วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

สังโยชน์10


#เป็นผู้ได้สดับแล้ว แม้ยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล แต่พระองค์ก็ตรัสใว้ว่า จะไปทางเจริญอย่างเดียว ไม่ไปทางเสื่อม

#โสตานุคตานัง คือผู้ที่ฟังธรรมเนืองๆ จนคล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็น แม้จะขาดสติ เวลาตาย ก็ยังได้ไปเกิดในภพเทวดา หมู่ใดหมู่หนึ่ง ซึ่งจะบรรลุธรรม เป็น สัทธานุสารี ธัมมานุสารี และ โสดาบัน ในภพนั้น

#สัทธานุสารี #ธัมมานุสารี ในภพมนุษย์ ละสังโยชน์ข้อที่๑ ได้แล้ว และจะได้ โสดาบัน ก่อนตาย

#อริยบุคคลแต่ละระดับกับการละสังโยชน์

๑โสดาบัน #สัตตักขัตตุปรมะ ละสังโยชน์ได้๓ข้อ จะเกิดเป็นเทวดาบ้าง มนุษย์บ้าง อีกไม่เกิน๗คราว แล้วบรรลุอรหันต์

๒ โสดาบัน #โกลังโกละ ละสังโยชน์ได้๓ข้อ จะเกิดเป็นมนุษย์อีก๒ถึง๓คราว แล้วบรรลุอรหันต์

๓ โสดาบัน #เอกพีชี ละสังโยชน์ได้๓ข้อ จะเกิดเป็นมนุษย์อีกคราวเดียว แล้วบรรลุอรหันต์

๔ #สกทาคามี ละสังโยชน์ได้๓ข้อ กำลังเริ่มทำลายสังโยชน์ข้อที่๔ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง จะเกิดในเทวดากามภพ ชั้นดุสิต อีกคราวเดียว แล้วบรรลุอรหันต์

๕ #อานาคามี มี๒จำพวก พวกแรกละสังโยชน์ได้๔ข้อ เกิดในสุทธวาสชั้นที่๑-๒-๓-๔ พวกที่๒ #อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ละสังโยชน์ได้๕ข้อ เกิดในสุทธวาสชั้นที่๕ อกนิฏฐา อายุประมาณ๕๐๐-๒๐๐๐๐กัป และจะปรินิพพานในภพนั้น ทั้ง๒จำพวก

๖ #อันตราปรินิพพายี ๓จำพวก ละสังโยชน์เบื้องต่ำ๕ได้ และละสังโยชน์ตัวเหตุให้ได้การเกิด ได้ด้วย จึงปรินิพพาน หลังจากกายแตกทำลาย เป็นช่วงสัมภเวสีสัตว์ ช่วงแสวงหาภพ แต่ยังไม่แตะภพ ปรินิพพานก่อน ๓ ระดับ

๗ #อุปหัจจปรินิพพายี 
๘ #อสังขารปรินิพพายี
๙ #สสังขารปรินิพพายี
๓จำพวกนี้ ละสังโยชน์เบื้องต่ำ๕ได้ หลังจากกายแตกทำลาย แตะภพใหม่ไปแล้ว เป็นภูตสัตว์ไปแล้ว จึงปรินิพพาน

๑๐ #อรหันต์ ละสังโยชน์ได้๑๐ข้อ ปรินิพพาน ในปัจจุบัน


พระมงคลชัย พิจารณา องค์คุณพระโสดาปัตติผล
มันโยงมาต่อกัน

ถือพรตผิด 
เป็นสัมมาทิฏฐิ(จึงไม่มีสักกายทิฏฐิ) จึง วิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัย จึง ไม่มีสีลัพพตะปรามาส ถือพรตนูนนี่นั่นแล้วจะบริสุทธิ์  ละความเชื่อว่าถือพรตแล้วจะบรรลุได้ ให้เชื่อการเดินมรรค

