วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทยที่สืบกันมาแต่โบราญที่เอาน้ำเย็นน้ำหอมจากว่านบ้าง ดอกมะลิใส่ลงไปบ้างปริศนาธรรมโบราญคือ"เข้าช่วงหน้าร้อนแล้วนะให้รู้กันไว้น่ะหน้าร้อนนี้โทสะความโกธร ความอาฆาส ความบาดหมาง ที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกัน เกิดได้ง่ายกว่าฤดูอื่นมากเลยนะให้สำรวมระวัง...........................เมื่อเกิดแล้วให้แก้โดยการรสด้วยน้ำเย็นคือน้ำแห่งความเมตตากรุณาต่อกันน่ะ มันจะได้ดับโทสะได้และที่ต้องไปสรงน้ำพระคนก็เพื่อทำกรรมด้านผัสสะเราเอาน้ำเย็นไปสรงท่านรดท่าน ท่านก็เย็นพระท่านก็จะได้รับผัสสะทางกาย คือความเย็น จากน้ำที่โดนผิวกายนั้นเอง ความเย็นนั้นอาจจะปรุงจิตให้เย็นใจไปตามด้วยก็เป็นได้ทีนี้เราทำอย่างนั้นแล้วย่อมมีผลสะท้อนกลับมาหาเรา เรียกว่าวิบาก คือเราจะได้รับผัสสะที่เย็นเราจะรู้สึกเย็นกาย หรือเย็นใจด้วยเหตุสารพัดเลย ที่จะทำให้เราได้รับผัสสะที่เย็นแบบนั้นส่วนการสรงน้ำพระพุทธรูปข้าพระเจ้าพิจารณาว่าสมัยก่อนเขาจะเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ใส่บรรจุในพระพุทธรูป (พระธาตุเป็นธาตุรู้) ไม่งั้นท่านพ่อลีวัดอโศการาม ท่านอันเชิญพระธาตุของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์มา พระธาตุเหล่านั้นมาจากไหนไม่รู้ก็ลอยมาที่พานทองและฆราวาสที่มีศรัทธามีศีลธรรมพระธาตุก็เสด็จมาเพิ่มเอง (คือเข้าไปในผะอบแก้ว)ด้วยเหตุนี้จากนั้นจึงพากันสรงน้ำขอพรพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตน

ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทยที่สืบกันมาแต่โบราญ
ที่เอาน้ำเย็นน้ำหอมจากว่านบ้าง ดอกมะลิใส่ลงไปบ้าง

ปริศนาธรรมโบราญคือ
"เข้าช่วงหน้าร้อนแล้วนะให้รู้กันไว้น่ะ
หน้าร้อนนี้โทสะความโกธร ความอาฆาส ความบาดหมาง ที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกัน เกิดได้ง่ายกว่าฤดูอื่นมากเลยนะ
ให้สำรวมระวัง
...........................
เมื่อเกิดแล้ว
ให้แก้โดยการรสด้วยน้ำเย็นคือน้ำแห่งความเมตตากรุณาต่อกันน่ะ มันจะได้ดับโทสะได้


และที่ต้องไปสรงน้ำพระคน
ก็เพื่อทำกรรมด้านผัสสะ
เราเอาน้ำเย็นไปสรงท่านรดท่าน ท่านก็เย็น

พระท่านก็จะได้รับผัสสะทางกาย คือความเย็น จากน้ำที่โดนผิวกายนั้นเอง ความเย็นนั้นอาจจะปรุงจิตให้เย็นใจไปตามด้วยก็เป็นได้

ทีนี้เราทำอย่างนั้นแล้ว
ย่อมมีผลสะท้อนกลับมาหาเรา เรียกว่าวิบาก 
คือเราจะได้รับผัสสะที่เย็น
เราจะรู้สึกเย็นกาย หรือเย็นใจ
ด้วยเหตุสารพัดเลย ที่จะทำให้เราได้รับผัสสะที่เย็นแบบนั้น

ส่วนการสรงน้ำพระพุทธรูป
ข้าพระเจ้าพิจารณาว่า
สมัยก่อนเขาจะเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ใส่บรรจุในพระพุทธรูป (พระธาตุเป็นธาตุรู้) ไม่งั้นท่านพ่อลีวัดอโศการาม ท่านอันเชิญพระธาตุของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์มา พระธาตุเหล่านั้นมาจากไหนไม่รู้
ก็ลอยมาที่พานทอง
และฆราวาสที่มีศรัทธามีศีลธรรม
พระธาตุก็เสด็จมาเพิ่มเอง (คือเข้าไปในผะอบแก้ว)

ด้วยเหตุนี้
จากนั้นจึงพากันสรงน้ำขอพรพระพุทธรูป
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตน
____________
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงห้ามภิกษุรับเงินทอง

มันเกี่ยวอะไรกับมรรคผลนิพพาน

มันคง
_______________
อาตมาเป็นพระ ก็สำนึกบุญคุณพ่อแม่เหมือนกัน"
ไม่ใช่ว่าบวชแล้วทิ้งท่านไม่ดูท่านเลย แต่ดูคนละแบบ"
จริงอยู่ที่ ปล่อยให้ท่านทำนา ทำงานเหนื่อย ต่างๆนาๆ อันนี้เรื่องจริง
ถ้าอาตมาเป็นโยมปุถุชนชาวบ้านก็คงต้องทำนา แต่นี่เป็นพระ


บุญคุณพ่อแม่นั้นต้องตอบแทน รู้...

เรื่องโยมพ่อของอาตมาน่ะแกตายแล้วแกไปเกิดเป็นเปตรโอปปาติกะ เป็นเปตรจำพวกปรทัตตูปชีวีเปตร
กรรมคงยังไม่หนักเท่าไร
มันเลยให้ไปเป็นเปตรจำพวกที่รับบุญกุศลจากการอุทิศให้ได้ แต่ถ้าลงนรกแล้วถึงจะอุทิศให้ก็ไม่ช่วยอะไรได้
โยมพ่อของอาตมานะตอนช่วงที่แกยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ แกไม่ค่อยได้ทำบุญอะไรเลย
ทานก็ไม่ค่อยได้ทำมัวแต่หาเงิน
ศีลก็ไม่เคยไปรักษา ปล่อยเวลาไปกับอย่างอื่น
เพราะแกไม่ใช้เวลามาสนใจเรื่องบุญเลย แต่ปล่อยเวลาไปกับการหาเงินงาน ภาวนานี่ยิ่งแล้วใหญ่ไม่เคยทำ
แต่ข้อดีเป็นคนไม่เบียดเบียนใคร
ยกเว้นสัตว์ สัตว์ใหญ่แกไม่ฆ่าเลย
ว่ากันตรงๆก็คือ ตอนมีชีวิตไม่สนใจบุญแต่ทำบาปก็น้อย
พอตายปุ๊บเป็นผีเปรตเลย
(แต่เปตรมีตั้ง31จำพวก
มีแค่จำพวกเดียวรับบุญได้
นอกนั้น30จำพวก จะทำบุญอุทิศให้ยังไงก็ไม่ได้)
และหลังจากนั้นไม่นานอาตมาก็ได้บวช บวชเพราะบ่นบวชว่าขอให้พ่อหาย
(แต่ไม่หาย..ก็ยังต้องบวช)
บวชได้ไม่นาน แกก็ตายจากภพเปตร ไปเกิดบนเทวโลก
เพราะบุญใหญ่มันถึง

เรื่องโยมแม่ โยมแม่ก็ทุกข์ร้อนใจแบบว่าทุกข์หนักมาก
เพราะวิบากเก่าให้ผลแก จิตเป็นทุกข์ร้อนทั้งกลางคืนกลางวัน
อย่างไม่มีทางออกสีหน้าหมองเศร้า ร้องไห้
เพราะแกไม่ยอมใช้หนี้เก่า วิบากเก่าๆ
ที่มันตามมาให้ผล
แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว
ก็สอนโยมแม่ก็หัดเจริญสติดูทุกข์
ล่าสุดแกบอกว่า "ความทุกข์กับความสุขมันเหมือนละคร ผ่านมาผ่านไป"

อาตมาก็ สาธุ เห็นอย่างนี้แหละดีแล้ว
เห็นไปเรื่อยๆดูเรื่อยๆน่ะโยมแม่
สิ่งที่เห็นนั้นแหละวิบากที่เคยไปทำกับคนอื่น และก็สวดมนต์นั้งสมาธิก่อนนอนทุกวัน
นั้งทุกวันนั้งไม่ได้นานก็ต้องนั้งอย่าให้ขาด

แกก็ทำตามที่เราบอก

สิ่งที่อาตมากำลังตอบแทนโยมแม่อยู่ มันอยู่เหนือความกตัญญู
มันสูงกว่าการกตัญญูแบบโลกเขาทำ
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสูงสุดแล้วที่ใครจะตอบแทนผู้มีพระคุณ

โยมแม่อาตมาถ้าแกเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เห็นจิตเห็นอารมณ์มันเปลี่ยนแปลงจนรู้ว่าอารมณ์ต่างๆที่เห็นมันไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา
 ก่อนจะหมดเวลา ก่อนแกตาย อย่างน้อยจิตแกต้องถึงโสดาบันแน่
ข้ามจากจิตปุถุชนชาวบ้านไปเป็นแบบอริยะชน


พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณมาก"นัก
"กว่าจะคลอด
กว่าจะคลาน 
กว่าจะผ่า
กว่าจะโตมา คิดดู#

"เราควร ตอบแทนบุญคุณท่าน อย่างสูงสุดของแท้น่ะ"

จิตใจของพ่อและแม่ ยังติดในภูมิปุถุชนอยู่
ท่านไม่เข้าใจหรอกว่า อริยะชนภูมิ มันเป็นยังไงมันดียังไง


# มนุษย์แบบไหนตายแล้ว
ไม่สามารถตกนรกได้ 
ไม่สามารถไปเป็นเปตรได้
ไม่สามารถไปเป็นสัตว์เดรัจฉานได้
ไม่สามารถไปเป็นอสูรกายได้

1>มนุษย์ที่ เห็นว่าจิตไม่ใช่เรา
ผู้เห็นได้ก็ต้องเป็นคนมีคุณสมบัติ"โสดาบัน"ถึงจะเห็นได้
โสดาบันก็มาจากปุถุชนชาวบ้านคนธรรมดาๆนี่แหละ แต่ดูจิตใจตัวเองจนเห็นว่า มันไม่คงที่เปลี่ยนตลอดไม่ใช่เรา แต่ยังวางไม่ได้

2>สกิทาคามีคือมนุษย์ผู้ที่พัฒนาจิตใจตัวเองจากขั้นโสดาบันขึ้นมาเป็นสกิทาคามี

3>อนาคามีคือมนุษย์ผู้ที่พัฒนาจิตใจจากขั้นสกิทาคามีปีนขึ้นมาเป็นอนาคามี

4>อรหันต์คือมนุษย์ผู้ที่มาจากภูมิจิตอนาคามี อรหันต์นี่คือผู้ ปล่อยวางจิตตัวเองได้แล้ว ตายแล้วเข้านิพพาน


ปุถุชนภูมิกับอริยะภูมิเป็นอย่างไร 

ปุถุชนภูมิ คือ พวกระดับจิตที่ยังต่ำอยู่ยังอ่อนแออยู่
เป็นระดับจิตที่ยังไม่พ้นนรกเปตรเดรัจฉาอสูรอย่างถาวรได้เลย ยังมีความเสี่ยง

อริยะภูมิ คือ พวกระดับจิตสูงจนไม่สามารถลงนรกเป็นเปตรเดรัจฉานได้เลย อย่างถาวร
มีอยู่4ระดับ
1โสดาบัน
2สกิทาคามี
3อนาคามี
4อรหันต์

