วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ประวัติพระพุทธชินราช พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล จึงมีตำนาน พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2409 โดยอาศัยหลักฐานจากพงศาวดารเหนือ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดียุติได้ ดังนี้ คือพระพุทธชินราช สร้างโดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) กษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งในตำนานพระพุทธชินราชฯ เรียกพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก โดยสร้างพระพุทธรูปพร้อมกัน 3 องค์ เพื่อประดิษฐานในพระวิหารทิศ ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเมื่อพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 1900 ในตำนานพระพุทธชินราชฯ มีชื่อช่างหล่อพระพุทธชินราชเป็นช่างพราหมณ์ฝีมือดี 5 นาย คือ บาอินท์ 1 บาพรหม 1 บาพิษณุ 1 บาราชสังข์ 1 บาราชกุศล 1ตำนานกล่าวไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกหรือพระมหาธรรมราชา (พญาลิไท) กษัตริย์องค์ที่ 4 ในพระราชวงศ์พระร่วง สมัยกรุงสุโขทัย เป็นผู้สร้างพระพุทธชินราช เมื่อราว พ.ศ. 1900 ทรงโปรดให้ช่างสวรรคโลก ช่างเชียงแสน และช่างหริภุญไชย สมทบกับช่างกรุงศรีสัชนาลัย ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 3 องค์ ได้แก่ พระศรีศาสดา พระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ จวบจนถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะจุลศักราช 717 ราว พ.ศ. 1898 ได้มงคลฤกษ์ กระทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ เมื่อเททองหล่อเสร็จแล้ว และทำการแกะพิมพ์ออกปรากฏว่า พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา องค์พระสมบูรณ์สวยงามดี ส่วนพระพุทธชินราชนั้นได้หล่อถึง 3 ครั้งก็ไม่เสร็จเป็นองค์พระได้ กล่าวคือทองแล่นไม่ติดเต็มองค์ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้ง ครั้งนั้นจึงร้อนถึงอาสน์พระอินทร์เจ้าจึงนฤมิตเป็นตาปะขาวลงมาช่วยทำรูปพระ คุมพิมพ์ปั้นเบ้า ด้วยอานุภาพพระอินทราธิราชเจ้าทองก็แล่นรอบคอบบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกทรงปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสให้หา "ตาปะขาว" ผู้นั้น แต่ตาปะขาวได้หายตัวไปแล้ว หมู่บ้านและวัดที่ตาปะขาวหายไปนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาปะขาวหายและวัดตาปะขาวหายต่อมาจนถึงทุกวันนี้ และจากวัดตาปะขาวหายขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 800 เมตร ได้ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการหายตัวไปของตาปะขาว เล่ากันว่ามีผู้พบเห็นว่าท้องฟ้าเปิดเป็นช่องขึ้นไป ชาวบ้านเห็นเป็นที่อัศจรรย์จึงได้สร้างศาลาขึ้นไว้ ณ พื้นดินเบื่องล่างไว้เป็นที่ระลึก เรียกว่า "ศาลาช่อฟ้า" ตราบจนทุกวันนี้ คาถา บทสวด บูชาพระพุทธชินราช อิเมหิ นานา สักกาเรหิ อภิปูชิเตหิ ทีฆายุโก โหมิฯ อะโรโค สุขิโต สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง ปิยัง มะมะ ปะสิทธิลาโภ ชะโย โหตุ สัพพะทา พุทธะชินะราชา อภิปาเลตุ มังฯ นะโม พุทธายะฯ


ประวัติพระพุทธชินราช
          พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล จึงมีตำนาน พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2409 โดยอาศัยหลักฐานจากพงศาวดารเหนือ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดียุติได้ ดังนี้ คือ
พระพุทธชินราช สร้างโดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) กษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งในตำนานพระพุทธชินราชฯ เรียกพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก โดยสร้างพระพุทธรูปพร้อมกัน 3 องค์ เพื่อประดิษฐานในพระวิหารทิศ ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเมื่อพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 1900 ในตำนานพระพุทธชินราชฯ มีชื่อช่างหล่อพระพุทธชินราชเป็นช่างพราหมณ์ฝีมือดี 5 นาย คือ บาอินท์ 1 บาพรหม 1 บาพิษณุ 1 บาราชสังข์ 1 บาราชกุศล 1

ตำนานกล่าวไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกหรือพระมหาธรรมราชา (พญาลิไท) กษัตริย์องค์ที่ 4 ในพระราชวงศ์พระร่วง สมัยกรุงสุโขทัย เป็นผู้สร้างพระพุทธชินราช เมื่อราว พ.ศ. 1900 ทรงโปรดให้ช่างสวรรคโลก ช่างเชียงแสน และช่างหริภุญไชย สมทบกับช่างกรุงศรีสัชนาลัย ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 3 องค์ ได้แก่ พระศรีศาสดา พระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ จวบจนถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะจุลศักราช 717 ราว พ.ศ. 1898 ได้มงคลฤกษ์ กระทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ เมื่อเททองหล่อเสร็จแล้ว และทำการแกะพิมพ์ออกปรากฏว่า พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา องค์พระสมบูรณ์สวยงามดี ส่วนพระพุทธชินราชนั้นได้หล่อถึง 3 ครั้งก็ไม่เสร็จเป็นองค์พระได้ กล่าวคือทองแล่นไม่ติดเต็มองค์ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้ง ครั้งนั้นจึงร้อนถึงอาสน์พระอินทร์เจ้าจึงนฤมิตเป็นตาปะขาวลงมาช่วยทำรูปพระ คุมพิมพ์ปั้นเบ้า ด้วยอานุภาพพระอินทราธิราชเจ้าทองก็แล่นรอบคอบบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกทรงปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสให้หา "ตาปะขาว" ผู้นั้น แต่ตาปะขาวได้หายตัวไปแล้ว หมู่บ้านและวัดที่ตาปะขาวหายไปนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาปะขาวหายและวัดตาปะขาวหายต่อมาจนถึงทุกวันนี้ และจากวัดตาปะขาวหายขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 800 เมตร ได้ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการหายตัวไปของตาปะขาว เล่ากันว่ามีผู้พบเห็นว่าท้องฟ้าเปิดเป็นช่องขึ้นไป ชาวบ้านเห็นเป็นที่อัศจรรย์จึงได้สร้างศาลาขึ้นไว้ ณ พื้นดินเบื่องล่างไว้เป็นที่ระลึก เรียกว่า "ศาลาช่อฟ้า" ตราบจนทุกวันนี้
 
