คำสอน
เมื่อฝนตกลงน้ำก็ย่อมไหลไปรวมกัน ลงคลองบ้าง ลงพื้นบ้าง บ้างก็ไหลลงทะเลหรือตกในทะเล เมื่อเกิดความร้อน น้ำก็ระเหยกลายเป็นไอน้ำ ขึ้นไปบนท้องฟ้ารวมตัวกัน กลายเป็นฝน ตกลงมาแบบเป็นวัฐจักรแบบนี้มาเนินนาน โลกมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ ต้องหมุนเปลี่ยนเวียนกันไป
คืนหนึ่งหลังจากนั่งสมาธิได้พักใหญ่ๆ ก็ถอยจากสมาธิเพื่อจะพักผ่อน แต่ในความคิดก็ผุดความสงสัยขึ้นมา เนื่องจากได้ไปอ่านบทความของคนอื่นมา ความสงสัยก็เกิดขึ้น ว่าแล้วก็ ต่อสายคุยกับปู่ทันที
ผม...ปู่ครับ มนต์ครับ(นิมนต์)
ปู่.....อย่างไรละ วันนี้ สมาธินิ่งดีนะ
ผม...ครับ
ปู่.....อยากถามเรื่องอะไรละ หรือสงสัยในความคิดขณะนี้
ผม...ครับ สงสัยบ้าง อยากจะฟังคำชี้แนะครับ
ปู่.....บางสิ่งบางอย่างนะ สิ่งที่เราอ่าน สิ่งที่เรารับฟัง บางครั้งก็เป็นแค่การเล่า การนิมิต จริงบ้าง เทียมบ้าง
ผม...ครับ
ปู่......ที่อยากจะถามปู่ว่า บางคนเขามีวาสนาที่ได้พบครูได้พบพระอริยะบางรูปที่ละสังขารไปแล้ว หรือพบหลวงปู่อะไรนั้นเยอะแยะไปหมด ที่ว่า โลกทิพย์ใช่มั้ย
ผม...ครับใช่ครับปู่
ปู่ .....เอานะ วิชาที่เคยรับฟังมา บางคนก็ได้จริงบาง คนก็ได้ปลอม แต่ส่วนมากจะปลอมซะเป็นส่วนใหญ่
ผม.....อ้าวยังไงละครับ
ปู่........ก็ กิเลสไงละ มันเล่นแปลงเอา มาหลอกเป็นครูบาอาจารย์ในจิต ว่ามาสอนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แบบนี้เขาเรียกว่าหลง หรือหลงครู คือครูที่ไม่ใช่
ผม......แล้วต้องทำยังไงละครับ
ปู่........เอานะ สมมุตินะ คนๆนี้ ได้รับการสอนวิชาขั้นสูง ของหลวงพ่อองค์นี้ องค์นั้น แล้วกล่าวว่า นี้เป็นวิชาชั้นสูง มาสอนเฉพาะราย มันไม่จริงหรอก
ผม......ยังไงละครับ
ปู่.........ถ้าพูดแบบนี้ คนอื่นปฏิบัติธรรมเสียใจแย่เลย "อิฉันไม่มีวาสนาพอได้พบพระหรือหลวงปู่ในโลกทิพย์" แบบนี้มันไม่จริงนะ
ผม.......ครับ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง
ปู่ ........เอาง่ายๆ การฝึกสมาธินั้น ต้องมีสติ ปู่ถามว่า มีสติเพียงพอหรือยัง ไม่ใช่ไปคุยโอ้อวดว่า ฉันได้รับการฝึกฝนวิชาชั้นสูงจากหลวงปู่ในโลกทิพย์มา ลองถามกลับไปสิว่า ..........ขณะที่อยู่เฉยในปัจจุบัน จิตมันไม่วอกแวกใช่ไหม ก็ขอบอกเลยว่า ไม่ใช่ มันวอกแวก สติไม่อยู่ตลอดเวลา อารมณ์ของการครองสติมันไม่มี
เอาแค่เบื้องต้น นั่งพุทโธไป สักพักมันก็หลุด หายใจเข้าออก อ้าวหลุดไปตอนไหน หรือดิ่งเข้าฌานไป
