พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
13 มิ.ย. 2016
ส่งการบ้านหลวงตา
นวกะภาวนา: "หลวงตาครับ เช่น ถ้าเราเห็นรูปผู้หญิงสวยๆแล้ว
ราคะ(ความยินดี)เกิดขึ้นมา
แล้วเรามีญาณ(ความรู้) รู้ว่า แม้สิ่งทั้งหลายที่เห็นด้วยตา คือ
จะเป็นผู้หญิง หรืออะไรก็ตาม ก็ไม่เที่ยง ตกอยู่ใน อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา
และก็มีญาณตัวใหม่เกิดขึ้นมาว่า "แม้ ราคะ ที่เกิดขึ้นนี้ มันก็
ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จากนั้น ราคะ ก็ค่อยๆแปรปวนสลายหายไป
หรือโทสะเกิด หลังจากเห็นรูป ก็มีญาณรู้ว่า แม้สิ่งที่เป็นต้นเหตุ
ให้เกิดโทสะก็ไม่เที่ยง แม้โทสะที่เกิดขึ้นแล้วนี้ก็ไม่เที่ยง
หลวงตาตอบ: สติเมื่อมันแก่กล้ามีกำลังมาก มัน
จะไปทำลายโมหะ ทำลายราคะ ทำลายโทสะ อย่างรวด
เร็วอัตตโนมัตติของมันเอง
ถ้าพิจารณาแบบนั้นก็ถูกอยู่
แต่ถ้าเรากำหนด สำเนียกรู้เข้ามาที่หัวใจ
"รู้หน่อ รู้หนอ" รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปพิจารณาอันนี้คือวิธีลัดนะ
# และหลวงตาก็ พูดต่อว่า
ราคะกับจิตคนละอันกัน ราคะไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ราคะ โทสะไม่
ใช่จิต จิตไม่ใช่โทสะ บาปไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่บาป บุญไม่ใช่จิต จิต
ไม่ใช่บุญ
เหมือนกับน้ำ เห็นแก้วน้ำไหม
ถ้าเอาขี้ไปใส่ในแก้วน้ำ น้ำกับขี้ใช่อันเดียวกันไหม
"เราก็ตอบว่าไม่ใช่ครับ"
นั่นแหล ฉันใดก็ฉันนั้น ราคะ โทสะ โมหะ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จิต
ต่อเมื่อเราแยกออกแล้วก็เป็นจิตที่บริสุทธิ์(คว
ามหมายหลวงตาพูด เราก็แปลออกได้ว่า
จิตบริสุทธิ์นั้น คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้ง ๓ แล้ว)
"หลวงตาครับ แล้ว "ผู้รู้" นี่ใช่นิพพานไหมครับ"
หลวงตาก็ตอบว่า ไม่ใช่ ผู้รู้ไม่ใช่นิพพาน นิพพานไม่ใช่ผู้รู้
ผู้รู้ก็ดับไปพร้อมกับอารมณ์ที่ถูกรู้
ธรรมชาติใดที่ดับไปได้ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่นิพพาน
นิพพานจะอยู่ตรงกลาง ระหว่าง สิ่งที่ถูกรู้ กับผู้รู้
"แล้วผู้รู้ มันคืออะไรครับ"
หลวงตาตอบ: มันคือปัญญา
กลับไปภาวนาเหมือนเดิมนะ แล้วมาส่งการบ้านใหม่
# เราไม่ได้ปฏิบัติแบบ ยุบหนอ พองหนอ เดินหนอ อย่างหนอ เลย
แต่เราปฏิบัติสายหลวงพ่อปราโมทย์ ดูสภาวะลงไป ณ
ปัจจุบันเลย ว่าอะไรปรากฏที่ใจ อะไรปรากฏที่กาย เห็นสุข
เห็นทุข เห็นความอยาก
เห็นความปวดความเมื่อย
และก็รู้สึกว่ามี(สมาธิลักขณูปณิฌาน)แบบตั้งมั่น เกิดขึ้นเป็นขณะ
ๆ
ซึ่งสมาธิมีสองแบบ
แบบที่๑ อารัมมณูปณิฌาน คือมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว
แบบที่๒ ลักขณูปณิฌาน คือ สมาธิเห็นลักษณะ
ของของรูปของนามเป็นไตรลักษณะ
สมาธิแบบที่๑ เข้าฌานได้ ๑ - ๘ เท่านั้น
แต่สมาธิแบบที่๒ เข้าฌานได้ ๑ - ๙ ฌานที่ ๙ คือ นิโรธสัญญา
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิโธรสมาบัติ
# การภาวนา เป็นบุญบารมีใหญ่ยิ่งนัก แม้ภานาไม่บรรลุ
มรรคผลนิพพาน ก็เป็นบุญยารมีใหญ่มหาศาลติตไปใ
นภพชาติหน้าได้
ไม่เหมือนเงินทอง บาท๑ ก็เอาไปบ่ได้
# คนบางคน เกิดมากำลังกินบุญบารมีเก่าตนเอง
ไม่ทำเพิ่มสร้างเพิ่ม มันก็หมดไปแล๋ว
"ภาวนาเป็นบุญใหญ่ที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน"
13 มิถุนายน 2016 เวลา 21:16 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น