วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

อุปกรณ อวัยวะเครื่องกรองเสียงในลำคอสตรีหญิง ช่างพิสมัยนักทำให้เสียงออกมา ทำให้สัตว์ พวกบุรุษปัญญาทรามติดหลงไหล ว่าเสียง นั้นเป็นเสียงจริงทั้งที่ยิ่งเวลาผ่านไป เนื้อกรองเสียงยิ่งเสื่อมลงแล้วเสียงมันจะใส แว่วๆ ได้อย่างไร"เหตุ มาจาก ฟังเสียงผู้หญิง ในละคร จิตจักรพรรดิ์ "มะแม"#คำคมที่ควรได้คือบุรุษสตรีที่โง่ ย่อมเข้าใจผิดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงจริงในตัวกรองเสียงหาได้เป็นอย่างที่ออกมาไม่แล้วก่อนจะมีเสียง ก็มีสังขาร เป็นเหตุแม้สังขารก็ไม่เทียง

อุปกรณ อวัยวะเครื่องกรองเสียง
ในลำคอสตรีหญิง ช่างพิสมัยนัก

ทำให้เสียงออกมา ทำให้สัตว์ พวกบุรุษปัญญาทรามติดหลงไหล ว่าเสียง นั้นเป็นเสียงจริง

ทั้งที่ยิ่งเวลาผ่านไป เนื้อกรองเสียงยิ่งเสื่อมลง
แล้วเสียงมันจะใส แว่วๆ ได้อย่างไร

"เหตุ มาจาก ฟังเสียงผู้หญิง ในละคร จิตจักรพรรดิ์ "มะแม"

#คำคมที่ควรได้คือ
บุรุษสตรีที่โง่ ย่อมเข้าใจผิดว่า
เสียงนั้นเป็นเสียงจริง

ในตัวกรองเสียงหาได้เป็นอย่างที่ออกมาไม่

แล้วก่อนจะมีเสียง ก็มีสังขาร เป็นเหตุ

แม้สังขารก็ไม่เทียง
__________
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าถึงเรื่องการสวดมนต์ ไหว้พระให้พระเณรฟังว่า

" การสวดมนต์ไหว้พระนั้น ถึงแม้ว่าเราจะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงก็ตาม พวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาเขามีหูทิพย์ตาทิพย์ เขาก็จะได้ยินเสียงที่เราสวดมนต์ไหว้พระด้วยพระสูตรต่าง ๆ เมื่อเขาได้ยิน เขาก็จะเกิดความปีติยินดีในการสวดมนต์ไหว้พระกับเรา เขาก็จะพากันมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเราด้วย ถ้าจิตเราสงบลงไปบ้างสักเล็กน้อย เราก็จะได้ยินเสียงที่เขามาอนุโมทนากับเรา เสียงที่เขาเปล่งสาธุการนั้นมันดังปานฟ้าสิถล่มทลายลงมาทับดิน "
_____________
โลหิตโค้ด เบ็ดเสร็จไม่เกิน 500 บาท
แบบพัสดุธรรมดา 473บาท


ในบัญชี มี 3,629 บาท

สั่งหนังสือการตูนธรรม 1,128 บาท
ก็จะเหลือเงิน 2213 บาท



2เล่มต่างหาก288บาทรวมค่าส่ง

3,659 บาท


470เล่ม = 2350 บาท

เงินเหลือ1309บาท


สั่งหนังสือการตูนธรรมะประมาน4เล่ม 806 บาท

เหลือ 503 บาท

สั่งหนังสือคุณดังตฤณ ให้ห้องสมุดโรงเรียน
1เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับคัดสรร
2รักแท้มีจริง
3คำตอบในfacebook
4เสียดายตนตายไม่ได้อ่าน
336บาท


สมเด็จพระสังฆราช วิธีสร้างบุญบารมี 480 เล่ม ) 2400บาท

รวมทั้งหมด 3542 บาท
เหลือเงินอยู่ 117บาท
ค่ารถ ไป50 มา50 
เหลือ17ซื้อน้ำปานะฉัน
เหลือ7บาท
เก็บไว้รอโครงการ

2000 บาท ได้ 400เล่ม

เหลือ = 1659 บาท

ชาวบ้านหนองยอ 270 หลังคา
เหลือ130เล่ม

30 เล่มให้วัดดู่ใน

เหลือ100เล่ม ให้วัดโนนผักหวาน 30 เล่ม

เหลือ80เล่ม ให้วัดโพนขวาว30เล่ม

เหลือ50เล่ม ให้ครูในโรงเรียน 30 เล่ม

เหลือ20เล่ม ให้อนามัย 10 เล่ม

เหลือ 10 เล่ม
ให้ญาติ โยมย่าบ้านโพนขวาว
โยมป้าต้อย

ครูโรงเรียนจิกดู่ 30 ท่าน
ครูโรงเรียนหนองยอ 20ท่าน
ครูโรงเรียนโนนผักหวาน 15ท่าน
ครูโรงเรียนโพนขวาว 15ท่าน
ครูโรงเรียนหัวตะพาน 50ท่าน
ครูโรงเรียนสร้างถ่อ 20ท่าน
ครูโรงเรียนหนองไหล15ท่าน
ครูโรงเรียนไผ่ใหญ่30ท่าน
ครูโรงเรียนม่วงสามสิบ30ท่าน
ครูโรงเรียนบ้านผือ15ท่าน
______________
๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้
สัญญา ๑๐ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑
อนัตตสัญญา ๑ 
อสุภสัญญา ๑ 
อาทีนวสัญญา ๑
ปหานสัญญา ๑ 
วิราคสัญญา ๑ 
นิโรธสัญญา ๑
สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑
อานาปานัสสติ ๑ ฯ
__________________
ท่านที่มีจิตสว่างใสวในธรรมของพระพุทธองค์
ท่านใดอยากจะสั่งพิมพ์หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มละ 5 บาท
ผู้แต่ง: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาลครับ
สำนักพิมพ์: dhammabookstore
(เล่มละ 5 บาทครับ) จากที่ดาวน์โหลดPDFมาอ่านดูรู้สึกว่ามี 98 หน้า เป็นกระดาษA5 ) เล่มเล็กพอดีมืออ่านครับ

ท่านใดต้องการสร้างทานบารมีปัญญาบารมี
สั่งพิมพ์เพื่อนำไปถวายวัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม หรือมอบให้ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ
หรือมอบให้แก่ญาติพี่น้องเป็นที่ละลึกได้อ่าน
หรือเก็บไว้เพื่อรอแจกตามงานต่างๆที่จะมีในอนาคต(เช่นงานศพ)

อานิสงค์ของการพิมพ์หนังสือธรรมะที่ถูกต้องลักษณะแบบนี้
ด้วยการที่ให้ปัญญาดับทุกข์ผู้อื่น
มันจะย้อนกลับมาหาเรา
เราจะมีความทุกข์น้อยลง
จะฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ๆร้อนๆใจ อย่างอัศจรร
อันนี้คือประสพกับตนเองครับ

www.dhammabookstore.com/ecomm/ecomm_view_product.php?product_code=90611


ารบัญ 

คำนำ

วิธีสร้างบุญบารมี

การทำทาน

องค์ประกอบข้อที่ 1 "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์"

องค์ประกอบข้อที่ 2 "เจตนาในการทำทานต้องบริสุทธิ์"

ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น

ร่ำรวยในวัยกลางคน

องค์ประกอบข้อ 3 "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์"



2 การรักษาศีล

ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 1

ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 2

ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 3

ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 4

ศีล และอานิสง ผลของการรักษาศีลข้อที่ 5



3 การภาวนา

สมถภาวนา (การทำสมาธิ)

วิปัสสนาภาวนา  (การเจริญปัญญา)

มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน

มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน

มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน

มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน

.............................................................
พระนิพนธ์ เรื่อง "วิธีสร้างบุญบารมี" เล่มนี้ ท่านเจ้าประคุณ

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ผู้เป็นสังฆบิดรของพระพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย

ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้รู้และศึกษา

เพื่อเข้าใจถึงวิธีสร้างบุญบารมี ในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่

การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา พระองค์

ได้อธิบายชี้แจงแสดงเหตุ และ ผล อย่างชัดเจน

แจ่มแจ้งยิ่งนัก ทำให้พระนิพนธ์เล่มนี้ ได้รับความสนใจ จากพุทธศาสนิกชน

เป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีผู้ต้องการมีไว้ศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุข

และความเจริญแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจวบจนปัจจุบัน

.............................................................................................

บุญ

ความหมายตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข,

ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ, กุศลธรรม


 
บารมี คือ คุณความดี ที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง

วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน

คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา

ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทาน หรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่
ตํ่าที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าถือศีลไปได้,
การถือศีลนั้น แม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ
มากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบารมีที่สูงที่สุด
ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้ เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น

การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ

ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่า

การทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไร

จึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุด

..............................................................

"เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์"

การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น

ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส"

และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตน

อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร

๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์

แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริง จะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ

(๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน

ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัส ร่าเริง เบิกบาน

ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน

(๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน

ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังเป็นผู้ให้ผู้อื่น

(๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว

ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี

เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ

เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี

ในทานที่ทำนั้นก็สำคัญและเนื่องมาจากเมตตาจิตที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น

ให้พ้นจากความทุกข์และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตนนับว่าเป็น

เจตนาที่บริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมา

แล้วนี้จะทำให้ยิ่งๆบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีกหากผู้ให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยวิปัสสนาปัญญา

กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทาน พร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา

โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงที่ชาวโลก

นิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น

แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใด

โดยเฉพาะเป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น

และได้ผ่านการเป็นเจ้าของของผู้อื่นมาแล้วหลายชั่วคนซึ่งแต่ก่อนนั้นต่างก็ได้ล้มหายตายจากไปทั้งสิ้น

ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ได้ยึดถือเพียงชั่วคราว

แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่นๆ ต่อๆ ไปเช่นนี้

แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้จึงนับว่าเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น

ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลง

นับว่าเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นของเราได้ถาวรตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว

ก็ตั้งอยู่ในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัว

ไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเอง

ก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้

เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เฒ่าแก่และตายไปในที่สุด

เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง

เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว

ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาด้วยแล้ว เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมาก หากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย

ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ

เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้แต่ก็มีข้ออันควรระวังอยู่ ก็คือ การทำทานนั้น

