ถ้าเรารู้ที่มาของกายนี้ ว่ามีเหตุปัจจัยก่อตัวมาจากทางด้านรูปธรรมอย่างไร
จึงปรากฏก้อนกายที่ไม่เที่ยงนี้
และถ้าเรารู้ละเอียดเข้าไปอีกว่า กายนี้มีเหตุปัจจัยมาจากทางด้านนามธรรมอย่างไร จึงก่อเหตุให้ก่อตัวเป็นกายแบบมนุษย์นี้ได้
เราจะไม่หลงไหลกายที่ทื้อๆนี้เลย และจะไม่หลงไหลกายของบุคคลอื่นด้วย
ที่เป็นกายแบบชายหรือกายแบบหญิงก็ตาม
และจะไม่อาจรักใคร่ใครหรืออยากมีอะไรกันกับใครเลย
อย่าว่าแต่ จะจีบทำเมียเลย แม้ให้มาบำเรอทางเพศฟรีก็ไม่อยากได้
ก็ไม่อยากเอา เพราะจิตเอื่ยมละอามาก
เพราะรู้แจ้งว่ากายนี้ก็คือ อสุจิและไข่ ที่ถูกเลี้ยงดูมาจากสารอาหาร
ที่มารดากินลงไป
แล้วอาหารมาจากไหนละ?
อาหารก็มาจากพวกสัตว์พวกพืชไง
แล้วพวกสัตว์มันได้อาหารมาจากไหน?
ก็ได้มาจากพืช
แล้วพวกพืชมันได้อาหารมาจากไหน?
ก็ได้มาจากแร่ธาตุคือดินและน้ำ
แล้วดินและน้ำ มาจากไหน ?
ก็มาจากส่วนของโลก
แล้วโลกมาจากไหน ?
ก็มาจากส่วนของจักรวาล
รวมความย่นย่อเบื้องต้นให้สุดแล้ว " กายนี้" มาจากธาตุของจักรวาล
คือธาตุของจักรวาลนั่นเอง
แล้วจะถือว่ากายนี้คือเรา คือของเราได้อย่างไร
แต่แม้จะถือว่าเรา ว่าของเรา กายนี้มันก็ไม่เทียง โชว์ความเสื่อมตลอดเวลา
จากตอนที่เป็นเด็กทั้งผอมทั้งเตี้ย เนื้อหนังก็ไม่เยอะขนาดนี้
ตอนนี้ถ้าสำรวจกายดูก็จะรู้ว่า มันไม่ผอมเหมือนตอนเด็กเลย มันไม่มีน้ำมีนวลนุ่มนิ่มเหมือนตอนเด็กเลย มันไม่สูงขนาดนี้เลย และเราก็จะพอรู้อนาคตของกายนี้ด้วย ว่ามันจะแก่ชรา ว่ามันจะเจ็บจะป่วย และมันจะตาย ความตายจะมาถึงกายนี้อย่างแน่นอนจิตมันก็รู้
แม้กายตายแล้วมันก็ไม่หยุดความไม่เที่ยง ขนาดเราไม่สามารถบังคับบัญชามันได้แล้วนะ
ทุกอย่างมันก็ยังไม่หยุดการทำงานลง
ทุกอย่างยังคง ตกอยู่ในสภาพ ไม่เที่ยง คือ ธาตุน้ำเริ่มไหลออกจากธาตุดิน ไม่สามารถคงรูปเดิมได้
ต้องเละตุ้มเป๊ะอย่างน่าสอิดสเอือน
แม้ธาตุน้ำจะคืนสู่ธรรมชาติเสร็จแล้ว
ยังเหลือส่วนที่เป็นกระดูกก็จะแปรเสื่อมลงไปเรื่อยๆ พุพังเปาะลงไปเรื่อยๆ จนสลายละเอียดลงไป จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศษดินเศษทราย
แม้กลายเป็นเศษดินเศษทรายแล้ว
ก็ยังโดนต้นไม้หรือพืชดูดซึมเอาไปเป็นส่วนของมันอีก
กลายเป็นผลไม้ ที่สามารถให้สัตว์หรือคนนำไปเป็นอาหารได้
พอผลที่สัตว์ที่คนเอาไปกินเป็นอาหารใหม่แล้ว ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกายคนกายสัตว์ ส่วนตาบ้าง ส่วนหูบ้าง ส่วนจมูกบ้าง ส่วนลิ้นบ้าง ส่วนกายทั้งตัวบ้าง เมื่อกินเข้าไปแล้ว
แล้วก็ย่อยสลายกลายเป็นขี้เป็นอุจจาระ ออกมาเป็นขดเป็นก้อนเป็นกอง
เมื่อเวลาผ่านไป อุจจาระก็แห้ง ก็สลายกลายเป็นดินอีก
ก็ถูกทับถมบีบอัดแน่นลงไปเรื่อยๆกลายเป็นหินทราย
กลายเป็นหินชนิดต่างๆ บีบอัดเป็นชั้นหินเรื่อยๆ จนกลายเป็นเพ็ชรเป็นพลอยเป็นทองเป็นเหล็กเป็นตะกั่วเป็นทองแดง ก็มีพวกมนุษย์มาพากันมาขุดเอาไปขายเอาไปห้อยเป็นเครื่องประดับเอาไปทำเป็นมงกุฏบนหัว
เอาไปทำแหวน ทำดาบ ทำขวาน ทำจอบ จนปัจจุบันนี้ก็ทำเป็นรถ
นี่ก็คือเราจะเห็นว่า กายนี้ เป็นส่วนของโลก ไม่ใช่ของเรา
เราลองรู้สึกถึงความมีอยู่ของกายลงในปัจจุบัน เราจะรู้สึกว่ากายสัมสัมผัสกับผ้าที่ใส่อยู่ นี่แหละอาการที่เรียกว่า "โผฏฐัพพะ"
ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกให้เรา กำหนดรู้โผฏฐัพพะ นี้ และ มนสิการว่า "มันไม่เที่ยง"
"
"ถ้าเรามีญาณยั่งรู้อนาคตแบบพระพุทธเจ้าได้ หรือแบบพระผู้ทรงมีญาณรู้อนาคต "เราใช้ญาณหยั่งรู้นั้น หยั่งดูอนาคตของกายนี้ ว่า กายนี้ต่อไปจะเป็นอะไรบ้างหนอ จะกลายเป็นอะไรบ้างหนอ" ธรรมชาติจะดัดแปลงเป็นอะไรบ้างหนอ สัตว์ทั้งหลายจะดัดแปลงเป็นอะไรบ้างหนอ?