ถ้าอ่านแล้วก็คงจะเข้าใจแล้วเนาะ
(ถ้าใครอยากปฏิบัติ แชทมาถามได้)
_______________
ธรรมะคือ
ตั้งจิตปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น หากสร้างเหตุอย่างถึงพร้อมทั้ง4อย่างตามพระพุทธเจ้าตรัส 1.ศีล 2.ไม่เหิรห่างจากฌาน(สมาธิ) 3.วิปัสนา มีปัญญา 4.สุญญาคารวัตรงอกงาม คือหาเวลาอยู่สันโดษบ้างเพื่อเจริญสุญญาคารวัตร ทําครบทั้งสี่อย่างนี้ ตั้งจิตปรารถนาอะไร ได้หมดครับ
_________________
คำสอนพระพุทธเจ้ามาจากไหน:
มาจากปากพระองค์ที่พระองค์ทรงพูดออกมา สอนพระภิกษ
ุและหลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพาน(หรือถ้าภาษาบ้านเราก็คือตาย)
พระพุทธเจ้าตายปุ๊บ เริ่มนับ พ.ศ 1 เริ่มตั้งขึ้นเป็น พ.ศ 1 น่ะ

และหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว คำสอนท่านเป็นยังไง

ภิกษุยุคนั้นก็ใช้การทรงจำเอา ก็จำๆกันมา
หลังจากนั้น ปี พ.ศ 234 พระเจ้าอโศกมหาราช มีความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนพระพุทธเจ้า
ก็เลย ส่งสมะทูต 9 สายกระจายไปทั่วโลก

และสมัยนั้นเหล่าพระสาวกก็ใช้ความทรงจำเอาไว้

หลังจากนั้นพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งทูต ปี234
ส่งสมทูตไปเผยแผ่9สาย กระจายไปทั่วโลก
1 สีลังกา
2 สุวรรณภูมิ

ลาวกับลามัน เอามาจากพระเจ้าอโศกประเทศอินเดีย
ร 1 ไปยืมพระไตรปีฏกมาจากลาวและลามัน มาลอกลงใบลาน 
ร 1 ใบลานคำสอนพระพุทธเจ้า
ทำเมื่อ 2331 ปี นิมนต์พระ 200 กว่ารูปใช้เวลาทำ5เดือนเสร็จ

ร 5 ทำฉบับสยามรัฐ นิมนต์พระ 500 รูป แล้วเปลี่ยนอักษรขอม(บาลี) มาเป็นอักษรสยาม ใช้เวลาทำ 5ปี
ในปี พ.ศ 2431-2436 เสร็จ
ร 8 กรุงรัตนะโกสิน เปลี่ยนอักขระสยามมาเป็นภาษาไทยแบบเราอ่านได้
________________
1 อริยวินัย 
2 ปฐมธรรม 
3 อินทรียสังวร
4 ฆารวาสชั้นเลิศ 
5 อานาปานสติ 2
6 แก้กรรม
7 มรรค(วิธีที่)ง่าย 
8 ก้าวย่าง อย่างพุทธะ 
9 คู่มือโสดาบัน 
10 ตามรอยธรรม 
11 ทาน 
12 ภพภูมิ
13 เดรัชฉานวิชา
________________
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ: อ๋อ..จิตโยมแม่มันเลยส่วนกายไปแล้ว มันเข้าหาส่วนนามธรรม(นามธรรมคือส่วนใจ)
จิตเรามันไม่สนใจกับกายแล้วตอนนั้น
เหมือนอย่างที่โยมแม่รู้สึก คือมันจะรู้สึกว่าร่างกายหายไป
เพราะตอนนั้น จิตมันไม่มีความยึดถือหมายมั่นว่าร่างกายเป็นเรา
ดีแล้วๆ ปฏิบัติแบบนี้อีกน่ะ จิตมันเริ่มฉลาดมีปัญญาทางธรรม

คือจิตมันละเอียดประณีตจนจิตไม่ยึดถือว่าร่างกายเป็นเรา มันก็เลยไม่สนใจกาย แต่มันมาเด่นดวงที่จิตอย่างเดียว สว่างโล่ง.... ไม่ใช่สว่างแบบเห็นแสงไฟสว่างน่ะ
แต่มันสว่างแบบรู้ตื่นเบิกบานแจ่มใส มีปิติสุข  สุขจริงๆแบบไม่เคยเจอในชีวิต

และจิตโยมแม่ตอนนั้นเป็น จิตที่มีบุญกุศลเกิดขึ้นมาก

บุญที่เกิดจากจิตที่สงบรู้ตื่นเบิกบานแบบโยมแม่เข้าถึงนั้น
บุญมันเหนือกว่าระดับ ทาน ศีล ที่คนทั่วไปเขาทำอีกน่ะ อนุโมทนาด้วยน่ะโยมแม่

คนส่วนมากนั้งยังไงก็เข้าไม่ได้น่ะ
เพราะมีแต่เรื่องความคิดคิดแต่งานปัญหาต่างๆสารพัดกั้นไว้
มันกั้นไม่ให้จิตเข้าถึง แทนที่จะวางเรื่องต่างๆปัญหาต่างๆนั้นทิ้งไว้ก่อน 

ถ้าโยมแม่จะอุทิศบุญให้ใครหรือให้ไม่มีประมาณแก่สรรพสัตว์
ก็เอาจิตที่มีกำลังกุศลแรงๆนี้
ที่อยู่ในสมาธิ อุทิศแผ่ออกไปรอบตัวมันจะมีแสงออกจากตัวเรา (พวกตาทิพย์เขามองเห็น) เขาจะอนุโมทนาด้วย

และก็ถ้าโยมแม่ตายตอนนั้น ถึงพรหมโลกเลย
______
ภิกษุ ท. เมื่อภิกษุกำลังเดิน ยืน นั่ง นอนอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วนความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำให้ผู้อื่นลำบากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุนั้นก็ไม่รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้ สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่เหลือ;
     ภิกษุที่เป็นเช่นนั้น แม้กำลังเดิน...ยืน นั่ง นอนอยู่ก็เรียกว่าเป็นผู้ทำการเพียรเผากิเลิศ รู้สึกกลัวต่อสิ่งลามก เป็นคนปรารภความเพียรเผากิเลิศรู้สึกกลัวต่อสิ่งลามกเป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลิศอยู่เนืองนิจ
______________
นัยยะที่1
ฟังธรรม สัตวทินศรี วิริทินทรีย์

นัยยะที่2
ศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ
ศีล 5
_____________
รู้แล้วว่า อารมณ์ที่จิตเข้าไปยึดเข้าไปรู้
มันไม่ใช่เรา
ตอนนี้ก็เลยเห็น การเกิดดับ
แต่เห็นสายดับชัดประจักใจเลย
สายเกิดมันเกิดเนียนมากจนบ้างครั้งก็รู้ไม่ทัน

และตอนนี้มีสติตัวรู้เกิดขึ้นเป็นระยะติดต่อกัน บ่อยมาก
แต่ก็ยังไม่ติดต่อกันตลอดเหมือนน้ำไหล

ยิ่งเห็นยิ่งรู้ว่าไม่ใช่เรา
____________
พรุ่งนี้ 7 พฤษภาคม ที่ี่วัดหนองยอ ณ จุดลงทะเบียน
มีซีดีCD ธรรมทานแจกฟรี (เกือบสองพันแผ่น)
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำบุญก่อนทานวางจิตยังไงจึงจะถูกต้อง
ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ 
ชอบให้ทานแต่ไม่
เป็นเรื่อ
___________
พระพุทธเจ้าพระอรหัน
ที่เข้านิพพานไปแล้ว

ท่านทิ้งบุญบารมี ทิ้งพลังงานไว้ในโลกธาตุใช่ไหม

ศาสนาจะอยู่ได้นานหรือไม่ได้นาน
ขึ้นอยู่กับบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่บำดพ็ญมา
___________________
สายมาจากเครื่องเล่น ไปล่าง
หลือง ภาพ
แดง R 
ขาว L

ลำโพงคุมบน
______________
ถุงใส 1 แพค 650 ใบ

ซอง 1 แพค 100  ใบ

มีอยู่แล้ว ถุงใส 2แพค
ก็เท่ากับ 1300 แผ่น

มีอยู่แล้ว ซอง 3 แพค
ก็เท่ากับ 300 ใบ

บวกถุงใส 1300 + 300 = 1600 ใบ
ดังนั้นซื้อถุง CD เพิ่ม 400 แผ่น


แผ่น cd  8  กล่อง 400 แผ่น

ถ้า 10 กล่อง 500 แผ่น
ถ้า 20 กล่อง 1000 แผ่น
ถ้า  28 กล่อง 1400 แผ่น
ถ้า 30 กล่อง  1500 แผ่น
32 กล่อง 1600 แผ่น + ของเดิม
เท่ากับ 2000 แผ่น
_____________
120 นาที  = 2 ชัวโมง

240 นาที = 4 s

480 n l 8 s

960 n l 16 s
___________
1600 = 800 แผ่น
400 = 200 แผ่น
2000 = 1000แผ่น
4000 = 2000แผ่น
____________
ทำไมสัตว์ถึงไม่มีความกลัวผี
_______________
หลังจากที่ฟังธรรมะรับปัญญาของพระพุทธเจ้าเข้ามาแล้ว

และมีเรื่องแนะนำเพิ่มเติม เกี่ยวกับแผ่น CD อยากจะเสริมเพิ่มเติมให้มีความเข้าใจกว่าเดิมอีกน่ะครับ

แผ่นที่เปิดฟังอยู่ ณ ตอนนี้ สามารถนำไปฟังในรถเวลาเดิน
ทางไปไหนมาไหนได้ครับ
เผื่อรถคล้ำก็ยังได้ไปเป็นเทวดา

และก็สามารถนำแผ่นไปเล่นกับ เครื่องเล่นCDตามบ้านได้ครับ

และยังสามารถใช้คอมก๊อปปี้คัดลอกไฟล์ธรรมะในแผ่นไปฟังใน กราด์  USB หรือโทรศัพท์มือถือได้น่ะครับ

สำหรับเนื้อหาข้างในแผ่นนั้น ผมได้คัดเลือกไฟล์เอามาจาก
หลายๆแผ่น นำมารวมกันเรียงเป็นหัวข้อๆ

เรียกได้ว่าเป็นธรรมะ
รวมครูบาอาจารย์ ก็ได้ครับ

มีพระอาจารย์ คึกฤล โสถิผโล วัดนาป่าพง

และ หลวงพ่อ ปราโมท ปาโมทโช
วัดสวนสันติธรรม

และ ไม่เจาะจงจริตนิสัยน่ะครับ
จริตนิสัยเราเหมาะกับ ตามรู้ลม ก็ปฏิบัติได้
จริตนิสัยเหมาะกับ ตามดูจิต ว่ามันสุข มันทุกข์ ก็ปฏิบัติได้
 ไม่บังคับ แต่ต้องรู้

และก็ขออยากจะแนะนำ CD ธรรมะ 
เพิ่มอีกแผ่นหนึ่ง สำหรับ
ผู้ที่กำลังรอป่วยใกล้ตาย
น่ะครับ

แนะนำเป็นแผ่น CD อานาปานสติ น่ะครับ 

เพราะว่าผู้ป่วยหลายราย
เมื่อได้ยินได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้ว มันเข้าจิตจริงๆ อาการเจ็บปวดทุกขเวทนาทางกายสงบลงเลย และก็มีจิตเป็นสมาธิ
จดจ่ออยู่กับเสียงที่ได้ฟัง

และญาติๆที่มายืนยันว่า ตายแล้วศพมีลักษณะผิวพรรผ่องใส เหลืองทองอลาม น่าอัศจรรณ บางรายผิวดำตากแดด ตายแล้วอมชมพูก็มี และบ้างรายเผาแล้วกระดูกมีลักษณะคล้ายๆหยก ก็มี

นี่คืออนุสาสนีปราติหารของการได้ฟังคำพระพุทธเจ้า ก่อนตาย

แผ่น อานาปานสติน่ะครับ



 หรือติดต่อขอรับแผ่น CD ได้ที่ 0844997733 หรือจะเดินทางมารับได้ที่ตามทีอยู่วัดหนองยอ ตำบลจิกดู่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ

หรือหากไม่สะดวกเดินทางมา สามารถดาวน์โหลด ได้ที่ ค้นกูเกิลว่า "พุทธวจน อานาปานสติ วัดนาป่าพง"

และธรรมะหลวงพ่อปราโมท
โหลดได้ที่ วัดสวนสันติธรรม
น่ะครับ

โชคดีน่ะครับ ขอให้ออกจาก สังสารวัฏ นี่ได้น่ะครับ
___________________,
การตั้งศาลพระภูมิจำเป็นหรือไม่
____________
เวลาของเราก็ล่วงเลยมาแล้ว ชีวิตมันนับถอยหลัง
 กี่ปีล่ะ
บ้างคนผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือบางคนเลยครึ่งชีวิตไปแล้ว

บ้างคนเหลือไม่ถึงครึ่งเลย
เหมือนมะม่วงสุกที่ใกล้จะหล่น
_________
การให้ทานควร วางจิตยังไง?
จึงจะได้ทั้งผลใหญ่และอานิสงค์ใหญ่

ก่อนตายเราควร วางจิตยังไง?