คาถา บทสวด บูชาพระพุทธชินราช
 
อิเมหิ นานา สักกาเรหิ อภิปูชิเตหิ ทีฆายุโก โหมิฯ อะโรโค สุขิโต สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง ปิยัง มะมะ ปะสิทธิลาโภ ชะโย โหตุ สัพพะทา พุทธะชินะราชา อภิปาเลตุ มังฯ นะโม พุทธายะฯ

_________________________
1)
ลำโพงธรรมะจากสุณี ค่ามัดจำจ่ายแล้ว 1250 บาท เหลือต้องจ่ายอีก 1250 บาท

ลำโพงธรรมะจากKVB ค่ามัดจำจ่ายแล้ว 500 บาท เหงืออีก 2000 บาท 
รวมยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มเมื่อของมาถึงทั้งสองร้าน ทั้งหมด
ต้องจ่ายเพิ่มอีก 3250 บาท ลำโพงทั้งหมด


2)
หนังสือ วิธีสร้างบุญบารมี ชีวิตนี้น้อยนัก ทั้งหมด1000บาท 21เล่ม
จ่ายค่ามัดจำไปแล้ว 500บาท
เหลือที่ต้องจ่ายอีก 500บาท


รวมค่าทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งลำโพงทั้งหมด หนังหนือทั้งหมด ต้องจ่าย 3750 บาท


#####################

ลำโพง2ร้าน มารวมกันเป็น 20 ลำโพง

การด์Memory ต้องมีอีก 18 การด์จึงจะครบคู่ ทั้งหมดทั้งมวลกับลำโพง

ตอนนี้มี 8 Card  ถ้าจะไม่ซื้อให้ครบ 19 ก็ได้ ถ้ามีงบที่ขาด จำเป็นต้องทำอย่างอื่นอีก

และตอนนี้การด์ติดอยู่กับเครื่องแม่ออกที่ให้ไปแล้ว 9เครื่อง (ลูกๆแม่ออกอาจลบ เอาไปไรท์เพลงใส่แทน)

ถ้าจะซื้ออย่างน้อย 7 การด



์หัวชาต์ถ้าอยากให้ครบ เอามาอีก 16 หัว



สรุปคือถ้าอยากให้ครบ ต้องซื้อ 19 การด์
หัวชาต 16 หัว
(ไม่รวมค่าลำโพง ค่าหนังสือ 3,750 บาท)


ถ้าค่า การด์ 95บาท x 19 การด์ 1,800 บาท)
ถ้าค่า หัวชาต์ หัวละ30บาท x 16    480 บาท)

ถ้ารวมก็คือ 2,280 บาท


ถ้ารวมกับข้างบน ค่าลำโพงหนังสือด้วย
6,030บาท  
 เงินรวม 9000 บาท ถูกดึงไป 2280 

ตอนนี้สมบูณดั่งเดิมแล้วในกุฏี 11ตัว



%%%%%%%%%#%%%%%%#########
///////////


งั้นสรุปขั้นสูง เอามาอีก 9 การด  ราคา = 900บาท กว่าบาท
หัวชาต์ 6 หัว ราคา 180 บาท    รวม 1080 บาท

เพื่อไม่ให้เงินที่โยมแม่ต้องการขอช่วยเหลือลงเกินระดับ
ก็จะเหลือ 8 พันกว่าบาท เกือบ 9 พัน


จ่าย 3750 + 1180 บาท = 4930บาท

เงินที่เหลือให้มารดาเพื่อช่วยเหลือตอบแทน 
คือ 8 เกือบ 9 พัน

หักค่ากฏออกมา เหลือ 8 พันต้นๆ


ค่ากรอบรูปธรรมะคำคม ครูบาอาจารย์
_________________
มีจิตเลื่อมใส่ ในพระพุท พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสระณะ

มีศีล๕ มีผลมากกวา เข้าถึงสรณะ

เจริญเมตตาจิต ชั่วเวลาดูดดมของหอม
_______________
ผู้ไม่ประมาท ถึงจะอายุน้อย ก็มองว่าตนเองอายุนี้สั้นนักเหลือเวลาไม่มากเลย

ผู้ประมาท ถึงจะอายุมาก ก็มองว่าตนเองจะอยู่ได้อีกนานเหลือเวลาเยอะ




ธรรม(ความรู้) ไม่ได้ติดตัวมีมาพร้อมตั้งแต่เกิด

ธรรมะไม่ได้อยู่กับพระ
ธรรรมะไม่ได้อยู่กับโยม
แต่ธรรมะอยู่กับผู้ที่ศึกษา

"บวชเป็นพระแต่ไม่ศึกษาธรรมะ ก็ไม่มีธรรมะไม่รู้ธรรมะ"

เพราะโดนโลกลากเอาไปกิน


เป็นนักเรียนนักศึกษาในโรงเรียน แต่ไม่ศึกษาให้รู้ ก็ไม่มีความรู้"


เพราะโดนเกมส์ โดนสิ่งล่อให้มัวเมาลากเอาไปกิน
_____________
มองแบบสวย จะยึดติด
มองแบบเห็นโทษ จะคลายความยึดติดในสิ่งนั้น
___________
องค์ของศีลขาด
องค์ของศีล ๘ และเกณฑ์วินิจฉัย ว่าขาดหรือไม่ในแต่ละข้อ

         ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี
         (เว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๕
         ๑.๑ ปาโณ สัตว์มีชีวิต
         ๑.๒ ปาณสญญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
         ๑.๓ วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
         ๑.๔ อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะฆ่า
         ๑.๕ เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น