อย่าได้เบียดเบียนตนเอง...เช่นมีน้อยแต่ฝืนทำให้มากๆจนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้

เมื่่อได้ทำไปแลั้วตนเองและสามีภริยารวมทั้งบุตรต้องลำบากขาดแคลน

เพราะไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่

บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย
_______________________
การสาปแช่ง,ว่าร้าย,ใส่ร้าย,ยุให้เขาแตกกัน หรือพูดวาจาที่ส่อเสียดทำร้ายจิตใจผู้อื่น
 มีระดับกรรมไม่เท่ากัน
Aถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมไม่สูงนัก ก็เป็นบาปได้เหมือนกัน
Bถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลข้อหนึ่งข้อเดียว บาปมากกว่าA
Cถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลสองข้อ บาปมากกวาB
Dถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลสามข้อ บาปมากกว่าC
Eถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลสี่ข้อ บาปมากกว่าD
Fถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลห้าข้อ บาปมากกว่าE
Gถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลหกข้อ บาปมากกว่าF
Iถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลเจ็ดข้อ
บาปมากกว่าG
Jถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลแปดข้อ
บาปมากกว่าI
Kถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลเก้าข้อ
บาปมากกว่าJ
Lถ้าว่าร้ายผู้มีคุณธรรมมีศีลสิบข้อ
บาปมากกว่าK

~ ไล่ลำดับน้ำหนักขึ้นไป จากศีล5 ศีล8 ศีล10 ศีล227 ศีลสองพันกว่าข้อ ไล่ลำดับข้อขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่บาปเท่า ว่าร้ายผู้กำลังเดินมรรคปฏิบัติเพื่อ
เพื่อเป็นโสดาบันบุคคล เพื่อเป็นสกทาคามีบุคคล
เพื่อเป็นอนาคามีบุคคล เพื่อเป็นอรหันต์บุคคล

บุคคลทั้งสี่นี้ส่วนมากจะเป็นพระ และส่วนมากจะเป็นผู้ชอบปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาว
________________,_,,,__,___,________
:พระทุกวันนี้ที่เห็นๆกันอยู่ ที่ไม่สึก เพราะมีกามคุณห้าให้เสพในคราบผ้าเหลือง (เว้นเฉพาะแต่พระดี)
_______________"
สมเด็จโต พรหมรังสี )
#เรื่อง: บุญบริสุทธิ์
การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่หนึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็จะติดตามไปให้เสวยผลในปรภพชาติใหม่ คือเมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้วจึงจะให้ผล แต่ถ้ามีกิเลสโลภะเข้าไปเจียมากๆแล้ว
บุญก็จะมีกำลังอ่อนไม่บริสุทธิ์ กว่าที่บุญจะตามให้ผลทันต้องรอเป็นหลายๆชาติ
ฉะนั้นอย่าพากันทำด้วยความโลภมาก เวลาทำบุญไม่ให้ทำเอาหน้า  ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน
อย่าสงสัยว่าจะได้อะไร ทำไปตามหน้าที่ของการเป็นผู้ให้นั่นแหละ สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมกลับมาสนองดีแน่นอน
และสิ่งไม่ดีที่เห็นคนอื่นเขาทำ อย่าไปสาบแช่งว่าเขา เดี๋ยวกรรมไม่ดีเขามันจะผูกเกี่ยวโยงกันกับเรา
_____________
ถึงจะยังเข้าฌานหนีทุกข์ไม่ได้
แต่การสำรวมอินทรี์ ทั้ง ๖ คือ
ตา
หู
จมูก
ลิ้น
กาย
ใจ
ทุกข์ก็กินเราไม่ได้แน่นอน
คำสอนพระพุทธองค์สุดยอด..!!
ถ้าหากดับภพไม่หมดยังเหลือให้เกิดอีก
ถ้าหากปล่อยวิญญาณไม่ได้ยังต้องเกิดอีก
ขอให้ได้เป็นเพศชายเหมือนเดิม
ขอให้มีจิตไม่ชอบผู้หญิงลำคานผู้หญิง
ไม่ชอบความวุ่นวาย
ขอให้ได้ออกบวชเร็วๆ และประพฤธรรมต่อ
_________________
ทิศทั้ง 8 ทิศ แบบไทย
1. ทิศเหนือ เรียกว่า ทิศอุดร
2. ทิศใต้ เรียกว่า ทิศทักษิณ
3. ทิศตะวันออก เรียกว่า ทิศบูรพา
4. ทิศตะวันตก เรียกว่า ทิศประจิม
5. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า ทิศอีสาน
6. ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า ทิศอาคเนย์
7. ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า ทิศพายัพ
8. ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เรียกว่า ทิศหรดี
******************************************
_____________
เมื่อเกิดผัสสะ ต้องเกิดอาการหมายรู้เป็นธรรมดา
เมื่อเกิดผัสสะ ต้องเกิดอาการที่จิตไปให้ความหมายกับสิ่งที่ถูกรู้เป็นธรรม

เรามีหน้ารู้ อาการความหมายที่มันไปให้กับสิ่งนั้น
เรามีหน้าที่รู้ ความหมายอาการที่มันไปให้กับสิ่งนั้น
เรามีหน้าที่รู้ ความหมายนั้นที่เกิดมาจากสังขารขันธ์
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีเหมือนกันแต่ท่านไม่ยึดติด

สั้น ปรุงขึ้นรู้ทันเป็นสังขาร
ยาว ปรุงขึ้นเป็นสังขารสัญญา รู้ทัน
_______________
[ ตารางเพล ]

วันจันทร์=
โยมลุงอ๊อก(73)เช้า 
โยมแม่ตุ๊(59)เพล

วันอังคาร=
จังหัน:โยมป้าแต้ว (114)
เพล:โยมอาต๋อง (110)

วันพุธ=
จังหัน:โยมพ่อเสาร์ (60) 
เพล:โยมใหญ่เยือะ (ฟาง)     โยมแม่มาเพลปู่เลิษ

วันพฤหัสบอดี=
จังหัน:โยมอานอม (55)
เพล:โยมใหญ่ยง (ย)

วันศุกร์ =
จังหัน:โยมอ้ายอ้น (ปินโตมีขีดสีดำๆ)
เพล: โยมใหญ่จอย (72)


วันเสาร์ =
จังหัน:ย่าแป๋ง (101)
เพล> พ่อวิท


วันอาทิตย์ =
จังหัน: ป่าแอ๋ม
เพล>ใหญ่ไหมบึ่ม
_________
มีศีล  ๒๒๗

มีหิริ โอตับปะ

มีกุศลกรรมบทสิบ 
กายสะอาด วจีสะอาด มโนสะอาด

เลี้ยงชีพที่ถูกทาง ไม่ขโมยกิน ไม่กินของที่เป็นภัยต่อร่างกาย
ไม่ยกตน ข่มผู้อื่น

สำรวมอินทรี ๖ 
สุขไม่กำหนัด ทุกข์ไม่ขัดเคียง

บริโภคอาหารเพื่อปรารภความเพียร ไม่ฉันเพื่อตกแต่ง เล่น

เป็นผู้ตื่นอยู่ไม่ง่วง เดินจรงกลม สลับนั้งสมาธิ ไปจนถึงปฐมยาม ๔ทุ่ม)

 แล้วนอนอย่างมีสติพร้อมจะลุก เมื่อถึง
มัฌชิมยา ตี๒)

เมื่อลุกแล้วทำจิตให้ตื่นหายง่วงนอน
ด้วยการปรารภความเพียร
จรงกลมสลับนั้งสมาธิ จนถึง ปัจฉิมยาม
สว่าง)

มีสติในการคู่ ในการก้าว ในการถอย ในการดื่ม ในการนั้ง ในการปัจสาวะ ในการอุจระ ในการเลียว ในการครองผ้า ในการเดิน ในการลิ้มรส ทำความรู้สึกตัวในการ เดินบิฑบาติ

เมื่อกลับจากบิฑบาติแล้ว
ให้มีสติในการ เคี้ยวการฉัน การลิ้มรส การยก การกลืน การเคลื่อนไหว

ในการเดิน ในการพูด ในการเดินในการล้างบาติ ในการเข้าห้องนำ
ในการจงกลม

ให้วิเวกอยู่แต่เพียงผู้เดียว ตามป่า ป่าช้า ป่าชัต ซอกเขา ล้อมฟาง โคนไม ในกะฏี
นั่งสมาธิ ละพยาบาต ละนิวรร๕ มีจิตตั้งมั่นเป็นอารมณ์อันเดียว บำเพ็ญทำฌาน
____________
bobubalis@hotmail.com

suvibow


ธรรมชาติเขาก็กำลังบอกเราอยู่เสมอว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกธาตุ นั่นไมเที่ยงนะ มันไม่มีสิ่งที่มั่นคงเที่ยงถาวรนะ
จิตใจก็ไม่เที่ยงนะ อย่ายึดสุขมากนะ
อย่ายึดทุกข์มากนะ ให้เอาแบบอย่างพ่อแม่เรานะ
พระอาทิตย์คือพ่อแม่เรา กล้าหาญ จะส่องแสงไปโดนอะไรถูกอะไรได้หมด ไม่กลัว ทั้งสิ่งที่ไม่ดี และสิ่งที่ดี
ทั้งความสุข ความทุกข์  พระอาทิตย์ย่อมไม่ลำเอียงเลือกที่จะส่องแสงสว่างไป แม้แต่ความมืด ราคะ โทสะ โมหะ ขอแค่ออกมาให้เห็น  ก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งใดเป็นสิ่งใด เพราะด้วยความสว่าง คือมีตัวทำหน้าที่รู้
คือสตินั้นเอง รู้บ่อยๆปัญญาจะเกิด
ปัญาจะแหลมคม เห็นทุกข์เป็นสิ่งแปลกปลอม


ธรรมชาติรอบๆตัวเรานั้น
ต้นไม้เองก็โชว์ให้เห็นว่าฉันไม่เที่ยง ดอกไม้ก็พากันโชว์ให้เห็นว่าฉันไม่เที่ยง
แล้วมนุษย์มันจะไปเที่ยงได้อย่างไร !