พระมงคลชัย พิจารณา องค์คุณพระโสดาปัตติผล
พระโสดาบัน เคารพในพระพุทธจริงพระธรรมจริงพระสงฆ์จริง แล้วมาตรงพระธรรม ตรงส่วนพระธรรมจะเป็นหลักเลยคือธรรมะปฏิบัติให้ขึ้นไปอีก จึงอาศัยพระพุทธพระสงฆ์

ศีล 5 คือถือ5ข้อเพื่ออบรมข้ออื่นๆในกุศลกรรมบท10


6 รูปราคะ  ละการติดอารมณ์ใสๆเย็นๆฌาน ยังไม่ได้

7 อรูปราคะ กว้างจนสุด คือนามทั้งหมด
เลยออกไปนอกอารมณ์อรูปฌาน

8 มานะ อาการที่จิตมันอ่อนน้อมต่ออาจารย์ นี่คือมานะ  คึจิตใต้สำนึกมันให้ค่าว่า "เขาดีกว่าเรา"
นับวันร่างกายก็มีแต่จะแก่ไปเรื่อยๆไม่มีหยุดแก่ รีบจับหลักวิธีภาวนาให้เป็น


ถ้าคิดว่าจะเป็นพุทธเสรี ไม่ยึดติดตัวบุคคล
ยึดเฉพาะคำสอน ยึดเฉพาะธรรม แต่ข้ามพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์กับทั้งครูบาอาจยร์ผู้รู้ไป เว้นพระโสดาบันขึ้นไป

ถ้าตายจากชาตินี้ไปเกิดชาติหน้า
จิตใจมันจะไม่ให้ความเคาระนับถือใคร
แต่มันจะถือเอาตามภูมิความรู้ตน

แม่จะสวยหรือหล่อ เพราะเหตุว่าชาติก่อน ปฏิบัติบำเพ็ญกรรมฐานได้ดีระดับพอใช้
นั่นก็เพราะชาติก่อนได้ยินได้ฟังได้ถูกสอนมาก่อนหน้านั้นแล้ว คือถูกครูบาอาจารย์สอนกรรมฐานก่อน แล้วค่อยออกมาเป็น ธรรมะที่เอาไปปฏิบัติในช่วงที่ปฏิบัตินี้เรียกว่าบำเพ็ญสมณะธรรม

แล้วทีนี้กลับมาที่ชาติปัจจุบัน ถ้ามันไม่รู้จักให้ความเคารพสักการะต่อพระพุทธ พระสงฆ์ แต่จะเอาเฉพาะพระธรรมอย่างเดียวมันไม่ถูกต้อง
เก่งแค่ไหนแล้ว ถึงได้คิดกล้าจะลาพระพุทธ พระสงฆ์ แล้วเอาพระธรรม

ทุกคนที่ในขณะปฏิบัติกรรมฐาน เขาไม่เอาพระพุทธ พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งหรอก แต่เขาเอาภาวะจิตที่ปราศจากนิวรณ์เป็นที่พึ่งของจิตเป็นอารมณ์ของจิต
และเอาภาวะ อนิจจสัญญาที่เป็นไปกับขันธ์เป็นอารมณ์ของจิต

