วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

หลวงปู่แหวน สุจินโณ

หลวงปู่แหวน สุจินโณ
เรื่องที่ ๒๖๐  บุพเพสันนิวาส เนื้อคู่ของ หลวงปู่แหวน

ในสมัยที่ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เรียนมูลกัจจายน์อยู่ที่จังหวัดอุบลฯนั้น

เคยมีหมอดูทำนาย เกี่่ยวกับเนื้อคู่ของท่าน ว่าจะอยู่ทางทิศนั้นๆรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้ารูปใบโพธิ์

ก็ไม่ทราบว่า หลวงปู่ จะใส่ใจกับคำทำนายนั้นหรือไม่ เพียงใด หรือว่าเพียงแต่ดูหมอไปแบบสนุกๆก็ตาม แต่คำทำนายนั้นก็ปรากฎขึ้นจริง

วันหนึ่ง ตอนใกล้ค่ำ หลวงปู่ไปสรงน้ำที่ฝั่งแม่น้ำงึม ก็พบหญิงสองคนแม่ลูกกำลังถ่อเรือ มาตามลำน้ำ มาถึงบริเวณที่พระกำลังอาบน้ำอยู่ หญิงสาวชำเลืองตามองทางพระหนุ่ม 

สายตาเกิดประสานกันเข้าพอดี
ในบันทึกเล่าไว้ว่า
" เมื่อสายตาของทั้งสองฝ่ายประสานกันเข้า ก็มีอานุภาพลึกลับและรุนแรง พอที่จะตรึงคน ทั้งสองฝ่ายให้ตะลึงไปได้ ระหว่างเดินกลับมาที่พัก ในใจยังคิดถึงหญิงงามนั้นอยู่"

เมื่อหลวงปู่กลับถึงที่พัก ก็หวนระลึกถึงคำทำนายของหมอดู พิจารณาดูแล้วก็น่าจะเป็นจริง

" หญิงที่เราพบเห็นเมื่อตอนเย็น ก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคำทำนายของหมอ เห็นจะเป็น แม่หญิงคนนี้แน่"

ในคืนนั้น หลวงปู่คิดสับสบว้าวุ่นพอสมควร คิดถึงคำทำนายของหมอดู คิดถึงแม่สาวงาม นัตย์ตาคมผู้นั้น คิดถึงความตั้งใจในการออกป่าบำเพ็ญภาวนา ที่สำคัญคือคำสัญญาที่ให้ไว้กับ โยมแม่และโยมยาย ที่บอกว่า

 " บวชแล้ว จะต้องตายในผ้าเหลือง"

จิตหวนคิดถึงหลวงปู่มั่น ที่เคยอบรมสั่งสอนเมื่อตอนฝึกหัดภาวนาที่ฝั่งไทย คิดถึงคำเตือน และอุบายธรรมที่ท่านเคยสอนพลัน .... 

" เราต้องรีบกลับเมืองไทย"

วันรุ่งขึ้น สองแม่ลูกได้นำข้าว หมากพลู บุหรี่ มาถวายแต่เช้าตรู่ก่อนใครอื่น ทั้งสองคนช่วยกันมวนบุหรี่ จีบพลู สายตาของหญิงสาวคอยชำเลืองมอง ไปทางพระ ถึงเวลาบิณฑบาต หลวงปู่ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้ผิดสังเกตุ

พอฉันเสร็จ พวกญาติโยมที่นำอาหารมาถวายต่างลากลับ หลวงปู่ ก็เก็บบริขาร บอกลาเพื่อน พระ และเจ้าสำนัก แล้วข้ามโขงกลับฝั่งไทย

หลวงปู่ ได้อาศัยเรือข้ามจากท่าเดื่อ มาขึ้นที่หนองคายฝั่งไทย เดินขึ้นเหนือไปตามลำน้ำโขง ไปถึงอำเภอศรีเชียงใหม่(จังหวัดหนองคาย) ไปพักอบรมตนอยู่ที่ พระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง

ที่พระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง นั้นเอง หลวงปู่แหวน ก็ได้พบกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ อย่างไม่คิดไม่ฝัน ทำให้ท่านดีใจมาก ความมั่นใจว่าจะสามารถครองผ้าเหลืองไปจนตาย ดูมีความเป็นจริงขึ้นมา

ในช่วงนั้น หลวงปู่มั่น ท่านได้ปลีกตัวออกจากหมู่คณะ มาภาวนาอยู่บริเวณนั้นอยู่ตามลำพังองค์เดียว

จากบันทึกในส่วนของหลวงปู่แหวน บอกไว้ว่า

" เมื่อได้พบกับอาจารย์อีก จึงดีใจมาก การพักอบรมตนอยู่กับหลวงปู่มั่น ก่อนเข้าพรรษา ทำให้จิตใจค่อยสงบตัวลง ไม่ฟุ้งซ่านเหมือนก่อน แต่ภาพผู้หญิงงามนั้นยังปรากฎขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเร่งภาวนาเข้า ภาพนั้นก็สงบลง "

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้ใช้ความพยายามตัดความคิดนึกเรื่องผู้หญิง ออกจากใจ โดยหลังจากเข้าพรรษาแล้ว ตั้งใจปรารภความเพียรอย่างเต็มที่ การเร่งความเพียร ในระยะแรก จิตก็ยังไม่มีอะไรวุ่นวาย คงสงบตัวได้ง่ายมีอุบายทางปัญญาพอสมควร