แม่แต่ดอกไม้
ก่อนจะออกมาเป็นดอก เปรียบเสมือนเด็กอยู่ในท้องแม่

เริ่มมีดอกน้อยๆออกโผ่ขึ้นมาให้เห็น  เปรียบเสมือน วัยทารก

ดอกเริ่มบานมีการพัฒนาโตขึ้นเป็นลำดับ  เปรียบเสมือน วัยเด็ก

ดอกบานสีสดใสใกล้จะสมบูรณ์
กลีบดอกเริ่มมีกลิ่นหอม
เปรียบเสมือน วัยรุ่น

ดอกบานเปล่งปลั่งสวยเต็มที่กลิ่นหอมเต็มที่พร้อมแล้วแหละนะที่จะล่อให้แมลงมาจับดอกเพื่อจะขยายพันธ์ต่อไป
เปรียบเสมือน เริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่
ดอกที่สีสันสดใสงามๆกลิ่นหอมๆเริ่ม
แปรเปลียนเสือมทีละน้อยลงน้อยลง
เปรียบเสมือน วัยผู้ใหญ่จะล่วงไปหาวัยทอง

และดอกที่เริ่มเสื่อมลงๆเริ่มจะไม่สวยแล้ว
เปรียบเสมือน เดินจะเข้าสู่ความชรา

และดอกไม้ไม่ไหวจะเกาะกิ่งแล้ว จะมีลมหรือไม่มีลมมาพัด
ก็มีจะหลุดร่วงลงจากต้นตกลงสู่พื้นดินกลายเป็นปุ๋ย
เปรียบเสมือน วัยแก่ชรา รอเวลา..เกิดในภพใหม่


ความตายคือความเกิด
ตายแล้วไม่มีการรอในภพใดภพหนึ่งเพื่อเกิด เพราะความตายคือความเกิดใหม่
ถ้าสุคติภูมิจะเกิดในพรหมโลก
เทวาโลก มนุษย์โลก
ถ้าทุคติภูมิจะเกิดในนรก เดรัจฉาน อสูร เปรตวิสัย

#ใบไม้แห้งร่วงล่นลงดิน เปรียบเสมือน
คนแก่ที่ตาย

#ส่วนใบไม้ยังมีเขียวๆเหลืองๆอยู่ ร่วงล่นลงดิน เปรียบเสมือน พยามัจราชบอกว่า : "ไม่ต้องรอถึงตอนแก่กูก็เอามึงไปได้เหมือนกัน "

วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
สิ่งใดเป็นกุศลรีบทำซะ
สิ่งใดเป็นบาปอกุศลรีบหาวิธีลดย่อน ถอยออกมา ใช้ปัญญาหลีกเลี่ยงให้มากๆ

แนะนำจากผู้โพส ควร
1+ฟังธรรมะบ่อยๆ ธรรมที่เป็นอริยสัจสี่
(แนะนำหลวงพ่อปราโมทย์สวนสันติธรรม)
2+ดูอารมณ์ความรู้สึกทางใจบ่อยๆ
3+ดูลมหายใจบ่อยๆเพื่อยืดเวลาตายไปอีก จะได้อยู่บำเพ็ญบุญกุศลได้นานหน่อย

บุคคล ๑๐ จำพวก (มิคสาลาสูตร)
อานนท์ ! บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน

และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ของเขาตามความเป็นจริง

บุคคลนั้น ไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดแม้ด้วยความเห็น

ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อม ไม่ถึงความเจริญ...

อานนท์ ! บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน

แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ของเขาตามความเป็นจริง

บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยความเห็น

ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม... 

เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้
ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต

อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย
อย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล

เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ...

-บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๗/๗๕.
____________
บทสัมภาณ์ ของยายยิ้ม ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเขาเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกินเขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบ ๆ เอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเขาเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วย ๆ กัน ดูแลกัน

ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)

ยาย เอาเงินที่เก็บ ๆ รวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ

ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย

พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก
พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์
 _____________
หมดกำลังใจจะช่วย
หมดกำลังใจจะดึง

เห็นว่าไม่สามารถดึงเขาเข้ามาได้
เห็นว่าเขาไม่สนใจจะเข้ามา
เห็นว่าเขาไม่สามารถทำได้
_______________
เพิ่มเติม
ธรระสาวๆ คือไฟล์เสียงเพลง แก้ทุกข์ใจ
ธรรมะพระ คือไฟล์เสียงเทศณ์ แก้ทุกข์ใจ
____________
Watch "รู้จักรัก" on YouTubeรู้จักรัก: https://www.youtube.com/playlist?list=PL3847631465D7CE32
__________________
ขอบคุณมากๆครับ ผมรู้สึกถึงความปิติใจที่เกิดขึ้นหลังจากอ่านข้อความ
ที่คุณตังตฤณมาคอมเม้นเองเลย
(เพราะไม่คิดว่าจะเป็นคุณตังตฤณมาตอบ เพราะไม่รู้จะคุยตรงๆที่ไหนไม่รู้จักเฟส"ศรันย์ ไมตรีเวช"ที่คุณดังตฤณมาตอบ ไม่คิดว่าจะได้ติดพูดคุยกันได้)

คุณดังตฤณมีพระคุณมาก
เสียงอ่านหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ที่คุณโจโฉอ่านในยูทูป
ที่คุณดังตฤณเขียนนั้น
เปรียบเสมือนเป็นผู้เปิดตาให้สว่างแก่ผม
(คล้ายเหมือนครั้งพระยัสสะเปิดตาพระสารีบุตรให้สว่างคนแรก)
เหมือนเป็นบันไดขั้นแรกเลย

ตอนนี้ผมก็ปฏิบัติธรรมไปด้วย
และดึงเพื่อนๆมาทางธรรมด้วย เริ่มแรกก็เอาเสียงอ่าน เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ไปให้เพื่อนๆฟัง กันก็หันมาทางธรรมบางส่วน
เสียดายคนที่เอาเมียไปแล้ว
มันแต่งกับก้อนดินชัดๆ
 และผมก็ทำลำโพงธรรมะและหนังสือ
แจกให้ชาวบ้านฟังกลุ่มแคบๆอยู่ครับ
มันสงสารคนทั้งหมดทุกคนเลย อยากให้เข้ารู้ธรรมมะ อยากให้เขาไม่หลงเชื่ออารมณ์ที่เป็นทุกข์
นั้น อยากให้เขาออกจากหน้าที่การงาน
มาเจริญสติปฏิบัติธรรม เป็นแบบนั้นครับอาการของใจ อยากให้เขาเป็นอิสระออกจากความทุกข์
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากตามที่ใจต้องการแบบนั้น

และอยากจะสอบถามปัญหาธรรมครับด้วย
ตอนเริ่มปฏิบัติธรรมหลังจาก ผ่านเสียดายคนตายไม่ได้อ่านมาเปิดตา  แล้วก็ฟังเทศหลวงตามหาบัว เรื่องการปฏิบัติจนเข้าถึงนิพพานในยูทูป"
ความเข้าใจผม คือท่านสอนเวลามองใครก็ตามทั้งสัตว์บุคคนตัวเขาเราผู้หญิงผู้ชาย ให้เห็นเป็นกระดูกกระดินเดิน

ผมก็ปฏิบัติตามท่านเทศ
3เดือนผ่านไป ใจมันมีอาการวางสิ่งทั้งหลายลง โลกทั้งโลกไม่มีอะไรว่างไปหมด เป็นกระดูกทั้งโลก กระดูกล้มหายสลายไปเป็นดินหมด ใจตอนนั้นมันเบาและบริสุทธมากๆเย็นมากๆสว่างมากๆจ้าเลย 
มันสว่างแบบไม่เคยเจอในชีวิต
เหมือนกับมันหลุดออกจากอะไรบางอย่าง
เป็นแบบนั้นอยู่ประมาณ3วัน วันที่3มีตัวบันดานจะให้ฆ่าตัวตาย  เพราะสิ่งทั้งหลายมันว่างหมด ใจนี่ไม่เกาะเกี่ยวอะไรเลย ทุกอย่างจอมปลอมหมดเลย คนทั้งโลกมันหลงกัน เล่นตลกกันทั้งโลก ทุกสิ่งทุกอย่างมันว่างไปหมด
จะฆ่าตัวตาย เพราะมันว่าง ตัวเราก็ไม่มีจะอยู่ไปทำไม
แต่สุดท้ายก็มีความคิดกลัวตายมาหยุดไว้ และหลังจากวันนั้นใจมันสบายเป็นอิสระเป็นเดือนเลย คือมองไปไหนก็ปรุงแต่งว่าเขาเป็นกระดูก หมาก็กระดูกคนก็กระดูก แล้วหายสลายไป
ปัจจุบันที่เห็นหลอกลวงกัน


พอมารู้ตอนนี้ ไอ้ใจเรานี่เองไปให้ความหมายกับกับโลกเขา ว่าอย่างนั้นอย่างนี้เอง
 ตอนนี้ปัจจุบันผมจะเห็นใจมันวิ่งไปให้ความหมายต่อสิ่งนั้นที่มันเห็นที่มันไปหมายรู้
เมื่อก่อนตอนยังไม่ปฏิบัติธรรม ผมเห็นรูปผู้หญิงสวยๆในเฟส
ตอนนี้ผมก็เพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาใจมันเพลินหลงไปแช่กับอารมณ์นั้นที่ดูรูปสวยๆ

ตอนนี้เวลาเห็นรูปผู้หญิงในหน้าเฟสจะเห็นใจที่มันไปให้ความหมายต่อรูปที่เห็น ว่าเขาสวย ว่าเขาน่ารัก ว่าเขาน่าสงสาร เวลาเห็นรูปอื่นตรงกันข้าม ก็จะเห็นใจไปให้ความหมายว่าสกปกๆ ทั้งๆที่รูปเขาก็เป็นอย่างนั้นธรรมตามแบบนั้นของรูป ใจเรานี่เองไปให้ความหมาย

และเวลาดูกายจะเห็นใจ อาการความรู้สึกที่ใจไปหมายรู้กาย มันเบาว่างๆโล่งๆ
และก็เห็นว่าเราเป็นคนรู้เบาเราเป็นคนเห็นอาการความรู้สึกเบาๆนั้น
บางทีก็เห็นอาการแสบๆร้อนๆอยู่ภายในหน้าอก,ท้อง, และบริเวรใบหน้าบริเวรหัว เหมือนมันเป็นกระแสความเศร้ามาครอบไว้ บางทีสดชื่นมันก็สว่างเย็นๆ
เหมือนมีก้อนน้ำแข็งอยู่ในตัว
และผมจะเห็นใจที่มันพอใจกับความเย็นที่ปรากฏขึ้น