ผม....ครับ
ปู่ ........ถ้าบอกว่าฝึกวิชาสมาธิชั้นสูงมา เบื้องต้นสติก็หลุดแล้ว
ผม.......แล้วยังไงถึงเรียกว่าขั้นสูงครับ
ปู่.........ขั้นสูง ก็คือการครองสติ ได้ตลอดเวลาของอารมณ์ ทั้งหลับและตื่น ต้องรู้ตลอดเวลา แบบนี้แหละเขาเรียกว่า สมาธิชั้นสูง เดิน กิน นั่ง นอน มีสติ ครองรับรู้อารมณ์ ไม่หลุด แบบนี้สิถึงจะเรียกว่า สมาธิชั้นสูง เมื่อทรงอารมณ์แบบนี้ได้ ปัญญาเกิด มันรู้ไปหมด รู้พิจาณาปล่อยวาง หายใจเข้า หายใจออก แล้วดับ จริงมั้ย มันหยุดก่อนจะหายใจเข้า นี้สติมันอยู่ระหว่างกลางนี้ ทรงอารมณ์ให้มันได้ ก็พอ
ฤทธิ์ ฌาณ มันเสื่อมกันได้ อย่างเช่น มีฤษีตนหนึ่ง มีฤทธิ์สูง เหาะไปไหนก็ได้ แต่พอเหาะผ่าน สตรีนอนแก้ผ้าอยู่ สติในอารมณ์หาย หลุ่นตุ๊บลงมา เป็นยังไงละ สติหายอะไรก็หายไปหมด เห็นมั้ย นี้คือตัวสำคัญมาก จำไว้...........
ผม ........กราบขอบพระคุณมากครับ ปู่ที่สอนสั่งครับ วันไหนผมสงสัยจะมาถามอีกครับ
ปู่...........เอ่อๆ ดีแล้ว
ผม..........สาธุ
คำสอนปู่พญานาค(2)
การเดินทางเนี่ยเรามีจุดหมาย มีจุดมุ่งหมาย แต่ที่ที่เราไปนั้นเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ก็จะคิดถึงในเรื่องต่างๆนาๆ คิดถึงว่าต้องเป็นอย่างงั้นต้องเป็นอย่างงี้ การคิดล่วงหน้าน่ะมันก็ดี แต่การไม่คิดอะไรเลยมันก็ดี เพราะฉะนั้นให้มีความพอดีในการทำในการไป ก็คือควรต้องมีการศึกษาก่อน ถ้าเราศึกษาก่อนเวลาเราไปไหนนี่ เราจะรู้เส้นทาง ชีวิตคนเราถ้าเดินทางแบบไม่มีจุดหมายไม่รู้อะไรเลย เดินยังไงมันก็ไม่ต่างกับเดินอยู่ในความมืดที่ต้องค่อยๆคลำไป ไปเหยียบตะปูไปเหยียบแก้ว รู้มั้ย ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนมันเจ็บแล้ว เจ็บแล้วถึงรู้ว่า อ้อ นี่ฉันเหยียบตะปูนะ ในความมืดมันไม่เห็น เพราะฉะนั้นมันมีทุกอย่างที่อยู่ในความไม่รู้ ทำให้เราตกเป็นเครื่องมือ ยกเว้นสิ่งที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ สิ่งที่เกินความคาดหมาย อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึง เพราะฉะนั้นการเดินทางชีวิตหรือการใช้ชีวิตคนเรามันก็ต้องศึกษา ถามจากใคร จากผู้รู้ คนเคยมีประสบการณ์ ไม่ใช่จะเรียนรู้ด้วยตนเองไปเรื่อยๆ แบบนี้ช้า ฉันไม่เคยไปเดี๋ยวไปฉันก็รู้เอง แบบนี้ช้า ให้เราถามผู้ที่เคยทำเคยไปมาก่อน อย่างเช่น คนที่ทำมาหากิน ฉันอยากจะขายผล ไม้ ก็ไปซื้อเลย