          ๒. อทินฺนาทานา เวรมณี
         (เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๕
         ๒.๑ ปรปริคฺคหิตํ ของมีเจ้าของหวง
         ๒.๒ ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา รู้ว่ามีเจ้าของหวง
         ๒.๓ เถยฺยจิตฺตํ จิตคิดจะลัก
         ๒.๔ อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะลัก
         ๒.๕ เตน หรณํ นำของมาด้วยความเพียรนั้น

         ๓. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี
         (เว้นจากกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์, เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์คือร่วมประเวณี)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๒ หรือ ๔
         ๓.๑ เสวนจิตฺตํ จิตคิดจะเสพ
         ๓.๒ มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปาทนํ อวัยวะเพศถึงกัน
         (ตามนัยแห่งฎีกาพรหมชาลสูตรและกังขาวิตรณี)
         ๓.๑ อชฺฌจรณียวตฺถุ เสพทางทวาร ๓ (คือ ปาก ทวารเบา และทวารหนัก)
         ๓.๒ ตตฺถ เสวนจิตฺตํ จิตคิดจะเสพ
         ๓.๓ เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ
         ๓.๔ สาทิยนํ มีความยินดี
         (ตามนัยแห่งอรรถกถาขุททกปาฐะ)

         ๔. มุสาวาทา เวรมณี
         (เว้นจากการพูดเท็จ)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๔
         ๔.๑ อตฺถํ วตฺถุ เรื่องไม่จริง
         ๔.๒ วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพูดให้ผิด
         ๔.๓ ตชฺโช วายาโม พยายามพูดออกไป
         ๔.๔ ปรสฺส ตทตฺถวิชานนนํ คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น

         ๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี
         (เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นทางแห่งความประมาท)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๔ 
         ๕.๑ มทนียํ ของทำให้เมา มีสุรา เป็นต้น
         ๕.๒ ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ จิตใคร่จะดื่ม
         ๕.๓ ตชฺโช วายาโม ทำความพยายามดื่ม
         ๕.๔ ปีตปฺปเวสนํ ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไป

         ๖. วิกาลโภชนา เวรมณี
         (เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือ ตั้งแต่เที่ยงแล้วไป จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๔
         ๖.๑ วิกาโล เวลาตั้งแต่เที่ยงแล้วไปถึงก่อนอรุณขึ้น
         ๖.๒ ยาวกาลิกํ ของเคี้ยวของกินสงเคราะห์เข้าในอาหาร
         ๖.๓ อชฺโฌหรณปฺปโยโค พยายามกลืนกิน
         ๖.๔ เตน อชฺโฌหรณํ กลืนให้ล่วงลำคอเข้าไปด้วยความเพียรนั้น

         ๗. นจฺจคีตวาทิตวิสุกาทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี
         (เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้องบรรเลงดนตรี ดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การทัดทรงดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๓ สองตอน
         ตอนที่ ๑ การบันเทิง ๓
         ๗.๑ นจฺจาทีนิ การเล่นมีฟ้อนรำขับร้อง เป็นต้น
         ๗.๒ ทสฺสนตฺถาย คมนํ ไปเพื่อจะดูหรือฟัง
         ๗.๓ ทสฺสนํ ดูหรือฟัง

         ตอนที่ ๒ การตกแต่ง ๓
         ๗.๑ มาลาทีนํ อญฺญตรตา เครื่องประดับตกแต่ง มีดอกไม้และของหอม เป็นต้น
         ๗.๒ อนุญฺญาตการณาภาโว ไม่มีเหตุเจ็บไข้ เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต
         ๗.๓ อลงฺกตภาโว ทัดทรง ตกแต่ง เป็นต้น ด้วยจิตคิดจะประดับให้สวยงาม

         ๘. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี
         (เว้นจากการนอนที่นอนอันสูงใหญ่ หรูหรา ฟุ่มเฟือย)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๓
         ๘.๑ อุจฺจาสยนมหาสยนฺ ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
         ๘.๒ อุจฺจาสยนมหาสยนสญฺญิตา รู้ว่าที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
         ๘.๓ อภินิสีทนํ วาอภินิปชฺชนํ วา นั่งหรือนอนลงไป

         หมายเหตุ ศีล ๕ ข้อ ๓ ได้แก่

         ๓. กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี
         (เว้นจากการประพฤตผิดในกาม, เว้นจากการล่วงละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่หรือหวงแหน)

         ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๔
         ๓.๑ อคมนียวตฺถุ หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด (หญิง 20 จำพวก)
         ๓.๒ ตสฺมึ เสวนจิตฺตํ จิตคิดจะเสพ
         ๓.๓ เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ
         ๓.๔ มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺติอธิวาสนํ ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน

         (หญิง ๒๐ จำพวก คือ ๑. หญิงมีมารดารักษา ๒. หญิงมีบิดารักษา ๓. หญิงมีมารดาและบิดารักษา ๔. หญิงมีพี่ชายหรือน้องชายรักษา ๕. หญิงมีพี่สาวหรือน้องสาวรักษา ๖. หญิงมีญาติรักษา ๗. หญิงมีตระกูลเดียวกันรักษา ๘.หญิงประพฤติธรรมร่วมอาจารย์เดียวกันรักษา ๙. หญิงมีสามีรักษา ๑๐. หญิงที่ถูกสินไหมบังคับ ๑๑. ภรรยาสินไถ่ ๑๒. หญิงสมัครอยู่กับชาย ๑๓. หญิงเป็นภรรยาเพราะทรัพย์ ๑๔. หญิงเป็นภรรยาเพราะได้ผ้านุ่งห่ม ๑๕. หญิงที่ชายสู่ขอ ๑๖. หญิงที่ชายช่วยปลงภาระ ๑๗. หญิงเป็นทาสีชายได้เป็นภรรยา ๑๘. หญิงรับจ้างชายได้เป็นภรรยา ๑๙. หญิงเชลยได้มาเป็นภรรยา ๒๐. หญิงอยู่กับชายขณะหนึ่งคิดว่าชายนั้นเป็นสามีตน
(สำหรับชายต้องห้ามสำหรับหญิง พึงเทียบกลับเอาตามนี้)