ตอนนี้เหมือนจะจับทางรู้ว่า อารมณ์ต่างๆทั้งหมด ทั้งเย็นใจสว่าง ทั้งแสบๆร้อนๆ ทั้งเศร้าๆมันเป็นสิ่งที่ถูกผมรู้

อารมณ์ต่างๆทั้งหมดมันเหมือนเป็น ลูกโลกกลมๆใบ1หนึ่ง
มี3ประเทศ 
ประเทศที่1ทุกข์ แสบๆร้อนๆ เศร้าๆหดหู่
ประเทศ2 สุข รู้สึกเย็นใจเบิกบานใจ
(เหมือนกับที่ได้อ่าน คุณดังตฤณพิมอนุญาติครั้งแรก)

 ประเทศที่3 ว่างๆโล่งๆเบาๆ เหมือนอากาศเปล่าๆ เฉยๆ
เวลาดูกายก็จะรู้สึกเหมือนรู้อากาศ เวลาดูใจก็จะเห็นแต่ความว่างปรากฏ ณ ปัจจุบัน


ใจมันไปให้ความหมายต่อสิ่งที่เห็น ที่มันได้ยิน ได้กลิ่นเหม็นๆก็จะเห็นใจมันไปหมายว่าไม่ชอบ

3ประเทศนั้นมันเป็นก้อนเดียวกัน เป็นโลกกลมๆใบนี้  มันหมุนตลอดเวลา
มาให้เราดู ผมเริ่มรู้สึกเบื่อกับการดู
 และผมจะเห็นความคิดมันผุดขึ้นมาบันดานให้ทำนั้นทำนี่
ผมมองดูคนทั่วไปก็จะคิดว่า คนในโลกความคิดบันดานผุดขึ้นและทำตามอย่างที่ความคิดมันผุดขึ้นทั้งโลก ไม่อิสระ น่าสงสาร เวลาทุกข์ก็คงจะว่าเราเป็นคนทุก
เหมือนที่เราเคยมีความเห็นอย่างนั้น

และผมรู้สึกว่า จิตมันตื่นมาก นอนก็ไม่หลับ เหมือนมันไม่ค่อยเชื่ออารมณ์ ใดๆเลย
แม้แต่อารมณ์ง่วงๆจะมาครอบ มันก็เห็น
มีความคิดสงสารร่างกายจึงไหลไปกับอารมณ์ง่วง
และเวลาจะนั้งสมาธิก็จะเห็นไอ้ตัวบันดานให้นั้งสมาธิ พอนั้งลงรู้ลมหายใจ
เหมือนกับว่าเราเป็นคนรู้ลม
ลมมันเข้ามันออกเองของมัน

ความสงสัยก็ผุดขึ้นโชว์ให้รู้
(เอ๋ นี่เราอยู่ไหน เป็นใครกัน
ก็ในเมื่อลมเป็นสิ่งที่ถูก แล้วเราจริงๆอยู่ไหน)

พอนั้งไปแล้วบางทีก็ได้ยินเสียงดนตรีกอง เหมือนมีใครเล่นดนตรี
พอได้ยินเสียงเกิดขึ้นมาเห็นใจมันอยากรู้ เสียงนั้นมันก็หายไป

อยากให้คุณดังตฤณแนะนำตอบคำถามหน่อยครับ
ว่าจะทำยังไงกับอารมณ์อาการทั้งหลายที่เวียนมาให้รู้เหล่านั้น

และก็นั้งสมาธิรู้ลมหายใจ
ผู้รู้ลมหายคือเรา แล้วเราคือใคร
ผู้รู้หรือเราคืออะไรครับ
______________
เรื่องขออนุญาติ นำไฟล์.PDF ไปพิมพ์เป็นเล่มหนังสือแจก เป็นธรรมทานให้ วัด และชาวบ้าน อุบาสกอุบาสิกา ที่มาทำบุญที่วัด ระหว่างรอพระฉันอาหาร อยากให้เขาอ่านหนังสือ  และวัยรุ่นนักเรียนที่มาทำวัตรด้วย อยากให้เขาได้อ่านเช่นกัน

หนังสือที่สั่งซื้อในเว็บ เจ้าหน้าที่กำลังส่งมา
1เชนในการทำงาน
2จิตจักพัด ฉบับรวมเล่ม
3คู่มือกรรมพยากรณ์
4รักแท้มีจริง
5วาทะฉบับรักแท้มีจริง
6 เจ็ดวิธีตายอย่างสบายใจ
7 ณ มรณา
8ผิดที่ไม่รู้
9ฉลาดทางจิต
10เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวฉบับอยู่สบายไปสบาย
11เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับคัดสรร
12คำตอบใยFacebook
และ.เกมกรรม เจ้าหน้าที่บอกหนังสือหมด)

(ส่วนที่มีอยู่แล้ว ๑.เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน

และส่วนที่หาซื้อไม่ได้แล้ว
ที่โหลดเป็นไฟล์.PDFมา
ขออนุญาตินำไปพิมพ์แจกเป็นธรรมาทาน
ในวงแคบๆ

-0982454383
______________
การสั่งหนังสือ Se-ed
ถ้าสั่งผ่านเว็บ กำหนดให้หนังสือไปลง ที่ซีเอ็ดบุ๊กสาขาใดสาขาหนึ่ง
(ต้องเสียค่ามัดจำ ครึ่งหนึ่งของหนังสือทั้งหมดก่อน โดยชำระเงินผ่านทางบัตรเคดิต )
แล้วเดินทางไปรับเอง

(เสียค่าน้ำมันเองอาจมากกว่า 30 บาท ก็คือต้องเดินทางไปรับเอง)


ถ้าสั่งผ่านเว็บ กำหนดให้ลงมาลงบ้านเรา
ค่าสั่งฟรี แต่ต้องเสียค่าขนส่งให้เขาทางไปรษณี
30บาท
________________
กลุ่ม
https://www.facebook.com/groups/344843882326904/
_____
รู้จักดังตฤณ

ตฤณ อ่านว่า "ตริน" แปลว่า "หญ้า"
ดังตฤณ = เหมือนหญ้า หรือ เสมอกันกับหญ้าสักต้นหนึ่ง 

ใช้ชื่อนี้ครั้งแรกเมื่อเขียนบทความลงนิตยสารธรรมะ 
ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. ๒๕๓๔ แล้วเลยนำมาใช้ในเน็ตด้วย 
จากวันแรกจนทุกวันนี้ก็ไม่รู้สึกว่าชื่อนี้คือตัวเรา 
เป็นแค่นามหนึ่งที่ใช้สมมุติเพื่อแลกเปลี่ยนธรรมะธรรมดา

หนังสือธรรมะเล่มแรกที่ทำให้ซาบซึ้งพุทธศาสนาเป็นของท่านอาจารย์ธรรมรักษา 
เคยบวชกับ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี 
ปัจจุบันทำงานเป็นนักเขียน ทั้งแนวเรื่องแต่งและแนววิชาการ 
จุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตคือทำให้คนยุคเดียวกัน 'รู้จักพระพุทธเจ้า'

ได้รับแรงบันดาลใจในการเป็นนักเขียนจากครูบาอาจารย์มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งฝ่ายโลกฝ่ายธรรม ผู้ที่ทำให้นึกถึงเสมอๆ ได้แก่กฤษณา อโศกสิน ให้แรงบันดาลใจในการเขียนแบบชัดแจ้งสมจริง ฟริตจอฟ คาปรา ให้แรงบันดาลใจในการเขียนสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ผ่านความน่าทึ่งทางวิทยาศาสตร์ ท่านอาจารย์แสง จันทร์งาม (ธรรมโฆษ) ให้แรงบันดาลใจในการเขียนธรรมะแบบเคลือบหวาน

งานเขียนทั้งหมดของผมอ่านได้ที่ http://dungtrin.com 
เรียงตามลำดับจากง่ายไปหายากได้แก่

๑) กรรมพยากรณ์ - นวนิยายสำหรับคนรุ่นใหม่ทุกวัย 
ที่ยังไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ไม่ศรัทธาศาสนา 
ปูพื้นความเข้าใจเรื่องกรรมและความทุกข์ 
อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ 
ผ่านรูปแบบนำเสนอของเรื่องราวสนุกสนานของตัวละครร่วมสมัย 
มีอยู่หลายภาค แต่ละภาคเป็นเอกเทศจากกัน และไม่เรียงลำดับ

๒) ทางนฤพาน - นวนิยายกับคนที่เคยอ่านกรรมพยากรณ์ 
หรือมีพื้นฐานทางศาสนาอยู่บ้าง 
แสดงเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ที่หลากหลายของตัวละคร 
ซึ่งก็เป็นที่หวังว่าจะมีตัวใดตัวหนึ่งตรงกับความเป็นผู้อ่าน 
ทำให้เกิดความรู้สึกและมุมมองร่วมไปกับตัวละคร 
ราวกับเข้าไปอยู่ในเรื่องด้วยตนเอง

๓) เสียดาย... คนตายไม่ได้อ่าน - พุทธพจน์อันเป็นคำตอบสำคัญ 
ที่พวกเราทุกคนควรทราบให้ได้ก่อนตาย 
แทนการตั้งโจทย์ที่ผิดพลาดเช่นคนเราเกิดมาทำไม 
ก็เปลี่ยนเป็นโจทย์ที่ชัดเจนคือเราเกิดมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? 
ทำไมถึงแตกต่างกันนัก? ถ้าตายด้วยการกระทำอย่างนี้จะไปไหน? 
แล้วสิ่งที่สมควรทำอย่างที่สุดในขณะมีชีวิตคืออะไร? 
หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าตอบคำถามสำคัญ 
ไว้ครอบคลุมถ้วนทั่วหมดแล้ว เพียงแต่คนมักตายกันก่อนจะได้อ่าน

๔) เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว - รวมคำถามคำตอบจากนิตยสารบางกอก
คนเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม 
เขาต้องทำกันอย่างไร? 
ควรสงสัยเรื่องใดก่อน? 
ผ่อนส่งที่อยู่ใหม่กันท่าไหน?