ไปซื้อตรงไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าจะซื้อมาขาย พอขายไม่หมด เน่า ก็ขาดทุน ต้องศึกษาก่อน หน้านี้จะเอาอันนี้มาขายเป็นยังไง ขายไม่หมดทำยังไง แล้วคนชอบกินมั้ยยังงี้ เราก็สามารถที่จะวางแผนได้ ขาดทุนหรือกำไรก็อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยศึกษาล่วงหน้า ทำอะไรมักทำเลย
● ถ้าอยากให้สิ่งใดมั่นคง ก็ต้องสร้างฐานให้แข็งแรงเสียก่อน
ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน ถ้าอยากรวยเร็วเอารวยทางลัด ก็จะรวยไม่นาน ไม่มีอะไรที่ทำให้มั่นคงถาวรได้ถ้าเราไม่สร้างไม่วางฐานให้แน่นหนา
หวังจะรวยจากการเสี่ยงโชคเล่นหวย ค้าสิ่งผิดกฏหมาย ทุจริตคดโกง มันก็เป็นเพียงการได้มาแบบชั่วครั้งชั่วคราวเดี๋ยวก็หมดไปและมักเจือด้วยความทุกข์มากกว่าสุข ขอให้อดทนค่อยๆสะสม ค่อยๆสร้างฐานไป จนถึงวันที่มี ที่เราขึ้นจนถึงจุดที่สูงๆแล้วเราจะลงยาก เพราะได้สร้างฐานไว้มั่นคงแล้วอย่างที่ปู่บอกไว้แต่ต้น เหมือนสามเหลี่ยมที่มีฐานกว้างแข็งแรง โดนผลักไปทางไหนก็ยังตั้งได้เป็นสามเหลี่ยมเหมือนเดิม
● ยิ่งให้มาก ยิ่งได้มาก
ให้เขาไปเถอะ เขาจะรักหรือเกลียดเรา ก็ให้ให้เขาไป
ไม่ต้องเลือก ว่าคนนั้นดีกับเราเราจะให้ คนโน้นไม่ดีกับเราเราไม่ให้
ยิ่งให้มาก ยิ่งได้มาก ไม่มีวันหมดแน่นอน
● จิตเมื่อนิ่งแล้ว ย่อมมีพลัง
การฝึกสมาธิ ข้อสำคัญคือการฝึกจิต จิตมันวิ่ง จิตมันวุ่น ถ้าเราฝึกมันบ่อยๆ จิตเราก็จะนิ่ง เมื่อนิ่งแล้วจะเกิดความว่าง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จุดนั้นแหละที่จะมีพลังมหาศาล
● อย่าพึ่งเชื่อถ้ายังไม่ได้ลองปฏิบัติ
เวลาฟังอะไรมา อย่าพึ่งเชื่อทันที ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นถึงครูบาอาจารย์ ผู้มีชื่อเสียงมีคนนับหน้าถือตา
แต่ไม่ใช่ให้ไปลบหลู่ท่านนะ หมายถึง ฟังท่าน แล้ว เอามาไตร่ตรอง ดูเหตุดูผล
แล้วลงมือทำให้เห็นผลเสียก่อน ก่อนที่จะเชื่ออะไร แม้แต่ในหนังสือในตำรา ก็ให้ไตร่ตรอง
ลองทำก่อนค่อยเชื่อ ไม่ใช่เชื่อตามๆกันไป เขาว่ามามั่ง,วงในเขาบอกมั่ง เขาบอกทั้งนั้นไม่รู้เขาไหน หาต้นตอไม่เจอ
อย่างนี้ความสงสัยเราจะไม่สิ้นสุดหรอก
ที่ปู่ยังไม่ให้เชื่อจนกว่าจะปฏิบัติเองเนี่ย ไม่ใช่ว่าปู่จะไปค้านคำสอนของใคร
อย่างที่ปู่สอนเจ้าก็เช่นกัน ให้ลองทำดูก่อนค่อยเชื่อ
ฝึกภาวนากันบ่อยๆ อย่าให้ขาดช่วงนาน