ถ้าว่า พุทธานุสติกรรมฐาน มันก็เป็นพระธรรม
สังฆานุสติกรรมฐาน มันก็เป็นพระธรรม
คือเป็นอารมณ์ที่ปราศจากนิวรณ์
อารมณ์ที่ปราศจากนิวนณ์จะเกิดขึ้นได้ด้วนกรรมฐานใดก็ตาม อันนั้นเรียกว่าพระธรรม
มีแต่พระธรรมกับพระที่ทำให้ปราศจากนิวรณ์ได้ พระพุทธเจ้าก็สอนออกมาตรัสออกมา
อันที่พูดออกมาตรัสออกมาก็เรียกว่าพระธรรมทั้งนั้น
ส่วนที่ว่าไม่ให้ยึดติดในตัวบุคคลดั่งที่พระองค์แสดงแก่พระอานนท์นั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนทำตามที่สอนพระอานนท์
พระอานนท์เป็นพระอริยะแล้วตอนนั้นคือขั้นโสดา
แต่ภิกษุปุถุชนจะไม่เคารพพระพุทธเจ้าไม่ได้ 
พระพุทธเจ้าเป็นเพียงแต่ธาตุ๔ดินน้ำไฟลม ไท่ต้องไปสน พวกเราสนเฉพาะพระธรรม มันก็อาจจะไปดียู้ชาตินี้ แต่ถ้ามันไปไม่ถึงอริยะหละชาตินี้  
(ชาติหน้าจะเป็นอย่างไรหละ ชาติหน้าอาจจะเป็นดั่งที่จะว่าต่อไปนี้
คือ มันจะไม่ให้ความเคารพอ่อนน้อมต่อสมณะหรือพรามเลย 
แต่มันจะผิวพรรวรรณะสวยหล่อ เพราะใจสว่างพามาเกิด ใจสว่างก็มาจากการปฏิบัติพระธรรมนั่นแหละ พระธรรมก็มาจากพระพุทธนั่นแหละ

ทีนี้ชาตินี้เพราะเหตุว่านิสัยเก่าของจิตคบกันแต่กับพระธรรม ก็คบกับพระพุทธเจ้าอยู่แต่ไม่นาน เนื่องจากคบกับพระพุทธเจ้าแล้วพอได้กรรมฐานแล้วก็ออกมา จากนั้นก็คบแต่กับกรรมฐานคบแต่กับความสงบมากกว่าพระพุทธ

ชาตินี้มันจึงไม่ใส่ใจต่อบุคคลภายนอกมาก
แต่มันใสใจแต่กับภาวะความสงบกับตนเอง

ดังนั้นจึงควรเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่เวลาเจริญกรรมฐานทางจิต ให้คบกับมรรคาเท่านั้น
มรรคาก็มีตั้ง๔๐ เรียกว่ากรรมฐาน๔๐
แต่ความจริงมันมีมากกว่านั้น 
กรรมฐาน๔๐ก็ถูกรวบรวมมาจากคนนั้นคนนี้

9 อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
       ละสัญญา (ความกำหนดหมาย) เวทนา (ความรู้สึกสุขทุกข์) เป็นเสี้ยนหนามของการเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
   ละสัญญา การกำหนดหมาย  แล้วเข้านิโรธสมาบัติ
ฟุ้งทำเกินไป    

10 อวิชชา ยึดติดธรรมฝ่ายเข้า 
วิชชา  เจริญธรรมฝ่ายออก ไม่ยึดติด ไม่ทำ ไม่ยึดติดอะไรอายตนะภายนอกภายใน
นาม มโนวิญญาณ
โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ
รส  ชิวหาวิญญาณ
กลิ่น ฆานะวิญญาณ
เสียง โสตะวิญญาณ
รูปที่เห็น  ธรรมชาติอาการรู้แจ้งรูป   ธรรมชาติแบบต้นไม้ภูเขาก้อนหิน แต่เป็นธรรมชาติรู้เห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นาม

#ให้รู้เวทนาดำ แล้วให้ไปปรุงเป็นตัณหาต่อ 
เลยกลายเป็นว่า ไม่ปริญญาหละ
นี่ก็ให้มีปัญญารู้เท่าทัน


คอยภาวนาไปเด้อ สิเข้าใจความหมาย คำว่า"ความบ่พอใจ กะคือ อาการหงิด อาการเคียดนิดๆ อาการงอนนิดๆ อาการไม่ชอบนิดๆ อาการบ่ถือใจนิดๆ อาการบ่เห็นด้วยนิดๆ อาการบ่ถืกใจนิดๆ
อาการหึงนิดๆ
อาการบ่พอใจ