๕) วิปัสสนานุบาล - ธรรมปฏิบัติขั้นต้นสำหรับมือใหม่ 
ที่สนใจและอยากออกจากจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม 
ภายในเวลาอันลัดสั้น ไม่มีพิธีรีตองซับซ้อน 
ชนิดออกตัวก้าวแรกขณะยังไม่ถอนสายตาจากหน้าหนังสือได้แล้ว

๖) ๗ เดือนบรรลุธรรม - ประสบการณ์ธรรมะกึ่งนิยาย 
สำหรับทุกระดับที่ต้องการรายละเอียดและแรงบันดาลใจ 
บนทางการภาวนาที่เหมือนเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม 
๗ เดือนบรรลุธรรมจะช่วยให้เห็นภาพใหญ่โดยรวมชัดขึ้น 
คือแสดงตัวอย่างสาธิตหรือ "Demo" การใช้ชีวิตแบบนักภาวนา 
รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าอุปสรรคระหว่างทางเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งๆ 
ที่เมื่อผ่านแล้วก็จะพบกับความคุ้มค่าเหนือจินตนาการใดๆ

๗) มหาสติปัฏฐานสูตร - ธรรมะล้วนสำหรับผู้ที่ต้องการหนังสืออ้างอิง 
ทั้งในเชิงทฤษฎีควบคู่ไปกับการปฏิบัติ 
ผู้ที่มีความชำนาญปริยัติน่าจะได้ประโยชน์ในแง่เทียบเคียงของจริง 
และเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่แท้ไม่ยากเกินสมัยปัจจุบันเลย

ชีวิตถึงวันนี้ทำให้ผมมีจุดยืนจุดหนึ่ง 
คือไม่คิดจะแข่งกับพวกใด 
และไม่คิดจะเข้าไปเป็นพวกใคร 
เพราะไม่เคยสงบใจกับการเป็นพวกไหนๆ 
แต่อยากหาพวกให้พระพุทธเจ้า 
เพราะพิจารณาแล้วว่าพวกที่เคยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรนี้เป็นสุขสงบจริง
__________
โยมมาวัด ทำไมถึงปล่อยใจไปอยู่กับพระองค์อื่นที่เขาไม่ได้มา
ปล่อยให้เขาขโมย ปัจจุบันไป
_____________
ไรท์ธรรมะ เปลี่ยนให้ปู่ป๊อก
_________________
ถ้าสมมุติ แล็กฉันทำกับข้าวแล้ว (รู้สึกหมดหน้าที่แล้ว) เธอเอาปิณโตไปวัดนะ 

ได้บุญไม่มากเพราะแล็กยังมีราคะโทสะโมหะ

แต่แล็กรู้สึก(ใย่นอมเอาหน้าที่มามอบให้เรา) เอาละเป็นหน้าที่เราละ เขาอนุญาติในปิณโตแล้ว ทานต้องถึง


เจ้าลัจวีเอาให้สัสกะนิคน เพื่อใหสัสกะนิคนได้มีอาหาร ถวายพระโคม

*เจตนาจะช่วยสัสกะนิคนให้ได้มีอาหาร 
เพื่อถวายพระโคดม

*ไม่ใช่เจตนาจะถวายให้อาหารพระโคดม

*ไม่มีเจตนาที่จะถือโอกาสถวายพระโคดม
____________,,,,,,,,,,,,
สัจจะวาที่เป็นบุญ ห้ามละ
สัจจะวาจาบาป ให้ได้
__________
"...พระพุทธศาสนา แสดงความจริงของชีวิต แสดงทางปฏิบัติที่จะให้บรรลุความสุขสูงสุดของชีวิต มีวิธีการสั่งสอนที่ยึดหลักเหตุและผลว่า ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ผู้ใดประกอบเหตุอย่างไร เพียงใด ก็ได้ผลอย่างนั้นเพียงนั้น..."
พระบรมราโชวาท"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช"
พระราชทานแก่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๓
______________________
ทานโทสะ กับพระ

ทำทานมากก็จริงแต่ไม่ฟังธรรมก็ไม่มีปัญญา  เข่นเตยเห็นใช่ไหน คนรวยฆ่าตัวตาย


และก็เอาเรื่องชาวนาน้ำท้วม
แล้วต่อด้วย ภรรยาสี
เมียคนที่1 จิตใจ ไมดูแลมันปล่อยให้ ความโลภ โกรธ หลง เข้ามาทำบาปให้ใจ
ทำร้ายเป็นลูกศรอาบยาพิษไม่รีบดึงออก

เวลาโกรธก็ไม่รีบปัดอารมณ์โกรธทิ้ง
เวลาศุนก็ไม่รีบปัเอารมณ์สุนทิ้ง
เวลาบ่พอใจผู้ใดก็ไม่รีบปัดอารณ์บ่อพอใจทิ้ง
เวลาเคียดให้ผู้ใดก็ไม่รีบปัดอารมณ์นั้นทิ้ง
เวลาซังผู้ใดกะบ่อเฟ้ารีบปัดอารมณ์นั้นทิ้ง
เวลาคิดบ่ดีกับผู้อื่นกะบอเฟ้าปัดทิ้ง

ยังเลี้ยงบาปไว้ยุปล่อยให้มันเฮ็ดฮังมาขี้ใส่ยุ

ความทุกข์ฮ้อนหนใจคือกันมันเกิดขึ้นก็บ่อหาวิธีแก้
แก้ยุเด้ ศุนให้หมอนั้น
กะสิไปฆ่ามันทิ้มละ
ซังพุนั้น กุกะสิใส่ร้ายมัน
มันมาเฮ็ดกู กูกะสิเฮ็ดคืน
อันนี้เขาเอิ้นแก้แค้น

ปานนั้นว่า อยากบรรลุมรรคผลนิพพาน
ทั้งมนุษย์ เทวดา พรมม
คำสอนพระพุทธเจ้าแค่นี้ โตสิพาเข้านิพพานแท้ๆกะบออยากเฮ็ดยุ
แล้วมามัวประมาทมันสิไหวบ้อ

บ่ฮู้ กะบอสนใจหาสิให้ได้มาฟัง
มีม่องฟังกะบออยากฟัง
เพลินกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

ลืมธรรมะแนวสิพาจิตเจ้าของไปดีไปทางเจริญ ลืมซำ

เพราะว่าการฟังธรรมะเป็นประจำมันเป็น
สร้างมโนกรรม สร้างกรรมดีทางใจที่ยิ่งใหญ่นะ

พระพุทธเจ้าเฮาบอกว่า ถึงคนๆนั้นจะทุศีลอยู่ แต่ถ้าฟังแล้วรู้ฟังแล้วเข้าใจขึ้นใจอยู่เนื่องนิตเป็นปกติ
ถึงจะยังทุศีลอยู่ก็ไปทางเจริญอย่างเดียว
ไม่ไปทางเสื่อม
ทางเสื่อมก็คือไปนรก เดรัจฉาน เปตรวิสัย อสูร อันนี้คือทางเสื่อม
ทางบ่อเสื่อมก็คือ บ่อไปเกิดในนรก บ่อไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน บ่อไปเกิดเป็นเปตร บ่อไปเกิดเป็นอสูร

แล้วคนฟังธรรมะไปใสละ ภพภูมิที่เหลืออิหยังละ มนุษย์ เทวดา พรหม อันนี้ก็คือภพภูมิที่รองรับไว้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้ฟังแต่ธรรมะอย่างเดียว
ก็คือเรามีโอกาสทำทานก็ทาน
มีโอกาสรักษาศีลก็รักษาศีล
มีโอกาสภาวนาก็ภาวนา

ทำตามเหตุตามปัจจัยที่เหมาะสมที่มันเอื้ออำนวยโอกาสมาให้ ถ้าฟังแต่ธรรมะก็จะมีปัญญามาก
แต่บ่อทานก็อาจจะกินก้อนเกลือ
และก็ถ้าไม่รักษาศีลด้วย
ก็อาจจะมีอายุน้อยมีโรคมาก ผิวพรรณไม่สวย

และก็ถ้าทำแต่ทานอย่างเดียว
ศีลบ่อรักษา ธรรมะอันที่เป็นปัญญาก็บ่อฟังบ่อเอา

พระพุทธเจ้าบอกว่าจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่เพราะเคยทำทานเยอะ จะได้ทรัพย์แบบเดรัจฉาน
ก็คืออย่างเช่น ไปเกิดเป็นหมาอยู่บ้านคนรวย มีอาหารดีเลิษชั้นเยี่ยม มีชุดหมาให้ใส่
่เขาอาบน้ำให้ ได้อยู่ข้างคนขับ ได้นอนอยู่ห้องแอร์ เป็นหมาไฮโซน่ะ

ถ้าทำทาน............. ถ้ารักษาศีล แต่บ่อฟังธรรมะบ่อเอาปัญญาเลย

ไปเกิดเป็นมนุษย์ และจะได้ทรัพย์แบบมนุษย์
อย่างเช่น รวย รวยนั้นก็มีหลายระดับ
รวยมาก ก็เพราะกำลังจิตในการให้ ต้องการสิให้ผู้อื่น เบาบริสุทธิคัก
รวยหน่อย ก็เพราะตอนเฮ็ดมีความโลภหลายเข้ามาแกม

เนื่องจากบ่อสนใจธรรมะขาดปัญญา
ปัญญาสิรักษาทรัพย์กะบอได้ แก้ปัญหาตัวเองที่ประสบอยู่ก็บ่อได้ 
มีแต่ถืกเขาหลอกบ่ทันเขา
ฆ่าโตตายกะมี คือจังในข่าว
ลูกสาวมหาเศรฐีรวยหลายล้าน ขี่รถคัน30ล้าน ฆ่าโตตายหนีทุกข์ ย้อนผู้ชายบ่อมัก
อันนี้กะคือโง่
หรือว่าถ้าเป็นคนจน บ่มี กะมีแต่สิลัก
อ่อนแอ บ่มีความเข้มแข็งหยัง กะไปหาลักของผู้อื่น
บ่อฮู้เลยว่ามันสิเป็นกรรมเป็นภัยมาสู่เจ้าของต่อไป

คนจนคือกันมีปัญญาเหนือกว่า
เขาบ่อลักกะอยู่ได้ ฉลาดมีปัญา ซ่อยเจ้าของในทางที่ถูก

เห็นบ่อแตกต่างกันบ่อ ผู้ไม่มีปัญญา กับผู้มีปัญญา

ถ้าทาน ถ้ารักษาศีล ถ้ามักฟังธรรม
จะสมบูรณ์แบบที่สุดเป็นยอดมงคลเลย
ละก็เกิดมาคุ่มสมกับที่ได้เกิดมา บ่อเป็นโมฆะบุรุษ โมฆะคน ที่เกิดมาเปล่าๆเสียเที่ยวทิ้มซื้อๆ