         เงื่อนไขในการขาดจากศีล

         ศีลแต่ละข้อหรือแต่ละประเภท ที่เรามีเจตนารักษาแล้วจะขาดได้ก็ต่อเมื่อเราละเมิดครบองค์ของศีลข้อนั้นๆ เช่น ระบุไว้ว่าศีลข้อที่ ๑ (ปาณาฯ) จะขาดก็ต้องละเมิดให้ครบทั้ง ๕ องค์ ถ้าละเมิดไม่ครบองค์ ๕ ศีลก็ไม่ขาด เป็นแต่ศีลทะลุด่างพร้อย หรือเศร้าหมองเท่านั้น ศีลแต่ละข้อจะขาดได้ ก็อยู่ที่เรา “จงใจ” หรือ “เจตนา” ล่วง ถ้าล่วงเพราะไม่เจตนาก็ไม่ขาดและไม่ด่างพร้อยด้วย
_______"________
รักษาศีลบางข้อ
บทความนี้จะขอแนะเคล็ดลับในการรักษาศีล สำหรับผู้ที่เห็นว่าจะรักษาศีลยากหรือรักษาไม่ได้สำหรับตน แต่ผู้ที่รักษาศีลได้เป็นปกติอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องอ่านอยู่แล้ว

          ก่อนที่จะเข้าสู่เคล็ดลับในการรักษาศีล ก็ใคร่จะขอเขียนถึงปัญหาที่ว่า มีความจำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องสมาทานศีล หรือตั้งใจรับศีลไว้ล่วงหน้าก่อน ? จะรอเอาไว้งดเว้นเมื่อมีเหตุการณ์ที่จะต้องให้ละเมิดศีล หรือล่วงศีลในขณะนั้นๆ เลยดีไหม ? ก็ขอบอกก่อนว่า ไม่ดี และไม่ดีแน่ๆ ด้วยเหตุผลดังนี้

          ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า การรักษาศีลนั้น ทำได้ ๓ วิธี คือ

          ๑. ตั้งใจรักษาไว้ก่อน ที่เรียกว่า สมาทานวิรัติ
          ๒. ตั้งใจงดเว้นเฉพาะหน้า ที่เรียกว่า สัมปัตตวิรัติ
          ๓. มีศีลอยู่เป็นปกติ ที่เรียกว่า สมุทเฉทวิรัติ

          วิธีที่ ๑. การงดเว้นหรือรักษาศีลไว้ก่อนนั้น เหมือนกับการที่เรามีเกราะป้องกันตัวไว้แล้วอย่างดี เป็นที่สบายใจทั้งตนเองและผู้อื่น

          วิธีที่ ๒. การตั้งใจงดเว้นเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ข้อนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงเอามากๆ เพราะธรรมชาติจิตของคนเรานั้นมักเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมาก ยกตัวอย่าง เช่น

          ตามปกติบางคนอาจคิดว่า ถ้าเราพบเห็นคนที่เป็นศัตรูกัน เราจะไม่ทำร้ายหรือฆ่าเขา แต่เมื่อพบกันเข้าจริงๆ เขายั่วหรือด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง เราอาจจะเผลอใจทำร้ายหรือฆ่าเขาก็ได้

          เห็นของใครทำลืมไว้ ถ้าเป็นของเล็กน้อยเราอาจไม่เอา แต่ถ้าเป็นของที่เราชอบหรือมีราคา ชนิดที่ลักทีเดียวก็รวยไปตลอดชาติ เราอาจจะเปลี่ยนใจเป็นลักก็ได้

          โดยปกติเรามีเมียแล้ว ไม่เคยคิดนอกใจ แต่ถ้าเกิดไปพบอีหนูเอ๊าะๆ และอวบๆ แถมเด็กมันก็ยั่วยวนกวนตัณหาเสียด้วย และอยู่ในสถานที่อำนวยให้ประกอบกามกิจได้ มันก็บ่แน่เหมือนกันนานาย !

          โดยปกติเราไม่กินเหล้า แต่เมื่อพบเพื่อนกำลังกินอยู่และเชื้อเชิญแกมบังคับ เราก็อาจจะกินได้โดยง่าย

          แต่ถ้าเราสมาทานศีลไว้ก่อน เราก็จะเตือนสติตนเองอยู่เสมอๆ ว่า อย่าดีกว่าเดี๋ยวศีลขาดๆ แต่ถ้าเราไม่มีเจตนางดเว้นไว้ก่อน กิเลสตัณหามันก็อาจจะเข้าข้างเราว่า ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็เราไม่ได้รักษาศีลนี่นา จะเอาศีลที่ไหนมาขาดกันเล่า ?

          วิธีที่ ๓. ท่านว่าเป็นการรักษาศีลของพระอรหันต์ คือ พระอรหันต์ท่านหมดกิเลส ท่านจึงมีศีลโดยไม่ต้องรักษาอยู่แล้ว

          เอ้า ! มาว่าถึงคนที่เห็นว่าศีลรักษายากกันต่อไป

          สำหรับผู้ที่เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นในการรักษาศีล ก็แล้วกันไปไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก แต่ที่เขียนนี้ก็เห็นว่า ยังมีคนอีกเป็นอันมากที่อยากจะรักษาศีล แต่เห็นว่ามันรักษายาก ก็เลยไม่สนใจที่จะรักษา คนที่ว่านี้เป็นคนจิตใจอ่อนแอและอ่อนปัญญาด้วยน่าสงสารมาก อยากได้ดีแต่ไม่อยากทำดี ก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อุบายหรือปัญญามาช่วย ให้มันง่ายหรือสะดวกขึ้นโดยมีขั้นตอน ดังนี้