ทำไปไม่ต้องคิด ว่าทำแล้วได้อะไร ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไร
ทำบุญยังไงจะทำให้เกิดมารวยหรือสวยหล่อ เอาเป็นว่า
ให้เอาจิตไปจดจ่ออยู่แค่ ณ เวลาตอนนี้ที่กำลังหายใจเข้าออก
หน้าที่ความรับผิดชอบทางโลกมีอะไรบ้าง ก็ทำไป
ทางธรรมก็ควบคู่กันไป ดูให้พอดี อย่าให้ตึงเกิน จนคุยกับใครไม่รู้เรื่อง
หรือหย่อนเกิน จนต้องมาเริ่มนับ 1 ใหม่อยู่ตลอด
● พระอาทิตย์ย่อมขึ้นทางทิศตะวันออก จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
(ความจริงก็คือความจริง)
จะว่า เพราะกรรมมาตัดรอน เพราะวิญญาณตนนั้น สัมภเวสีตนนี้ มาทำให้เหตุการณ์นั้นๆเปลี่ยนไป มันไม่ใช่
สิ่งที่เป็นความจริงมันก็ความจริง ไม่มีผู้ใดหรือภูติผีตนใดมาบิดเบือนไปจากความจริงได้
คำสอนปู่ฤษี(2)
- ขยันเดินสายไหว้พระ ขอพรเทพเจ้า ก็เป็นสิ่งดี แต่เป็นกิเลสล้วนๆ เพราะไหว้เพราะอยากได้ แล้วพอไม่ได้ ก็โกรธดวง โกรธกรรม โกรธบุญ บ่นเป็นหนักหนาว่า ทำมาเยอะแล้ว บุญไม่สนองเลย เอาแบบนี้ ปู่สอนแบบนี้ ให้รู้จักลด โลภ โกรธหลง ก่อนดีกว่า พอก่อน หยุดก่อน ไอ้ที่เอ็งๆขอไป มันก็กองไว้หน้าพระนั้นแหละ ตราบใดที่ใจเอ็งยัง หมกหมุ่นกับ ความอยากได้ อยากมี ไอ้ตัวอยากนี้แหละที่มันขวางเวลาเอ็งจะรับบุญ มันขวางจนบังไปหมด จำไว้นะ ลดก่อน ทำได้ค่อยรับบุญ
● จะทำอะไรให้เกิดผลต้องมี เป้าหมายก่อน
ถ้าไม่มีเป้าหมาย เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ก็ใช้ชีวิตไปวันๆแบบเรื่อยเปื่อย
จะหยิบจะจับจะทำอะไรก็ดูเนือยๆไปหมด ถ้าใช้ชีวิตแบบนี้นานๆเข้า ก็จะกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง
การที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จแบบนี้คือการกระทำของตนเองที่เกิดจากกรรมปัจจุบัน ไม่ใช่กรรมเก่า
● กรรมฐาน 40 กอง ถามว่าทำกองไหนดี(ที่ถูกกับจริต)
ท่านว่า "ให้กองไว้ตรงนั้น" คือ ปล่อยวางก่อน ค่อยปฏิบัติ
● ความจริงของการทำสมาธิ คือ การวาง ,การทำความว่าง
พวกนิมิตที่เราเห็น คือมายาจอมปลอม อย่าไปหลง ไปเชื่อ ไปยึดมัน
เมื่อเห็นก็ให้รู้ว่าเห็น รู้ เห็น ปล่อยวาง แล้วทำความว่างต่อไป
อย่างปู่ หรือบรรดาฤษี เขาฝึกอะไรกัน ไม่ได้ฝึกเอาอะไร เขานั่งสมาธิให้เกิดความว่างเท่านั้น
● ถ้าไม่ชอบใคร ให้ลองหยุดไตร่ตรอง มองเขาด้วยความเมตตา
อย่างที่ปู่เคยบอกแล้ว เราก็คน เขาก็คน ทำอะไรไม่ถูกใจกันบ้างก็ให้อภัยเขาไป
มองด้วยความเมตตา ถ้านึกไม่ออกว่าทำยังไง ก็ให้นึกไว้ "ไม่เป็นไร" "ช่างมันเถอะ"
