วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ธาตุกสิณ ๔ อาโลกกสิณ อากาสกสิณ

๑๙. ธาตุกสิณ ๔ อาโลกกสิณ อากาสกสิณ
วันนี้มาว่าเรื่องของการฝึกเกี่ยวกับกสิณทั้ง ๑๐
ของเราต่อไป เมื่อวานได้กล่าวถึง วรรณกสิณ ทั้งสี่ คือ สีแดง
สีเหลือง สีเขียว สีขาว ไปแล้ว เรื่องของกสิณนั้น แม้ว่าจะ
เป็นกรรมฐานที่หยาบ มีนิมิต สัมผัสได้ จับได้ ต้องได้
แต่ว่ามันลำบากด้วยการหานิมิตกสิณ เพื่อที่จะใช้
ในการเพ่งและพิจารณา
สำหรับวันนี้จะกล่าวถึง ธาตุกสิณทั้ง ๔ คือ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กสิณทั้งสี่กองนี้ เริ่ม
จากปฐวีกสิณ เราต้องหานิมิตกสิณก่อน
สมัยโบราณท่านบอกว่า ให้ใช้ ดินสีอรุณ คือ
สีเหลืองอมแดง เพื่อนำมาทำเป็นนิมิตกสิณ
ต้องเอาดินมาละเลงบนผ้าสะดึง
แต่ว่าสมัยนี้ของเรา ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ดี แต่
เนื่องจากว่า สมัยนี้บางทีการหาวัสดุมาทำมันยาก
อยู่สักนิดหนึ่ง เด็กรุ่นหลังๆกระทั่ง ดินสีอรุณ หรือดินขุยปู
ในลักษณะนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ยังไม่รู้จักเลย
เราก็ใช้ดินทั่วๆไป อาจจะเอามานวดมาปั้นก็ได้
ปั้นให้เป็นรูปกลมๆ ขนาดที่เราชอบใจก็ได้ หรือว่า จะปั้นให้
เป็นสี่เหลี่ยมก็ได้ หรือว่าจะทำ
เป็นนิมิตกสิณอย่างของคนโบราณ คือ ละเลงลงบนผ้า
ให้กว้างสองคืบสี่นิ้ว ก็ได้ หรือว่าจะปัดกวาดสถานที่
ใดที่หนึ่งให้สะอาด มองพื้นดินที่เห็น แล้วจับเป็นนิมิตกสิณก็ได้
สำหรับ กสิณน้ำ นั้นง่าย เราใช้น้ำใส่ภาชนะ
ใส่ขัน ใส่ถังอะไรก็ได้ ที่เราจะสามารถนั่งแล้วมองได้ถนัด
เรื่องของ กสิณลม สมัยก่อนท่าน
ให้จับอาการไหวของพวกใบไม้ต่างๆ แล้วก็นำเอาการไหว
นั้นเอามาเป็นนิมิต
แต่เนื่องจากว่า บางขณะลมสงัด
ถ้าหากว่านิมิตยังไม่ทรงตัว เราก็ทำต่อไม่ได้
จากที่เคยฝึกมา ให้ใช้ พัดลมเปิดเบาๆ ให้ลม
นั้นกระทบร่างของเรา จับอาการกระทบเป็นระลอกๆ
ของลมนั้นเป็นนิมิตได้
หรือว่าถ้ามีความคล่องตัวแล้ว ใช้ลมหายเจ้า
เข้า ลมหายใจออกของเรา เป็นนิมิตก็ได้ กสิณไฟนั้น
สมัยก่อนใช้ก่อไฟกองใหญ่ขึ้นมา แล้วก็เจาะรูที่ผ้า นำผ้า
นั้นขึงอยู่หน้ากองไฟ มองเฉพาะไฟ ที่ผ่าน
จากรูกลมของผ้าเข้ามา
แต่ว่าจริงๆ แล้วจะใช้แบบไหนก็ได้ จุดเทียนขึ้นมา
แล้วเพ่งเปลวเทียน ก็ได้ หรืออย่างสมัยที่ผมฝึก
มันหาเทียนยาก มีแต่ตะเกียงน้ำมัน ก็ใช้ตะเกียงน้ำมัน
หรือเวลาหุงข้าว ก็เอาไฟทั้งเตาเป็นนิมิตกสิณได้
สมัยโน้นเตาแก๊สยังไม่มี หม้อไฟฟ้ายังไม่มี ถึงเวลาก็
ต้องติดไฟหุงข้าว จะเป็นเตาถ่าน เตาฟืนอะไร ผมก็
ใช้นิมิตไฟทั้งเตานั้น เป็นนิมิตกสิณแทน
คราวนี้จะกล่าวถึงอานุภาพของกสิณก่อน
ธาตุกสิณทั้งสี่กองนี้มีอานุภาพมาก ปฐวีกสิณ นั้น
ถ้าหากว่าเราต้องการ ทำของอ่อนให้เป็นของแข็ง เมื่อทำ
ได้แล้วก็อธิษฐานได้ตามใจ สามารถ เดินขึ้นบนอากาศ
ได้ เหมือนกับมีบันไดรองรับ เดินบนน้ำ ได้ เหมือนอย่าง
กับว่าพื้นน้ำนั้นแข็งตัวอยู่
เรื่องของ อาโปกสิณ(กสิณน้ำ) เรา
สามารถ ทำสิ่งที่แข็งให้อ่อนได้ ดัดแปลงเปลี่ยนรูป
ได้ตามใจของเราชอบ ที่ที่ไม่มีน้ำ อดน้ำอยู่
สามารถอธิษฐาน ให้น้ำเกิดขึ้นที่นั่นได้ ขณะเดียวกัน
ถ้าหากว่าเราทำเป็น ก็สามารถ ทำเป็นทิพยจักขุญาณ
ได้
โบราณาจารย์กล่าวว่า กสิณไฟ กสิณสีขาว
กสิณแสงสว่าง และ กสิณน้ำ
เป็นพื้นฐานของทิพยจักขุญาณ เรื่องของอาโปกสิณนั้น
ถ้าหากว่าเรากำหนดใจจดจ่ออยู่กับน้ำในภาชนะนั้น ก็
เป็นอาโปกสิณ แต่ถ้าเราเพ่งจิตจนถึงก้นของภาชนะนั้น
สามารถทำเป็นทิพยจักขุญาณได้
เรื่องของ วาโยกสิณ เราสามารถ จะไปที่ไหนๆ ก็
ได้ ด้วยกำลังของวาโยกสิณอย่างที่โบราณเขาใช้คำว่า
"เหาะไป" แต่ว่าความจริงแล้ว ถ้าหากว่ามีคนเห็นเรา
อยู่ตรงหน้าแล้ว เราไปด้วยกำลังของวาโยกสิณจริง ๆ ถ้า
ไม่ได้อธิษฐานให้ไปช้า ๆ
อย่างเช่น ถ้านั่งอยู่ตรงนี้ คิดว่าเรา
จะไปกรุงเทพฯ คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ จะเห็นเราหายไปเฉย ๆ
แล้วไปปรากฏที่กรุงเทพฯ แต่จริงๆ แล้ว เราลอยไป
ด้วยอำนาจของวาโยกสิณ เพียงแต่ว่าลอยไปเร็วมาก
มันก็เลยเหมือนกับ หายวับจากจุดนี้ไป
ไปปรากฏที่อีกจุดหนึ่ง หรือว่าที่ไหนไม่มีลม มันร้อนอบอ้าว
อธิษฐาน ให้มีลม ให้มันเย็นสบายได้
เรื่องของ เตโชกสิณ ถ้าทำได้แล้ว เรา
สามารถ ทำให้ไฟติดขึ้นที่ใดที่หนึ่งก็ได้ จะให้ความอบอุ่น
จะให้แสงสว่าง หรือจะให้เผาผลาญสิ่งใดก็ได้
อำนาจของเตโชกสิณ เราสามารถควบคุมมันได้อย่างที่
ต้องการ ถ้าจะเผากันแค่เสื้อผ้า รับรองว่าตัวคุณ
ไม่มีอันตราย ทั้ง ๆ ที่ไฟลุกท่วมตัวอยู่อย่างนั้น
คราวนี้ ธาตุกสิณทั้งสี่นี้ ยังสามารถ ใช้
