทำได้ทุกเวลาไม่ขึ้นอยู่กับกาลกับเวลา เวลาใดก็ได้ที่เราสามารถมีสติรู้กายมีสติรู้ใจตนเองได้ เวลานั้นแหละคือเวลาภาวนา ยกเว้นตอนขับรถ ตอนฟังเสียงครูสอนหนังสือ
และในระยะเวลาที่เป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่นี้ เราควรจะเปลี่ยนจุดหมายทางใจใหม่เสีย จากที่คิดว่า 
จะใช้ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ทำงานหาเงินหาทองมาใช้เลี้ยงชีพและครอบครัว และรวบรวมสะสมไว้มากๆ แล้วก็ทำพินัยกรรมแบ่งโภคทรัพย์ ให้ลูกหลาน
 เมื่อยามสิ้นลมหายใจแล้วก็ให้ตกเป็นของลูกของหลานไป ส่วนเราก็ตายไปแบบ ขาดทานศีลภาวนา มันคุ้มหรือไม่
ที่เราไม่แสวงหาประโยชน์ภายในของตนเลย ไม่คุ้มเลย เกิดมาทำงานเหนื่อยแทบเลือดตากระเด็นเพื่อแลกกับโภคทรัพย์ 
จนชีวิตดำเนินมาถึงบั้นปลาย หนังก็เหี่ยว ฟังธรรมะก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เงอะๆงะๆ พึ่งจะหวนมาหา ทานศีลภาวนา ผมว่าไม่คุ้มเท่าไร่เลยฮะ
ทางที่ดีถ้ายังไม่มีพันธะมาก แนะนำควรสละเรือนสละหน้าที่การงานออกบวชเสีย ในแต่ละวันจะได้มีเวลาใช้ภาวนามาก 
และเมื่อบวชแล้วอย่าอยู่จำวัดที่วัดบ้าน 
เพราะวัดบ้านกิจที่ไม่ใช่การภาวนาเยอะมาก ซึ่งเสียเวลาอันมีค่ามหาศาลมากในการภาวนา 
ควรบวชแล้วไปอยู่วัดป่าที่เงียบๆที่ท่านสอนภาวนา สอนเดินจรงกรม ในแนวทางเหมือนหลวงปู่มั่นสอน
หรือหากยึดการงานมาก ออกบวชไม่ได้ ก็ควรจะภาวนาควบคู่ไปด้วยกับการงานในชีวิต 
อย่าได้เสียทีที่ได้เกิดมาเจอพุทธศาสนา เจอวิธีการเจริญวิปัสสนาภาวนาของบุรุษที่รู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างคือพระพุทธเจ้า
พระองค์รู้ด้วยว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระองค์ได้รู้ด้วยพระสัพพัญญูตะญาญ(ญาญรู้สิ่งทั้งปวงรูุ้ทุกเรื่องรู้ทุกอย่าง) อะไรที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ที่สุด มนุษย์ควรจะตักเอาอะไรในขณะที่เกิดมา
พวกเราคือพวก(ไม่มีตาคือตาบอด ไม่มีสัพพัญญูตญาญเหมือนท่าน ไม่รู้เลยว่าได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วควรจะคว้าเอาอะไรที่เป็นประโยชน์ที่สุด
แต่ถ้าพวกเรามีตาคือมีสัพพัญญูตญาญ รู้ทุกอย่าง เราก็จะเลือกความพ้นทุกข์คือนิพพานอย่างแน่นอน เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ที่สุด
แต่ว่าตอนนี้ก็มีผู้บอกทางที่เป็นประโยชน์ที่สูงสุดแล้วไม่ใช่หรอ ทางที่ปฏิบัติให้เข้าถึงนิพพาน โดยปฏิบัติตามคำสอนท่าน
ทำไมเราต้องไม่อยากได้ประโยชน์ที่แท้จริงด้วยนะ แต่กลับไปถือเอาแต่ประโยชน์ทางโลกอย่างท่าเดียว เหมือนคนมีตาเดียว
ประโยชน์ที่แท้จริงมีอยู่3ข้อ
1 เอาตัวเองให้บรรลุธรรมก่อน(ใน4ขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์)
2 ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคตเพื่อที่จะช่วยชี้ธรรมให้สรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดออกจากทุกข์
3 ปราถนาเป็นพระปัจเจก คือบรรลุธรรมที่สิ้นทุกข์เอง
ฉะนั้น
จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ปฏิบัติภาวนาทางจิตควบคู่ไปทุกวันไปจนตายนะ