เราก็จะรู้เลยว่า "สิ่งที่ตาได้เห็นนั้น ทั้งรูปต้นไม้ รูปรถ รูปคน รูปกำแพง ทุกอย่างเลยที่เห็นได้ด้วยตา ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณนี้ได้เคยไปอาศัยแล้ว"
เราก็จะรู้ว่า กายนี้ถูกสรรพสัตว์และพืชทั้งหลายใช้สรอยกันอย่างไม่มีหยุด "เพราะอะไร กายจึงถูกต้นไม้หรือพืชดูดเอาไปเป็นส่วนของลำต้นส่วนของผล เพราะอะไร(ผลต้นไม้)จึงถูกมนุษย์เอาไปกินเป็นอาหาร
ก็เพราะว่า กายนี้เป็นวัตถุของโลก และโลกก็เป็นวัตถุของจักวาล ดวงจิตทั้งหลายจึงสามารถใช้สรอยได้เป็นสากลเลย
อันนี้คือทางด้านรูปธรรม
ส่วนทางด้านนามธรรม
กายแบบมนุษย์นี้ เกิดก่อตัวขึ้นมาได้ ก็เพราะเหตุคือ
วิบากของการรักษาศีล ๕ มาก่อนแล้ว ในชาติภพที่แล้ว
กรรมแปลว่าการกระทำ
วิบากแปลว่าผล
ก็คือผลของการรักษาศีล๕นั่นเอง
เพราะว่าถึงแม้อสุจิและไข่จะผสมกันได้ แต่ว่าไม่วิบากที่จะให้ "จิตวิญญาณ"มาสิ่งอยู่ได้
ก็เป็นอันว่า ไม่ได้เกิด
แต่ว่า "มีจิตวิญญาณดวงอื่น สามารถเขาไปสิงอยู่ได้ อย่างไม่มีปัญหา" ก็เพราะจิตวิญญาณดวงนั้น ในกาลก่อนเขาเคยได้เกิดเป็นมนุษย์ เขาถือศีล๕ เขาบำเพ็ญศีล๕ มาก่อน จึงสามารถปฏิสนธิเกิดได้อย่างง่ายดาย" สิงอยู่ในอสุจิและไขที่ผสมกันนั้นได้อย่างงายดาย จนกลายเป็นก้อนเนื้อ เป็นทารก จนหลุดออกจากช่องคลอดได้ "ถึงกับถูกขนานนามว่า ผู้ประเสริฐเกิดขึ้นแล้ว"
พวกเราคือมนุษย์ ซึ่ง คำว่า( "มนุษย์" ) นี้แปลว่า "ผู้ประเสริฐ"
เราจะประเสริฐจริงดั่งคำแปลในบาลีหรือไม่?
ก็มาวัดกันว่า จะพยายามยกจิตอบรมจิตให้สูงขึ้นอยู่เหนือกิเลสหรือไม่
(ด้วยอริยะมรรคมีองค์ ๘
เราเดินตามสัมมามรรคทั้งแปด
หรือเดินตามมิจฉามรรคทั้งแปด
การเดินตามมิจฉามรรคทั้งแปด มีแต่จะยังจิตให้ตกต่ำ ทำจิตให้ตกต่ำ
เมื่อตายแล้วต่กต่ำที่สุดก็คือ ไปเกิดอยู่จนอเวจีมหานรก
ส่วนการเดินตามสัมมามรรคทั้งแปด มีแต่จะยังจิตให้สูงขึ้น ทำจิตให้สูงขึ้น
เมื่อตายแล้วสูงสุดก็คือ ไปเกิดบนพรหมโลก แต่ถ้ามรรคผลก็มีนิพพาน หรือ อมตะ เป็นวิบาก(ผล)
ประเภท
ประเภท
_
ฝ่าย
ประเภท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น