วางจิตถูกต้อง ตายแล้วผิวพรรณเป็นอย่างไร


จะออกจาก สังสารวัฏ อย่างไร


วิธีปฏิบัติธรรมในบ้านในชีวิตประจำวัน และดับทุกข์ได้ง่ายจริงๆ
____________
สวนสันติธรรม cd ๑
__________
>ปู่ครับ ทำไม่พวกสัมภเวสี มันถึงไม่มีมารยาทครับ

ปู่ : มันก็เป็นอย่างงั้นของมันแหละ
 พวกน้ำ พวกกับข้าว ที่ตั้งไว้ มันกินก่อนตลอด แย่งกัน


>เออ.. แล้วทำไม ปู่ถึงไม่กินครับตามงานศพ

ปู่: ไม่กิน... ไม่กินของเหลือเดนเปตรหรอก
เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์ ป่วย


#อ๋อเข้าใจแล้วครับ

ฉะนั้นเราอาจจะเคยเห็น พระบางองค์ท่านไม่ รับนิมนต์ฉันข้าว ตามงานศพ
ก็เพราะนี่แหละ
อย่าไปว่าท่านอย่างงั้นอย่างงี้เด้อ
ถ้าบารมีเราต่ำกว่าท่าน ไปว่าท่านทางไม่ดี
วิบากโดนเราเต็มๆเลยน่ะ
__________
หวังผล  จาตุมหาราชิกา

เป็นการดี ดาวดึง

ให้ตามประเพณี ปู่ย่าตาย พาทำก็ทำำปเถอะ  ดาวดึง
  ยามา

โอ๊ะพระเพิลบอได้ หุงหากิน เพิลบอมีข้าวให้กินเอง
เฮาทานให้เพิลกะน้า ถ้าบอทานบอควรเลย
  ดุสิต


โอ้ยพระเพิลบอได้เฮ็ตกับข้าวกิน
นานๆที เพิลสิกิน ทานให้เพิลกะน้า
  นิมมานรดี



โอ้ยทานที่เฮาทานนี่ ทานจิตเฮาสิเกิดความเลี่ยมใส่ ปลื้มปิติใจ
กะเลยทาน เพื่อว่าสิให้เกิดความเลือมใส่ปราบปลื้ม  พรหมมกายิกา
   ปรนิมมิตวสวัสดี


ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
ก็คือทานเพื่อสละออก ๆ จากใจนั้นเอง นั่นเอง
_________________
ครูบาอาจารย์ ที่ท่าน บรรลุคุณธรรมโสดาบันแล้ว

ก็คือตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป พ้นอบายทุคตินรกแล้ว
เกิด ก็เกิดสองที่ สวรรค์กับมนุษย์
ก็คือท่านปลอดภัยแล้ว

แต่ทำไมท่านถึง ไม่หยุด
ทำไมท่านต้อง ขึ้นสกทาคามี อนาคามี อรัหนตฺเลย
__________
เราจะเห็นได้ว่า  ตอนที่เจ้าชายสิทะถะ
ตอนเด็กๆ นั้น แล้วมีฤษีดาบท
เข้ามา เข้าทำนายลักษณะ ทำนายแล้วก็กราบลง

บอกว่าเจ้าชายสิทธะเป็นคนมีบุญมาก

และยังบอกอีกว่าจะได้ตรัสรู้พระโพธิญาณ

นั้นก็แสดงว่า เราจะเห็นได้ว่า สมัยก่อนพวกฤษีก็บรรลุ วิชาๆ ต่างๆ มีฤษมีเดช มีญาณยั่งรู้อดีต อนาคต แสดงฤษได้  แต่ยังไม่ค้นพบวิชาเข้านิพาน
ที่พาพ้นเกิดแก่เจ็บตายได้เลย



ช้าง
นาลาคีลิง ตอนที่วิ่งจะไปชนพระพุทธเจ้า
แต่ก็ชนไม่ได้
เพราะว่าอะไร:
เพราะว่าพระเมตตาที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงธรรม ทรงส่งกระแสจิตคุยกับสัตว์เดรัชฉาน

แล้วตอนนี้รู้ไหมว่าช้างนาราคิลิงตัวนั้น ตอนนี้เป็นยังไง
ตอนนี้ช้างตัวนั้นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว




สมัยก่อน ก่อนที่เจ้าชายสิทธถะ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

พญามาร คือใคร
เป็นเทวดาชั้นสูง
เป็นฝ่ายมิตฉาทิธิ ฝ่ายไม่ดี

เราจะเห็นได้ว่าจะมีเทวดาฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี  

พระอาจารย์ขอสรุปสั้นๆ

ก่อนที่พระองค์ จะออกบวช
พระองค์เห็น นิมิตอะไรบ้าง
เกิด แก่ เจ็บ ตาย

แล้วพระองค์เลยนำไปตรึงตรองนึกคิด จะแก้ปัญหาความตาย

พระองค์ก็เลยได้บวช

ไปเรียนในสำนักของอาจารย์ต่างๆ

แล้วพระองค์
________________
ศึกษา เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ 
ทาน ประโยชน์ 
ศีล ประโยชน์ 
สมาธิ ประโยชน
เรื่องภพภูม

หลังตายจากมนุษย์
หลังตายจากเทวดา
หลังตายจากพรหม
หลังตายจากสัตว์เดรัจฉาน
หลังตายจากสัตว์นรก เปตร

เรื่องของเวลา กับป กัน มหากับ อสงไสย

ความเป็นอยู่ของ สวรรค์แต่ละชั้น พรหมแต่ละชั้น
โทษของสวรรค์
โทษของพรหม
โทษของอบายภูมิ สัตว์นรก เปตร อสูรกาย 

โทษของการเวียนว่ายตายเกิด

เรื่องการปฏิบัติเข้านิพพาน
______________
เข้าใจขันธ์ 5 เข้าใจสังสารวัฏ

คนที่เขาทำเหตุให้เรา ไม่ได้อย่างที่เราอยากให้เป็น

ถ้าเขาคนนั้นเป็นน้อยหรือทุกข์มาก

นั้นอาจแสดงว่า มองคนนั้นแค่ชาติเดียว หรือสองชาติ

ก็เลยไม่เข้าใจ ผลที่เกิดจากเหตุ ที่แสดงปรากฏออกมา
_______________
การให้ทาน เกี่ยวกับระดับภูมิจิต
เช่น 10 บาท ภูมิจิตก็ขึ้นระดับ10บาท
ถ้า10ล้าน ภูมิจิตก็ขึ้น10ล้าน
แต่บ้างคน1บาท ภูมิจิตขึ้น 500ล้าน ก็ได้
แสดงว่าวัตถุเป็นเครื่องพาปรุ่งแต่ง แต่ภูมิจิตจะแต่งให้สูงกว่าค่าเงินได้หรือไม่
คนมีปัญญาก็ได้
_____________________
ทำเมื่อ 2546  ถึง 2558    ใช้เวลา8ปี
_________________
เภสัช ๔ ได้แก่ มูตร คูถ เถ้า และดิน ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันเพื่อแก้พิษงูขบกัด 
_______________
29หมู่ 7 วัดนาผ่าพง ตำบลบึงครองกลาง ลำลูกกา2150
__________
ดู "Morning Dhamma" บน YouTubeMorning Dhamma: http://www.youtube.com/playlist?list=PLl9tctKqSNFkplDUj-sCi17odSXyU5z64
___________
ดู "พระอาจารย์คึกฤทธิ์" บน YouTubeพระอาจารย์คึกฤทธิ์: http://www.youtube.com/playlist?list=PLB0SC1WcpZbt22BrJFX8FHNBddp8X_2Jq
____________
001-หมวดที่_1_79.mp3
_______
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ สำคัญตนว่าบรรลุเป็นอนาคามีผลแล้ว ในขณะฟังเทศณ์หลวงตาพระมหาบัว ญาณะสัมปันโณ ว่า อนาคามีจิตสว่างใสวมาก แล้วจิตตนมันก็สว่างใสวมากตามลำดับ   จากนั้นมา   มีพระตูมตามพูดจะเอาลำโพงให้ได้เป็นของตน ซึ่งตนฟังประจำ พูดเหน๊บแหนบเพื่อจะให้เป็นของตน แต่จะให้เป็นของสงฆ์ รู้สึกไม่พอใจ เห็นโทสะเกิดขึ้น จึงรู้ว่าตนไม่ใช่พระอนาคามี  

นี่นะที่อยู่ ชื่ออาตมา
(นาย มงคลชัย สมหมั่น) 
บ้านเลขที่ 59หมู่ 9 ตำบล จิกดู่ อำเภอ หัวตะพาน 
จังหวัด อำนาจเจริญ37240 

ส่วนที่อยู่วัด ชื่อวัดหนองยอ
เลขที่ 114/1 หมู่ 3 ตำบลจิกดู่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ37240

 (ถ้าส่งมาตามที่อยู่วัดกลัวว่าพระที่รับตอนนั้นจะเป็นพระทุศีลเป็นพระไม่ดีชอบแกล้ง รับไปแล้วจะเงียบไม่บอกใคร  ก็เลยกลัวว่าจะไม่ถึงมืออาตมา

งั้นส่งมาตามที่อยู่แรกน่ะ
ถึงมืออาตมาแน่นอน


 ข้อ(1) "ถ้าต้องการไฟล์ทั้งหมดตามรูปที่ส่ง โยมก็สามารถจัดทำให้ได้ค่ะ"

สาธุ... ข้อนี้อาตมาพร้อมจะรับแล้วน่ะ


ข้อ( 2 ) อาตมาจะขอแผ่นอื่นๆอีก
 เพิ่มเติมได้รึเปล่า??  ถ้าได้ขอ

1-รวมพุทธวจนจาพระโอษฐ์ มี4ชุด
ชุดที่1 คำสอนจากพระโอษฐ์ ชุดที่2 ทาน 
ชุดที่3 กรรม 
ชุดที่4 ศีล 


2-ขุมทรัพย์ จากพระโอษฐ์
มีกี่ชุดขอครบแผ่น 


3-ปฏิจจสมุปบาท มีกี่ชุดขอครบแผ่น


4-อริยสัจจากพระโอษฐ์ มีกีชุดขอครบแผ่น



แต่ว่าปัญหาคือ จะส่งเป็นแผ่น หรือเป็นแฟลชไดรฟ์
ถ้าเป็นแฟลชไดรฟ์ น้ำหนักก็เบา จุได้หลายไฟล์

อันนี้ก็แล้วแต่โยมจะสดวกน่ะ

ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆแผ่นCD หรือ DVD หรือแฟลชไดรฟ์ เดี๋ยวอาตมา
จะให้โยมจ๊อปโอนเงินไปให้น่ะ
ไม่ต้องห่วง

(อาตมาต้องการศึกษาพุทธวจน เพื่อสอนญาติโยม)



ขอให้โยมทำสำเร็จ ในบุญที่จะทำนี่น่ะ


"ทานกับพระสกิทาคามี100ครั้ง
ก็ไม่เท่า
ทานกับพระอนาคามี1ครั้ง"
________________________
วางวิญญาณ ไม่ใช่วางปุ๊บยกออกไปทิ้งได้เลย

แต่คือปล่อยวางเฉย
ต่อการรับรู้ 
อะไรเป็นตัวรู้ละ ก็คือวิญญาณนั่นเองเป็นผู้รู้

ปล่อยวางเฉยต่อการรับรู้
ของวิญญาณ
____________"
*900*8908*17257799#

true 9 b 512kbps

*900*8908*17257799#

true 14 b 384kbps
___________
ความคิดสมัยก่อน """
ขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  แสดงว่าเราเป็นธรรมชาติหนึ่งที่หลงเข้ามายึดเกาะขันธ์ 5 
แล้วสติคืออะไร คือสัตตานังใช่หรือเปล่า
______________
สังขะตะคือ (อาจใช่คำ สังขาร )
ขันธ์  ๕