ผู้ใดมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเชื่อคำสอนพระองค์อยู่แล้ว ไม่ต้องอ่านหัวข้อข้างล่างนี้ต่อไปนี้ก็ได้นะครับ
พระพุทธเจ้ารู้จริงหรือ
อยากจะยกหลังฐานมาประกอบว่าพระพุทธเจ้ามีจริง 
เพราะคนสมัยนี้ฉลาดมาก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าขาดหลักฐาน
ขอให้อ่านให้จบก็แล้วกัน
ขอยกเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูทธิคำสอนนะครับ สิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ก่อนวิทยาศาสตร์ก็คือ จะขอยกแค่ 2 เรื่อง 
คือเรื่องภายในกับเรื่องภายนอก
1.เรื่องภายใน คือเรื่องลำดับการเกิดเป็นมนุษย์ ตั้งแต่มีวิญญาณมาปฏิสนธิ จนมีการเจริญเติบโตขึ้น .....ปฏิสนธิ หมายถึงการเกิดขึ้นของมนุษย์และสัตว์
 แต่ในทางพุทธศาสนา มีคติที่แตกต่างไปจากวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องการตายแล้วเกิด
องค์ประกอบในการเกิดมนุษย์
ใน มหาตัณหาสังขยสูตร พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1 . มาตา อุตุนี โหติ มารดามีระดู
2 . มาตาปีตโร สนฺนิปติตา โหนฺติ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
3 . คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ มีสัตว์มาเกิด
(ม . มู 12 / 452 / 487)
"ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดู แต่คันธัพพะยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มี
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย(ก็คือร่วมเพศกัน) มารดามีระดูด้วย(ก็คือเป็นประจำเดือนแล้วมีไข่สุกแล้วด้วย)
 คันธัพพะก็ปรากฏด้วย (ก็คือจิตวิญญาณจากภพอื่นมาสิง*กลละ) เพราะความประชุมพร้อมแห่งเหตุปัจจัย 3 ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี"
และสูตรนี้ [๒๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาอินทะกูฏ 
เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น อินทกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
 “ ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า รูป(ร่างกาย) ไม่ใช่ ชีวะ(จิต)
 สัตว์นี้จะมีร่างกายนี้ได้อย่างไรหนอ
 กระดูกและก้อนเนื้อมาจากไหน
 สัตว์นี้จะอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร”
 {๘๐๓} พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
 รูปนี้เป็นกลละก่อน*
 จากกลละเกิดเป็นอัพพุทะ*
 จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ (ชิ้นเนื้อเล็ก)
 จากเปสิเกิดเป็นฆนะ (เป็นก้อน)
 จากฆนะเกิดเป็นปุ่ม ๕ ปุ่ม ต่อจากนั้นผมขนและเล็บจึงเกิดขึ้น มารดาของสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์นั้น
 บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด
 สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดานั้น
 ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปในครรภ์
 ด้วยข้าวน้ำโภชนาหารอย่างนั้น
๑ กลละ หมายถึงรูปละเอียดมีลักษณะกลมใส ขนาดเท่าหยดน้ำมันที่ติดอยู่บนขนแกะซึ่งเหลือจากการสบัด ๓
 ครั้ง (สํ.ส.อ. ๑/๒๓๕/๒๘๔, สํ.ฏีกา ๑/๒๓๕/๓๒๖)