อันนี้พระพุทธเจ้าเพิ่ลกะได้ตรัสไว้
คือจังเทวดาองค์หนึ่ง ลงมาถามพระพุทธเจ้าว่า
ถ้ามีคน2คนมีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเหมือนกัน
แต่คน1ทาน คน2ไม่ทาน

ถ้าเขาตายแล้วจะเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตอบว่า
ถ้ารักษาศีลได้ละเอียดประณีคือกัน
ไปเป็นเทวดาทั้งสอง แต่คนที่ทานจะเหนือกว่า 5อย่าง
1อายุไขทิพย์เหนือกว่า
2วรรณะทิพย์งดงามยิ่งกว่า
3สุขอันเป็นทิพย์เหนือกว่า
4.มียศฐานะทิพย์เหนือกว่า
5.อธิปไตรทิพย์อำนาจอยู่เหนือกว่า

ถ้าจุติจากเทวาโลกและไม่มีบาปอกุศลมาตัดรอน และมีเศษกรรมดีให้ไปเกิดเป็นมนุษย์
ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์อยู่เหนือกว่าผู้ไม่ให้
5อย่าง
1อายุไข
2ผิวพรรณละเอียดกว่าประณีตดีกว่า
3มีความสุขจากกามคุณ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย เหนือกว่า
4มีฐานะดีกว่า
5มีอำนาจการปกครองเหนือกว่า

เทวดาถามต่อ ถ้าสองคนนั้นบวช
จะเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าตอบว่า
ผู้ให้เมื่อเอ่ยปากขอย่อมได้จีวรมาก แต่เมื่อไม่เอ่ยปากขอจะได้น้อย

เฮาลองเปรียบเทียบ
เบิ่งกับอาชีพที่เฮาเฮ็ดอยู่
เฮาค้าขาย 
ตู้เด้อ โอ่งเด้อ มาเด้อมาซื้อ นี่ถือว่าเป็นการเอ่ยปากขอ
ย่อมได้จีวรมาก เฮากะย่อมได้ลูกมาก
แต่เมื่อไม่เอ่ยปากขอ
เฮากะแต่เมื่อการพูดเราไม่ดี ลูกค้าไม่ค่อยประทับใจ ย่อมขายได้น้อย

เห็นบ่อมีส่วนเข้ากันกับพระสูตรพระพุทธเจ้าบ่อ

ผู้ให้เมื่อเอ่ยปากขอย่อมได้บิฑบาตมาก
แต่เมื่อไม่เอ่ยปากขอจะได้น้อย
อันนี้กะคือกัน เป็นวัตถุ
ผู้ให้เมื่อเอ่ยปากขอย่อมได้เสนาสนะมาก
แต่เมื่อไม่เอ่ยปากขอจะได้น้อย
อันนี้กะคือกัน เป็นวัตถุ
ผู้ให้เมื่อเอ่ยปากขอย่อมได้เภสัจลริขาล ยา รักษาโรค มาก
แต่เมื่อไม่เอ่ยปากขอจะได้น้อย
อันนี้ก็คือกัน เป็นวัตถุ

เมื่ออยู่รวมกับเพื่อนประพฤพรมจรรด้วยกัน
เพื่อนเหล่านั้น จะมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ดีแก่ผู้ให้เป็นส่วนมาก
ย่อมนำสิ่งเป็นที่ไม่พอใจมาเป็นส่วนน้อย

อันนี้ลองเปรียบเทียบเบิ่ง....
พี่น้อง ข้างๆเฮียน หมู่ข้างๆบ้าน คุ้มที่เฮาอาศัยอยู่
เขาจะมีกายกรรมดี ก็คือการประพฤทางกายดีนำเฮา
อย่างเช่นมีงานกะซอยกัน เกี้ยวข้าวรถเกี่ยวสีข้าว ขนข้าวกะซอยกัน

วจีกรรมดี ก็คือวาจาคำเว้าที่ดีกับเฮา
หวังดีกับเฮา บ่ตัว บ่ใส่ร้าย ไปวัดหรือไปสมโภสกะชวนกันเฮา
อันนี้ก็คือยกยกตัวอย่างวจีกรรมดี

มโนกรรมดี
ก็คือคิด คิดดีกับเฮา มีความฮัก เห็นใจ เป็นมิตร     เป็นส่วนมาก
ส่วนน้อยที่ทำไม่ดีกับเรานั้นมีน้อย คิดไม่ดีกับเราใส่ร้ายเรา มุ้งทำลายเราด้วยหอกปากมีนั้นน้อย

อันนี้ก็คือจบเรื่อง ผู้ให้ทาน กับผู้ไม่ให้
______________________
Check this out:

http://issuu.com/lc2u/docs/____________________________________6a781c5619ed30/c/scmemf1

____________
กราบเรียนถามพระอาจารย์นะคะ คือลูกสาวอายุ ๒๐ ปี เรียน ม.ปีสุดท้ายได้ไปถือศีลปฏิบัติธรรมมาและฟังพระอาจารย์ที่มาเป็นผู้สอน เล่าเรื่องเกี่ยวกับการขึ้นสวรรค์และการตกนรก มีข้อสงสัยในคำสอนข้อหนี่งว่า ถ้าคน ๒ คนๆ หนึ่งอยู่ในศีล ๕ มาตลอดแต่เกิดไปฆ่าคนตาย กับอีกคนหนึ่ง ก็อยู่ในศีลเกือบหมด ยกเว้นแค่ชอบดื่มเหล้า แต่ไม่ได้ทำร้ายอะไรใครแค่ดื่มปกติ ท่านเล่าว่า คนที่ดื่มเหล้า ถ้าตายไปจะตกนรกหลายร้อยชาติมากเจอทุกข์เวทนามากมาย แต่คนที่ฆ่าคนตายก็จะได้รับบาปเช่นกันแต่ไม่มากเท่าไหร่

แกเลยสงสัยในข้อนี้ว่าคนฆ่าคนตายทั้งคน จะบาปน้อยกว่าคนที่ดื่มเหล้าแค่สนุกสนาน เพื่อสังคมในบางครั้งคราวจริงหรือคะ เพราะลูกสาวรู้สึกว่าในสังคมบางครั้งถ้าเค้าจบทำงานไปอาจมีสังคมต้องดื่มอาจจะเป็นเหล้า หรือไวน์จะบาปมหันต์ได้ไหม เพราะที่จริงแล้วการดื่มเหล้าเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้เราขาดสติและกระทำผิดศีลในข้ออื่นๆๆ ได้ง่ายอันนี้ลูกสาวเข้าใจ แต่จากที่ท่านสอนคือห้ามเด็ดขาดมีฉะนั้นจะต้องตกนรกมากที่สุด ทำให้แกรู้สึกกลัว เพราะแกก็จะเป็นเด็กที่พยายาปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล จึงอยากให้พระอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยค่ะ กราบสาธุค่ะ

การทำผิดศีลนั้นไม่ได้หมายความว่าจะตกนรกสถานเดียว มีเหตุปัจจัยมากมายที่จะทำให้เป็นอื่นได้ ดังพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าคนบางคนผิดศีล(เช่น ฆ่าคน) ตายแล้ว ที่ไปสวรรค์ก็มี เพราะ ๑) กรรมดีที่เคยทำไว้ก่อน ๒)กรรมดีที่ทำไว้ภายหลัง ๓)ในเวลาตายมีสัมมาทิฏฐิ (อย่างไรก็ตาม การที่เขาผิดศีล ก็ทำให้เขาต้องเสวยวิบากกรมในชาตินี้ หรือชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป)

ในพระไตรปิฎกยังมีเรื่องราวของเจ้าศากยะองค์หนึ่งซึ่งกินเหล้าเป็นอาจิณแต่เมื่อสวรรคต พระพุทธองค์ตรัสว่าท่านได้เป็นโสดาบัน เจ้าศากยะทั้งหลายพากันตำหนิพระองค์ว่าทรงพยากรณ์เช่นนั้นได้อย่างไร พระองค์จึงทรงอธิบายว่าท่านผู้นั้นได้สมาทานสิกขาบทและบำเพ็ญสิกขาบทอย่างสมบูรณ์ในเวลาที่กำลังจะตาย เป็นเหตุให้ได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน

ทั้งหมดที่ยกมานี้เพื่อชี้ว่าผลของกรรมเป็นเรื่องซับซ้อน ไม่อาจพูดแบบ “ฟันธง” อย่างที่นิยมทำกันในปัจจุบันได้ คนที่ผิดศีลหรือเคยผิดศีล ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปอบายสถานเดียว สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อรู้ตัวแล้วกลับมาทำความดี ก็สามารถมีสุคติเป็นที่หมายได้

อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงการผิดศีลแล้ว การฆ่ามนุษย์นั้นถือว่าเป็นบาปร้ายแรงกว่าการกินเหล้า พระที่กินเหล้านั้นต้องอาบัติแค่ปาจิตตีย์ซึ่งเป็นอาบัติเล็กน้อย ปลงอาบัติก็หมดปัญหา แต่พระที่ฆ่าคนนั้น ต้องปาราชิกสถานเดียว คือขาดจากความเป็นภิกษุทันที ไม่สามารถปลงให้พ้นได้
___________
การให้ทานแปลว่าการให้ ไม่ได้แปลว่าการเอา
การให้ทานนั้นมีอยู่กลายระดับ
ตั้งแต่ทานกับเดรัจฉาน
ทานกับมนุษย์ทุศีล
ทานกับมนุษย์มีศีล
ทานกับผู้ปราจากกาม
ทานกับพระอริยะ
โสดาบัน
สกทาคามี
อนาคามี
พระอรหันต์
พระปัจเจก
พระพุทธเจ้า
________________
มันทุกข์เกิดขึ้นมา ให้พิจารณา ไม่มีใครเป็นเจ้าของทุกข์ แต่เราเป็นผู้รู้ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ของใคร
เวลาสุข มันเกิดขึ้นมา มันก็ไม่เที่ยง
และพิจารณาว่า เจ้าของสุขไม่มี
อาการสุขนั้นมีอยู่นอกใจเรา
ใจเรานั้นอยู่ข้างใน เป็นผู้รู้สุข
__________________
ชีวิตนี้น้อยน
ศีลข้อหนึ่งถ้าผิด ถ้ามีบุญพอไม่ให้ล่วงล่นถึงนรก ก็เข้าถึงภพสัตว์ฉาน ที่เป็นนักฆ่า เช่นยุง หรือ งู สิงโต