เมื่อหลวงปู่เร่งความเพียรหนักเข้า เอาจริงเอาจังเข้า กิเลสมันก็เอาจริงเอาจังเหมือนกัน คือแทนที่จิตจะดำเนินไปตามที่ท่านต้องการ กลับพลิกกลับไปหานางงามที่บ้านนาสองฝั่งแม่น้ำงึม นั้นอีก

ทีแรกหลวงปู่ได้พยายามปราบด้วยอุบายต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งเร่งความเพียรดูเหมือนเอาเชื้อไฟไปใส่ ยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก เผลอไม่ได้ เป็นต้องไปหาหญิงนั้นทันที

บางครั้งมันก็หนีออกไปซึ่งๆหน้า คือขณะคิดอุบายการพิจารณาอยู่นั่นเอง มันก็วิ่งออกไปหาผู้หญิงนั้นเอาซึ่งๆหน้ากันทีเดียว

หลวงปู่แหวนท่านจึงทรมานตัวด้วย งดเว้นการนั่ง กับนอน ไม่ยอมให้ส่วนก้น และส่วนหลังแตะพื้น ยังคงเหลือแค่อิริยาบถสอง คือ ยืนกับเดิน แต่ก็ยังไม่สามารถทรมานจิตให้เชื่องลงได้

แล้วหลวงปู่ ก็ทดลองหาอุบายใหม่โดยการอดอาหาร ฉันแต่น้ำเท่านั้น และพิจารณากายคตาสติ ของหญิงนั้น
โดยแยกยกขึ้นพิจารณาทีละอย่างๆ ในอาการ ๓๒ ขึ้น พิจารณาทบทวน กลับไปกลับมา

พิจารณา เทียบเข้ามาหากายของตน พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า อวัยวะอย่างนั้นๆ ของตนก็มี ทำไมจะต้องไปรัก ไปหลง ไปคิดถึง

เพ่งพิจารณาทีละส่วนๆ พิจารณาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืน ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอนจนละเอียด ขึ้นอยู่กับอุบายความแยบคายของปัญญา ที่เกิดขึ้นแต่ละช่วงขณะ

ตอนหนึ่งการพิจารณามาถึง หนัง ได้ความว่า 

คนเราหลงกันอยู่ที่หนัง หนังเป็นเครื่องปกปิดสิ่งที่ไม่น่าดูเอาไว้ ถ้าถลกหนังออก อวัยวะทุกส่วนก็หาส่วนที่น่าดูไม่ได้เลย

เพ่งพินิจอยู่จนเห็นถึงความเน่าเปื่อย ผุพัง สลายไป ไม่มีส่วนไหนที่จะถือได้ว่าเป็นของมั่นคง

เมื่อพิจารณามาถึง มูตร ( ปัสสาวะ) และกรีสะ(อุจจาระ หรือคูถ) ของหญิงนั้น ตั้งคำถามขึ้นว่า 

หญิงนั้นงามน่ารัก มูตรและกรีสะ ของหญิงนี้กินได้ไหม

จิตตอบว่า ไม่ได้

จึงถามอีกว่า เมื่อกินไม่ได้ อันไหนที่ว่างาม อันไหนที่ว่าดี

เมื่อพิจารณามาถึงอาการทั้งสอง ยกเป็นอุบายขึ้นถามจิตเช่นนั้น จิตเมื่อถูกปัญญาฟอกหนักเข้าเช่นนั้น ก็จนด้วยเหตุผลของปัญญา ยอมอ่อนตัวลง จนด้วยความจริงและอุบายของปัญญา

ในขณะนั้น จิตซึ่งเคยโลดโผนโลดแล่นไปอย่างไม่มีจุดหมายมาก่อน พลันก็กลับยอมรับตามความเป็นจริง ยอมตัวอย่างนักโทษผู้สำนึกผิด ยอมสารภาพถึงการกระทำของตนแต่โดยดี
โมทนาที่มา :  Palungjit.org


พระอาจารย์มงคลชัย กิตติโสภโณ
ผู้หญิงเข้ามาในหัว ราคะเกิดขึ้น
ผมพิจารณาอย่างนี้ครับ ผู้หญิงที่เราคิดถึงนั้นคือกระดูก เดินไปเดินมา ยิ่งเดืนกระดูกก็ค่อยๆสลายกลายเป็นฝุ่นดิน
เหลือแต่ดวงจิต ดวงจิตนี้มันไม่มีเพศ ไม่ใช่เพศชาย ไม่ใช่เพศหญิง
ถ้าดวงจิตเราเป็นชาย ดวงจิตเขาก็เป็นชาย เราจะรักชายไม้ป่าเดียวกันหรอ จิตตอบว่าไม่
ถ้าดวงจิตเราเป็นหญิง เราจะรักหญิงไม้ป่าเดียวกันหรอ จิตตอบว่า ไม่
ก็ในเมื่อจิตไม่มีเพศชายเพศหญิง
จิตเรากับเขาก็เสมอกัน

ราคะมันก็ค่อยๆหายไป เพราะรู้ว่าจิตมันไม่มีเพศหญิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น