๒ อัพพุทะ หมายถึงรูปละเอียดที่เกิดถัดจากกลละนั้นไป ๗ วัน มีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ มีลักษณะเหมือนดีบุก
 เหลว (สํ.ส.อ. ๑/๒๓๕/๒๘๕, สํ.ฏีกา ๑/๒๓๕/๓๒๖)
๓ ปุ่ม ๕ ปุ่ม หมายถึงในสัปดาห์ที่ ๕ เกิดเป็นปุ่ม ๕ ปุ่ม คือ แขน ๒ เท้า ๒ ศีรษะ ๑ (สํ.ส.อ. ๑/๒๓๕/๒๘๕)
ถ้าเปรียบเทียบศัพท์ต่างยุค ไซโกทคงเทียบเท่ากับกลลรูป สำหรับคำว่า ‘กลละ’ นั้นบาลีว่าเป็นหยาดน้ำใสขนาดกระจิริด สมัยนั้นคนยังไม่เข้าใจเรื่องมาตราวัดเป็นหน่วยมิลลิเมตร 
 เลยต้องอาศัยวิธีสร้าง กลละเทียมๆขึ้นมาให้เห็นว่าขนาดเท่าไหน คือเอาขนสัตว์ที่ละเอียดมากๆอย่างขนจามรีในภูเขาหิมาลัยมาจุ่มน้ำมันงา 
จุ่มแล้วสลัดเจ็ดครั้ง น้ำมันงาเหลือติดขนจามรีอยู่แค่ไหนก็คือขนาดและลักษณะที่คล้ายคลึงกับกลละ มีคนทดลองสลัดน้ำมันงาจากขนจามรีเจ็ดครั้ง 
ก็ปรากฏว่าได้ขนาดเท่าไซโกทจริงๆ! คิดดูนะครับ คำว่า‘กลละ’ เป็นพุทธวจนที่สืบทอดกันมาหลายพันปี ไม่ใช่เพิ่งมีใครบัญญัติขึ้นตามเทคโนโลยีใหม่ 
แปลว่าพระพุทธองค์ท่านมีวิธีรู้ที่ไม่อาศัยเครื่องมือช่วยเหมือนสมัยเรา ซึ่งทุกวันนี้ความรู้ทางแพทย์ก็ยืนยันว่าท่านตรัสไว้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน”
ในเมื่อพระองค์รู้แจ้งรูปธรรมระดับจุลภาคด้วยใจ เรื่องอื่นเช่นการมาปฏิสนธิของวิญญาณ รวมทั้งการกำหนดขอบเขตการเริ่มภาวะแห่งชีวิตมนุษย์ 
พระองค์ก็น่าจะถูกด้วย และธรรมมะที่พระองค์ทรงสอนทั้งหมด เรื่องบุญบาป สวรรค์อบายนรก เปตรผี ก็คงจะถูกต้องด้วย“
2.เรืองภายนอก คือเรื่องภายนอกโลก พระองค์รู้ว่า ในจักรวาลนี้ มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มากมาย เป็นแสนโกฏิจักรวาล (โกฏิหนี่งก็เท่ากับสิบหกล้าน)
ซึ่งพระองค์รู้ได้อย่างไร เพราะอินเดียในสมัยนั้นก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะสามารถสร้างยานอวกาศออกไปนอกโลกได้ 
แม้กล้องส่องดูดาวอย่างสมัยปัจจุบัน(กล้องอี-อีแอลที)ที่สามารถส่องไปดูนอกโลกได้ไกลมาก ดูกาแลกซี่ทางช้างเผือกได้ 
กล้องแบบนั้นก็คงไม่น่าจะมีในยุคสมัยพุทธกาล ส่วนผู้ที่มีศรัทธาในพระองค์ก็คงจะไม่สงสัย เพราะพระพุทธองค์มีสัพพัญญูตญาญรู้สิ่งทั้งปวง และในสมัยนั้นถ้าพระพุทธองค์พูดว่า โลกเป็นผู้เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์ คนก็คงจะไม่เชื่อแต่จะหาว่าพระองค์เป็นบ้าไปเสียแล้ว “ก็เห็นๆอยู่ว่า ตอนเช้าดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนขึ้นมา ตอนกลางวันดวงอาทิตย์ก็ตั้งฉากอยู่บนหัว ตอนเย็นดวงอาทิตย์ก็กำลังเคลื่อนตกดิน พระสมณะโคดมนี่พูดโกหกเพ้อเจ้อไปเสียแล้ว” ก็จะมีผลกระทบต่อพระธรรมคำสอน พระองค์นั้นเป็นมนุษย์ที่ฉลาดก็คงเห็นว่าควรกล่าวอนุโลมตามภาษายุคสมัยนั้น 
หนึ่งโลกธาตุในความหมายของพระองค์ ก็คือดวงอาทิตย์มันแผ่แสงรัศมีออกมาได้กว้างเท่าไร นั่นแหละเรียกว่า 1 โลกธาตุ 
 ซึ่งถ้าเทียบกับวิทยาศาสตร์แล้ว ก็คือ 1 กาแล็กซี่นั้นเอง 
ผมขอยกพระสูตรที่สืบทอดกันมาสองพันห้าร้อยกว่าปี มาให้อ่านนะครับ
จูฬนีสูตร จากหนังสือพระไตรปิฏก
ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว 