          ๑. รักษาศีลเป็นคราวๆ คือ โดยปกติเราคิดว่ารักษาไม่ได้หรือไม่อยากจะรักษาก็ตามที แต่ในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น ในวันเกิดครบรอบปี หรือรอบสัปดาห์ เราก็หัดรักษามันเสียสัก ๑ วัน หรือไปในงานพิธีต่างๆ ที่เขามีการให้ศีลกัน (ศีล ๕) เราก็รับเอามาเฉพาะวันนั้นเสียสักวัน หรือครึ่งค่อนวันก็ยังดีเพื่อสร้างความเคยชิน ทำบ่อยๆ เข้า มันก็จะเกิดความเคยชินไปเอง หรือในคราววันสำคัญทางศาสนา เช่น มาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา เป็นต้น ก็เอากะเขาเสีย ๑ วัน มันก็จะทำได้ไม่ยาก เพราะงานประจำวัน (ราชการ) ก็หยุดให้ด้วย

          ๒. รักษาศีลเป็นข้อๆ คือ ถ้าเห็นว่าจะรักษากันทีเดียวหมดทั้ง ๕ ข้อ มันเกินสติปัญญานัก ก็หัดมารักษาศีลเป็นข้อๆ ข้อไหนที่เราเห็นว่ามันรักษาได้ง่าย และสะดวกที่สุดก็ให้สมาทานเป็น “นิจศีล” คือ เป็นศีลปกติไปเสียเลยก่อน ส่วนข้อที่เราเห็นว่ามันทำค่อนข้างยาก ก็ยกยอดเอาไปเผด็จศึกหรือเผด็จการกันเป็นคราวๆ ไปเหมือนข้อ ๑ ถ้าเราหัดเผด็จการกับมันบ่อยๆ มันก็จะคุ้นเคยและง่ายไปในที่สุด

          ขอให้มั่นใจเถิดว่า ศีล ๕ นี้ รักษาได้ไม่ยากเลย มันไปยากเอาที่เราไม่อยากจะรักษา ปัญหามันอยู่ที่ความขี้เกียจและคิดเข้าข้างตนเอง (เพราะอ่อนปัญญา) ว่า เราก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเขาเดือดร้อนอยู่แล้ว จะต้องไปรักษาศีลมันให้ลำบากไปทำไมอีก ? อยู่มันไปวันๆ ก็สบายดีอยู่แล้วนี่นา ! ถ้าใครขืนคิดอย่างนี้ ชาตินี้ทั้งชาติ ก็คงจะไม่ได้พัฒนาชีวิตให้ก้าวขึ้นไปสู่ความดีงามที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้อีกแล้ว เคยมีอยู่แค่ไหน ก็แค่นั้น พอมารู้สึกตัวก็แก่หงำเหงอะ เสียแล้ว สังขารก็เสื่อมหมดแล้ว จะอยู่ก็ไม่สบาย จะไปก็ไม่รอด !

          ฉะนั้น การรักษาศีลจึงควรจะต้องมีปัญญาเข้ามาร่วมด้วย เพราะนอกจากจะทำให้ชีวิตมีการพัฒนาไปตามขั้นตอนแล้ว วิถีชีวิตประจำวันก็ยังจะเป็นโดยด้วยความราบรื่นชื่นใจทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นอีกด้วย
ขอให้ท่านมั่นใจตนเองเถิดว่า ท่านเป็นคนพัฒนาขึ้น (ถ้ามี “ทมะ”) หรือไขลานเดิน ไม่มีอะไรยากหรือลำบากเลย ถ้าเรามีความตั้งใจจริงและทำจริง พร้อมทั้งมีอุบายหรือเคล็ดลับพอสมควร ที่เหมาะสมกับสภาพชีวิตของเราแต่
ละคน
________________
เริ่มที่พูดให้รู้จักทานกับสัตว์
_______________
นักธรรมตรี สัมมะโนครัว
___________
[๑๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 


ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ฯ





ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาก็คดอุบัติของเขาก็คด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งคือ นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือกำเนิดดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสนของบุคคลผู้มีคติคด ผู้มีอุบัติอันคด ฯ


(น่ากลัวมากจริง ๆ นะครับ)


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดดิรัจฉานมีปรกติกระเสือกระสนนั้นเป็นไฉนคือ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้าแมว หรือสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้อื่นๆ ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล คือ เขาย่อมอุปบัติด้วยกรรมที่เขาทำ ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ



อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ลักทรัพย์ ... 


เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม ... 


เป็นผู้พูดเท็จ ... 


เป็นผู้พูดส่อเสียด(นินทาว่าร้ายให้เกิดความบาดหมางกัน)


เป็นผู้พูดคำหยาบคาย  (คำไม่ไพเราะ  ทำให้เจ็บใจ  ร้อนใจแก่ผู้อื่น)


เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ (พูดในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์) ...



เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น ... (คิดในใจขอให้ของของคนอื่นมาเป็นของเรา   แม้ว่าไม่ได้ขอเพียงแค่คิด)


เป็นผู้คิดปองร้าย ... (ขอให้สัตว์  หรือคนเหล่านี้พินาศ  ไม่ชอบใจ  คิดร้ายต่อเขา  ขอให้เขาวิบัติ,แค้นเคือง)


เป็นผู้มีความเห็นผิด คือมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดังนี้ 



บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คดมโนกรรมของเขาก็คด คติของเขาก็คด การอุบัติของเขาก็คด ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียวหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสน ของบุคคลผู้มีคติอันคดผู้มีการอุบัติอันคด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสนนั้นเป็นไฉน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้าแมวหรือสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้อื่นๆ ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล คือ เขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่เขาทำผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ"



ในส่วนแรกนี้  พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงการเกิดเป็นสัตว์นรก  และดิรัจฉาน   ส่วนการได้เกิดเป็นมนุษย์  การได้เกิดเป็นคนที่มีสง่าราศี  น่ารักใคร่  เป็นคนที่สวยงาม  เป็นดารา  เป็นคนมีเงินทองใช้  เป็นเศรษฐี  หรือมหาเศรษฐี  หรือเป็นเทวดา  เป็นเทพธิดาสง่าสวยงามนั้น  เป็นเพราะอะไร  ข้อความต่อจากนี้สามารถอ่านได้จากพระสูตรนี้  ซึ่งอยู่ในลิ้งค์ด้านล่างนี้ครับ