ในการปรับธาตุ เพื่อรักษาพยาบาลคนที่เจ็บป่วยได้ เนื่อง
จากว่าคนที่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากการที่ธาตุ
ใดธาตุหนึ่งบกพร่อง ถึงมีอาการเจ็บป่วย
ถ้าเราอธิษฐานให้ ธาตุสี่ประสานเสมอกัน
อาการเจ็บป่วยนั้นก็หาย แต่สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ถ้าไม่
ใช่หน้าที่ของตนจริงๆ อย่าไปฝืนกรรมทำในลักษณะนั้น
เพราะว่าทุกคนต้องสร้างกรรมมา ถึงจะเจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้าเราไปฝืนกระแสกรรม โดยการช่วยเหลือผู้อื่น
เขา กรรมอันนั้นจะเข้าถึงตัวเรา อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราไปฝืนกฎของกรรม อำนาจ
จากอภิญญาที่ได้จากกสิณ จะเสื่อม ในเมื่อธาตุกสิณ
ทั้งสี่มีอนุภาพดังนี้ เวลาเราปฏิบัติ ให้เริ่มจากกอง
ใดกองหนึ่งที่เราชอบ
ถ้าจับ ปฐวีกสิณ ก่อน
ก็ลืมตาดูภาพนิมิตกสิณที่เราทำไว้ หลับตาลงนึกถึงภาพ
นั้น พร้อมกับคำภาวนาว่า ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง
ถ้าภาพเลือนหายไป ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ แล้วหลับตานึก
ถึงภาพนั้น
ระยะแรกๆ มันจะนึกได้แค่ชั่วคราว พอ
ถึงเวลาหลับตาลง ไม่ทันอึดใจภาพก็หายไป ให้ลืมตาดู
ใหม่พร้อมกับคำภาวนาใหม่ ทำดังนี้ไปเรื่อยๆ
บางที เป็นเดือนเป็นปี เป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้านครั้ง
กว่าภาพนั้นจะปรากฏได้ ทั้งหลับตาและลืมตา
ถ้าทำ อาโปกสิณ ให้ใช้ภาชนะบรรจุน้ำวาง
อยู่ตรงหน้า ลืมตามองน้ำในภาชนะนั้น แล้วหลับตาลง
พร้อมกับนึกถึงภาพของน้ำในภาชนะ ภาวนาว่า
อาโปกสิณัง อาโปกสิณัง ดังนี้ไปเรื่อยๆ
ถ้าหากว่าการกำหนดใน วาโยกสิณ
เมื่ออาการของลม มากระทบผิวกายเป็นระลอก ก็
ให้กำหนดอาการกระทบอย่างนั้น พร้อมกับคำภาวนาว่า
วาโยกสิณัง วาโยกสิณัง
ถ้าฝึก เตโชกสิณ เป็นปกติ ก็
ให้จับภาพของดวงเทียน หรือว่ากองไฟนั้น ๆ พร้อม
กับคำภาวนาว่า เตโชกสิณัง เตโชกสิณัง
ธาตุกสิณทั้งสี่นี้ ถ้าหากว่าเป็น อุคหนิมิต ก็จะ
เป็น นิมิตตามกองกสิณนั้นๆ เช่น ปฐวีกสิณ
ถ้าเราทำนิมิตดินเป็นรูปวงกลม
เป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างที่เราชอบ ถึงเวลานั้น ภาพนั้นก็
จะปรากฏเป็นรูปอย่างนั้น ถ้าเป็น กสิณน้ำ ก็จะปรากฏ
เป็นวงตามภาชนะนั้น ๆ
ถ้าเป็น กสิณลม อันนี้จับยากสักนิดหนึ่ง
เพราะว่าเรามองลมไม่เห็น แต่พอจับอาการกระทบไปเรื่อย
ๆ มันจะเริ่มเห็นขึ้นมา เหมือนอย่าง
กับเรา เห็นไอแดดที่มันเต้นเป็นตัว ในเวลาร้อนมาก ๆ
หรือเหมือนกับไอน้ำ ที่เราต้มน้ำหรือว่าหุงข้าว แล้วไอ
นั้นลอยขึ้นมาเป็นระลอก ๆ อย่างนั้น
ถ้าหากว่าเป็น กสิณไฟ ก็จะมีนิมิต
ตามลักษณะของดวงกสิณที่เราเพ่งอยู่
ถ้าหากว่าเราเพ่งเปลวเทียน นิมิตก็จะเป็นดวงเทียน
ในลักษณะเปลวไฟลอยตั้งอยู่เฉยๆ
ถ้าเราเพ่งภาพของกองไฟ ก็จะเห็น ไฟทั้งกองนั้น ตั้ง
อยู่ตรงหน้าของเรา
แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่ง ถ้าหากว่าบางท่านมี
ความคล่องตัวมาก่อน มันจะไม่เห็นเป็นเปลวไฟ
ในลักษณะดวงกสิณที่เราเพ่ง แต่มันจะเห็นในลักษณะเหมือน
ยังกับ ตาลปัตรทองคำ คือมันจะพุ่งขึ้นไปแล้วแตกกระจาย
เป็นแฉกๆ อยู่ทางด้านบน ซึ่งอันนี้ผมเจอมาด้วยตัวเอง
เมื่ออุคนิมิตนี้ปรากฏขึ้น เราต้องเพิ่ม
ความระมัดระวัง เพิ่มสติ จะหลับจะตื่น จะยืน จะนั่ง
เอากำลังใจส่วนหนึ่ง จดจ่ออยู่กับภาพกสิณ พร้อม
กับคำภาวนาเสมอ
พอทำไป ๆ สีสันของกสิณนั้นก็จะอ่อนลง จางลง
จนกระทั่ง กลายเป็นสีขาว ทั้งหมด จากสีขาวก็ค่อยใสขึ้น
สว่างขึ้น จนกระทั่ง สว่างเจิดจ้า
เหมือนเอากระจกสะท้อนแสงใส่ตาของเรา
แต่ว่ามีนิมิตกสิณอยู่สองกอง คือ อาโปกสิณ
กับเตโชกสิณ นิมิตทั้งสองกองนี้ ถ้าเป็น ปฏิภาคนิมิต แล้ว
เมื่อเราอธิษฐาน ให้ใหญ่ ให้เล็ก ให้มา ให้หายไป มี
ความคล่องตัวแล้ว บางทีอยู่ๆ
จะเห็น กระแสน้ำไหลมาท่วมทุกทิศทุกทาง ก็อย่าได้ตกใจ
หรืออยู่ ๆ เห็นเป็นไฟลุกไหม้พรวดพราดขึ้นมา
บางทีไหม้ไปทั้งอาคารทั้งหลัง ก็อย่าได้ไปตกใจ ไม่ว่า
จะน้ำมาทุกทิศทุกทาง หรือไฟลุกท่วมไปทั้งอาคารก็ตาม
โปรดทราบว่า อันนั้นเป็นแค่นิมิตกสิณเฉยๆ
เราสามารถที่จะควบคุมมันได้สบายมาก
ถ้าเราอธิษฐานให้ไฟลุกท่วมทั้งโบสถ์นี้ โบสถ์นี้ก็จะ
ไม่มีอันตราย ถ้าเราไม่ต้องการให้ไหม้
ให้น้ำท่วมมาทุกทิศทุกทางก็จริง แต่ถ้าเราไม่ต้องการ
ให้มีอันตรายจากน้ำนั้น น้ำนั้นก็ทำอันตรายใครไม่ได้
มีหลายท่านที่ทำกสิณดังนี้แล้ว
พอนิมิตพวกนี้เกิดขึ้น ตกใจกลัววิ่งหนีก็ดี หรือว่าตื่นตกใจเรียก
ให้คนช่วยก็ดี ในลักษณะนั้นเป็นการขาดสติ