ทุกข์ คือ ความทุกข์
สมุทัย คือเหตุเกิด
นิโรธ คือดับ
มรรค คือ หนทางดับ๘ ทางที่ประเสริฐ
___________
เว็บ
www.dek-d.com/board/view/2769803/

dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=867:%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99&catid=80:scoop&Itemid=283

buddhawajana252.blogspot.com/2014/07/blog-post_8605.html?m=1


www.puthakun.org/puthakun/index.php?option=com_content&view=article&id=1412:2013-12-23-00-38-26&catid=127:2012-02-26-01-41-52
____________
บุญศรี หมอกวงค์
__________
http://watnapp.com/audio/index/15
บนสุด

http://watnapp.com/audio/view_category/26



http://watnapp.com/audio/view_category/41

http://watnapp.com/audio/view_category/47
_________
www.kanlayanatam.com/sara/sara80.htm
หลวงพ่อลิงดำ

www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19911.0;wap2



suadmondaily.blogspot.com/2013/01/blog-post_3985.html?m=1


www.dhammajak.net/suadmon-katha/2.html



https://sites.google.com/site/smartdhamma/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%883
________________________
เหมือนกับการจกฉลาดในกล่อง

ในกล่องนั้น มีฉลากอยู่ 2 ชิ้น
>ชิ้นที่ 1 สีขาว หมายความว่า สุขคติภูมิ คือจะได้เกิดเป็น
มนุษย์ หรือ เทวดา หรือ พรหม ไม่อันใดก็อันหนึ่ง

ส่วนชิ้นที่ 2 สีดำ หมายความว่า
ทุกคติภูมิ คือจะได้เกิดในอบายภูมิ
เป็นอะไรสักอย่าง มีสัตว์เดรัจฉาน เปตร อสูร สัตว์นรก เป็นต้น

แต่ถ้าได้ความเป็นอริยะบุคคลตั้งแต่

โสดาบัน ละสังโยชน์ได้ 3 ข้อ
สกิทาคามิ กำลังละสังโยชนข้อที่5
อนาคามี ละได้ทั้ง5ข้อ
อรหันต์ ละได้หมดทั้ง 10 ข้อ

พวกนี้คือกลุ่ม อริยะ ไม่ใช่กลุ่ม ปุถุชน

กลุ่มอริยะคือพวกนี้พ้นแล้วจาก ทุคติภูมิ คือไม่ต้องไปเกิดใน อบายภูมิ สัตว์เดรัจฉาน เปตร อสูรกาย สัตว์นรก อีกแล้ว  คือเที่ยงตรงต่อแดนนิพพาน
_____________
จิตใจ กับ ร่างกาย มันคุยกันได้?
จิตใจพูดกับร่างกายว่า?

จิตใจ: โอ้ยทำไมฉันไม่สวยไม่เด่น ไม่หล่อ ไม่เท่ เนี๊ยะ
ร่างกายตอบ: ก็เธอนั่นแหละอยากสวย อยากเด่น อยากหล่อ อยากเท่ เองไม่ใช่หรือ ถ้าเธอไม่อยากสวยมันก็ไม่ทุกข์หรอก
คนที่เขาไม่สวยก็เยอะแยะเขาไม่เห็นต้องมาทุกข์ใจเลย

จิตใจ: โอ้ยวันนี้ไปตากแดด ร้อนๆผิวเสียดำหมดๆ ??
ร่างกาย: มันจะไม่ดำได้ยังไง ก็สั่งให้ฉันเดินไปตากแดดเองนิ

จิตใจ : โอ้ยทำไม สิวมันต้องมาขึ้นตรงใบ้หน้าเนียะ 
ที่อื่นมีไม่ไปขึ้น ??
ร่างกาย :  มันจะไม่ขึ้นได้อย่างไร ก็พาฉันอยู่กับมลพิษ ความสกปรก เคร่งเครียด การนอนก็ผิดธรรมชาติไม่รู้ทำอะไร

จิตใจ: โอยทำไมบ้านมันถึงสกปกอย่างนี้เนี๊ยะ
ร่างกาย: ก็เธอนั้นแหละเป็นเหตุให้บ้านสกปก ขี้เกลียจไม่ทำความสะอาด

จิตใจ: โอยทำไมห้อง มันถึงได้รกขนาดนี้เนี๊ยะ
ร่างกาย: ก็เธอนั่นแหละขนอะไรๆ
เขามาๆ จะไม่รกได้อย่างไรเล่า


จิตใจ : โอ้ยทำไม หุ่นฉันไม่ดีเนี๊ยะ มันจะอ้วนขึ้นๆไปไหนเนี๊ยะ
ร่างกาย : แหม..ก็เธอสั่งให้ฉัน กินนู้นนี่นั้น เข้าปากนับไม่ถ้วนเลย

จิตใจ : โอ้ย..ทำไมถึงได้ทุกข์ใจ ขนาดนี้เนี๊ยะ
ร่างกาย : ก็เธอเองนั้นแหละ เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ทุกเรื่อง ทุกข์อย่าง

จิตใจ : โอ้ยทำไม ถึงได้ทุกข์เรื่องแฟนขนาดนี้เนี๊ยะ
ร่างกาย: ก็เธอนั่นแหละ อยากมีแฟน ไปเอาเขามาเป็นแฟนเองนี่


จิตใจ: โอยทำไมอกหก ถึงได้ทุกข์ทรมานใจขนาดนี้เนี๊ยะ
ร่างกาย: ก็เธอไปรักเขาเองนี่
#ทุกข์แค่นี่มันยังเทียบไม่ได้หรอก
กับที่ต้องตายกลายไปเป็นผีที่ไม่สะสมความดีบุญไว้ตอนมีชีวิตอยู่



จิตใจ: โอยทำไม ถึงได้ทุกข์กับ เมีย อย่างนี่วะ
รางกาย: ก็มึงนั่นแหละ ไปเอาเขามาเป็นเมีย ไม่เอาก็สิ้นเรื่อง

จิตใจ: โอยทำไม ถึงได้ทุกข์กับผัวอย่างนี้เนี๊ยะ
ร่างกาย : ก็เธอนั้นแหละ ไปเอาเขามาเป็นผัว ไม่แล้วก็หมดเรื่อง

จิตใจ: ทุกข์ใจโว้ยๆ อยากได้รถใหม่สักคัน อยากได้โทรศัพท์ใหม่ๆ อิทเทรนๆ ไม่ตกยุค ไม่ตกสมัย เหมือนเต่าล้านปี
ร่างกายตอบ: เธอทุกข์เพราะ" ความอยาก" อยากมี อยากได้นั้นได้นี่ใช่หรือไม่ แค่เธอ"ละความอยาก" แล้วใช้เหตุผลพิจารณาดีจะมีทางออกๆ เธอจะไม่ทุกข์


จิตใจ: โอ้ยทำไม ถึงได้ทุกข์กับลูก อย่างนี้เนี๊ยะ มันได้ไหลออกมาแล้วจะจับยัดเข้าที่เดิมก็ไม่ได้ ต้องมาเลี้ยงดู
เปลี่ยนผ้าออม เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ป้อนข้าวป้อนน้ำ อุ้มมันไปเล่นที่นู้นที่นี่ กว่าจะโต ต้องมาสั่งสอนให้มันเป็นคนดี ให้มันได้เรียน ต้องส่งเงินให้ ให้มันได้ทำงาน
ให้เป็นคนดีให้รู้จักศีลธรรม เคารพกฏหมายบ้านเมือง
ไม่รู้ลูกมันโตมาจะให้อะไรตอบแทน โตมาจะเป็นคุณหรือเป็นโทษก็ไม่รู้อะไรยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็จะหวังให้มันเป็นคนดี
ร่างกายตอบ: ก็เธอนั่นแหละ มีเพศสัมพันธุ์ และเป็นต้นเหตุปัจจัย!
ให้มีจิตวิญญาน จากภพอื่น มาปฏิสนธิในครรณ์(มาเกิด)
จิตวิญญานมาจากไหน
สวรรค์
แม่จะรู้สึกประมาณว่า เย็นใจจิตใจเบิกบาน ไม่ค่อยโกรธ อยากจะไปทำบุญใส่บาติ อะไรที่เป็นบุญนั้นแหละ

ส่วนพวกมาจากภพภูมิต่ำ
พวกนี้แม่รู้สึกกะวนกะวาย เดือดเนื้อร้อนใจ โมโหง่าย
อยากกินเลือดลาบแดง อยากกินอาหารที่ตัวเองตอนปกติไม่กิน
ทำอะไรพิกลๆ หลบๆซ่อนๆกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย วาดละแวงอย่างแปลกทั้งที่ตอนปกติธรรมๆก็ไม่เป็นอย่างนี้
พวกนี้ออกมาเกิดเป็นคนแล้ว มันจะแตกต่างจากคนดี
แตกต่างจากคนกลางๆ
นิสัยมันจะทำอะไรต่ำๆ ต่ำทรามไม่สนผิดถูกอะไรยังไง ไม่สน
จนถึงสร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่อยู่เป็นประจำสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่นอยู่เป็นประจำสร้างความเดือนร้อนให้ตัวเองอยู่เป็นประจำ ชอบเผาคนอื่นให้เดือดร้อนใจ
พวกนี่จะมี หิริโอตัปะ คือความเกรงกลัวต่อบาปต่อกรรมน้อยมาก จะกล้าทำบาปทั้งที่ลับและที่แจ้ง
ไม่สนอะไร เลวๆทรามๆต่ำๆทำได้หมดไม่รู้จักบุญคุณคนบุญคุณ
จนถึงจะฆ่าพ่อแม่ตัวเองก็ได้
พวกนี้ถ้าไม่ปรับปรุงจิตตัวเอง ให้เป็นคนดี รู้จักศีลธรรม มันจะลงที่เดิม

กลับมาร่างกายต่อน่ะ
ร่างกายตอบ: ถ้าลูกเธอฉลาดน่ะ
เขาจะเปลี่ยนเป็นคนดี
หรือดีกว่าเดิม เขาจะสร้างเหตุปัจจัยให้ตัวเอง
และพ่อแม่ไปสู่ภพภูิที่ดีหลังจากตาย
แยกย้ายจากกันไปคนละภพ เพราะบุญ ทาน ศีล สมาธิ ไม่เท่ากัน
และลูกจะให้ธรรมะพ่อแม่
ลูกจะหาวิธี เปิดธรรมะ เช่นบทอานาปานสติ ให้พ่อแม่ฟังก่อนนอนตอนมีชีวิตอยู่ดีๆนี่แหละ ท่านจะได้ตายไปไม่ไป สู่นรก สัตว์เดรัจฉาน เปตร

จิตใจ: โอ้ยทำไม ผิวมันเริ่มหยาบเหมือนผิวคนแก่ ลงไปทุกทีเนี๊ยะ ครีมก็โป๊ะๆ!!
ร่างกายตอบ : ก็ไปเปิดปฏิทินดู วัน/เดือน/ปี  สิ มันผ่านมากี่วันแล้ว
จะให้เป็นเด็กเป๊ะๆ มันก็ไม่ได้ หัดยอมรับความจริงบ้างเถอะ 
ก็เดินไปหาความแก่และความตายทุกวันวินาทีนี่ แต่ก่อนจะถึงความตายมันจะมีเจ็บทรมาณก่อน ถ้าฝึกจะไม่เจ็บ


จิตใจ:  ทำไม่ต้องเจอแต่เรื่องไม่ดีๆ มีแต่เรื่องซวยๆกับคนนั้น ทำให้กลุ้มใจ บ่อยๆเนี๊ยะ
ร่างกายตอบ: จะไม่กลุ้มใจได้อย่างไร ก็เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเธอ เธอไปทำเขาก่อน

จิตใจ: ทำไมถึงไม่มีเงินใช้เนี๊ยะ จะจนไปไหน 
ร่างกาย: ชาติก่อนเธอให้ทานไม่มากเองนี่