ประมาณนี่ละ ความของคำวา "ความบ่พอใจ"

ส่วนความหมายของคำว่า "ความพอใจ"
กะคืออาการที่ใจมันมักนิดๆ
อาการแช่มชื่น
อาการเบิกบาน
อาการเห็นด้วย
อาการถูกใจ
อาการพอใจ 

ประมาณนี่ละ ความหมาย คำว่า"ความพอใจ "

ส่วนหลายใจมันสิโอนเอนไปสองข้างนี่ละ ข้างใด๋ข้างหนึ่งนี่ละ
ถ้ามันไปข้างพอใจ เฮากะสังเกตเบิ่งซื่อๆเด้อ
ถ้ามันไปข้างบ่พอใจ
เฮากะสังเกตเบิ่งซื่อๆเด้อ

เบิงคือจังเบิง TV นี่ละ
เฮาผู้เบิ่งกะเบิ่งอยู่ซื่อ
ภาพTV กะอยู่ข้างหน้า โชว์ความพอใจ โชว์ความบ่พอใจนิดๆให้เบิ่ง

ธรรมะ
" กะเฮาบ่ได้สำคัญไง 

พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ถือมั่นธรรมชาติตน

เมื่อยังหลงถือมั่นธรรมชาติตนอยู่ เมื่อไร่จะได้พบ"พระอภิมหาบรมสุข" 

เมื่อยังหลงถือมั่นธรรมชาติตนอยู่อย่างนี้

เมื่อไร่จะได้พบ "อมตธาตุ"

เมื่อยังหลงถือมั่นธรรมชาติตนเองอยู่ 

เมื่อไรจะได้พบ "พระนิพพาน"

เมื่อยังหลงถือมั่นธรรมชาติเราอยู่

เมื่อไรจะพบ "พระสันติสุข"

เมื่อยังหลงถือมั่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกไม่ให้ถือมั่น

แล้วเมื่อไร จะพบ "ธรรมธาตุ"

เมื่อยังหลงถือมั่นเราอยู่ 

เมื่อไรจะพบ "ที่สุดสิ้นแห่งทุกข์ที่แท้จริง"

เมื่อยังหลงถือมั่นธรรมชาติตนคือจิตนี้

เมื่อไรจะจบกิจ.....

ถ้ายังมัวหลงถือมั่นอยู่ ก็เหมือนในภาพ

"ธรรมชาติตน ก็อยู่ข้างนอก

ถ้ายังถือธรรมชาติตน ก็ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้า




ตั้งใจทำเกินไป 
ต้องพิจารณาเริ่มจากรูปขึ้นมา
 เวทนา 
สัญญา 
สังขาร
วิญญาณ
ทวน

เมื่อหลงไหลไปกับมรรค ให้ปล่อยความคิดไหลไปกับมรรคว่าไม่ใช่เราแบบหลงคือไหลไปหาฟุ้งซ่าน
มาเนตังระดับเดิมต่อ......
แล้วลงไปทวนจากรูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ   วุ่นกับสังขารอีก ไม่เนตังมะมะ ระดับไหลระดับ1ระดับ2ระดับ3ระดับ4ระดับ5ระดับ6ระดับ7ระดับ8คือกลายเป็นฟุ้งซ่านกับความคิดว่าอาการรู้แจ้งไม่ใช่เรา

เบื้อต้น ต้องรู้ว่า
อาการรู้แจ้งรูปะธาตุไม่ใช่เรา และอาการรู้เสียงไม่ใช่เราความรู้สึกไม่ใช่เรา และอาการรู้กลิ่นไม่ใช่เรา และอาการรู้รสไม่ใช่เรา และอาการรู้โผฏฐัพพะไม่ใช่เรา อาการรู้ความรู้สึกไม่ใช่เรา อาการปรุงแต่งไม่ใช่เรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น