บางทีตกใจมากจนทำให้ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ทำกรรมฐานต่อไม่
ได้เลยก็มี
ดังนั้น ขอให้เราทุกคนโปรดเข้าใจว่า
ถ้านิมิตกสิณเหล่านี้เกิดขึ้น เราทำให้มันเกิด ต้องการ
ให้มันมามันก็มา ต้องการให้มันหายไป มันก็หายไปเดี๋ยว
นั้น มันจะทำอันตรายเราไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเรา
สามารถควบคุมมันได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปตกใจ ไม่จำเป็น
ต้องไปหวาดกลัว ให้เราพยายามทำกสิณในลักษณะนี้
ให้ทรงตัวให้ได้ เมื่อเป็นปฏิภาคนิมิตแล้ว เราก็ ลองอธิษฐาน
ใช้ผลดู คือจับภาพกสิณให้สว่างเจิดจ้าเต็มที่
กำหนดอธิษฐานให้หาย ให้มา จนคล่องตัวแล้ว
ถ้าหากว่าเป็น ปฐวีกสิณ
ก็ลองนำน้ำมาสักขันหนึ่ง อธิษฐานว่า ขอ
ให้น้ำนี้จงแข็งเหมือนดินแล้ว เสร็จแล้วเข้าฌานให้เต็มระดับ
คือจับภาพกสิณให้สว่างเจิดจ้าเต็มที่
เมื่อคลายใจออกมาสู่อารมณ์ปกติแล้ว อธิษฐาน
ให้น้ำนี้แข็งตัวใหม่ จากนั้นเข้าฌานให้เต็มที่อีกครั้งหนึ่ง น้ำ
นั้นก็จะแข็งเหมือนกับดินไปทั้งขัน
สมัยที่อยู่ วัดท่าซุง เด็กนักเรียนทำได้แล้ว
ก็แกล้งเพื่อนตัวเอง พอเข้าส้วมก็รอจังหวะ เพื่อน
จะตักน้ำล้างส้วม ก็อธิษฐานให้น้ำมันแข็ง เพื่อนตักน้ำไม่ได้
ตัวเองก็ชอบใจ ไป หัวเราะเยาะเพื่อนได้
เมื่อพยายามทำให้มีความชำนาญ
นึกเมื่อไหร่น้ำก็แข็งเมื่อนั้น คราวนี้จะลองหัดเดินน้ำดูก็ได้
แต่ว่าถ้าหัดเดินน้ำ ให้อธิษฐานว่า
ให้น้ำทุกจุดที่เราเหยียบลงไปมีความแข็ง
และหนาแน่นเหมือนกับดิน อย่าไปอธิษฐานให้น้ำ
ทั้งหมดแข็ง เพราะว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
เขา ถ้าอธิษฐานผิดในลักษณะนั้น ผลของกสิณจะไม่เกิด
ถ้าหากว่าเป็น กสิณน้ำ ก็ลอง อธิษฐานของแข็ง
ให้อ่อนดู อาจจะนำไม้สักแผ่นหนึ่ง เหล็กสักแผ่นหนึ่ง
มาวางตรงหน้า เข้าสมาธิเต็มที่จนภาพกสิณใสเจิดจ้า
แล้วอธิษฐานขอให้ไม้หรือเหล็กนั้นอ่อนลง
จากนั้น คลายกำลังใจลงมาอธิษฐานใหม่
แล้วกลับเข้าสู่สภาวะของฌานสมาบัติ
ให้เห็นดวงกสิณใสเจิดจ้าแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง
พอลดกำลังใจลง สิ่งนั้นก็จะอ่อนตัวลง จับบิด ดัดแปลง
เปลี่ยนรูป ได้ตามที่เราต้องการ
ถ้าหากว่าเป็น กสิณลม ก็เอาระยะใกล้ ๆ
ในจุดที่คนเขามองไม่เห็น เพื่อคนเขาจะได้ไม่แตกตื่น
อย่างเช่นอธิษฐานว่า จะไปในดงไผ่นั้น ก็เข้าสมาธิเต็มที่
แล้วคลายกำลังใจออกมา อธิษฐานแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง พอ
เข้าสมาธิเต็มที่แล้ว ร่างกายก็จะไปอยู่ในสถานที่ที่
ต้องการนั้น ๆ
ถ้าเป็น กสิณไฟ ก็แอบ ๆ จุดไฟเล่นของเราก็ได้
จุดเทียนในกุฏิของเรา ตั้งใจอธิษฐานขอให้ไฟมันติด มันก็
จะติดขึ้นมา ทำให้มีความคล่องตัวแบบนี้ทุกวัน ซ้อมทำ
อยู่เรื่อย ๆ ทุกบ่อย
ความจริงเรื่องของกสิณนั้น ถ้าเราทำกอง
ใดกองหนึ่งได้แล้ว กสิณที่เหลือก็เหมือน ๆ กัน คำว่าเหมือน
กันก็คือว่า ใช้กำลังของสมาธิเท่าเดิม เพียงแต่เปลี่ยนนิมิต
เปลี่ยนคำภาวนาเล็กน้อยเท่านั้น
กสิณกองต่อไปคือ อาโลกสิณ
เป็นการจับแสงสว่าง สมัยก่อนเขาดูแสงสว่างที่ลอดฝา
ลอดตามช่องเข้ามา ลอดตามหลังคาเข้ามา
แต่ว่าสมัยนี้มีลูกแก้ว ใช้ลูกแก้วเป็นนิมิตกสิณ
หรือว่าใช้พระแก้วเป็นนิมิตกสิณ ก็ได้
อาโลกสิณนั้น เป็นกสิณสร้างทิพยจักขุญาณ
โดยตรงใครทำอาโลกสิณได้ สามารถมีทิพยจักขุญาณ
เห็นนรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้ง่าย ๆ ขณะเดียวกัน ถ้าที่
ใดมันมืดมิด ต้องการจะให้สว่าง มันก็สว่างตามที่เรา
ต้องการได้ เวลาจับภาพนิมิตกสิณพร้อมกับคำภาวนา ก็
ใช้คำว่า อาโลกสิณัง อาโลกสิณัง
กสิณกองต่อไปคือ อากาสกสิณ อันนี้
ให้จับช่องว่าง เป็นช่องใดช่องหนึ่งตามข้างฝาก็ได้
ตามหลังคาก็ได้เป็นตัวนิมิต ตั้งใจภาวนาว่า
อากาสกสิณัง อากาสกสิณัง ดังนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะ
เป็นปฏิภาคนิมิตเต็มระดับ
อากาสกสิณนี้มีอานุภาพตรงที่ว่า สถานที่
ใดมันจะทึบมันจะตันขนาดไหนก็ตาม ประตูหน้าต่างที่
เขาล็อคไว้ขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราต้องการจะผ่านไป
ถึงเวลา อธิษฐานให้ตรงนั้นเป็นช่องว่าง เราก็
สามารถผ่านไปได้ง่ายๆ ลักษณะของการ ดำดิน
หรือว่ามุดภูเขา ไปทั้งลูก ก็ใช้กำลังของอากาสกสิณนี้เอง
กสิณทั้งหมดนั้น ถ้าเราทำได้แค่นั้น มัน
เป็น โลกียอภิญญา ไม่สามารถจะหลุดพ้น ก็
ให้พิจารณาดูความไม่เที่ยงของมัน ไม่ว่าจะดิน จะน้ำ
จะลม จะไฟ มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายตัวไปเช่นกัน
ดวงกสิณทุกอย่าง แรก ๆ มันก็ไม่
สามารถตั้งมั่นทรงตัวอยู่ได้ เมื่อเป็นอุคหนิมิตทรงตัว