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกร อานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศ สว่างไสวรุ่งโรจน์ 
โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์ พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มี อปรโคยานทวีปพันหนึ่ง 
มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มี มหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มี เทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง 
มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพัน หนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มี พรหมโลกพันหนึ่ง 
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลก คูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาล
 โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้าน จักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล 
ดูกรอานนท์ ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ
 อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่
ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่ พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ
 พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่าง
ใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ 
เมื่อนั้น พระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุ อย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง 
หรือพึงทำให้รู้ แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ
 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์
 มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้ กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า
 ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้า ศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มี-
พระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์
ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง
 พึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
จบอานันทวรรคที่ ๓
สรุปจากพระสูตรนี้
 โลกธาตุอย่างเล็กมี พันจักรวาล
 โลกธาตุอย่างกลาง คูณด้วยพันโลกธาตุอย่างเล็ก คือ 1 ล้านจักรวาล
 โลกธาตุอย่างใหญ่ คูณด้วยพันโลกธาตุอย่างกลาง คือ 1 พันล้านจักรวาล(แสนโกฏิจักรวาล)
วิเคราะห์ทางดาราศาสตร์ในปัจจุบัน
 1. ระบบสุริยะจักรวาลของดาวฤกษ์ต่างๆ เช่นดังดวงอาทิตย์-โลกที่เราเห็นอยู่.
 2. กาแลคชี้ คือกลุ่มดาวที่อยู่รวมกันเป็นเอกเทศของตนเอง กาแลคชี้แต่ละกาแลคชี้จะอยู่ห่างไกลกันมาก ขนาดกาแลคชี้ก็แบ่งเป็นขนาดเหมือนกันคือ
 กาแลคชี้ขาดเล็ก (มีกลุ่มดาวฤกษเป็นพันเป็นหมื่น ที่เป็นเอกเทศ) 
 กาแลคชี้ขาดใหญ่ (มีหลายๆ ล้านจักรวาลอยู่ภายใน เช่นกาแลคชีทางช้างเผือกของเรา)
 กาแลคชี้ขนาดชุปเปอร (เกิดจาก กาแลคชี้ขนาดเล็กและใหญ่ ดึงดูดมาร่วมกันกลายเป็นกาแลคชี้ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ)
ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว พุทธ-ดาราศาสตร์
จักรวาล ก็คือ สุริยะจักรวาล นั้นเอง.