นอกจากนี้  กรรมทั้งสิบอย่าง  มีการฆ่าสัตว์เป็นต้น  หรือที่เรียกว่า อกุศลกรรมบทสิบนั้น  ยังมีผลต่อชีวิตในโลกมนุษย์นี้อย่างมากครับ

    
ผลของปาณาติบาต มี ๙ ประการ คือ 

๑. ทุพพลภาพ ๒. รูปไม่งาม 
๓. กำลังกายอ่อนแอ ๔. กำลังกายเฉื่อยชา 
๕. เป็นคนขลาด ๖. ฆ่าตนเอง หรือถูกฆ่า 
๗. โรคภัยเบียดเบียน ๘. ความพินาศของบริวาร กำลังปัญญาไม่ว่องไว 
๙. อายุสั้น


ผลในปวัตติกาลของอทินนาทาน(การลักทรัพย์) มี ๖ ประการ คือ 

๑. ด้อยทรัพย์ ๒. ยากจน
๓. อดอยาก ๔. ไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา 
๕. พินาศในการค้า ๖. ทรัพย์พินาศเพราะอัคคีภัย อุทกภัย ราชภัย โจรภัยเป็นต้น


ผลในปวัตติกาลของกาเมสุมิจฉาจาร(การประพฤติผิดทางเพศ) มี ๑๑ ประการ คือ 

๑. มีผู้เกลียดชังมาก ๒. มีผู้ปองร้ายมาก 
๓. ขัดสนทรัพย์ ๔. ยากจนอดอยาก 
๕. เป็นหญิง ๖. เป็นกระเทย
๗. เป็นชายในตระกูลต่ำ ๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ 
๙. ร่างกายไม่สมประกอบ ๑๐. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย 
๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก


ผลในปวัตติกาลของมุสาวาท มี ๘ ประการ คือ 

๑. พูดไม่ชัด ๒. ฟันไม่เป็นระเบียบ 
๓. ปากเหม็นมาก ๔. ไอตัวร้อนจัด 
๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ ๖. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้น และปลายปาก 
๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย ๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายวิกลจริต


ผลในปวัตติกาลของปิสุณาวาท (การพูดซุบซิบหรือทำให้คนแตกคอกัน)มี ๔ ประการ คือ

๑. ตำหนิตนเอง ๒. มักจะถูกลือโดยไม่มีความจริง 
๓. ถูกบัณฑิตตำหนิติเตียน ๔. แตกมิตรสหาย


ผลในปวัตติกาลของ ผรุสวาท (คำพูดเสียดแทง  ทำร้ายจิตใจคนจอื่น) มี ๔ ประการ คือ 

๑. พินาศในทรัพย์ ๒. ได้ยินเสียง เกิดไม่พอใจ 
๓. มีกายและวาจาหยาบ ๔. ตายด้วยอาการงงงวย
ตหหห

ผลในปวัตติกาลของสัมผัปปลาป(การกล่าววาจาไม่มีประโยชน์  การพูดเรื่องหนัง  เรื่องดารา  หรือเรื่องตลก  เป็นต้น) มี ๔ ประการ คือ 

๑. เป็นอธัมมวาทบุคคล ๒. ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูดของตน 
๓. ไม่มีอำนาจ ๔. จิตไม่เที่ยง คือ วิกลจริต


ผลในปวัตติกาลของอภิชฌา (การที่จิตคิดอยากได้ของผู้อื่น) มี ๔ ประการ คือ 
๑. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดี ๒. ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ 
๓. มักได้รับคำติเตียน ๔. ขัดสนในลาภสักการะ


ผลในปวัตติกาลของพยาบาท(ความโกรธ  ความแค้นใจคนอื่น  ความโกรธง่าย)  มี ๔ ประการ คือ 

๑. มีรูปทราม ๒. มีโรคภัยเบียดเบียน 
๓. อายุสั้น ๔. ตายโดยถูกประทุษร้าย


ผลในปวัตติกาลของมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นว่ากรรมไม่มี  พระพุทธเจ้าไม่มีจริง  ความเห็นว่าการทำดีแล้วทำความชั่วกับพ่อแม่ไม่มีผลอะไร   การทำบุญ และการให้ทานต่าง ๆ ไม่มีผล เป็นต้น  โดยสรุปได้แก่  การไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ) มี ๔ ประการ คือ 

๑. ห่างไกลรัศมีแห่งพระธรรม ๒. มีปัญญาทราม 
๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร ๔. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน


ผลในปวัตติกาลของการเสพสุราเมรัย มี ๖ ประการ คือ 

๑. ทรัพย์ถูกทำลาย ๒. เกิดวิวาทบาดหมาง 
๓. เป็นบ่อเกิดของโรค ๔. เสื่อมเกียรติ 
๕. หมดยางอาย ๖. ปัญญาเสื่อมถอย 


สู๋จุกกะโลมมะเปตร
ภิกษุทั้งหลาย เปตรนั้นมีขนเป็นเข็ม
เข็มนั้นทิ้มแทงเข้าไปในศรีษะ แล้วออกทางปาก
ทิ้มแทงเข้าไปในปาก แล้วออกทางอด
ทิ้มแทงเข้าไปในอก   แล้วออกทางปาก
ทิ้มแทงเข้าไปในปาก แล้วออกทางท้อง
ทิ้มแทงเข้าไปในท้อง แล้วออกทางขาทั้งสอง
ทิ้มแทงเข้าไปในขาทั้งสอง แล้วออกทางแข่งทั้งสอง
ทิ้มแทงเข้าไปในแข่งทั้งสอง แล้วออกทางเท้าทั้งสอง
ภิกษุทั้งหลายเปตรนั้นเคยเป็นคนชอบพูดจาส่อเสียดอยู่ในพนครราชคึกนี่เอง



ผรุส   แปลว่า  อย่างหยาบ


๗. สัมผัปปลาปะ   (การพูดเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสาระ)

   สัมผัปปลาปะ คือการพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่เป็นสาระ เมื่อแยกบทแล้วได้ ๒ บทคือ