ก็แสดงว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ แล้วถึงเวลา
สามารถบังคับมันให้เป็นปฏิภาคนิมิตได้ เดี๋ยวก็ใหญ่ เดี๋ยวก็
เล็ก มันมีความไม่เที่ยงของมันอยู่เป็นปกติ
ตัวเราที่ทำกสิณอยู่ กว่าจะได้แต่ละอย่าง
มันลำบากยากเย็น แสนเข็ญขนาดไหน ต้องนั่งเมื่อยอยู่
เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เพื่อจะจับภาพกสิณให้เป็นอุคนิมิตให้
ได้ อาการอย่างนี้มัน เป็นทุกข์ทั้งนั้น
ท้ายสุดตัวเราก็ดี ภาพกสิณก็ดี มี
ความสลายตัวไปเป็นปกติ ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่
เป็นตัวตนได้ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา
ให้ยึดถือมั่นหมายได้ เกิดมาเมื่อไรก็ต้องพบกับสภาพความ
ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้
แล้วเรายังปรารถนาที่จะเกิดอีกหรือไม่ ? เมื่อไม่
ต้องการเกิดอย่างแน่วแน่
ก็ เอากำลังของกสิณไปเกาะพระนิพพานแทน คิด
ไว้เสมอว่า ถ้าตายเมื่อไร เราขอมาอยู่ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น
ดังที่เคยบอกมาหลายครั้งแล้วว่า
กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น เราสามารถไปพระนิพพาน
ได้ทั้งนั้น เพียงแต่พิจารณาลงในไตรลักษณ์
หรือพิจารณาลงในอริสัจ ๔ ก็จะเข้าถึงที่สุดของการปฏิบัติ
ได้ทั้งสิ้น
สำหรับตอนนี้ ขอ
ให้ทุกท่านค่อยๆคลายกำลังออกมา เพื่อที่จะ
ได้ทำหน้าที่ของเราต่อไป
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
วันพุธที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๗
งานเป่ายันต์เกราะเพชร ๒๑ เมษายน
๒๐. อสุภกรรมฐาน ๑๐
เมื่อวานนี้เรื่องของกสิณลืมบางจุดไป
อย่างเช่น อาโปกสิณ เขาให้เทน้ำใส่
ให้เต็มภาชนะพอดีอย่าให้พร่อง เพราะว่า
ถ้าหากว่ามันพร่อง ใจของเรามันไปจับที่ขอบภาชนะ อัน
นั้นเขาเรียกว่า กสิณโทษ ใช้ไม่ได้ เขา
ให้สนใจแค่ลักษณะของน้ำและตั้งใจจับตรงนั้น
ถ้าหากว่าเป็น อุคหนิมิตของ อาโปกสิณมัน
จะมีลักษณะกระเพื่อมๆ เหมือนกับน้ำที่เป็นคลื่นน้อยๆ ถ้า
เป็นปฏิภาคนิมิตมันก็จะนิ่ง แล้วก็ค่อยๆ สีจางลงไปเรื่อย
ในเรื่องของ วาโยกสิณ นั้น แรกๆ ก็เหมือนกับว่า
เป็นไอหรือว่าแดด ที่เต้นเป็นตัวขึ้นมา อันนั้นเป็น อุคหนิมิต
ถ้าหากว่าเป็น ปฏิภาคนิมิต มันจะลอยจับกลุ่มกันแน่น
เหมือนกับหมอกหนาๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ลืมบอกไป
เดี๋ยวพอเราไปเจอเข้าก็เกิดความสงสัยอีก
สำหรับวันนี้จะว่าถึงเรื่องของ อสุภกรรมฐาน ทั้ง
๑๐ อย่าง คือการพิจารณาซากศพเป็นอารมณ์
เหมาะสำหรับผู้ที่เป็น ราคะจริต มีจิตรักสวยรักงามเป็นปกติ
หรือมีจิตเกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างเพศเป็นปกติ
สำหรับการพิจารณาอสุภกรรมฐานนั้น
ในปัจจุบันนี้จะ ทำได้ยาก อยู่สักหน่อย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่
เขาเอาศพไปทิ้งป่าช้าเฉยๆ บ้าง
หรือว่าประเภทที่โดนประหารชีวิต โดนฆ่าบ้าง มัน
สามารถที่จะเห็นได้ง่าย สมัยนี้มันเห็นได้ยาก
ตอนที่ผมฝึกอยู่ ผมใช้พวก ซากสัตว์ ที่มันตายบ้าง
หรือว่าใช้โครงกระดูก ที่เขาทำ
ไว้สำหรับพวกนักศึกษาแพทย์บ้าง หรือไม่ก็เข้าตลาด
ไปดูตามเขียงหมู ที่เขาหั่น เขาสับ เขาฟันเนื้อหมูออกมา
เป็นชิ้นๆ เป็นส่วนๆ บ้าง
แต่ว่าที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือได้บรรดาผี
ต้องใช้คำว่า บรรดาผีที่มีความเมตตา
เขาหามมาทีละศพ ทีละศพ ทุกคืน ถ้าหากว่า
ได้อย่างนี้ท่านก็สามารถที่จะฝึกได้ แต่ถ้าหากไม่
ได้อย่างนี้บางทีก็จะลำบากอยู่
สำหรับอสุภกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านพบศพที่
จะพิจารณาได้ อย่างเช่นว่า ซากสัตว์ก็ดี
ให้ยืนทางด้านเยื้องๆ กับเหนือลม อย่าไปยืนเหนือลม
โดยตรง เพราะว่ายืนเหนือลมโดยตรง สัตว์ที่มากินซาก
เช่นว่า พวกนกแร้ง นกตะกรุม
หรือว่าพวกสัตว์ป่าอย่างสุนัขจิ้งจอก สุนัขป่าก็ดี
แม้กระทั่งเสือ หรือว่าพวกเหี้ย ตะกวด
พวกนั้น เขาจะได้รับความลำบาก เพราะว่า
ถ้าเราอยู่เหนือลมตรง เขาจะได้กลิ่น เขาจะไม่กล้า
เข้ามากิน หรือว่าบางประเภทเขาหวงซาก อย่างพวกเสือ
พวกหมาป่า หรือพวกหมาจิ้งจอก มันจะกัดเอา
จะทำร้ายเอา
แล้วก็ อย่าไปยืนทางใต้ลมโดยตรง ถ้ายืนทาง
ใต้ลมโดยตรง กลิ่นมันเข้ามาเต็มที่ ถ้าไม่คุ้นชินมัน
จะอาเจียน หรือไม่ก็อย่างที่ผมเคยโดนคือลมมันหวน
พอลมมันหวนกลับ ดมกลิ่นเข้าไปเต็มๆ ไม่ทราบว่ามัน
เป็นโทษอย่างไร ท้องเสีย ไปเป็นวันๆ ต้องระมัดระวังให้ดี
จะพิจารณาก็ ยืนอยู่ในจุดที่ห่างพอสมควร
ในราวๆ สัก ๓ หรือ ๔ เมตร แล้วก็ให้อยู่ทางเหนือลม