โลกธาตุ ก็คือ กาแลคชี้ หรือกลุ่มดาวที่อยู่รวมกลุ่มกันเป็นพันขึ้นไป
อ้างอิง[แก้]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต จูฬนีสูตร สุตตันตะปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม 1 ภาค 3 หน้า 431
สุริยสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 214
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพาน
แต่ความจริงที่เด็ดกว่านั้นที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นด้วยตาทิพย์นั้นไม่ใช่แค่ดวงดาวและกาแล็กซี่ที่อยู่ในกาแลคซี่อื่น 
แต่พระองค์ยังเห็นและนำมาบอกว่า มีสวรรค์ มีนรกซ้อนอยู่ในจักรวาลมากมาย แต่ละโลกธาตุ(กาแล็กซี่)
 จะมีสวรรค์ จะมีพรมโลก จะมีโลกมนุษย์ จะมีโลกเปตร จะมีนรก อยู่ในโลกธาตุนั้นๆ 
แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยมังสะจักษุ(ตาเนื้อ) แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยทิพย์จักขุ(ตาทิพย์)ทั้งใกล้และไกลเห็นได้หมด
คือโลกธาตุ 1 ในความหมายของพระองค์ ก็คือ 1กาแล็กซี่ในความหมายของวิทยาศาสตร์
1โลกธาตุนี้ จะมีสวรรค์ จะมีนรก จะมีดวงจันทร์ 1 ดวง จะมีดวงอาทิตย์ 1ดวง และดาวโลกมนุษย์แบบเรา1ดวง
 และดวงดาวอื่นๆที่อยู่ในแสงรัศมีดวงอาทิตย์ที่แผ่ไปถึง นี้เรียกว่า 1 โลกธาตุ(กาแล็กซี่)
และที่เด็ดกว่านั้นอีกคือพระองค์รู้ด้วยว่า ทำกรรมอย่างไรจึงเป็นเหตุให้เข้าถึงโลกนั้นๆ เช่น ทำกรรมอย่างไรจึงเป็นเหตุให้เข้าถึงสวรรค์เมื่อตายแล้ว 
ก็ต้องทำกุศลกรรมบทสิบ หรือทานศีล เมือตายแล้วจักรวาลจึงจะเหวี่ยงให้ไปเกิดในสวรรค์มีกายทิพย์ได้กายทิพย์ หรือกรรมจัดให้ไปเกิดในสวรรค์นั้นเอง 
ส่วนนรกถ้าทำแต่อกุศลกรรมบทสิบ หรือไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล กรรมก็จะให้ไปเกิดในนรก เป็นต้น
ดังนั้น พระองค์รู้โลกภายนอกขนาดนี้ แสดงว่าธรรมะพวกบุญบาป กรรมดีกรรมชั่ว นิพพาน ที่พระองค์เอามาสอนทุกตัวอักษรในพระไตรปิฏกทั้งหมดนั้นก็ล้วนเป็นความจริงทุกอย่างทุกประการ
 ไม่ใช่มั้วนุ่มนิ่มแต่งขึ้นหลอกเด็ก หวังลาภสักการะแต่อย่างใด แต่ล้วนรู้ด้วยสัพพัญญูตญาณ 
แม้แต่ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนที่กล่าวว่า คนมาจากลิง มีวิวัฒนาการมาจากลิง แต่พระพุทธเจ้าผู้มีสัพพัญญูกับตรัสว่า คราวที่โลกแตกสลายเพราะดวงอาทิตย์ 7 มาปรากฏอยู่ในกาแล็คซี่เดียว
โลกก็ร้อนระอุ จนสลาย จากนั้นใช้เวลานานนับหลายกัปเลยที่โลกเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นโลกอีกครั้ง
 เมื่อโลกเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว มีพรหมพวกหนึ่งจุติ(ตาย) ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ อุบัติเป็นมนุษย์เต็มตัวเลย 
ไม่มีมวารหนัก ไม่มีทวารเบา ก็คือไม่มีอวัยวัยเพศ ไม่รูถ่ายอุจจาระ และมีปิติทางใจเป็นอาหาร 
แต่ต่อมาเริ่มทำบาปอกุศลพูดให้กันว่าให้กัน อวัยวะเพศจึงปรากฏ เป็นแบบชายบ้าง แบบหญิงบ้าง 
รูทวารหนังจึงปรากฏ เมื่อปรากฏมีเพศแล้วบางพวกก็ร่วมเพศกันจนตั้งท้อง การเกิดของมนุษย์ก็เลยเปลี่ยนไป 
เป็นการเกิดเหมือนในปัจจุบันที่เห็นกันอยู่ คือร่วมเพศกัน ให้อสุจิและไข่ผสมกัน และมีจิตวิญญาณจากภพอื่นมาปฏิสนธิหรือมาสิงอยู่ในไข่และอสุจิรวมกัน 
 นี่ก็คือวิวัฒนาการความเป็นมาของมนุษย์ในทางพุทธศาสนา
ว่ากันเรื่องดวงอาทิตย์ต่อ