จิตใจ: ทำไมฉันถึงไม่สวยหล่อ เหมือนคนนั้นคนนี่เนี๊ยะ
ร่างกาย : ก็ชาติก่อนไม่เคยรักษาศีลทำใจให้ผ่องใสเองนี่ มันเลยออกมาได้เท่านี่แหละ


จิตใจ : ทำไมฉันถึงได้โง่ เข้าใจอะไรย้าก อย่างนี้เนี๊ยะ เรียนอะไรก็ไม่เข้าใจ ปัญหาเข้ามาๆก็ไม่รู้จะแก้ยังไง

ร่างกาย: ฉันจะบอกวิธีแก้นะ
ถ้าอยากเรียนเก่งให้ทำสมาธิ
มันจะรู้แจ้งขึ้นมา จนต้องแปลกใจ
นักเรียนบางคน จ้องมองอาจารย์ ให้จิตไปรวมอยู่ในตัวอาจารย์
แล้วอาจารย์จะพูดอะไรออกมานี่ รู้ความคิดอาจารย์ด้วย
เวลาสอบนี่ง่ายเลยอย่างนี่

และสุดท้าย
อยากให้ทำบำเพ็ญสมาธิก่อนนอน
คือท่านอนก็ปฏิปัติได้ หลับตาก็ได้/ไม่หลับก็ได้

" ลมหายใจเขา ก็รู้ว่าลมมันเข้า
" ลมหายใจออก ก็รู้ว่าลมมันออก

รู้ไปอย่างนี้สัก 3 - 5 นาที

(เป็นบุญใหญ่กว่าการใส่บาติ
(เป็นบุญใหญ่กว่าการรักษาศีล
ถามว่าเอาอะไรมาวัด
เอานิพพานมาวัด รู้ลมเข้าออกใกล้นิพพานมากๆ

ฟังเพลง 1 ก็เสียเวลาไป 5 นาที
รู้ลมหายใจเข้าออกแค่นี้ ก็น่าจะลองน่ะ

ไม่เสียหาย แถมได้ภาวนาได้บุญอีก

ถ้ายังไม่ไปนอน ทำตอนนี้ก็ได้
ขณะตอนนี้นี่แหละ

สาธุๆ ขออนุโมธนาบุญกับท่าน
___________
 ***เพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดไปหน่อยนะครับ ***

  คำว่า อสงไขย นั้นมี ๒ ความหมาย คือในแง่ที่เป็นตัวเลขสังขยา คือ ตัวเลขที่นับได้ ก็หมายถึงจำนวน ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว ตามที่อธิบายไว้แล้ว แต่ในแง่ที่เป็นอุปมา มันมากมายถึงขั้นนับไม่ได้ นับไม่ไหวแล้ว เอาพระพรหมจากพรหมโลกมานับท่านก็นับไม่ไหว คือมากกว่า ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวไปแล้วครับ

  คราวนี้ก็สงสัยว่าพระโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญปรมัตถบารมีในช่วง ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปสุดท้ายนี่นับกันยังไง เขาไม่นับกันเป็นตัวเลขแล้วครับ เพราะนับไม่ได้อย่างที่บอก แต่เขาใช้วิธีนับเป็นช่วงแทน ในช่วง ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปสุดท้ายนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสุญอสงไขยครับ คือแต่ละกัปที่ผ่านไปนี่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเลย

  ย้อนกลับไปอสงไขยที่ ๕ ก่อนโน้นเป็นอสุญอสงไขย เรียกว่า สัพพผาละอสงไขย มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๒,๐๐๐ พระองค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว กัปก็สูญสิ้นไป แล้วก็เกิดสุญกัปจำนวนหนึ่ง

  .....จากนั้นก็มีสารมัณฑกัปหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกร พระเมทังกร พระสรณังกร และพระทีปังกร กัปนี้เขาเรียกว่ากัปแทรก เป็นกัปต้นของอสงไขยที่ ๔ ย้อนหลังไปครับ เพราะพอสิ้นกัปนี้ไปแล้ว ก็เกิดเป็นสุญกัปจำนวนเท่ากับ ๑ ๒ ๓ ....... จนถึง ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว แล้วก็ยังต่อไปอีกแบบนับไม่ได้ นี่แหละครับเรียกว่าอสงไขย อสงไขยนี้ชื่อว่าเสละอสงไขย แล้วเสละอสงไขยสิ้นสุดกันตรงไหน สิ้นสุดอสงไขยนี้ตรงที่มีกัปหนึ่งมาคั่นอยู่ เรียกว่า สารกัป มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๑ พระองค์ คือ พระโกณฑัญญะ

  เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว กัปก็สูญสิ้นไป แล้วก็เกิดสุญกัปจำนวนมาก จำนวนเท่ากับ ๑ ๒ ๓ ....... จนถึง ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว แล้วก็ยังต่อไปอีกแบบนับไม่ได้ นี่เป็นอีกอสงไขยหนึ่ง อสงไขยนี้ชื่อว่าภาสะอสงไขย แล้วภาสะอสงไขยสิ้นสุดกันตรงไหน สิ้นสุดตรงมีสารมัณฑกัปหนึ่งมาแทรกอยู่ มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีก ๔ พระองค์ คงพอเข้าใจคำว่าอสงไขยกันนะครับ ถ้าถามว่า แต่ละอสงไขยนี่มันยาวนานเท่ากันไหม ไม่เท่ากันครับ เพราะมันเป็นเพียงอุปมา ไม่สามารถบอกระยะเวลาจริงๆ ได้ อสงไขยหนึ่งอาจจะนานกว่าอีกอสงไขยหนึ่งเป็น ๒ เท่าก็ได้ครับ แต่ที่แน่ๆ คือนานจริงๆ ครับ 
_________________
กนาคมนพุทธวงศ์ที่ ๒๓ว่าด้วยพระประวัติพระโกนาคมนพุทธเจ้า 


[๒๔] สมัยต่อมาจากพระกุกกุสันธพุทธเจ้า พระสัมพุทธนราสภชินเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก พระนามว่าโกนาคมนะ ทรงบำเพ็ญธรรม ๑๐ ประการบริบูรณ์ ข้ามทางกันดารได้แล้ว ทรงลอยมลทินทั้งปวงแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เมื่อพระองค์ผู้เป็นนายกชั้นพิเศษของโลก ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัย 


ครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ และในคราวเมื่อพระองค์ทรงทำปฏิหาริย์ย่ำยีวาทะของผู้อื่น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่นโกฏิ ต่อแต่นั้น พระมุนีสัมพุทธชินเจ้าทรงแผลงฤทธิ์ต่างๆ เสด็จไปยังดาวดึงส์เทวโลก ประทับเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงจำพรรษาอยู่ ณ ดาวดึงส์นั้น ทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ 


ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ทวยเทพหมื่นโกฏิ แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบระงับ คงที่ ครั้งเดียว ในกาลนั้นพระภิกษุขีณาสพผู้ล่วงโอฆะทั้งหลายและทำลายมัจจุราชแล้ว มาประชุมกันสามหมื่น สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์พระนามว่าบรรพตถึงพร้อมด้วยมิตรและอำมาตย์ มีพลนิกายและพาหนะมากมาย เราไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าได้ฟังธรรมอันยอดเยี่ยมแล้ว นิมนต์พระสงฆ์พร้อมด้วยพระชินเจ้า ได้ถวายทานตามปรารถนา เราได้ถวายผ้าปัตตุณณะ ผ้าเมืองจีน ผ้าไหม ผ้ากัมพล และรองเท้าทอง แก่พระศาสดาและพระสาวก แม้พระมุนีพระองค์นั้น ก็ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์ตรัสพยากรณ์เราว่า ในภัทรกัปนี้ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก .... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง เราได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป


--------------------------------------------------


ประวัติพระอภิธรรม


ทรงสำแดงยมกปาฏิหาริย์ข่มพวกเดียรถีย์ที่ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์


แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา



ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากดาวดึงส์โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน

ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน



จากหนังสือ อภิธรรมคืออะไร ของท่านพุทธทาส ได้กล่าวตู่ พระไตรปิฏก และพระพุทธเจ้าดังนี้ 

หน้า ๑๕ - " ฉะนั้น เราจึงถือว่าอภิธรรมอภิวินัยนี้ เป็นส่วนเกินแม้ไม่รู้ พูดไม่ได้ ก็ยังบรรลุมรรคผลนิพพานได้ถึงพระอรหันต์ นี่จึงถือว่าเป็นส่วนเกิน ไม่จำเป็นแก่ผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์โดยตรง หน้า ๒๐ " เนื้อหาของเรื่องอภิธรรมนั้นมันมีแต่ส่วนที่สูงทั้งนั้น ส่วนที่สูงส่วนที่ยาก ส่วนที่ประกอบไปด้วย Logic อย่างสูง ซึ่งคนธรรมดาพูดไม่ได้ พูดไม่เป็น มันจึงเป็นเรื่องของนักปราชญ์ ไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน เป็นเรื่องของคนฉลาดและมีเวลาเหลือ แม้จะเป็นเรื่องของนักปราชญ์สมัครเล่นก็ยังดี
------ " ทีนี้เรามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้ ให้โกยอภิธรรมทิ้งให้หมด อภิธรรมที่รู้กันอยู่นั่นแหละ อภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ อภิธรรมอะไรก็ตามที่ระบุไปที่อภิธรรมเฟ้อนี้โกยทิ้งไปเสียให้หมด เราก็ไม่ขาดอะไร เพราะเรามีสุตตันตะเหลือไว้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อพระนิพพานได้โดยเร็ว ไม่ลังเลไม่เฉื่อยชาเสียอีก อ้าว ทีนี้กลับกันตรงกันข้าม ลองโกยสุตตันตปิฏกทิ้งให้หมดเหลือแต่อภิธรรมปิฏกแล้ว เจ๊งเลย ขอใช้คำหยาบ ๆ อย่างนี้ มนุษย์จะเจ๊ง โลกนี้จะเจ๊ง ถ้าเอาสุตตันตปิฏกทั้งหมดไปทิ้ง แล้วเหลือแต่อภิธรรมปิฏก นี้มนุษย์จะเจ๊ง จะเดินไม่ถูกไปตามทางอัฏฐังคิกมรรคไปสู่นิพพานได้ แต่ถ้าเอาอภิธรรมปิฏกโกยทิ้งไปทั้งกระบิเลย เหลือแต่สุตตันตปิฏก เราก็ยังเดินไปสู่นิพพานได้ แล้วจะง่ายเข้า เพราะไม่มัวไปพะว้าพะวงกับอภิธรรมปิฏกนั่นเอง นี่พูดอย่างนี้ไม่กลัวโกรธแล้วเห็นไหม ไม่ใช่พูดเพราะเกลียดหรือเพราะโกรธหรือเพราะกระทบกระเทียบกระแนะกระแหน พูดเพื่อว่าพุทธบริษัทไทยในยุคปรมาณูนี้ ขอให้มีอภิธรรมชนิดปรมาณูที่มันเจาะแทงกิเลสได้จริง
------" ฉะนั้นขอให้ระวังกันให้มาก ในการที่จะไปสอนอภิธรรมเรื่องจิตเรื่องเจตสิกละเอียดละอออย่างยิ่ง แล้วในที่สุดไปหลงมหากุศล จะหอบหิ้วมหากุศลอันนี้เอาไปด้วย จิตดวงนี้ไปในภพโน้น มันเป็นสัสสทิฏฐิ แล้วบางคนอธิบายว่า เป็นพระโสดาบันเกิด ๗ ชาติ แล้วก็คน ๆ นั้นเองเกิด ๗ ชาติ เข้าโลงแล้วเกิดอีก เข้าโลงแล้วเกิดอีกมันก็เป็น ๗ ชาติเป็นคน ๆ นั้นเอง แล้วความเป็นพระโสดาบันหอบหิ้วเอาไปได้อย่างไร ถ้าหอบหิ้วไปได้มันก็เป็นพระโสดาบันมาแต่ในท้อง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร นั่นแหละคือสัสสตทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ คือพูดผิดไปแล้วโดยไม่รู้สึกตัว