เยื้องไปทางซ้ายก็ได้ทางขวาก็ได้ จะได้ไม่
เป็นการรบกวนสัตว์มากจน เกินไป
มีอยู่จุดหนึ่งที่อยากจะเตือนก็คือว่า
สำหรับหลาย ท่านที่กำลังใจเข้มแข็ง มันจะมีนิมิตหลอก
ซากศพนั้นบางทีมันก็เคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวนั้นบางทีก็
เป็นอุคหนิมิต แต่บางทีมันเคลื่อนไหวในลักษณะเขา
ต้องการทดสอบเรา
บางทีศพมันลุกขึ้นมากอดเอาดื้อๆ
หรือบางทีมันก็เคลื่อนไหวลักษณะยื่นมือมาจะบีบคอ ขอ
ให้ทุกคนเข้าใจว่านั่นเป็นนิมิตที่เขามาทดสอบเท่านั้น
ถ้าเราทำเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็จะเลิกไปเอง
ดังนั้นว่าการฝึกอสุภกรรมฐาน นอกจากจะ
ต้องทนต่ออาการต่างๆ ที่น่าขยะแขยงแล้ว ยังต้องมี
ความกล้าอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้านิมิตเหล่านี้มาหลอก
หรือว่ามาทดสอบ เราอาจจะกลัวมาก
ขนาดเสียสติไปเลยก็ได้
เรื่องของอสุภกรรมฐานนั้นมีทั้งหมด ๑๐ อย่าง ที่
ต้องกำหนดไว้ถึง ๑๐ อย่าง ก็
เพราะว่าเหมาะสำหรับคนที่ชอบในลักษณะต่างๆ กัน จะ
ได้เห็นว่าสภาพความเป็นจริงของร่างกายที่ชอบนั้น
เป็นอย่างไร ?
๑.อุทุมาตกอสุภ คือ ซากศพที่พองอืดอยู่
อันนี้ สำหรับ
ผู้ที่ชอบคนประเภทที่เรียกว่าอ้วนพีประเภทอวบอย่างนั้น
อึ๋มอย่างนี้ เจออุทุมาตกอสุภเข้า แล้วจะรู้ ว่าจริงๆ
แล้วมันบวม มันพอง มันใกล้จะปริ จะพังอยู่แล้ว
๒.วินีลกอสุภ คือ ซากศพที่มันเป็นสีเขียว สีเหลือง
สีแดง สีขาว เป็นต้น สังเกตดูพอศพตาย ซัก ๒ วัน ๓ วัน มันก็
จะเริ่มเขียวๆ ขึ้นมา หรือถ้ามากกว่านั้น บางทีก็พองขึ้นมา
น้ำเหลืองมากก็เป็นสีเหลือง
ถ้าหากว่าเลือดมันทรงตัวอยู่ก็เป็นสีแดง เป็นต้น
อันนี้ สำหรับผู้ที่ติดใจในผิว พรรณวรรณะอันผ่องใส เช่นว่า
แหม..สาวคนนี้หน้าเด้งเหลือเกิน อย่างนี้เป็นต้น
เหมาะสำหรับคนที่จะฝึกใน วินีลกอสุภ
๓.วิปุพกอสุภ คือ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลโซมอยู่
อันนี้เอาไว้ สำหรับผู้ที่ไปติดในบรรดาเครื่องสำอาง แหม..
วันนี้ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งมาเชียว หรือ
ไม่ก็ทาน้ำยาบำรุงผิวมา กลิ่นดีเหลือเกิน ถูกใจ
ถ้าเราไปดูซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลโซมอยู่แล้วมัน
จะถูกใจไหม ?
๔.วิฉิทกอสุภ คือ ซากศพที่โดนฟันขาดออกเป็น
๒ ท่อน อย่างสมัยก่อนเขาประหารชีวิต หรือว่ารบกัน
หรืออย่างสมัยนี้นานๆ อาจจะฟลุค
ไปเจอคนโดนรถชนขาดเป็นสองท่อน
หรือว่าหมาโดนรถชนขาดสองท่อน เป็นต้น
อันนี้ สำหรับผู้ที่ไปติดใจในเนื้อหนังของคนอื่นเขา
มันจะได้เห็นว่าสภาพที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้
เป็นแท่งทึบอย่างที่เราติดใจ แต่ว่ามันเป็นชิ้น เป็นท่อน
มีอวัยวะภายในน้อยใหญ่อยู่
๕.วิกขายิตกอสุภ คือ ซากศพที่โดนสัตว์กิน ทึ้ง
เว้าแหว่ง หรือไม่ก็กัดแทะจนกระทั่งเหลือเนื้อหนังติดอยู่เพียง
ไม่เท่าไหร่ อันนี้สำหรับผู้ที่ติดใจในอวัยวะบางส่วนของเขา
อย่างเช่นว่า ชอบอก ชอบเอว ชอบสะโพก ชอบขาอ่อน
ชอบน่อง
เมื่อไปเจอพวกที่โดนสัตว์กัดทึ้งเป็นชิ้นๆ
ตรงโน้นก็แหว่งตรงนี้ก็เว้า แก้มหลุดหายไปข้างหนึ่ง
ริมฝีปากฉีกไปครึ่งหนึ่ง หน้าอกหายไปแถบหนึ่ง
เห็นแต่ซี่โครงโผล่ขาวโพลน อย่างนี้ก็หมดอารมณ์
ถ้าหากว่าใครชอบใจอวัยวะเป็นส่วนๆ อย่างนี้
ก็ไปดูวิกขายิตกอสุภ
๖.วิกขิตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกเขาทิ้ง นานๆ
ไปก็หลุดเป็นชิ้น ๆ พวกนี้เหมาะ สำหรับผู้ที่ชอบอิริยาบถ
แหม..สาวคนนี้เคลื่อนไหวสวยเหลือเกิน เดินอ่อนช้อยอย่างนั้น
สวยอย่างนี้ เหยียดแขนก็ดูดี คู้แขนก็ดูดี ก้าวไปข้างหน้า
ถอยไปข้างหลัง ดีทั้งหมด ให้ไปดูซากศพที่เขาทิ้งเอาไว้
พอนานๆ ไปแล้วมันหลุดเป็นชิ้นๆ หรือวิกขิตกอสุภ
๗.หตวิกขิตกอสุภ คือ ซากศพที่โดนฟันขาด
เป็นท่อนๆ อาจจะเป็น ๗ ท่อน ๘ ท่อนก็ได้
อย่างพวกฆาตกรฆ่าหั่นศพ หรือไม่ก็ประเภทโดนรถชนไป
แล้ว ยังไม่ทันจะเก็บศพ อีกคันหนึ่งมาทับซ้ำเข้าไป หลุด
เป็นชิ้น ๆ อวัยวะภายนอกภายใน กระจายเกลื่อนถนนเลย
นี่ สำหรับคนประเภทที่คลำดูไม่มีหางก็ใช้ได้
คือขอให้มีอวัยวะครบ ๓๒ เป็นชอบ ถ้าสันดานเรา
เป็นอย่างนี้ก็ไปดูหตวิกขิตกอสุภ
๘.โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลท่วม
ไหลนองไปหมด อย่างสมัยก่อนเขาฟันหัวขาด
เลือดพุ่งกระฉูดขึ้นไปเป็นเมตร
แล้วตกลงมาอาบร่างจนนองแดงไปหมด อันนี้ สำหรับ
ผู้ที่ติดใจในเครื่องประดับ ชุดสวยอย่างนั้น
เครื่องประดับสวยอย่างนี้ มันไม่ได้ชอบแต่ตัวเฉยๆ
มันชอบกระทั่งชุดด้วย ให้ไปดูสภาพจริงๆ
ของร่างกายว่าอย่างนี้สวยไหม ?