ศีลข้อสองถ้าผิด ถ้ามีบุญพอไม่ให้ล่วงล่นถึงนรก ก็เข้าถึงภพสัตว์เดรัจฉาน ที่เป็นหัวขโมย เช่น แมวขโมย สุนัขจิ้งจอก

ศีลข้อสามถ้าผิด ถ้ามีบุญพอไม่ให้ล่วงล่นถึงนรก
ก็เข้าถึงภพสัตว์เดรัจฉาน ที่ชอบสกรปก เช่น หนอนในส้วม

ศีลข้อสี่ถ้าผิด ถ้ามีบุญพอไม่ให้ล่วงล่นถึงนรก
ก็เข้าถึงภพสัตว์เดรัจฉาน ที่หาสัจจะไม่ได้ เช่น อีกา หรือลิง

ศีลข้อห้าถ้าผิด ถ้ามีบุญพอไม่ให้ล่วงล่นถึงนรก
ก็เข้าถึงภพสัตว์เดรัจฉาน ที่สติมืดไม่ต้องให้ใครมาสร้างความเดือดร้อนให้ก่อนเลย เช่น ตัวต่อ ที่ทำร้ายใครก็ได้
_______________
ฆ่าสัตว์ที่อายุไขสั้น บาปไม่เท่า ฆ่าสัตว์มีอายุยืน
ฆ่าสัตว์ที่อายุ
_______________
ก็เพื่อกำจัดความโภบ ความตระหนี่เหนี๋ยวแน่น
ความห่วงแหนหลงไหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือโลภะกิเลส
และจณะเดียวดันก็เป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุข อันเป็นเมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญพรมวิหารสี่
____________
ติดแล้วข้องแล้วในอารมรมที่ไม่ให้ความหมายกับสิ่งที่เห็น

ติดแล้วข้องแล้วในอารมณ์ที่ไปหมายรู้

ติดแล้วข้องแล้วในอารม์ที่หมายรู้รูป

ติดแล้วของแล้วในอารมณ์หมายรู้และติดแล้วหลงแล้กำหนัดแล้วมัวเมาแล้วข้องแล้วในความจำเก่าที่ผุดขึ้น

ติดแล้วข้องแล้วในสิ่งที่ถูกรู้

ติดแล้วข้องแล้วในอารมร์ที่ถูกรู้

ติดแล้วข้องแล้วในการให้ความสำคัญกับอารมณ์ที่ถูกรู้

ติดแล้วข้องแล้วในอารมณ์ที่เคยเป็นสัญญาเก่า ที่เคยให้ความสำคัญกับไว้

เมื่อเกิดผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องเกิดอาการหมายรู้เป็นธรรมดา
เมื่อเกิดผัสสะ ต้องเกิดอาการที่จิตไปให้ความหมายกับสิ่งที่ถูกรู้เป็นธรรม

เรามีหน้ารู้ อาการความหมายที่มันไปให้กับสิ่งนั้น
เรามีหน้าที่รู้ ความหมายอาการที่มันไปให้กับสิ่งนั้น
เรามีหน้าที่รู้ ความหมายนั้นที่เกิดมาจากสังขารขันธ์
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีเหมือนกันแต่ท่านไม่ยึดติด
_____________________
วันทามิ เจติยัง สัพพัง สัพพัฏฐาเนสุ ปะติฏฐิตา สะรีริกะธา-ตุ มหาโพธิง
พุทธะรูปัง สะกะลัง สะทา นาคะโลเก เทวะโลเก พรหมมะโลเก มนุษย์โสโลเก
    สะรีริกะธา-ตุโย ปฐวี ธา-ตุโย
    อาโป ธา-ตุโย  เกสา ธา-ตุโย
    โลมา ธา-ตุโย  นะขา ธา-ตุโย
    ทันตา ธา-ตุโย โลหิตัง ธา-ตุโย
    อิฐฐิตัง ธา-ตุโย อะระหันตะ ธา-ตุ โย เทวา หะรันติ เอเตกัง จักกะวาฬะ กัง ปะรัมปะรา ปูชิตา นะระเทเวหิ อะหัง วันทามิสัพพะโสฯ

ข้าพเจ้าขอน้อมเกล้านมัสการพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้าและพระธาตุพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่อยู่ใจพระเจดีย์ ในพระพุทธรูป และซึ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์บัลลังที่ตรัสรู้ ที่สถิตอยู่ในสากลภพจักรวาลทั้งหลาย ทั้งพรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก ภิภพนาค

 พระอุณหิศ (กระดูกหน้าผากศีรษะ) ที่ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองอนุราชสิงหฬ 

1.2 พระรากขวัญเบื้องขวา (ไหปลาร้า) ที่ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองอนุราชสิงหฬ 

1.3 พระรากขวัญเบื้องซ้าย(ไหปลาร้า) ประดิษฐานอยู่ ณ ชั้นพรหมโลก 

1.4 พระทาฒะธาตุขวาเบื้องบน(พระเขี้ยวแก้ว) ประดิษฐานอยู่ ณ จุฬามนีดาวดึงส์เทวโลก 

1.5 พระทาฒธาตุซ้ายเบื้องบน(พระเขี้ยวแก้ว ) ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองคันธารรัฐ 

1.6 พระทาฒธาตุขวาเบื้องล่าง(พระเขี้ยวแก้ว)  ประดิษฐานอยู่ ณ ลังกาสิงหฬ 

1.7 พระทาฒธาตุซ้ายเบื้องล่าง(พระเขี้ยวแก้ว)  ประดิษฐานอยู่ ณ นาคพิภพ

อะหัง วันทามิ ธาตุโย
ข้าพเจ้าขอไหว้พระธาตุทั้งหลายเหล่านั้น

อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ
อะหังวันทา พุทธะธัมมัง อะระหันตะสาวะกานัง สะทานัง สะระนัง อะหังวันทามิสัพพะโส

ด้วยจิตที่ศรัทธาอันหยั่งลงมั่นนี้
ข้าพเจ้าเข้าถึงบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเข้าถึงกระแสธรรมรู้แจงกายใจ
ข้าพเจ้าเข้าถึงบารมีพระอริยะสาวกเจ้าทั้งหลาย
ขอข้าพเจ้าจงรู้แจ้งหลุดพ้นกายใจ

 อะหัง วันทามิ ภูริทัตตะธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส
_________________________________
พระคาถาบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ   

อะหัง วันทามิ ธาตุโย ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุทั้งหลาย ที่สถิตอยู่ในจักรวาลทั้งหลาย ทั้งพรหมโลกและดาวดึงส
อะหัง วันทามิ สัพพะโส ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลายทั้งปวง

พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เอ วังธาตุโย จัตตารี สะ สะ มาทันตา เกสา โลมา นะขา ขีจะ อะหังวันทามิธาตุโย

การบูชาพระธาตุนั้น นอกเหนือจากการบูชาด้วย "อามิสบูชา" เช่น การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน และ เครื่องหอมต่างๆแล้ว การบูชาด้วยการ "ปฏิบัติบูชา" ซึ่งเป็นวิธีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ที่นิยมปฏิบัติควบคู่ไปด้วย ในการบูชาซึ่งพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย โดยทั่วไปนิยมปฏิบัติตามแนวอริยมรรค 8 ประการ สรุปโดยย่อได้แก่

1. การบูชาด้วยศีล ซึ่งศีลเป็นพื้นฐานและเป็นที่ตั้งมั่นแห่งการทำความดี เป็นเกราะป้องกันความชั่วทั้งปวง ไม่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ทำให้เกิดความพร้อมต่อการปฏิบัติสมาธิ (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)

2. การบูชาด้วยสมาธิ ซึ่งการสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ ดูลมหายใจเข้า-ออก เป็นการฝึกความเข้มแข็งของจิต ให้มีกำลังในการพิจารณาหลักธรรมต่างๆได้ตามความเป็นจริง (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)

3. การบูชาด้วยปัญญา คือการใช้ปัญญาพิจารณาหลักความเป็นจริง ตามหลักไตรลักษณ์ (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)

พระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมา ขณะที่ หลวงตาพวง สุขินทริโย 
กำลังนั่งสมาธิ ณ วัดสิริกมลาวาส เมื่อปี พ.ศ. 2547
สำหรับบ้านที่มีพระบรมสารีริกธาตุไว้บูชาอยู่แล้วคงจะทราบดี เป็นที่น่าแปลกคือ พระบรมสารีริกธาตุนั้น สามารถเพิ่ม หรือลดจำนวนได้เอง โดยสามารถเสด็จไปไหนมาไหนเองก็ได้ แม้ว่าจะเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทดีสักเท่าใดก็ตาม โดยเชื่อกันว่าหากไม่ดูแลรักษาเอาใจใส่ ประดิษฐานไว้ในที่ไม่สมควร หรือขาดการถวายความเคารพแล้ว 

พระบรมสารีริกธาตุอาจเสด็จหายจากสถานที่นั้นๆ ก็เป็นได้ โดยทางตรงกันข้าม หากได้รับการปฏิบัติบูชาดี ผู้สักการบูชา มีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ อยู่ในศีลธรรม พระบรมสารีริกธาตุก็อาจเพิ่มจำนวนได้เช่นกัน
การเสด็จมามีด้วยกันหลายวิธี เช่น เสด็จมาเองโดยปาฏิหาริย์ มีผู้มอบให้ แบ่งองค์ ฯลฯ

อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ 

ควรเน้นหนักในการปฏิบัติบูชา ด้วยการสวดมนต์ภาวนาให้สม่ำเสมอ มากกว่าการบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน หรือสิ่งอื่นใด ไม่ควรกราบไหว้ด้วยจิตที่เจือด้วยกิเลส พยายามผูกจิตระลึกถึงพระบรมธาตุด้วยการบริกรรมภาวนาคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า 

     "อิติปิโส วิเสสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิอิโสตังพุทธปิติอิ" ให้มากที่สุด

       การบูชาพระธาตุนี้มีผลานิสงส์มากนักอาจให้สำเร็จประโยชน์และสุขสมบูรณ์ได้ทั้งในชาตินี้ และชาติหน้าหรือประโยชน์อย่างยิ่ง คือ " พระนิพพาน"

       ผู้ไม่เชื่อและไม่เคยบูชาก็ไม่สามารถจะรู้ได้เพราะผลานิสงส์ทั้งนี้่จะเกิดปรากฏเฉพาะผู้ที่มี ความเลื่อมใสและกระทำการบูชาโดยสุจริตเท่านั้น


