วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567


“ โอวาทธรรม”
หลวงพ่อ: มาจากวัดมาบจันทร์เหรอ บวชกันนานหรือยัง ก็นั่งกันตามสบาย ใครเป็นหัวหน้า ท่านเหรอ
พระ : แปดพรรษาครับ
หลวงพ่อ : แล้วที่เหลือมีกี่พรรษาบ้างล่ะ
พระ : สี่พรรษา สามพรรษา ที่เหลือเป็นนวก
ะครับผม
หลวงพ่อ : จะสึกกันหรือเปล่าหรือจะอยู่กันต่อ สึกเหรอ อ๋อมาชิมรสแห่งธรรมก่อน รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง ถ้าชิมแล้วถูกใจ
ก็อาจจะอยู่ต่อถ้าชิมยังไม่ถูกใจก็แสดงว่ายังไม่ได้ผล ปฏิบัติยังไม่ได้ผลถ้าปฏิบัติได้ผลถ้าจิตสงบเมื่อไหร่นี้จะติดใจทันที แล้วจะไม่อยากสึก อยากจะอยู่ต่อไป เพราะว่าออกไปแล้วมันวุ่นวาย ออกไปแล้วต้องดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำมาหากิน หาอะไรต่างๆมาให
้ความสุข แต่ถ้าอยู่ บวชแล้วนั่งสมาธิทำใจให้สงบได้ ก็ไม่ต้องไปหาความสุขอย่างอื่น ความสุขจากความสงบนี้ เป็นความสุขที่ด
ีที่สุด และง่ายที่สุด ไม่ยุ่งยากเหมือนกับความสุขทางร่างกาย ความสุขทางร่างกาย ต้องมีร่างกายต้
องมีรูปเสียงกลิ่นรสมาให้ร่างกายสัมผัสรับรู้ ต้องมีเงินมีทองเพื่อที่จะได้ไปหาสิ่งต่างๆมา ก็ต้องดิ้นรนกันก็ต้องไปหากันแทบเป็นแทบตาย หามาได้ก็เดี๋ยว
เดียวก็หมดไปแล้ว ได้ความสุขเดี๋ย
วเดียวก็หมดไป แล้วก็ต้องไปหาใหม่ แล้วต่อไปร่างกายก็หาไม่ไหว ร่างกายก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตาย ตอนนั้นก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ แต่ถ้าหาความสุขทางใจได้ ก็ไม่ต้องใช้ร่า
งกายร่างกายแก่ร่างกายเจ็บร่างก
ายตายก็ไม่เดือดร้อน ฉะนั้นพยายาม นักบวชเรานี้ต้องการมาหาความสุข
ทางใจ หาความสงบกัน เพราะสุขอื่นที่
เหนือกว่าความสงบไม่มี นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง ถ้าได้พบกับความสุขที่เกิดจากความสงบแล้ว ก็จะสละความสุขทางลาภยศสรรเสริญ ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไปได้ ก็จะอยู่ในผ้าเหลืองได้ ไม่ต้องไปเป็นฆราวาส ไปทำมาหากิน
ฉะนั้นถ้าออกไปก็อย่าทิ้งวิธีปฏิบัตินะ พยายามฝึกนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ฝึกสติบ่อยๆ แล้ววันดีคืนดีอาจจะได้ความสงบ แล้วก็อาจจะได้กลับมาบวชใหม่ มีอะไรอยากจะถาม
ไหม หรือวันนี้ได้ฟังพอแล้วพอดีมีญา
ติโยมมาเลยไม่สะดวกให้เข้ามาก่อน วันนี้เลยได้นั่งฟังเทศน์ไปก่อนนะเพราะว่าที่มั
นแคบแล้วก็คนละเรื่องกัน เรื่องพระกับเรื
่องโยมมันคนละเรื่องกัน จะมาปนกันมันก็ย
ุ่งยากเกี่ยวกับพระวินัยด้วยอะไรด้วยนะ
พระ : เรียนพยายามเนสัชชิกนะครับ พอในช่วงเดือนแรกๆก็จะเหมือนกับ
มีกำลังพอเริ่มนานๆมันเริ่มลามันก็จะ
หลวงพ่อ : เรียนอุบายใหม่ๆก็ได้สลับกัน มันอาจจะชินแล้วมันเบื่อก็ได้ ลองไปเปลี่ยนเป็
นอดอาหารดูบ้างก็ได้ หรือพักเสียบ้าง เนสัชชิกสักพักแล้วก็หยุด แล้วก็กลับมาอยู
่ปฏิบัติตามปกติดู เขาไม่ได้ให้ปฏิบัติไปตลอด เขาให้จัดเป็นช่วงๆ ทีละสามวันห้าวัน เจ็ดวันอย่างนี้ สลับกันไปสลับกันมา แล้วก็ดูว่ามันได้ผลดีไหม ถ้าไม่ได้ผลดีก็
อาจจะไม่ถูกกับเรา เคยอาจจะลองมาเป
ลี่ยนเรื่องการอดอาหารดูหรือถ้า
มีโอกาสไปอยู่คนเดียว ไปอยู่ที่เปลี่ย
วๆที่น่ากลัวดู นี่มันมีอุบายหลายอย่างด้วยกัน ที่เราอาจจะต้องสลับผลัดเปลี่ยนดู
เพราะว่ากิเลสพอมันชินแล้วมันก็ด้านแล้ว เราก็เลยต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ มันรู้ทันแล้วมั
นไม่กลัวแล้ว เราก็ต้องเปลี่ยนอุบายใหม่หาวิธีใหม่นะ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเจริญสติ ต้องสติดีตลอดเวลา พยายามฝึกสติตลอ
ดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมานี้เรามีพุทโธหรือมีสติดูอาการเคลื่อนไห
วของร่างกายทันทีเลย ว่าร่างกายกำลัง
ทำอะไรอยู่ ต้องอยู่กับมัน อย่าปล่อยให้มัน
ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้าเรามีสติเวลา
นั่งสมาธิมันจะสงบได้ง่าย และพอมันสงบแล้ว มันจะมีพลัง มันจะมีกำลังสู้กับกิเลส สู้กับความอยากต่างๆได้ ถ้าไม่มีแล้ว กิเลสมันรุมเร้าหมด เดี๋ยวใจก็รุ่มร้อนขึ้นมา ฟุ้งซ่านขึ้นมา ดิ้นรนอยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากไปโน่นอยากมานี่ อยากมากๆเดี๋ยวก็ลาสิกขา ฉะนั้นสตินี้สำคัญที่สุด เป็นธรรมที่ยิ่ง
ใหญ่ที่สุดพระพุทธเจ้าทรงตรัส ยิ่งใหญ่เหมือนกับรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้างนี่เ
ป็นรอยเท้าที่ใหญ่กว่ารอยเท้าของสัตว์ทั้งหมดในป่า ไม่ว่าสัตว์ชนิด
ไหนนนี้รอยเท้าช้างครอบได้หมดเลย ธรรมทั้งหลายก็เหมือนกัน ธรรมทั้งหลายจะม
ีความสำคัญขนาดไหน ก็สู้ความสำคัญข
องสติไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีสติ ธรรมอย่างอื่นก็เกิดไม่ได้ สมาธิก็เกิดไม่ได้ ปัญญาก็เกิดไม่ได้วิมุตติหลุดพ้นก็เกิดไม่ได้ ฉะนั้นพยายามฝึกสติให้มากๆ เจริญสติให้มากๆก่อนแล้ว ก็นั่งสมาธิให้จิตรวมเป็นหนึ่ง เป็นอัปนาสมาธิให้ได้ พอได้รวมแล้วทีนี้ก็ ออกจากสมาธิมาก็
ให้มาพิจารณาทางปัญญา พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาร่างกายก่อน ร่างกายไม่เที่ย
งเกิดแก่เจ็บตาย ร่างกายไม่สวยไม่งามเป็นอสุภะ มีอาการ 32 ตายไปก็กลายเป็น
ซากศพ ดูทุกสัดทุกส่วน ทุกรูปแบบของร่า
งกาย เราจะได้ไม่หลง ไปหลงใหลคลั่งไคล้ เรากำลังบ้ากับศพกัน นี่เห็นไหมร่างก
ายทุกร่างกายต่อไปมันก็กลายเป็นศพกันทั้งนั้น ผัวเมียจะรักกันขนาดไหน พอตายไปนี้ก็ไม่เก็บเอาไว้ในบ้านแล้ว ใช่ไหม ยกให้สัปเหร่อแล้ว ส่งไปวัดแล้ว ฉะนั้นถ้าอยากจะกำจัดความกำหนัดยินดีในร่างกาย ก็ต้องหมั่นคิดถึงว่ามันเป็นซาก
ศพ สมมติซิว่ามันเป็นศพเมื่อไหร่นี้ เรายังอยากจะอยู่กับมันหรือเปล่
าพิจารณาว่าไม่มีตัวตน ดินน้ำลมไฟ ทำมาจากดินน้ำลมไฟร่างกายตายไปม
ันก็กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟ ปล่อยวาง และก็เวทนาก็พิจารณาว่า มันไม่เที่ยง เราควบคุมบังคับมันไม่ได้ เป็นอนัตตา มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีสุขมีทุกข์ มีไม่สุขมีไม่ทุกข์ ถ้าเราไปอยากให้มันสุขเราก็จะเด
ือดร้อนเวลามันไม่สุข ถ้าเราอยากให้ทุ
กข์หายไป เวลามันไม่หายไปเราก็จะเดือดร้อน ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเราไปควบคุม
บังคับมันไม่ได้ เราต้องหัดอยู่กับมัน มันสุขก็ปล่อยให้มันสุขไป มันทุกข์ก็ปล่อย
มันทุกข์ ไปอย่าไปเปลี่ยนมัน ปล่อยมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แล้วใจเราจะไม่ทุกข์ ถ้าใจเราไปเปลี่ยนมันแล้วเปลี่ยนไม่ได้มันจะทำให้เราทุกข์
นี่คือธรรมะ ปัญญาที่เราจะต้
องมาสอนใจหลังจากที่เราได้สมาธิแล้ว แล้วต่อไปเราก็จะปล่อยวางร่างกายได้ ปล่อยวางความเจ็บได้ ปล่อยวางความแก่
ได้ ไม่เดือดร้อนกับความแก่เจ็บตายข
องร่างกาย เอ้าวันนี้ก็เย็นแล้ว เอาแค่นี้ก่อนดีไหม ถ้าเปลี่ยนใจได้
ก็เปลี่ยนใจนะพวกที่จะสึก ลองต่อสักพรรษาห
นึ่งซิ (ยิ้ม)
สนทนาอบรมพระ ธรรมะบนเขา
วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
แม้อาหารนั้น จะเป็นยา จะถะเล๋ถไหลไปกับอาหารอันเป็นยาก็ไม่ได้
เพราะยาเป็นรูปขันธ์