ทำบ่อยๆ คิดแบบนี้บ่อยๆ จิตจะชินกับการให้อภัยไปเอง
● เมื่อมีอภิญญา ญาณหยั่งรู้ อย่าทะนง มีได้ก็ดับได้
เมื่อกิเลสเข้าครอบงำ ยึดครองว่าตัวกูของกู เมื่อนั้น เสื่อมทันที
● สิ่งที่เอ็งเห็นนะจริง แต่มันไม่จริงอย่างที่เอ็งเห็น
ถ้าฝึกสมาธิเพื่อจะเอา จะเห็น บางคร้้งภาพที่เห็นก็เป็นภาพหลอก
เพราะบางครั้ง จิตของคนเราจะมีภาพหรือสถานที่นั้นๆ อยู่แล้ว
เช่น อยากไปเที่ยวนรกสวรรค์ จิตก็นึกภาพไปก่อนแล้วล่วงหน้า
เห็นน่ะเห็นจริง แต่มันไม่เป็นจริง
● ตัวรู้ อันไหนจริงหรือหลอก
ให้ดูว่า อันไหนนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง มีคุณจริง นั้นคือตัวรู้จริง
พอปฏิบัติสมาธิไปเรื่อยๆ จนถึงระดับที่จะมีการเห็นภาพนิมิต หรือตัวรู้ ญาณหยั่งรู้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ถามว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนจริงหรือหลอก ควรเก็บมายึดเอาเป็นความจริงหรือไม่
ก็ให้ดูว่า อันไหนนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง มีคุณจริง นั้นคือตัวรู้จริง
แต่ถ้าอันไหน เห็นแล้วรู้แล้ว เกิดความลังเลสงสัย หาประโยชน์ไม่ได้
เช่น สมมุติ เจ้านิมิตเห็นว่าอดีตชาติเคยเป็นเทวดา
ทำให้สงสัยต่อว่า ที่เห็นน่ะจริงหรือ เก็บมาคิดเก็บมาสงสัย
ถามคนมีญาณหยั่งรู้เรื่อยไปเพื่อหาคำตอบ
อย่างนี้ไม่ควรไปยึดมัน ไม่มีประโยชน์ เสียเวลาในการปฏิบัติเปล่าๆ
เกิดในภพชาติมนุษย์ ก็ควรทำหน้าที่ ณ ปัจจุบันให้ดี
สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป หน้าที่และบทบาทในปัจจุบันชาติ สำคัญที่สุด
● การอธิษฐานจิต เป็นการกำหนดจุดหมายปลายทาง
ถามว่า การอธิษฐานจิต ทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการจริงหรือไม่
การอธิษฐานจิต เป็นเพียงการกำหนดทิศทาง จุดหมาย
ตัวสำคัญที่ทำให้เราได้ในสิ่งนั้น ก็คือ การลงมือทำด้วยความตั้งใจแน่วแน่
ถ้าเราหิวข้าว แล้วไม่เดินไปซื้อข้าวกิน จะหายหิวไหม
อยากไปนิพพาน แต่ไม่บำเพ็ญ หรือทำมั่งไม่ทำมั่ง นานๆครั้ง จะได้ไปไหม
หมั่นบำเพ็ญ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน อยากไปแดนไหน อยากเกิดเป็นอะไรก็อธิษฐานเอา
เมื่อสร้างกุศลบุญบารมีมากๆเข้า ก็หนุนนำให้เป็นไปเอง
● ปู่เห็นหลายๆคนมักจะคิดว่า จะขอทำบุญร่วมกับคนนี้คนที่ฉันรัก เพื่อชาติหน้าจะได้เจอกันอีก