         สมฺผ   แปลความว่า   ทำลายประโยชน์ และความสุข

         ปลาป  แปลความว่า   การกล่าววาจา

     เมื่อรวมกันแล้วเป็น สมฺผปฺปลาป แปลความว่า การกล่าววาจา ทีทำลายประโยชน์ และความสุข  ดังมีวจนัตถะว่า

          สํหิตสุขํ ผลติ วินาเสตีติ  -  สมฺผํ

    "วาจาอันใด ย่อมทำลายประโยชน์ และความสุขต่างๆ วาจานั้นชื่อว่า สัมผะ"

          สผฺผํ ปลปนฺติ เอเตนาติ  -  สมฺผปฺปลาโป

    "การกล่าววาจาที่ทำลายประโยชน์ และความสุขต่างๆด้วยเจตนานั้น ฉะนั้น เจตนาที่เป็นเหตุแห่งการกล่าววาจานั้น ชื่อว่า สัมผัปปลาปะ"

      การกล่าววาจาที่เป็น สัมผัปปลาปะ จึงหมายถึง การกล่าวเรื่องราวต่างๆอันหาสาระประโยชน์ไม่ได้ เช่น การเรื่องภาพยนต์ โขน ละคร หรือพูดจาตลก คะนอง ตลอดจนนักเขียนนวนิยาย จินตกวี เหล่านี้ จิตเป็นสัมผัปปลาปะทั้งสิ้น เพราะผู้ฟังก็ดี ผู้อ่านก็ดี มิได้รับประโยชน์ให้เกิดปัญญา แก้ทุกข์ในชีวิตลงได้ เพียงแต่ให้จิตใจเพลิดเพลินไปชั่วครั้งชั่วคราว เท่าที่ฟังหรืออ่านอยู่เท่านั้น

          องค์ประกอบของ สัมผัปปลาปะ มี ๒ ประการ

    ๑.นรตฺถกถาปุรกฺขาโร     เจตนากล่าววาจาที่ไม่เป็นประโยชน์

    ๒. กถนํ                         กล่าววาจาที่ไม่เป็นประโยชน์นั้น
______________
บทสรุปวิธีทำบุญแก้กรรม  โดย โจโฉ

(แนะนำขั้นตอนและวิธีทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรโดยตรง)

 

          สรุปทิ้งท้ายเรื่องทำบุญแก้กรรมที่เขียนไปแล้วหลายตอน (อ่านย้อนหลังทั้งหมด คลิ๊กที่นี่) กรรมดีชั่วเมื่อทำไว้ไม่หายไปไหน สุดท้ายแค่รอเวลาให้ผลในวันหนึ่ง  การแก้กรรม ตามหลักพุทธศาสนาถือว่าทำไม่ได้ แต่สามารถบรรเทาหรือเลื่อนการให้ผลออกไปได้ สิ่งสำคัญสุดสำหรับคนอยากแก้(บรรเทา)กรรม  คือจิตที่สำนึกผิดและตั้งใจมั่นจะไม่เบียดเบียนใครในทุกด้านอีกแล้วตลอดชีวิต ซึ่งต้องยอมรับผลกรรมส่วนหนึ่งด้วย ไม่ใช่จะหนีไม่ยอมรับโทษเลย  คนที่เพียรสร้างความดีชดเชยความผิด ย่อมได้รับโทษน้อยลงหรือได้รับการอภัยได้ง่ายขึ้นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า  “เจ้ากรรรมนายเวรมีจริง”ยืนยันด้วยข้อความหลายแห่งจากพระไตรปิฎก และบทพระนิพนธ์เรื่อง..“ชีวิตนี้น้อยนัก” ของสมเด็จพระญาณสังวรฯ ผู้ซึ่งชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลกทูลถวายให้เป็นผู้นำสูงสุด โหลดเสียงอ่านได้ฟรีที่ jozho.net

 

          เจ้ากรรมนายเวรที่ส่งผลกรรมมาสนองคืน อาจแบ่งได้สองแบบ อย่างแรกคือกระแสพลังงานที่เกิดจาก นิสัย อารมณ์ ความเคยชินที่สะสมไว้ในจิตเราเอง  เป็นตัวการใหญ่กำหนดเส้นทางชีวิตให้เราชอบหรือเลือกสิ่งดี-ไม่ดีให้ตนเอง  ส่งผลให้คนอื่นรู้สึกกับเราตามพลังที่เราสะสมไว้ (ใกล้บางคนรู้สึกอึดอัด ใกล้บางคนรู้สึกสบายใจ)  ซึ่งวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แล้วว่า อารมณ์ทุกอย่างส่งคลื่นพลังงานออกมาได้จริง มีผลต่อโมเลกุลของสิ่งรอบตัวได้ และจิตใต้สำนึกจะสะสมข้อมูลทุกอย่างไว้เสมอ  การคิดพูดทำความดี ล้วนส่งให้เกิดคลื่นพลังงานดีแผ่ออกรอบตัว ดึงดูดคนดีเข้าหา ผลักคนชั่วออกไป (คนชั่วเจอคนดีจะหมั่นไส้)  กระแสพลังงานดีมีผลต่อคลื่นสมองที่ส่งให้คิดอะไรได้ลึกซึ้งขึ้น ร่างกายหลั่งสารเคมีดีส่งให้สุขภาพดีผิวสวย ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ฯลฯ ตรงข้ามกับการคิดพูดทำชั่ว (คือจิตเป็นอกุศล ซึ่งรวมถึงความเครียดด้วย) จะทำให้สมองหดตัว ความจำลดลง  กระตุ้นการหลั่งสารพิษซึ่งเป็นต้นเหตุโรคเรื้อรังหลายชนิด เป็นกฎแห่งกรรมที่พิสูจน์ได้ในชาตินี้ว่าทำดีส่งผลดี ทำชั่วส่งผลไม่ดีต่อตัวเองอย่างไร

 

 