๙.ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่มีหนอนชอนไช
เน่าเละไปหมด พวกนี้สำหรับผู้ที่ติด
ในร่างกายตัวเองร่างกายของเราดีอย่างนั้น
น่าพอใจอย่างนี้ แหม..กล้ามตรงนี้สวยเหลือเกิน
ติดแม้กระทั่งร่างกายตัวเอง ดูซิ มันใช่ของเราไหม ?
ตอนนี้พวกหนอนต่างๆ มันครองสิทธิ์ กินกระจาย
อยู่ตรงหน้าของเรา
๑๐.อัฎฐิกอสุภ เป็นกระดูก โครงกระดูก
อย่างเช่นว่าพอมันเน่าไปนานๆ ส่วนอื่นๆ
เปื่อยสลายไปหมด เหลือแต่โครงกระดูกอยู่
หรืออย่างที่ผมปฏิบัติอยู่ก็คือ
เอาโครงกระดูกสำหรับนักศึกษาแพทย์เขามาพิจารณา
อันนี้ สำหรับผู้ที่ชอบเวลาเพศตรงข้าม
เขายิ้ม แหม..ฟันสวยเหลือเกิน ให้มันดูว่า ฟันมันก็
ส่วนหนึ่งของกระดูก แล้วกระดูกทั้งหมดมันมีลักษณะ
เป็นอย่างนี้ สำหรับเรื่องของอสุภกรรมฐานก็มีอานุภาพ
ในการช่วยระงับความพอใจในร่างกายแบบต่างๆ ของเรา
คราวนี้ในการปฏิบัติ อุทุมาตกอสุภ
เราเจอซากศพที่พองเต็มที่เลย อย่างหมาตายมาสองวัน
สามวัน หรือถ้าหากว่าแดดร้อนๆ วันเดียวเท่านั้นแหละ
อืดพอง สี่ขาเหยียดกางทีเดียว จะแตก จะระเบิดอยู่แล้ว
เราก็ยืนในจุดที่เหมาะสมอย่างที่ว่าไป
แล้วก็เริ่มกำหนดภาพนั้นเป็นนิมิต ภาวนาว่า อุทุมาตกัง
ปฏิกุลัง..อุทุมาตกัง ปฏิกุลัง ว่าไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่า
เป็นอุคหนิมิต คือ เริ่มติดตา จะเห็นเป็นศพ
ในลักษณะที่เราพิจารณาอยู่
ถ้าหากว่าเป็น ปฏิภาคนิมิต คือจิตเริ่มทรง
เป็นปฐมฌาน ภาพนั้นก็จะเป็นคน หรือสัตว์ที่อ้วนพีผ่องใส
เป็นปกติ เห็นอย่างกับคนทั่วๆไปเลย ลืมบอกไปว่า
อสุภกรรมฐาน ถ้าโดยตัวของมันจริงๆ ปฏิบัติแล้วจะทรง
ได้ประมาณปฐมฌานเท่านั้น
สำหรับ วินีลกอสุภ
ที่เราไปพิจารณาซากศพที่มันเขียว มันเหลือง มันแดง
มันขาวเหล่านั้น ถ้าเป็น อุคหนิมิต ก็จะเห็น
เป็นภาพปกติของมัน คือ เริ่มติดตา หลับตาก็เห็น
ลืมตาก็เห็น แต่ว่าเรื่องหลับตาลืมตานี่
บางคนทำง่ายเลยคิดไม่ถึง
ผมเองมองซากศพครั้งแรกจำติดตาไปเจ็ดแปดวัน
ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะกลัว หรือว่าผีมันเจตนา
จะหลอก หรือว่าในอดีตผมเคยทำได้ เลยจำได้ง่ายก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าบางขณะมันเสียว ๆ มันกลัวอยู่เหมือนกัน
สำหรับวินีลกอสุภ ถ้าหากว่าเราจับภาพนั้นอยู่
แล้วเริ่มติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น นั่นเป็นอุคหนิมิต
ถ้าหากว่าสีใดสีหนึ่งมันขยายขึ้นมาจนท่วมทับสีอื่นหมด
อย่างเช่นว่าสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาวก็ดี อันนี้
เป็นปฏิภาคนิมิต
สำหรับคำภาวนา ให้ใช้ว่า วินีลกัง ปฏิกุลัง..
วินีลกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ พร้อมกับลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก อย่าลืมว่า คำภาวนาทุกอย่าง
ต้องจับพร้อมกับลมหายใจเข้าออกทั้งหมด
วิปุพกอสุภ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่
ก็ภาวนาว่า วิปุพกัง ปฏิกุลัง..วิปุพกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ถ้า
เป็น อุคหนิมิต คือเริ่มติดตา ก็ จะเห็นซากศพที่
เป็นน้ำเหลืองไหลอยู่ตามปกติ แต่ถ้าเป็น ปฏิภาคนิมิต มันจะ
เป็นศพที่น้ำเหลืองทุกอย่างหยุดนิ่ง กลาย
เป็นศพที่ชัดเจนแจ่มใสอยู่
ไม่มีอาการหลั่งไหลของน้ำเหลืองอีก
ต่อไปวิฉิทกอสุภ ซากศพที่โดนฟันขาด
เป็นสองท่อน โดนรถชนขาดเป็นสองท่อนก็ภาวนาว่า
วิฉิทกัง ปฏิกุลัง..วิฉิทกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ถ้าอุคหนิมิต ก็
จะเห็นเป็นภาพซากศพที่ขาดเป็นสองท่อนอย่างนั้น แต่
ถ้าหากเป็นปฏิภาคนิมิต คราวนี้มันจะเป็นตัวสมบูรณ์
ไม่ขาดท่อน
วิกขายิตกอสุภ ซากศพที่โดนสัตว์กัด เว้าๆ
แหว่งๆ กระดูกโผล่ที่นั้น เส้นเอ็นโผล่ตรงนี้ พวกเราที่
เข้าไปธุดงค์ ทางด้านห้วยขาแข้ง จะเจอซากสัตว์
ในลักษณะนี้บ่อย เพราะว่าพวกเสือบ้าง
หมาป่าบ้างมันกินทิ้งเอาไว้ อาศัยพิจารณาได้
เราใช้คำภาวนาว่า วิกขายิตกัง ปฏิกุลัง..