#8/9/17
การกำหนดรู้ ธรรมารมณ์ หรือสังขาร  เป็นกิจเบื้องต้น
การพิจารณาหาอุบายวิธีเปลี่ยนกระแส เป็นกิจต่อมา
การที่ทำการเปลี่ยนกระแส เป็นกิจสุดท้าย

ถ้าทำเฉพาะกิจเบื้องต้น จะเป็นการย้ำอยู่กับที่
ไม่ก้าวหน้าไปไหน เหมือนบุรุษไม่ยอมทำอะไร

ถ้้าอ่านพระสูตรแล้ว เกิดความเข้าใจ เห็นนัยยะมรรคมากมาย ที่พระพุทธองค์ประทาน ให้ตามจริตนิสัยวาสนาบารมี โยงใส่ขันธ์๕
กับทั้งอีกอย่างหนึ่ง ปูหนูอภิญญา ก็แนะให้ไปอ่านตำรา

วันนี้เอง หลวงพ่อก็เทศเปรยๆว่า ศึกษาตำราไปด้วย ควบคู่กับการปฏิบัติ  และการรู้ธรรมารณ์เฉยๆ ไม่ปรับปรุงแก้ไขมันเลย ไม่ถูก
""""พระพุทธเจ้าเองก็ ตรัสให้แก้ธรรมารมณ์ ที่ว่า เจริญธรรมารมณ์อสุภะ เพื่อละธรรมารมณ์ราคะ
เจริญธรรมมารมณ์เมตตา เพื่อให้เปลี่ยนกระแสธรรมมารมณ์พยาบาท เป็นกระแสธรรมมารมณ์เมตตา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น