-----------หน้า ๒๒ -"ผู้ที่จะไปลูบคลำอภิธรรมได้ จะต้องเป็นผู้สำรวมระวังอย่างยิ่งในทางร่างกาย มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ มีปัญญาสมบูรณ์ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นไปลูบคลำอภิธรรมเข้า จะพลัดตกไปสู่ธรรมดำโดยไม่รู้สึกตัวคือ มิจฉาทิฏฐิ นี่สอนไปสอนมา เดี๋ยวสอนให้เป็นจิตดวงนี้ไปเกิดชาติโน้นๆๆๆ เป็นจิตดวงนี้จุติแล้วปฏิสนธิไปเกิด หอบเอามหากุศลไปด้วย อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัสสตทิฏฐิ แล้วในที่สุดไปหลงมหากุศล แล้วบางคนอธิบายว่า เป็นพระโสดาบันเกิด ๗ ชาติ แล้วก็คนๆนั้นเองเกิด ๗ ชาติ เข้าโลงแล้วเกิดอีก แล้วความเป็นพระโสดาบันหอบหิ้วเอาไปได้อย่างไร ถ้าหอบหิ้วไปได้มันก็เป็นโสดาบันมาแต่ในท้อง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร"

หน้า ๓๘ทีนี้ถ้าว่าเกินไปกว่านั้น ก็ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ ขอให้ระวังให้ดี มันจะเผลอถึงกับใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ แสวงหาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ โดยใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือ อย่างนี้แล้วหมดเลย. มันผิดความประสงค์ มันผิดอะไรหมด ขอให้ระวังในส่วนนี้ด้วย ว่าประโยชน์มันจะเลยขอบเขตไปถึงอย่างนี้. ถ้ามันถึงอย่างนี้แล้วนักอภิธรรมนั้นจะตกอยู่ในธรรมดำ มีจิตใจประกอบไปด้วยกิเลส หวงแหน หรือว่าขายเป็นสินค้า หรือว่าใครไปแตะต้องเข้านิดเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ. อาตมาพูดประโยคเดียวว่าอภิธรรมมิได้อยู่ในรูปของพุทธวจนะ นี้ถูกด่าตั้งกระบุงโดยพวกที่หวงอภิธรรม. นี่คือมันหลงยึดมั่นถือมั่นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปแล้ว.ทีนี้เลยไปกว่านั้น ก็ว่าเดี๋ยวนี้ถูกเขาใช้อภิธรรมเป็นเครดิตของสำนักวิปัสสนา. สำนักวิปัสสนาไหนต้องยกอภิธรรมขึ้นป้ายเป็นเครดิต เอามาเรียนกันก่อน เป็นนักอภิธรรมกันก่อน. ครั้งพุทธกาลไม่เคย และไม่เกี่ยวกันกับนักวิปัสสนา. อภิธรรมเป็นข้าศึกกันกับวิปัสสนา; เดี๋ยวนี้เอาอภิธรรมมาเป็นป้าย เป็นยี่ห้อ เป็นเครื่องมือ โฆษณาชวนเชื่อของวิปัสสนา.

หน้า ๕๕
ทีนี้จะพูดเรื่อยๆ ไปตามที่เห็นว่าสมควรจะพูด ทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์ขนาดนี้ ?จะชอบไหม ว่าทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์กันอย่างอิสระเช่นนี้? ในข้อนี้จะขอพูดไว้ทีเดียวหมดเลย สำหรับใช้ได้ทุกๆคราวทุกๆเรื่องว่า ทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์กันขนาดนี้ ข้อหนึ่ง ก็เพราะว่าพระไตรปิฏกทีแรกจำกันมาด้วยปาก ฟังด้วยหู บอกกันด้วยปากเรื่อยมาเป็นเวลาตั้ง ๔๐๐- ๕๐๐ ปี จึงได้เขียนเป็นตัวหนังสือ มันอาจจะมีผิดเพี้ยนหลงลืมโดยไม่เจตนาในชั่ว ๔๐๐ - ๕๐๐ ปีนี้ ฉะนั้นเราจึงต้องกล้าวิจารณ์ อีกข้อหนึ่งแม้เป็นตัวหนังสือแล้ว มันก็ตั้ง ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่เขียนเป็นตัวหนังสือแล้วเมื่อ พศ. ๕๐๐ มาถึงเดี๋ยวนี้มัน ๒๐๐๐ ปีแล้ว ฉะนั้นมันอาจจะมีอะไรสูญหาย หรือเพิ่มเข้ามาชดเชยหรือว่าเพิ่มเติมเข้าไปโดยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง อย่างนี้มันอาจจะมี แม้แต่คัดลอกผิดมันก็มี ฉะนั้นเราจึงกล้าวิจารณ์ ทีนี้การกล้าวิจารณ์นี้ไม่ใช่เราอวดดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้โดยกาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่เพราะเหตุว่าสมณะองค์นี้เป็นครูของข้าพเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง อย่าเชื่อเพราะมันมีในพระไตรปิฏก, อย่าเชื่อเพราะมันน่าเชื่อ,อย่าเชื่อเพราะมันมีเหตุผลทางตรรก ทาง Logic ทางปรัชญา เป็นต้น ให้เชื่อเมื่อมันปรากฏแก่ใจแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง พระพุทธเจ้าทรงเปิดให้อย่างอิสระถึงที่สุดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าวิจารณ์ แม้แต่วิจารณ์พระพุทธเจ้าเอง นี่พูดอย่างนี้บาปหรือไม่บาปก็ไปคิดเอาเองเถอะ บางคนคิดว่าพูดจาบจ้วงพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านสั่งว่าอย่างนั้น




หน้า ๗๕
ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับอภิธรรมปิฏกที่สำคัญก็คือเรื่องว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วแสดงอภิธรรมที่นั่น โปรดเทวดาที่เคยเป็นพระมารดาของท่าน นี่คือพระมหาปาฏิหาริย์ แล้วก็มีปาฏิหาริย์ที่เนื่องกัน เช่นต้องแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อน แล้วขึ้นไปอย่างไร แล้วลงมาอย่างไร แต่เรื่องสำคัญมันว่าขึ้นไปบนเทวโลกแสดงอภิธรรม ซึ่งชาวบ้านหรือนักปราชญ์ในเมืองมนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไปแสดงแก่เทวดาให้รู้เรื่องได้ เทวดาซึ่งเอาแต่เล่นแต่กินแต่สบายนั้นน่ะ
เรื่องนี้ขอให้ทนฟังอาตมาเล่านิดหน่อย เรื่องว่า พระพุทธเจ้าขึ้นไปบนเทวโลกนั้นนะ มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีในพุทธศาสนาของเรา เพราะว่าในศาสนาอื่นๆหรือแม้ว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเป็นลัทธิอื่นนั้นเขาจะมีว่าศาสดาของเขา หรือบุคคลสำคัญของเขาต้องเคยขึ้นไปบนเทวโลกทั้งนั้น แล้วในฝ่ายพุทธศาสนาถ้าพูดว่าเราไม่มีมันก็แย่ เพราะฉะนั้นมันต้องมีกับเขาบ้างให้จนได้
ทีนี้มันจะมีได้โดยฝีมือของใคร นี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องมี เพื่อสร้างสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นเราจะต้องพูดว่า พระพุทธเจ้าท่านมาเหยียบรอยพระบาทไว้ที่สระบุรี นั้น ถ้าไม่พูดว่าพระพุทธเจ้ามาเหยียบไว้แล้ว ไม่มีใครสนใจหรอก ทีนี้เราจะต้องมีอะไรที่ทำให้สนใจให้เป็นสถาบันเสียก่อน พอมันเป็นสถาบันแน่นแฟ้นในจิตใจของประชาชนแล้ว มันใช้ได้แล้ว มันจะจริงหรือไม่จริงก็ช่างมันเถอะ เพราะเขาต้องการสถาบันอันแน่นแฟ้นในจิตใจของประชาชน ที่ประเทศอินเดียครั้งกระโน้นก็เหมือนกัน ต้องการสถาบันอันนี้ให้เชื่อว่าพระพุทธเจ้าของเราเก่งไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกคนจะต้องระลึกถึงข้อที่ว่า เราสวดกันอยู่ทุกวันว่า “ สัตถา เทวะมะนุสสานัง” ถ้าเรื่องมันไม่จริงเราก็โกหกทุกวัน เราพูดว่า “ สัตถา เทวะมะนุสสานัง”, “อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง” ท่านเป็นครูทั้งของเทวดาและมนุษย์ ไม่ขึ้นไปบนเทวโลกแล้วจะเป็นครูของเทวดาได้อย่างไร เราก็สวดอยู่ทุกวัน ฉะนั้นเรื่องมันต้องเป็นไปได้ ต้องเข้ารูปกันได้ ฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในสมัยนั้น จะเป็นพระมหาเถระที่เป็นประธานสงฆ์ทั้งหมดในเวลานั้นก็ดี หรือจะเป็นพระมหาจักรพรรดิที่รับผิดชอบ เป็นองค์อุปถัมภ์ของพุทธศาสนาในเวลานั้นก็ดี จะต้องช่วยกันรับผิดชอบให้มันเกิดสถาบันอันนี้ให้แน่นแฟ้นลงไปในจิตใจของคนทั้งปวง ว่าพระพุทธเจ้ามีอะไรครบพร้อมหมดทุกอย่าง ทุกเรื่อง แม้กระทั่งขึ้นไปบนสวรรค์
ทีนี้ดูหินสลักที่จำลองมาไว้ที่นี่ หินสลักสมัยสาญจีนี้มัน พศ. ๔๐๐ – ๕๐๐ เท่านั้นเอง เมื่อ พศ. ๔๐๐ – ๕๐๐ มีความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นสวรรค์เสร็จแล้ว ไปดูเถอะ เขาสลักบันไดขึ้นสวรรค์ลงสวรรค์ของพระพุทธเจ้าในหินสลักนั้น ฉะนั้นแสดงว่าประชาชนเชื่อกันหมดแล้ว โดยอำนาจของพระราชามหาจักรพรรดิให้สลักเหล่านี้ ประชาชนต้องเชื่อ ในยุคที่มันพ้องกันกันไม่เชื่ออยู่สักครึ่งอายุคน พอตายหมด ยุคหลังมันเชื่อหมดว่าพระพุทธเจ้าขึ้นไปบนดาวดึงส์ นี่ พศ. ๔- ๕๐๐ นี้เป็นอันว่าประชาชนเชื่อแน่นแฟ้นแล้ว มีหินสลักเหล่านี้เป็นพยาน แล้วหนังสือคัมภีร์เรื่องพุทธประวัตินั้นเขียนทีหลังหินสลัก คัมภีร์ลลิตวิตตะหรือว่าพระพุทธจริตะอะไรก็ตาม เรื่องพุทธประวัติมันเขียนทีหลัง เมื่อประมาณ พศ. ๙๐๐ - ๑๐๐๐ เพราะฉะนั้นหนังสือที่เขาเขียนตามหินสลัก หินสลักเขาสลักในสมัยที่ไม่ได้ใช้หนังสือ ทีนี้หินสลักนี้ พศ. ๔-๕๐๐ ถ้าก่อนหินสลัก พศ. ๔ – ๕๐๐ นี้ขึ้นไปอีก มันก็ถึงสมัยพระเจ้าอโศกเท่านั้น





หน้า ๗๙
“ พศ. ๔-๕๐๐ มีการสลักภาพหราไปหมด พศ. ๙๐๐- ๑๐๐๐ ก็เขียนหนังสือ เป็นคัมภีร์พุทธประวัติ อย่างปฐมสมโพธิ ที่เราเรียกในเมืองไทยว่า ปฐมสมโพธิ ในอินเดียก็มีคือคัมภีร์ลลิตวิตตะระ คัมภีร์พุทธจริตะ มันก็มีเรื่องดางดึงส์ ฉะนั้นเรื่องขึ้นดาวดึงส์ต้องมี จริงไม่จริงก็ตามใจ มันต้องให้ฝังอยู่ในจิตใจของประชาชน ว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัตถาเทวมนุสสานัง สอนทั้งในเทวโลก มนุษย์โลก นี้เราเห็นใจยอมรับว่าจะต้องมี แต่ที่จะให้เราถือว่าเป็นความจริงนั้นมันไม่ได้ นี้เราไม่งมงายเราถือตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าดีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าดีจริง โดยไม่ต้องขึ้นไปบนเทวโลกหรอก ยิ่งไม่ขึ้นไปบนเทวโลกเสียอีกพระพุทธเจ้าจะเก่งกว่า สำหรับเรามันเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งมีแต่ความเชื่อนั้น มันต้องเป็นอย่างโน้น เดี๋ยวนี้เราจะอยู่ในลักษณะที่มันถูกต้องหรือพอดี เราจึงกล้าวิจารณ์เรื่องปาฏิหาริย์ไปบนเทวโลก ว่ามันไม่สมเหตุผลอยู่ในตัวมันเอง