วิกขายิตกัง ปฏิกุลัง ถ้าหากว่าเป็น อุคหนิมิต
เริ่มติดตาก็ จะเห็นเป็นภาพปกติ อย่างนั้น ถ้า
เป็น ปฏิภาคนิมิต ก็ จะเป็นลักษณะเหมือนกับคน
หรือสัตว์สมบูรณ์อยู่ทั้งตัว
วิกขิตกอสุภ ซากศพที่หลุดกระจายเป็นท่อนๆ
เป็นชิ้นๆ เราใช้คำภาวนาว่า วิกขิตกัง ปฏิกุลัง..วิกขิตกัง
ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ อุคหนิมิตก็คือ เป็นซากศพที่เป็นชิ้นๆ อย่าง
นั้น แต่ถ้าหากเป็น ปฏิภาคนิมิต จะเป็นซากศพที่สมบูรณ์
ทั้งซากเหมือนกัน
หตวิกขิตกอสุภ ซากศพที่โดนฟันขาดเป็นท่อนๆ
โดนรถชนขาดเป็นท่อนๆ เป็นชิ้นๆ แต่ละ
ส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว อย่างพวกฆาตกรฆ่าหั่นศพพวก
นั้น เราก็ใช้คำภาวนาว่า หตวิกขิตกัง ปฏิกุลัง..หตวิกขิตกัง
ปฏิกุลัง อุคหนิมิต ก็ยัง เป็นศพที่ขาดเป็นท่อนๆ อยู่ แต่
ถ้าหากว่าเป็น ปฏิภาคนิมิต ก็จะเป็นศพที่สมบูรณ์เหมือนเดิม
ต่อไปก็ โลหิตกอสุภ
ซากศพที่มีเลือดไหลนองท่วมซากอยู่ ภาวนาว่า โลหิตกัง
ปฏิกุลัง..โลหิตกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าเป็น อุคหนิมิต
ก็จะเห็นเป็นซากศพที่มีโลหิตท่วมอยู่อย่างนั้น แต่ถ้า
เป็น ปฏิภาคนิมิต ภาพโลหิตก็จะขยายแดงหนาทึบไปหมด
ต่อไปเป็น ปุฬุวกอสุภ ซากศพที่มีหมู่หนอนชอนไช
ยุบยับไปหมด ใช้คำภาวนาว่า ปุฬุวกัง ปฏิกุลัง..ปุฬุวกัง
ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ภาพติดตาของ อุคหนิมิตจะ
เป็น ซากศพที่มีหมู่หนอนที่ชอนไชอยู่เป็นปกติ
ถ้าเป็น ปฏิภาคนิมิต มันจะมีลักษณะสีขาว
เหมือนอย่างกับกองผ้า หรือสำลีที่กองอยู่ จริง ๆ แล้ว
สีขาว ๆ ก็คือสีของหนอนนั่นเอง แต่ปฏิภาคนิมิตนี่มัน
จะหนาทึบ ลักษณะเหมือนกับสำลีก้อนใหญ่ ๆ หรือ
ไม่ก็ผ้าขาวกองใหญ่ ๆ
อันสุดท้ายคือ อัฏฐิกอสุภ การพิจารณากระดูก
ให้ภาวนาว่า อัฏฐิกัง ปฏิกุลังอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง
จับภาพกระดูกที่เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่พวกนั้น หรือถ้าหาก
ใช้อย่างที่ผมใช้ก็คือโครงกระดูกทั้งโครงนั้น
อุคหนิมิต อาจจะน่ากลัวอยู่หน่อย คือ
เป็นภาพโครงกระดูกเคลื่อนไหวไปมา อาจจะเป็นกะโหลก
กลิ้งไปกลิ้งมา กระดูกท่อนน้อยท่อนใหญ่ ลอยไปลอยมา
หรือว่าเป็นทั้งโครงอย่างที่ผมทำ มันก็จะเดินเข้ามาหา
หรือเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้า ถ้ากำหนดต่อไปมันก็
จะกลายเป็นโครงกระดูกที่นิ่งอยู่เฉยๆ อันนั้นเป็น ปฏิภาคนิมิต
นี่คือลักษณะอสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐ กอง
ถ้าเรามีโอกาสจำคำภาวนาและนิมิตของมันให้ชัดเจน
ระมัดระวังไว้ ต
กสิณ ๓ เป็นบาทของทิพจักขุญาณ

จะแนะถึงวิธีปฏิบัติในกสิณ ๓ อย่าง           คือ
๑. เตโชกสิณ  ๒. โอทาตกสิณ  
๓. อาโลกกสิณ 
กสิณสามอย่างนี้แต่เพียงพอ
เป็นทางปฏิบัติ เพื่อบำเพ็ญเพื่อได้ทิพจักขุญาณ
แต่ท่านอย่าลืมนะว่าการปฏิบัติกรรมฐานจะต้องหาครู
ผู้สอน ถ้าทำเองโดยไม่มีใครแนะนำและควบคุมแล้ว ดีไม่ดี
จะเกิดสำเร็จเร็วกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างในปัจจุบันมี
ไม่น้อย พอเห็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็คิดว่าสำเร็จเสียแล้วเลย
ไม่พบดีกัน
ขณะที่เขียนหนังสือนี้อยู่ มีนักปฏิบัติกลุ่มหนึ่งมาถามว่า "ฉัน
ได้ไปสอบกับครูผู้สอน คุณครูบอกว่าได้องค์ธรรมแล้ว ท่าน
ช่วยตรวจด้วยเถอะว่าฉันได้แค่ไหนแล้ว?"