สรงน้ำพระธาตุ

การสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุ เป็นประเพณีความเชื่อดั้งเดิมมาแต่โบราณ ที่นิยมกระทำเป็นประจำทุกปี เปรียบเสมือนการได้สรงน้ำพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย โดยทั่วไปจะกระทำในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือ วันงานเทศกาลประจำปี เช่น สงกรานต์ เป็นต้น และวิธีปฏิบัติในการสรงน้ำ ก็จะแตกต่างกันไป แล้วแต่ความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละท้องที่นั้นๆ หรือ แล้วแต่บุคคล

เมื่อได้ประมวลวิธีการต่างๆตามที่ได้พบเห็นมา มีด้วยกัน 2 ลักษณะ ดังนี้

1.สรงน้ำองค์พระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุโดยตรงวิธีนี้แบ่งออกได้เป็น 2 วิธีการ คือ

1.1 อัญเชิญองค์พระธาตุลงบนผ้าขาวบาง ซึ่งขึงอยู่บนปากภาชนะรองรับน้ำ ทำการสรงน้ำโดยค่อยๆรดสรงลงบนองค์พระธาตุ วิธีการนี้น้ำจะไหลผ่านองค์พระธาตุ ซึมลงสู่ผ้าขาวและไหลรวมสู่ภาชนะที่รองรับด้านล่าง

1.2 ใส่น้ำที่จะใช้สำหรับสรงองค์พระธาตุ ลงในภาชนะ ค่อยๆช้อนองค์พระธาตุลงในภาชนะ เมื่อสรงเสร็จแล้วจึงอัญเชิญขึ้นจากน้ำ (* สำหรับวิธีนี้ ไม่ให้สนใจว่าองค์พระธาตุจะลอยหรือจม เพราะไม่ใช่การลอยน้ำทดสอบพระธาตุ ซึ่งอาจเข้าข่ายปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกองค์นั้นๆได้) 

วิธีการที่ 1.1     
วิธีการที่ 1.2
ทั้งนี้ เมื่อทำการสรงน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พึงอัญเชิญองค์พระธาตุขึ้น แล้วซับให้แห้ง ก่อนจะอัญเชิญบรรจุลงในภาชนะตามเดิม

2.สรงน้ำภาชนะหรือสถานที่บรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุ
วิธีการนี้นิยมใช้สำหรับสรงน้ำพระบรมธาตุเจดีย์โดยทั่วไป, เจดีย์บรรจุพระธาตุที่ปิดสนิท หรือ ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ในกรณีที่มีผู้ร่วมสรงน้ำเป็นจำนวนมาก โดยการตักน้ำที่ใช้สำหรับสรง ราดไปบนพระเจดีย์

น้ำที่ใช้ในการสรง
น้ำที่นำมาใช้ในการสรงพระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุนั้น มีวิธีการเตรียมคล้ายกับการเตรียมน้ำ เพื่อใช้สำหรับสรงน้ำพระพุทธรูป ซึ่งการจะเลือกใช้แบบใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและเหตุผลของแต่ละบุคคล รวมถึงความสะดวกในการจัดหาด้วย เมื่อทำการสรงเสร็จแล้ว น้ำที่ผ่านการสรงองค์พระธาตุ นิยมนำมาประพรมเพื่อเป็นสิริมงคล เสมือนหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งน้ำที่ใช้ในการสรงพระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุนั้น แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

1. น้ำสะอาดบริสุทธิ์
............มีผู้อธิบายว่า สาเหตุที่ต้องใช้น้ำบริสุทธิ์ในการสรงน้ำองค์พระธาตุนั้น เนื่องจากว่า องค์พระธาตุนั้น เกิดมาแต่ผู้บริสุทธิ์ ธาตุเหล่านั้นจึงเป็นของบริสุทธิ์ ไม่สมควรจะเอาสิ่งใดๆก็ตาม เจือปนลงไปแปดเปื้อนองค์พระธาตุ แต่อีกเหตุผลกล่าวว่า ในน้ำหอมหรือดอกไม้ อาจมีสารใดๆก็ตามเจือปน จนอาจทำให้องค์พระธาตุหมองลงได้

2. น้ำสะอาดเจือด้วยสิ่งบูชา
............น้ำลักษณะนี้นิยมใช้สรงน้ำพระธาตุโดยทั่วไป นัยว่าได้ถวายเป็นอามิสบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระอรหันตสาวกทั้งปวง ซึ่งสิ่งบูชาที่เจือลงในน้ำก็แล้วแต่ความชอบ และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่น น้ำหอม น้ำอบ ดอกไม้ กลีบดอกไม้ ฝักส้มป่อย หรือ แก่นไม้จันทน์ฝน เป็นต้น

คำอาราธนาพระธาตุออกสรงน้ำ

โย สนฺนิสินโน วรโพธิมูเล มารํ สเสนํ สุชิตํ วิเชยฺย
สมฺโพติมาคจฺฉิ อนนฺตญาโณ โลกุตฺตโม ตํ ปณมามิ พุทธํ

สาธุ โอกาสะ ข้าแต่องค์พระมหาชินธาตุเจ้า วันนี้ก็เป็นวันดีดิถีอันวิเศษ เหตุว่าสมณะศรัทธาและมูละศรัทธาผู้ข้าทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ภายในอันมี.................. ภายนอกมี..................... (ถ้าจะออกชื่อประธานในที่นั้นก็ให้เติมเข้า ภายในหมายถึงบรรพชิต ภายนอกคือคฤหัสถ์) ก็ได้ขวนขวายตกแต่งน้อมนำมา ยังทีปบุปผาลาชาดวงดอก ข้าวตอกดอกไม้และลำเทียน 

เพื่อจักว่าขอนิมันตนายังองค์พระมหาชินธาตุเจ้า เสด็จออกไปอาบองค์สรงสระ วันสันนี้แท้ดีหลี (ถ้านิมนต์ไปด้วยเหตุใดที่ไหน ก็ให้เปลี่ยนไปตามเรื่องที่นิมนต์ไป) ขอองค์พระมหาชินธาตุเจ้า จงมีธรรมเมตตาเอ็นดูกรุณา ปฏิคคหะรับเอายังทีปบุปผาลาชาดวงดอก ข้าวตอกดอกไม้และลำเทียนแห่งสมณะศรัทธา และมูลศรัทธา ผู้ข้าทั้งหลายว่าวันสันนี้แท้ดีหลี

อิทํ โน ทีปปุปผาลาชทานํ นิมตฺตนํ นิพฺพานปจฺจโย นิจฺจํฯ

(อ่านต่อด้านล่าง)

raponsan: 
คำขอโอกาสสรงน้ำพระธาตุ
(ก่อนจะสรงน้ำพระธาตุให้ยกขันน้ำหอมขึ้นใส่หัว แล้วผู้เป็นหัวหน้าว่าคำขอโอกาสดังนี้)

โย สนฺนิสินโน วรโพธิมูเล มารํ สเสนํ สุชิตํ วิเชยฺย
สมฺโพติมาคจฺฉิ อนนฺตญาโณ โลกุตฺตโม ตํ ปณมามิ พุทธํ

สาธุ โอกาสะ ข้าแต่องค์พระมหาชินธาตุเจ้า วันนี้ก็เป็นวันดีดิถีอันวิเศษ เหตุว่าสมณะศรัทธาและมูลศรัทธาผู้ข้าทั้งหลาย ก็ได้ขวนขวายตกแต่งน้อมนำมา ยังทีปบุปผาลาชาดวงดอก ข้าวตอกดอกไม้ ลำเทียนและน้ำสุนโธทกะ เพื่อว่าจะมาขออาบองค์สระสรงยังองค์พระมหาชินธาตุเจ้าว่า สันนี้แท้ดีหลี โดยดั่งผู้ข้าจักเวนตามปาฐะ

สาธุ โอกาส มยํ ภนฺเต ทีปปุผาลาชทานํ อเภขฺขอสาธารณ
สพฺพโลกิยโลกุตฺตร มคฺคผล นิพฺพานปจฺจโยโหตุ โน นิจฺจํ ฯ


พระธาตุเสด็จมาชุมนุมกัน                              ได้ยินว่า ในคราวพระศาสนาจะเสื่อม พระธาตุทั้งหลายจะเสด็จชุมนุมกันที่เกาะลังกานี้ แล้วเสด็จไปยังมหาเจดีย์ จากมหาเจดีย์เสด็จไปยังราชายตนเจดีย์ ในนาคทวีป จากราชายตนเจดีย์ เสด็จไปยังมหาโพธิ์บัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากนาคพิภพก็ดี จากเทวโลกก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักเสด็จไปยังมหาโพธิบัลลังก์เท่านั้น. พระธาตุแม้ขนาดเมล็ดพันธุ์ผักกาด จักไม่หายไปในระหว่างๆ กาล. พระธาตุทั้งหมด (จะรวม) เป็นกองอยู่ที่มหาโพธิบัลลังก์ เป็นแท่งเดียวกันเหมือนแท่งทองคำเปล่งพระฉัพพรรณรังสี (รัศมีมีสี ๖ ประการ) พระฉัพพรรณรังสีทั้งหลายนั้นจักแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ. 
               แต่นั้น เทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาฬจักประชุมกัน แสดงความการุณย์อย่างใหญ่ ยิ่งกว่าในวันเสด็จปรินิพพานของพระทศพลว่า วันนี้พระศาสดาจะเสด็จปรินิพพาน วันนี้พระศาสนาจะเสื่อม นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายของพวกเรา ณ กาลนี้. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพ พวกที่เหลือไม่อาจดำรงอยู่ตามสภาวะของตนได้. เตโชธาตุลุกขึ้นในพระธาตุทั้งหลายแล้วพลุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก. เมื่อพระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังมีอยู่ ก็จักมีเปลวเพลิงติดอยู่เปลวหนึ่ง เมื่อพระธาตุทั้งหลายหมดไป เปลวเพลิงก็มอดหมดไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญ่อย่างนี้แล้วอันตรธานหายไป. พระศาสนาชื่อว่าเป็นอันตรธานไป. พระศาสนาชื่อว่าเป็นของอัศจรรย์ ตราบเท่าที่ยังไม่อันตรธานไปอย่างนี้. ข้อที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติไม่ก่อนไม่หลังกันอย่างนี้นั้น ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น