หรือแม้กระทั่งคนที่เกลียดมากๆ ก็บอกว่าไม่ขอร่วมบุญด้วย จะได้ไม่ต้องเจอกัน
เอาเข้าจริงๆ... ชาติหน้าหรือชาติไหนๆ เราก็จำคนๆนั้นไม่ได้หรอก จะได้เจอหรือไม่ได้เจอกันอีก ไม่ควรไปใส่ใจนะลูก
เมื่อมีงานบุญงานกุศล ไม่ว่างานนั้นจะมีคนที่รักหรือเกลียดไปร่วมด้วย ก็ขออย่าให้เอามาเป็นเรื่องหลัก
ขอให้ทำบุญด้วยใจที่อยากทำ ด้วยความศรัทธาที่บริสุทธิ์ อย่าไปใส่ใจว่าคนที่รักหรือชังเราไปทำบุญด้วย
ทำไปเถอะสิ่งที่เป็นกุศล อย่าไปกลัวว่าชาติหน้าหรือชาติไหนๆ จะต้องมาเจอกับคนที่เราไม่ชอบอีกถ้าเราทำบุญร่วมกับเขา
เพราะเราไม่มีทางจำกันได้
อีกอย่างนะลูก ฝึกเมตตาจิตให้เคยชิน ยกระดับจิตใจขึ้น
แล้วคนที่อยู่ใกล้ๆเขาจะรับกระแสพลังแห่งความเมตตานี้ได้ เพราะมันจะออกมาทางสีหน้าท่าทาง
ทีนี้ก็จะมีแต่คนที่อยากคุยอยากอยู่ใกล้เรายังไงล่ะ คนที่ไม่ชอบหรือหมั่นไส้เราก็จะลดน้อยลง
ทำไมต้องตรวจกรรมอดีตชาติ
หลายท่านอาจจะยังคงสงสัยใช่ไหมครับว่า การตรวจกรรมอดีตชาติ ตรวจไปทำไม ตรวจแล้วแก้ไขอะไรได้ด้วยหรือ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ บางท่านก็อาจคิดว่า อดีตที่ผ่านมาแล้วอย่าไปสนใจ ก็ถูกส่วนหนึ่งครับ
แต่เวลาที่เราพบกับเรื่องร้ายๆนั้น มักจะมาจากการกระทำของสิ่งที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนทั้งที่อยู่ในโลกนี้และโลกทิพย์ ยิ่งถ้าได้มาเจอกันในชาตินี้แบบตัวเป็นๆ เห็นกันต่อหน้า ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็ต้องมีชาติหนึ่งชาติใดในอดีตชาติที่มีกรรมผูกพันกัน ยิ่งในโลกทิพย์ด้วยแล้ว หลายท่านไม่อาจจะทราบได้เลยว่า มีดวงจิต ดวงวิญญาณใดคอยช่วยเหลือเกื้อกูล หรือมีเจ้ากรรมนายเวรใดเขาตามมารังควาน
ในเรื่องกฎแห่งกรรม คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า เมื่อตนเดือดร้อน กำลังเครียดกำลังทุกข์ทรมานใดๆ ที่จำต้องยอมทนอย่างไม่มีทางเลือก หลายๆท่านมักจะคิดว่า จะขอก้มหน้ารับชะตากรรมนั้น เพื่อชดใช้ให้หมดเวรหมดกรรมให้มันจบๆกันไปการคิดเช่นนี้ดูเหมือนจะเข้าท่า ง่ายดายดีนะครับ แต่ออกจะดูว่าเป็นการยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง เพราะกรรมดีใหม่ที่ทำในชาตินี้ ก็สามารถพลิกชะตาชีวิตจากที่ร้ายให้กลายเป็นดี จากที่ดีก็ยิ่งดีขึ้นไปอีกได้ครับ