ลองอ่านพระสูตรนี้ให้จบนะ เป็นสูตรที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ 7 ดวงทำลายโลก
(อุปมาแห่งการคำนวณความเป็นอนิจจัง)
ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง (อนิจฺจ); ภิกษุ ท. ! สังขาร
ทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน (อธว); ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไร
ไม่ได้ (อนสฺสาสิก). ภิกษุ ท. ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขาร
ทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! ขุนเขาสิเนรุ(ภูเขาทิพย์ที่ตั้งของสวรรค์ทั้งหกชั้นที่ซ้อนอยู่ในกาแลกซี่ ผู้ใดปราถนาจะเห็นต้องทำสมาธิให้ได้ตาที่สาม) โดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐
โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นจากผิวพื้นสมุทร
๘๔,๐๐๐ โยชน์ :-
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลาย
แสนปี ที่ฝนไม่ตกเลย. เมื่อฝนไม่ตก (ตลอดเวลาเท่านี้). ป่าใหญ่ๆอัน
ประกอบด้วยพืชคามภูตคามไม้หยูกยาและหญ้าทั้งหลาย ย่อมเฉา ย่อมเหี่ยวแห้ง
มีอยู่ไม่ได้ (นี้ฉันใด); ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขาร
ทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.ภิกษุ
ท. ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลาย
กำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราว โดยการล่วงไปแห่ง
กาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่สอง ย่อมปรากฏ. เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สองปรากฏ,
แม่นํ้าน้อย หนอง บึง ทั้งหมดก็งวดแห้งไป ไม่มีอยู่ (นี้ฉันใด); ภิกษุ ท. ! สังขาร
ทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืนฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็น
สิ่งหวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายใน
สังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราว โดยการล่วงไปแห่ง
กาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่สาม ย่อมปรากฏ. เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สามปรากฏ,
แม่นํ้าสายใหญ่ๆ เช่นแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ทั้งหมดก็งวดแห้งไป
ไม่มีอยู่ (นี้ฉันใด); ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขาร
ทั้งหลาย ไม่ยั่งยืนฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งหวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น.
ภิกษุ ท. ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อ
จะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราว โดยการล่วงไปแห่ง
กาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่สี่ ย่อมปรากฏ. เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สี่ปรากฏ, มหา
สระทั้งหลาย อันเป็นที่เกิดแห่งแม่น้ำใหญ่ๆเช่นแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู
มหี มหาสระเหล่านั้นทั้งหมดก็งวดแห้งไป ไม่มีอยู่ (นี้ฉันใด); ภิกษุ ท. !
สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืนฉันนั้น, สังขาร
ทั้งหลาย เป็นสิ่งหวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะ
เบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อย
วาง.