ทำเอาข้าพเจ้างงงันคอแข็งไปเลย ไม่มีแบบมีแผนที่ไหนที่
ผู้ปฏิบัติถึงธรรมแล้ว กลับไม่รู้ว่าตัวได้ แปลกมาก
ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง เมื่อได้แล้วต้องรู้เอง ไม่
ใช่ไปขอร้องให้คนอื่นช่วยบอก แล้วครูเอาอะไร
เป็นเครื่องวัดว่าลูกศิษย์ได้ดวงธรรม ในเมื่อเจ้าตัวเองก็ยัง
ไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด ข้าพเจ้าได้วินิจฉัยดูเห็นว่า ก. ข. ยัง
ไม่กระดิกหูเลย จึงย้อนถามว่าใครเป็นครู ท่านกลุ่ม
นั้นก็บอกครูและสำนัก ถามถึงระเบียบการสอนก็บอก
ให้ทราบ ดูแล้วช่างไม่ถูกไม่ตรงเสียแล้ว
เสียดายธรรมของพระพุทธเจ้า สงสารพระพุทธเจ้า
อุตส่าห์พร่ำสอนเสียเป็นวรรคเป็นเวร เกือบล้มเกือบตาย
แต่ลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้เชื่อฟัง กลับเอาลัทธิหลอกลวงมาใช้
แล้วแอบอ้างเอาพระนามของพระองค์มารับรอง
น่าสงสารแท้ ๆ ธรรมที่ว่าสอบได้นั้น เขาบอกว่า เห็นดวง
เล็กบ้างใหญ่บ้าง เห็นพระบ้าง โธ่! น่าสงสาร ของเท่านี้
ยังไกลต่อคำว่าได้อีกหลายล้านเท่า ท่านระวังไว้นะ! ดี
ไม่ดีจะไปพบครูจระเข้แบบนี้เข้าจะลำบาก
ทิพจักขุญาณนี้ ความจริงแล้วอาจจะได้จากกรรมฐานกอง
อื่นก็ได้ ไม่เฉพาะกสิณ ๓ อย่างนี้ เมื่อทำสมาธิถึงแล้ว
และรู้จักวิธีปฏิบัติแม้กรรมฐานกองอื่นก็ทำทิพจักขุญาณ
ให้บังเกิดได้ แต่ที่แนะนำไว้ในที่นี้ว่าให้ปฏิบัติในกสิณ ๓ ก็
เพราะว่ากสิณ ๓ นี้เป็นบาทของทิพจักขุญาณโดยตรง
แนะตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านว่าไว้อย่างนี้
ก็เขียนไปตามท่าน แต่ถ้าใครตามได้คนนั้นก็
ได้ทิพจักขุญาณจริง
อาโลกกสิณ กสิณกองนี้ ตามในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า
เป็นกสิณที่เหมาะแก่ทิพจักขุญาณที่สุด มีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้
ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้ ผู้ใดที่เคยเจริญ
อาโลกกสิณ มาแต่ชาติก่อน ชาตินี้แม้เพียงแลดูแสงจันทร์
หรือแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดช่องฝามาเท่านั้น ก็สำเร็จ "
อุคคหนิมิต" ( คือรูปนั้นติดตาแม้หลับแล้วก็ยังเห็นภาพ
นั้นติดตาติดตาอยู่ เรียกว่า "อุคคหนิมิต" ) และ "
ปฏิภาคนิมิต" ( คือ เห็นแสง
นั้นสว่างไสวคล้ายแสงดาวประกายพรึก
สว่างจ้าเหมือนลืมตาเห็นดวงอาทิตย์ ) ได้ง่ายดาย
สำหรับผู้ที่ฝึกหัดใหม่นั้นท่านให้เพ่งดูแสงจันทร์
และแสงอาทิตย์ ที่ส่องลงมาตามช่องฝาเป็นแสงกลม
ลืมตามองดูแล้วตั้งใจจดจำไว้ว่า แสงที่ส่องลงานั้น
เป็นอย่างไร มีรูปคือลักษณะช่องกลมอย่างไร
แล้วบริกรรมว่า โอภาโส ๆ หรือจะภาวนาว่า อาโลโก ๆ
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จนกว่าภาพนั้นจะติดตา คือ
ภาวนาไปด้วย นึกถึงภาพนั้นไปด้วย เมื่อภาพนั้นติดตา
แล้วก็ให้กำหนดใจว่าขอภาพนั้นจงใหญ่ขึ้น เมื่อภาพนั้น
ใหญ่ขึ้น ก็นึกให้เล็กลง ภาพนั้นก็เล็กลง นึกว่าภาพนี้จงสูงขึ้น
ภาพนั้นก็สูงขึ้น นึกว่าขอภาพนี้จงต่ำลง ภาพนั้นก็ต่ำลง
อย่างนี้เรียกว่าได้ "อุคคหนิมิต" เป็นอุปจารสมาธิ
ถึงอุปจารฌาน ต้องให้ได้จริง ๆ นึกขึ้นมาเมื่อไร
ต้องเห็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น แม้ไม่มีแสงให้ดูภาพนั้นก็
ยังติดตาติดใจอยู่
และเมื่อต้องการจะเห็นภาพนั้นเมื่อไร คือ เมื่อกำลังง่วง
ต้องการเห็นต้องการบังคับ ก็เห็นได้บังคับได้
เมื่อกำลังเหนื่อย เมื่อหิว เมื่อตื่นนอนใหม่ ๆ เห็นได้บังคับ
ได้ทุกขณะทุกเวลา จึงชื่อว่า ได้อุคคหนิมิตที่แท้ ต่อไป
ให้ฝึกอย่างนั้นจนชำนาญ จนได้ "ปฏิภาคนิมิต" คือ
เห็นแสงสว่างผ่องใสเป็นแท่งหนาทึบ คล้ายแสงมากองรวม
กันอยู่ คล้ายดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ที่มองเห็น
ในขณะลืมตา อย่างนี้เรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต"
เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วก็ชื่อว่าจิตสมควรแก่การที่จะได้ "
ทิพจักขุญาณ" เมื่อประสงค์จะเห็นอะไร ให้เพ่งนิมิตนั้นก่อน
เมื่อเห็นนิมิตชัดเจนแล้ว ให้กำหนดจิตว่า
ขอภาพนิมิตจงหายไป ภาพที่ต้องการจงปรากฏขึ้น เพียง
เท่านี้ภาพที่ต้องการก็ปรากฏขึ้น จะเป็นภาพนรก สวรรค์
พรหมโลก หรือ ญาติที่ตายไป และจะเป็นอะไรก็ได้ เมื่อได้
แล้วให้ฝึกไว้เสมอ ๆ จะได้ชำนาญและคล่องแคล่วใช้งาน
ได้ทุกขณะ
สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะหัดให้คล่องทั้งลืมตา
และหลับตา เพราะจะเป็นประโยชน์มาก เพื่อว่า
ถ้าเราอยากจะรู้อะไร ในขณะที่คุยกับเพื่อนหรือไป
ในระหว่างคนมาก ถ้ามัวไปหลับตาอยู่ เขา
จะคิดว่าเรานี่ท่าทางคงจะไม่ใคร่ตรง ดีไม่ดีพวก
จะพาส่งโรงพยาบาลบ้าเสียก็ได้ เพราะฉะนั้น ควรฝึก
ให้คล่องเสียทั้งสองอย่าง ทั้งลืมตาและหลับตา
เอาละนะ! แนะนำไว้แบบเดียวก็พอจะได้ไม่ยุ่ง
ทิพจักขุญาณนี้มีประโยชน์มาก
เหมาะแก่การพิสูจน์ประวัติต่าง ๆ เช่น พระพุทธบาท
ปฐมเจดีย์ หรือเรื่องราวเก่า ๆ ที่สงสัย ถ้าปรารถนาจะรู้
แล้วจะรู้ได้เลย ภาพเก่า ๆ จะปรากฏคล้ายดูภาพยนตร์
พร้อมทั้งรู้เรื่องรู้ชื่อคน ชื่อสถานที่ไปในตัวเสร็จ แต่ระวังใช้
ให้ถูกทาง อย่านำไปใช้ในทางลามก ถ้าทำอย่างนั้น
จะเสื่อมเร็ว
ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ... สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น