เรามีวิธีที่จะชำระล้างหนี้แค้น หนี้กรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขาโดยที่เราไม่ได้เบี้ยวหนี้ โดยที่เรายังเคารพในกฎแห่งกรรม โดยที่เราไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกลุ้ม ไม่ต้องเครียด ขณะเดียวกันเจ้ากรรมนายเวรเขาก็พอใจ
ถ้าเราทำได้ถูกทางถูกใจ เจ้ากรรมนายเวรเขาได้รับบุญกุศลอย่างเต็มที่ ก็จะทำให้ความเคียดแค้นความพยาบาทต่างๆที่มีต่อเราค่อยๆ บรรเทาเบาบางลงไปครับ แต่ถ้าเราไม่รู้จักการแก้ไข ต่างฝ่ายต่างก็เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งคู่ เจ้ากรรมนายเวรเองเขาก็ทุกข์อยู่กับความอาฆาต เราเองก็พบแต่ทุกขเวทนาเพราะเขาคอยจ้องแต่จะมาเล่นงานเราไม่เลิกรา
การตรวจกรรมของผมจะดูที่ปัญหาต้นเหตุ ว่าเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่พอใจเราเรื่องอะไรหรือเราเคยไปบนบานสานกล่าวไว้ที่ใดแล้วลืมแก้ จึงเป็นเหตุให้เขามาทำให้การงานการเงิน ชีวิตเราเกิดอุปสรรค
วิธีบรรเทาเคราะห์กรรมที่ผมจะแนะนำให้แต่ละท่าน เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้ไม่ยุ่งยากครับ เป็นการสร้างบุญสร้างกุศล อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเขาได้ตรงจุดตามที่เขาต้องการ การอุทิศบุญแบบเจาะจงให้ถูกตัว หากเราไม่ทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรเราเป็นใครแต่อุทิศให้รวมๆ เจ้ากรรมนายเวรที่ตามรังควานเราอยู่ในขณะนี้ย่อมไม่ได้รับผลบุญเต็มที่
ซึ่งที่เรียกว่าเป็นการ"บรรเทาเคราะห์กรรม" เพราะกรรมนั้นแก้ไม่ได้ครับ เราย้อนเวลากลับไปแก้ไม่ให้เหตุนั้นไม่เกิดไม่ได้ ทำได้เพียง ลดกรรมชั่ว สร้างบุญเพิ่ม เพื่อให้กรรมดีที่ทำนั้นส่งผลทันเวลา เมื่อเจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจก็จะอโหสิกรรมให้ในที่สุดครับ
วิธีนี้อาจจะได้ผล ขึ้นอยู่กับบุญสัมพันธ์ กันครับ
เลือกวันขึ้น 15 ค่ำ จุดธูปกลางแจ้ง 16 ดอก ปักกลางแจ้ง และเทียนแพ ดอกไม้หอม เวลาควรอยู่ในช่วงระหว่างช่วงต่อของเวลา เช่น เช้ามืด หรือพลบค่ำ ยามโพล้เพล้ ในช่วง สองเวลานีัเเท่านั้น
หันหน้าทางทิศตะวันออก สำหรับปู่ฤษีนารอด
ทิศเหนือ จะเป็นปู่ฤษีตาไฟ ปู่ตาวัวจะเป็นทิศตะวันตก
ทิศใต้จะเป็นปู่เจ้าสมิงพราย ปู่กะไลยโกฐ
สำหรับปู่ฤษีใดที่ไม่แน่ใจ ให้ยึดทิศตะวันออกเป็นหลัก
แล้วก็นั่งสมาธิตามทิศนั้นได้เลย ให้ระลึกถึงท่านให้แน่วแน่ พุ่งดิ่งให้เห็นรูปลักษณ์ อย่าใจร้อน และท่องขานชื่อพระนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น