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราว โดยการล่วงไปแห่ง
กาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่ห้า ย่อมปรากฏ. เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าปรากฏ, นํ้า
ในมหาสมุทรอันลึกร้อยโยชน์ ก็งวดลง น้ำในมหาสมุทรอันลึก สอง - สาม - สี่ -
ห้า - หก - เจ็ดร้อยโยชน์ก็งวดลง เหลืออยู่เพียงเจ็ดชั่วต้นตาล ก็มี เหลืออยู่เพียง
หก - ห้า - สี่ - สาม - สอง กระทั่งหนึ่งชั่วต้นตาล ก็มี งวดลง เหลืออยู่เพียงเจ็ด
ชั่วบุรุษ ก็มี เหลืออยู่เพียง หก - ห้า - สี่ - สาม - สอง - หนึ่ง กระทั่งครึ่งชั่วบุรุษ
ก็มี งวดลง เหลืออยู่เพียงแค่สะเอว เพียง แค่เข่า เพียง แค่ข้อเท้า กระทั่ง
เหลืออยู่ ลึกเท่านํ้าในรอยเท้าโค ในที่นั้นๆเช่นเดียวกับน้ำในรอยเท้าโคเมื่อฝน
เม็ดใหญ่เริ่มตกในฤดูสารท ลงมาในที่นั้นๆ. ภิกษุ ท. ! เพราะการปรากฏแห่ง
อาทิตย์ดวงที่ห้า นํ้าในมหาสมุทรไม่มีอยู่แม้สักว่าองคุลีเดียว. (นี้ฉันใด);
ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืนฉันนั้น,
สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งหวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เพียงเท่านี้ก็
พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้ว
เพื่อจะปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราว โดยการล่วงไปแห่ง
กาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่หก ย่อมปรากฏ. เพราะความปรากฏแห่งอาทิตย์ดวง
ที่หก, มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ ก็มีควันขึ้น ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น เปรียบเหมือน
เตาเผาหม้อ อันนายช่างหม้อสุมไฟแล้ว ย่อมมีควันขึ้นโขมง ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น
ฉะนั้น (นี้ฉันใด); ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย
ไม่ยั่งยืนฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งหวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุ ท. !
เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลาย
กำหนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราว โดยการล่วงไปแห่ง
กาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่เจ็ด ย่อมปรากฏ. เพราะความปรากฏแห่ง อาทิตย์
ดวงที่เจ็ด, มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ ย่อมมีไฟลุก โพลงๆ มีเปลวเป็นอัน
เดียวกัน. เมื่อมหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ อันไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่อย่างนี้ เปลว
ไฟถูกลมซัดขึ้นไป จนถึงพรหมโลก. ภิกษุ ท. ! เมื่อขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาอยู่
ไหม้อยู่ วินาศอยู่ อันกองไฟท่วมทับแล้ว, ยอดทั้งหลายอันสูงร้อยโยชน์บ้าง
สอง - สาม - สี่ - ห้าร้อยโยชน์บ้าง ก็พังทำลายไป. ภิกษุ ท. ! เมื่อมหาปฐพีนี้
และขุนเขาสิเนรุอันไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่, ขี้เถ้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ เหมือนเมื่อ
เนยใส หรือน้ำมันถูกเผา ขี้เถ้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ ฉะนั้น (นี้ฉันใด); ภิกษุ
ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืนฉันนั้น,
สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งหวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว
เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะ
ปล่อยวาง.
ภิกษุ ท. ! ในความข้อนั้น ใครจะคิด ใครจะเชื่อ ว่า “ปฐพีนี้และ
ขุนเขาสิเนรุ จักลุกไหม้ จักวินาศ จักสูญสิ้นไปได้” นอกเสียจาก พวกมีบทอัน
เห็นแล้ว.(มีอนาคตังสญาญ คือ ญาญหยั่งรู้อนาคต)
- สตฺตก. อํ ๒๓/๑๐๒ - ๑๐๕/๖๓.
เขียนความคิดเห็น...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น