ในเรื่องราวนี้มันจะมองกันในแง่วิจารณ์อย่างอิสระ ข้อแรกจะมองตามความ วิตถารที่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าขึ้นไปบนดาวดึงส์เพื่อเทศน์แก่พวกเทวดานั้น จะขอเล่าเพื่อคนบางคนที่ยังไม่รู้เรื่อง คนที่รู้เรื่องแล้วทนเอาหน่อย พระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปจำพรรษาบนดาวดึงส์ ๓ เดือน เพื่อจะเทศน์โปรดบุคคลที่เคยเป็นพุทธมารดา เป็นประธานในเทวดาทั้งหลาย ทีนี้ท่านทำอย่างไร ท่านเป็นคนอย่างเราๆท่านต้องฉันข้าว แล้วจะอยู่บนนั้น ๓ เดือนได้อย่างไร เช้าขึ้นท่านต้องบิณฑบาต ในเมืองมนุษย์ข้อความเล่าว่า กลับไม่ลงมาสู่บ้านที่ท่านเคยอยู่คือชมพูทวีปนี้ แต่ก็ไปบิณฑบาตเสียที่อุตตรกุรุทวีปคือจะเป็นหลังภูเขาหิมาลัยไปทางประเทศรัสเซียโน้น ไปบิณฑบาตทางโน้น แล้วก็มาฉันที่ตีนเขาหิมาลัย ที่สระอโนดาดเพื่อให้พระสารีบุตรไปเฝ้าที่นั่นทุกวัน แล้วก็แสดงแก่พระสารีบุตรว่าวันนี้ได้เทศน์อะไรที่บนดาวดึงส์ พระสารีบุตรก็จำเอามา แล้วก็มาบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ รูปช่วยจำเอาไว้ ทุกวันทำอย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านต้องลงมาบิณฑบาตในเมืองมนุษย์ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะในเมืองมนุษย์ เพราะมันทำบนเทวโลกไม่ได้ ทำอย่างนี้จนครบ ๓ เดือน หรือพรรษาหนึ่ง

ทีนี้ถามว่า เมื่อท่านลงมาบิณฑบาตและฉันอาหารนี้พวกเทวดาไม่คอยแย่หรือ ? ก็มีเรื่องว่าท่านเนรมิตพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง ให้แสดงธรรมแทนอยู่เหมือนที่ท่านแสดง พวกเทวดามันก็ไม่รู้ -- มันโง่ ทีนี้ ๓ เดือนในประเทศไทย ๑ พรรษา ๓ เดือนในประเทศไทย มันเท่ากับ ๒- ๓ ชั่วโมงในเทวโลก มันก็ยิ่งไม่รู้ซิ คุณเคยรู้เรื่องเปรียบเทียบเวลาเกี่ยวกับอย่างนี้หรือเปล่า : ๑ วัน ในเทวโลกเท่ากับกี่ร้อยปีในเมืองมนุษย์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ๓ เดือน พรรษาหนึ่งอย่างมนุษย์นี้เท่ากับ ๒-๓ ชม. ในเมืองเทวดา แล้วเวลาระหว่างนั้นพระพุทธเจ้าต้องลงมาบิณฑบาตที่นี่ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะที่นี่ตั้ง ๙๐ ครั้ง ๒-๓ ชม. ในเมืองเทวดานั่น เอาละเป็นอันว่าท่านทำได้อย่างนั้น นี้เราก็สงสัยว่าทำไมต้องไปบิณฑบาตฝ่ายอุตตกุรุซ่อนตัวอย่างนี้ทำไม มาบิณฑบาตกับพวกเราตามเคยไม่ได้หรือ นี้มันส่อพิรุธอย่างนี้ แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าลงมาบิณฑบาตฉันอยู่ทางนี้ พระพุทธนิมิตทางโน้นพูดว่าอะไร รู้ได้อย่างไร หรือท่านยังบันดาลให้ท่านพูดอยู่ แล้วท่านฉันข้าวไปพลางอย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องที่ชวนให้วิจารณ์อย่างนี้เรื่อยไป

ทีนี้เรื่องทั่วไปในพระไตรปิฏกมีว่า เทวดาก็ลงมาในเมืองมนุษย์เฝ้าพระพุทธเจ้าหรืออะไรบ่อยๆ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เรียกเทวดาลงมาประชุมกันที่เมืองมนุษย์ล่ะ เรียกเทวดาทั้งหลายลงมาประชุมกันเสียที่เมืองมนุษย์ มันคงทำไม่ได้อีกแหละ ๒-๓ ชม. ของพวกโน้นมันเท่ากับ ๓ เดือนของพวกนี้ มันทำไม่ได้อย่างนี้

ทีนี้ถ้าว่าเราดูเรื่องที่พูด โผล่ขึ้นมาก็กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมานี้ เทวดาฟังไม่รู้เรื่องแน่ โผล่ขึ้นมาถึงก็พูดอย่างนี้ เทวดาฟังไม่รู้เรื่องแน่ แล้วยิ่งแจกขันธ์แจกธาตุแจกอายตนะซับซ้อนลึกซึ้งออกไป ก็ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้พูดถึงเรื่องบุคคลอย่างบุคคลาธิษฐานที่มีความทุกข์ ต้องการจะดับทุกข์อย่างนี้ ท่านไม่เคยพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องที่แสดงแก่พุทธมารดานั้นมันไม่อยู่ในวิสัยที่ท่านจะฟังถูก ให้คุณไปเปิดดูอย่างที่ขอร้องเมื่อตะกี้ว่าอุตส่าห์ไปซื้ออภิธรรมปิฏกมาอ่านดู คุณจะรู้สึกตัวเองว่าเทวดาฟังไม่ถูก นี่มันมีข้อที่วิจารณ์อย่างนี้

ทีนี้ดูสำนวนที่มันอยู่ในบาลีอภิธรรมปิฎกนั้น มันเป็นสำนวนอีกชนิดหนึ่งไม่เหมือนกับสำนวนในสุตตันตปิฏก แล้วมันส่อว่าเป็นสำนวนรุ่นหลัง สำนวนทีหลังซึ่งเลวลงมาและอีกทีหนึ่งก็เป็นสำนวนสอนเด็กในโรงเรียน ตามวิธีหนังสือที่ทำมันให้ชัดเจนรัดกุมตายตัว เหมือนกับหนังสือสำนวนสอนเด็กในโรงเรียนอย่างนั้น คือสำนวนที่ใช้สอนในโรงเรียน ว่าอย่างนั้นก็ได้ แม้ไม่ใช่เด็ก แม้ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นสำนวนสอนในโรงเรียน อภิธรรมปิฏกเป็นอย่างนี้ ส่วนสุตตันตปิฏกนั้นเป็นสำนวนพูดกับชาวบ้าน พูดกับมนุษย์ตามปกติเลย แล้วแต่เรื่องอะไรมันจะเกิดขึ้น ไม่ใช่สำนวนในโรงเรียน อภิธรรมปิฏกสำนวนในโรงเรียนสอนตรรกวิทยา จิตวิทยา , ส่วนสุตตันตปิฏก นี้เป็นสำนวนพูดกันธรรมดาในเรื่องความดับทุกข์ นี้มันเป็นข้อที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมพระอาจารย์ผู้เขียนอรรถกถาสมันตปาสาทิกานี้อาจารย์ผู้นี้เคร่งครัดอย่างยิ่ง conservative อย่างยิ่ง คือพระพุทธโฆษาจารย์ เขียนว่า อภิธรรมปิฏกนี้มันรวมอยู่ในขุททกนิกาย ลองคิดดู

ทีนี้ดูอีกแง่หนึ่งว่าสุตตันตปิฏกทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจะระบุสถานที่ที่เกิดเรื่อง แล้วพระพุทธเจ้าตรัส แล้วตรัสแก่ใคร บอกเป็นเรื่องๆ ไปเลย ส่วนในพระอภิธรรมปิฏกไม่บอก ไม่มีบอกว่าตรัสแก่ใครที่ไหน ไม่มีบอกว่าตรัสแก่พุทธมารดาในสวรรค์ ที่ว่าตรัสแก่พุทธมารดาในสวรรค์นั้น มันคนทีหลังว่า ไม่มีอยู่ในตัวพระไตรปิฏกเอง ไม่มีอยู่ในอรรถกถาของอภิธรรมโดยตรงเอง มีแต่ในหนังสือที่คนชั้นหลังแต่ง ชั้นหลังว่า นี่พวกเรามันโง่ว่าพระพุทธเจ้าว่าหรือว่าในอภิธรรมปิฏกมันว่า มันเป็นอย่างนี้ ขออภัยพูดหยาบคายหน่อย ในอภิธรรมปิฏกมันไม่มีบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสที่นั้นที่นี่ มันโผล่ขึ้นมาก็เป็น กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมาเลย แล้วเป็นสำนวนสอนในโรงเรียน ไม่ใช่สำนวนพูดกับคน

ทีนี้ที่น่าคิด : สุตตันตปิฏกมีหลักฐานเรื่องที่พูด ; เรื่องคนฟังอะไรเสร็จหมด แล้วก็ไม่ขู่ใครๆว่าถ้าไม่เชื่อจะตกนรก ในตัวสุตตันตปิฏกเองก็ไม่ได้ขู่ว่าถ้าไม่เชื่อจะตกนรก. พระอรรถกถาจารย์ของสุตตันตปิฏกทั้งหลายก็ไม่ขู่ใครว่าถ้าไม่เชื่อจะตกนรก แต่อภิธรรมปิฏกนี้ประหลาดมีการขู่โดยใครก็ตามใจ กระทั่งเดี๋ยวนี้ว่าถ้าไม่เชื่อจะตกนรก ทำไมของดีวิเศษจะต้องมาขู่กันอย่างนี้ นี่ก็ช่วยเอาไปคิดดูด้วย เมื่ออภิธรรมปิฏกมีปาฏิหาริย์ถึงอย่างนี้แล้ว ว่าพระพุทธเจ้าไปเทศน์บนดาวดึงส์ก็เชื่อแล้ว ทำไมจะต้องเอามาขู่ว่า ถ้าไม่เชื่อจะต้องตกนรกอีกล่ะ มันขัดขวางกันอย่างยิ่ง

ทีนี้ที่ประหลาดต่อไปอีกก็คือว่า มันพูดแต่เรื่องตัวหนังสือขยายาความ พูดเป็นอักษรศาสตร์ การขยายความ ทางตรรกวิทยา ทางจิตวิทยา, ไม่พูดเรื่องการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์เลย. เรื่องสมถะ เรื่องวิปัสสนา มีนิดเดียว หรือเรียกได้ว่าไม่มีในอภิธรรมปิฏก. ในอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริเฉท นั้น มีอยู่สักครึ่งปริเฉทเท่านั้นที่จะพูดถึงตัวการปฏิบัติ, แล้วก็เอ่ยถึงสักแต่ว่าชื่อ แล้วก็ไม่แปลกออกไปจากสุตตันตปิฏกที่ตรงไหนเลย. แต่ไปพูดเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป เรื่องเหตุ เรื่องอะไรต่าง ๆ ไม่รู้กี่ปริเฉทต่อกี่ปริเฉท มากมายหลายหมื่นหลายแสนคำพูด ; นี้มันน่าสงสัย

หน้า ๘๘ ทีนี้ในอภิธรรมปิฎกตอนเรื่องฌาน ๕ รูปฌาน ๕ นี่ผู้ที่เคยเรียนอภิธรรมคงรู้ดีว่าในพระอภิธรรมไม่มีฌาน ๔ ไม่มีรูปฌาน ๔ อย่างที่เราสอนๆ กันอยู่ มันมีรูปฌาน ๕ ในอภิธรรม. ส่วนในสุตตันตปิฎกไม่มีฌาน ๕ ไม่มีรูปฌาน ๕ มีแต่รูปฌาน ๔. คุณจะว่าอย่างไร: ว่าพระพุทธเจ้าสอนมนุษย์สอนเรื่องฌาน ๔ พอสอนเทวดาสอนเรื่องฌาน ๕ พระพุทธเจ้าตลบแตลงถึงขนาดนี้หรือ, เมื่อสอนรูปฌานนี้สอนมนุษย์ว่าฌาน ๔ พอสอนเทวดาสอนฌาน ๕ ; เราก็ไม่ยอม พระพุทธเจ้าเล่นไม่ซื่อแล้ว ทีนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น คนเขียนอภิธรรมปิฎกอยากจะอวดเบ่ง เขาจึงเขียนเป็นฌาน ๕ เป็นรูปฌาน ๕. พระพุทธเจ้าท่านคงเส้นคงวาเสมอแหละ. รูปฌาน ๔ มันก็ต้อง ๔ แหละ. มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้. สอนมนุษย์อย่าง สอนเทวดาอย่าง, อย่างนี้ไม่ได้ มันผิดหลักของพระพุทธเจ้าในเรื่องเดียวกัน


หน้า ๑๐๕ ในยุคหนึ่ง สมัยหนึ่งนี้ อภิธรรมปิฏกนี้เป็นกัญชา ติดกันจนตาปรือ คุยเรื่องอื่นไม่เป็น คุยแต่เรื่องกัญชานี้ทั้งนั้น แต่นั่นมันพ้นสมัยแล้ว เดี๋ยวนี้มันเป็นอภิธรรมปรมาณู ไม่ใช่อภิธรรมกัญชา ; เลิกอภิธรรมกัญชาเสียบ้าง. อภิธรรมนี้จัดไว้เป็นอุตริมนุสสธรรม คือเกินหรือยิ่งเหมือนกัน ; แต่ว่ามันเกินหรือยิ่งในฝ่ายปริยัติ ไม่ได้เกินหรือยิ่งในฝ่ายปฏิบัติ. อภิธรรมเป็นของยิ่งของเกินเป็นอุตริมนุสสธรรมสูงสุด แต่มันเป็นไปในทางฝ่ายปริยัติไม่ใช่ฝ่ายปฏิบัติ


จากหนังสือ "อภิธรรมคืออะไร" ท่านพุทธทาสได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์ว่า

หน้า ๑๑๕ เดี๋ยวนี้อย่าไปเข้าใจว่า คำสอนทั้งหมดในคัมภีร์อภิธรรมนั้นมันเป็นอภิธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า เรื่องสวรรค์ข้างบนนรกข้างล่างใต้ดิน นี้เลิกกันเสียที ขอร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าสวรรค์ข้างบน นรกข้างใต้นี้เลิกกันเสียที มันโง่เกินไป เพราะว่ามันไม่มีข้างบนข้างล่าง โลกกลมๆนี้ มันมีจุดดูดอยู่ที่ตรงกลางแล้วมันดูดเข้าหาจุดๆนี้เพราะฉะนั้นข้างนอกออกไปมันเป็นข้างบน ข้างฝ่ายนี้มันเป็นข้างล่างรอบตัว เอาส้มโอสักลูกหนึ่ง ฝังแม่เหล็กที่แรงมากๆไว้ตรงศูนย์กลางส้มโอ แล้วก็เอาตุ๊กตาที่ทำด้วยเหล็กตัวเล็กๆมากๆ มาติดไว้รอบส้มโอเลย แล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีข้างบนข้างล่าง นี่แหละความรู้สึกว่าข้างบนข้างล่างนี้คือความหลอกลวงของ Gravity ของโลก พวกที่บินไปถึงโลกพระจันทร์เขารู้เรื่องนี้ดี แล้วเขาจะหัวเราะพวกอภิธรรมที่มัวสอนอยู่ว่าสวรรค์ข้างบนนรกข้างล่าง ฉะนั้นเลิกมันได้แล้ว เรื่องสวรรค์ข้างบนนรกข้างล่างนี้ มันเป็นเรื่องที่เลิกกันได้แล้ว 
---------------------------------------------------------------

นอกจากจะปฏิเสธพระอภิธรรมแล้ว ท่านพุทธทาสยังปฏิเสธ พระวินัย พระสูตร ตามลายมือนี้
_______________________
ช่วงเข้าปริวาสกรรมฝันว่า

มีหลวงตาบัว หลวงปูขาว
ยืนอยู่บนถนน 
หลวงตาบัวยิ้ม+หัวเราะนิดๆ  ส่วนหลวงปูขาว ยิ้มที่มุมปากนิด

ส่วนเราอยู่ในไร่ที่นาเห็นท่านทั้ง2คนแบบที่ว่ามานี่แหละ
หลวงปู่ขาวเดินลงมาแต่ไม่เสมอเรา ยังอยู่สูงกว่า
ท่านเอาถุงกระดูกให้ เราก็เลยมองดู กระดูกหัวใจนี่ ถูกผ่าแบ่งออกเป็น 3-4 เฉียง
ในจิตตอนนั้นเข้าใจว่า เป็นกระดูกหลวงปู่ขาว
เราก็เลยรับมา แล้วก็ตื่น
___________________
ฝันเห็นพระพุทธเจ้า
ในความฝันนั้น มีพระอยู่2รูป/องค์
1 พระพุทธเจ้า
2 พระธรรมดา

พระพุทธเจ้าจ้องพระรูปนั้นด้วยสายตาแบบว่า รอจังหวะ จะโปรดพระรูปนั้นให้เป็นอรหันต์เลย เหมือนราชสีจะตะคุบเยื่อให้อยู่ในกำมือเลย

ส่วนเรานั้น ก็คุยกับพระพุทธเจ้า
เราเริ่มก่อนคุยแบบธรรมดาๆนี่แหละ
เป็นยังไงบ้าง อะไรยังไงบ้าง คือเจตนาพูดกับท่านตอนนั้น แบบนี้ คือสกิตให้ท่าน ประมาณว่าเราอยู่ตรงนี้ เราน้อมรับอยากจะให้ท่านโปรดเรา กว่าพระรูปนั้น พระรูปนั้นลักษณะท่าทาง เรียบง่ายไม่มีเรื่องต้องคิดต้องกังวน ธรรมดา ไม่ดิ้นลนอะไรให้วุนวาย
 และท่านก็ตอบเราแบบที่เราถามๆแต่สายตาท่านยังจ้องรอโอกาสจะตะคุมเยื่อเหมือนราชสีตะคุมเยื่อ

ตอนนั้นนะในฝันเจตนาจิตคิดเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่โปรดเราบ้อ เราอะอยากพ้นทุกอยากเป็นพระอรหันต์เต็มทีอยู่แล้ว

ถามท่านสกิตท่านให้ว่าว่าเราอยู่ตรงนี้ รอให้โปรดอยู่นี่ อยากจะเป็นอรหันต์เต็มที่ อะไรก็ไม่เอาแล้วทิ้งหมดแล้ว อยากเป็นอรหันต์สุดๆเต็มที

แต่สายตาท่านก็ยังเหมือนเดิม รอจะโปรดพระรูปนั้นให้บรรลุธรรม เหมือนราชสีรอช่วงตะคุบเยื่อให้อยู่ครั้งเดียว

เหมือนกับนักมวย ให้อยู่มัดเดียว
__________
29 ฝันว่า
มีเสียงคนพูด มีแต่เสียงนะไม่เห็นเป็นร่างกาย" "ถ้าอยากบรรลุธรรม ให้เจริญปัญญาน่ะ  (เสียงหนักแหน่นมันคง คงจะเป็นคนเอาจริงมากๆเลยตอนเป็นมนุษย์

ในจิตตอนนั้นเสียงนั้น คือครูบารอาจารย์ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว


นี่จิตมันรู้สึกแบบนี้จริงๆ
__________________
ดู "พุทธวจน-ทำอย่างไรไม่ให้ยึดติดทางโลก?" ใน YouTuพุทธวจน-ทำอย่างไรไม่ให้ยึดติดทางโลก?: http://youtu.be/g1c0v9owsBc
__________________
ในบางครั้งจิตใจเรามันกลายเป็นอะไร


มันโหดร้ายโหดเหี้ยมด้วยอำนาจ
ความโกรธความโลภความหลง
กล้าคิดกล้าทำอะไรที่ผิดศีลผิดธรรมผิดกฏหมายบ้านเมื่อง

นี่มันสัตว์เดรัจฉานนี่วา



บ้างครั้งมันมีความเกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม ไม่กล้าทำบาป 

นี่มันจิตเทวดานี่ว่า



บ้างครั้งมันขี้เกลียจขี้คร้าน เห็นแก่ตัว 

จิตแบบนี้เปตรนี่วา



บ้างครั้งมันมีเมตตาเอื่อเฝือเผื่อแผ่ในเพื่อนมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานด้วยกัน

นี่มันจิตมนุษย์นี่วา

##หลวงพ่อพุธ##
_____________
0810037120
โยมพ่อหมาน

0810574293
ปู่จง

093 447 0225
ริน
___________
เฒ่าพอแฮง ยังบ่อยอมรับเจ้าของอีก
ถ้าบอเชื่อลองย้อนกลับไปเบิ่งเจ้าของเบิ่ง ตะเป็นเด็กน้อยมันเป็นจังได๋ เดียวนี้
________
ที่ต้องเจริญสติ
เพราะมันจะเห็นการเกิดดับของขันธ์5 

มันจะเปลี่ยนเป็นปัญญา

สัตตานัง ดูการเกิดดับขันธ์5
__________
ตายแล้วเป็นวิญญาณ
ตายแล้วเป็นผี ยังไม่ตกนรก
ตายแล้วถ้าเป็นผี ก็เป็นผีอยู่อย่างนั้น รอแค่ญาติทำบุญให้ก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว
ประเพณีก็เป็นอย่างนั้น ตายแล้วก็ทำบุญอุทิศไปให้ ก็ได้ขึ้นสวรรค์
_________
เพิ่ม
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ ช่วงพรรษา1ความสนใจใฝเรียนอยากหลุดพ้นมาก ไปหาเรียนเพื่อให้ได้วิชาการทำให้ตนหลุดพ้น มุ่งมันมาก ตั้งใจฟัง และถามอีกว่าอยากจะหลุดพ้นทำยังไง  และตั้งใจฟัง ยูงกัดแก้มวางเฉยต่ออาการยูงกัด...  จนพ่อหมานใช้มือไล่ออกให้ ความโน้มนาวไปค่อนข้างไปมาก  จากนั้นก็ไปหาเรื่อยๆเป็นระยะๆ กลับดึก ไปเรียนวิชาธรรมะการปฏิบัติกับฆราวาสชื่อพ่อหมาน พ่อหมานเลยให้หนังสือกายคตาสติ โดย หลวงตามหาบัว ญาณะสัมปันโณ มา1 เล่ม แล้วเอามาอ่าน และปฏิบัติอัฏฐิกะสัญญา และแบ่งเวลาอ่าน อ่านจนจบ
และปฏิบัติมาเรื่อยๆ
_____________
โยมพ่อหมาน สอนธรรมะในการให้หลุดพ้น
"ไตรทั้ง5 
ไตรภูมิ คือภูมิจิต 1
ภูมิปัญญา
ภูมิเกิด
ภูมิปัจจุบัน คือการกระทำ

ภพทั้ง3 มนุษย์ เดรฉาน สวรรค์

ดูจิต
ปัญญา
ภูมิเกิด
ภูมิปัจจุบัน

ภูมิจิตคือ การเกิดเป็นปัจจุบัน คือตอนนี้เป็นมนุษย์ เป็นอย่างไร  แยกออกเป็นไตรเพศ 8 ศาสตร์
(ไม่เรียนก็ได้)

แล้วมาไตรสรณะ คือการปฏิบัติ
คือปล่อยหมดแล้ว
วิภวะตัณหา คือเครื่องร้อยลัดดึง 
______________


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น