          เจ้ากรรมนายเวรแบบที่สองคือ.. เจ้ากรรมนายเวรที่มีตัวตนอยู่จริง เป็นมนุษย์หรือสัตว์ที่เราเคยทำร้ายไว้ ตัวอย่างในพระไตรปิฎก เช่น วิญญาณโสเภณีที่เคยถูกฆ่าตามจองเวรหลายชาติ ที่สุดได้โอกาสเข้าสิงโคขวิดท่านพาหิยะตายขณะพึ่งบรรลุธรรม   เจ้ากรรมนายเวรประเภทนี้แม้มองไม่เห็นแต่ก็ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เป็นสิทธิจากผลกรรมที่เราทำร้ายเขาไว้ก่อน จึงยกขึ้นสู่สถานะเจ้าหนี้ที่ได้สิทธิพิเศษ สามารถติดตามเราได้ทุกที่  เช่น คนทำแท้งมักจะมีผีเด็กเกาะติดตัวตลอดเวลา เป็นสิ่งที่คนมีสัมผัสพิเศษกล่าวตรงกัน  วิญญาณอาฆาตจะพยายามหาทางกลั่นแกล้งเราเสมอ ให้สมกับความแค้นที่เราเคยทำเขาไว้  บางครั้งสามารถดลใจให้เราคิดหรือพูดอะไรผิด  ทำให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างไร้เหตุผล จนต้องพลาดโอกาสสำคัญ ตัดสินใจบางอย่างผิดพลาด   ซึ่งช่วงเมาเหล้า ใจลอย ขาดสติ ไม่รักษาศีล ไม่มีบุญรักษา  จะเป็นช่วงที่วิญญาณร้ายเข้าแทรกความคิดได้ง่าย จนเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน  อาจทำอะไรพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ หรือนำมาซึ่งหายนะใหญ่หลวง ท่ามกลางความไม่เข้าใจว่า ทำไมเราถึงคิด พูด และทำแบบนั้นออกไปได้??  ครูบาอาจารย์เคยกล่าวถึงผีพนัน ผีสุราที่ดลใจคนให้ทำชั่วได้ เป็นเรื่องธรรมดาและเกิดขึ้นได้จริง    

 

 
         เจอกับตัวเองมาเยอะตั้งแต่ยังไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ทั้งดลใจให้ทำผิดพลาดและมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือดลใจหรือช่วยให้พ้นเรื่องไม่ดี  เช่น ทำให้ขับรถเลี้ยวไปผิดทาง หันกลับไปมองเห็นทางที่ต้องไปพึ่งเกิดอุบัติเหตุ , แฟนเก่าเลี้ยงกุมาร พอจะโกรธเขาทีไรก็เหมือนมีคนมาจี๋เอว จะขำอารมณ์ดีขึ้นมาในขณะที่กำลังโกรธมาก ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้  มีกระทั่งปรากฏกายมาห้ามตอนจะฆ่าตัวตายก็เจอมาแล้ว   ประสบการณ์ตรงทำให้รู้ว่าวิญญาณรอบตัวมีผลกับชีวิตมากกว่าที่คิด  แต่ก็ขึ้นกับความศรัทธา กรรมสัมพันธ์ และบาปบุญเวรกรรมที่เราทำไว้ด้วย  จิตมนุษย์เหมือนเครื่องรับวิทยุ ผีเหมือนคลื่นวิทยุ หลายคนปักใจแน่วแน่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่มี ก็เหมือนปิดเครื่องวิทยุไว้ตลอด จึงแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสแม้ต่อให้ท้าทายแค่ไหน บางรายแม้ผีหรือเทวดามาปรากฏทำอะไรให้เห็น ก็ไม่เชื่อและคิดว่าจิตหลอนไป (แต่บางคนก็จิตหลอนไปเอง)  คนที่รักษาศีลและมีบุญสะสมไว้มาก วิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฐิจะมากลั่นแกล้งได้ไม่เต็มที่  กระแสบุญและความดีที่มากพอจะดึงดูดวิญญาณดีมาช่วยเหลือ  ยกเว้นมีกรรมหนักที่ต้องได้รับผล พระพุทธเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้   หลายคนมีเทวดาหรือวิญญาณพ่อแม่และคนรักในอดีตมาคอยช่วย แต่ไม่รู้ตัวคิดว่าตัวเองโชคดี  การสวดมนต์และทำบุญอุทิศให้เป็นประจำกับวิญญาณที่คอยช่วยเรา ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะเขาจะช่วยเราได้ก็ต้องมีบุญที่เราทำส่งให้เขาเป็นพื้นฐานด้วย    ศาสนาพุทธไม่สอนให้หวังพึ่งสิ่งอื่น แต่การทำดีแล้วเผื่อแผ่ให้วิญญาณทุกภพภูมิรอบตัว ถือเป็นการสร้างกุศล เพิ่มกระแสเมตตาในจิตเรา ไม่เสียหายอะไร   สมัยก่อนขี่มอไซด์ไปร้องเพลง ต้องผ่านรัชดาแถวโค้งร้อยศพ ก็จะอุทิศบุญให้เขาเป็นประจำ คืนหนึ่งถูกสิบล้อเฉี่ยวแถวนั้น กำลังจะล้มแตะพื้นก็เหมือนมีคนพยุงขึ้นมาให้ตั้งตรงได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

 

                 หากเข้าใจเรื่องกรรม จะเห็นช่องทางการแก้หรือบรรเทากรรมที่ถูกต้องมากขึ้น  พิธีตัดกรรม แก้ชง เซ่นไหว้ ห้อยวัตถุมงคล และการทำอีกหลายอย่าง ล้วนงมงายและบรรเทากรรมไม่ได้จริง หรือได้เพียงเล็กน้อย  การแก้กรรมที่ถูก ต้องทำบุญให้ถูกด้านกับกรรมที่เคยทำและครบวงจร รักษาศีล ฟังธรรม รู้สึกสำนึกผิดและทำจิตเป็นกุศลให้มากที่สุด   นี่คือสิ่งที่บางคนทำอยู่ แต่ก็พบว่าหลายคนยังมีปัญหาชีวิตถาโถมเพิ่มมาไม่จบสิ้น จนบางคนเริ่มลังเลท้อใจ หมดศรัทธาและไม่อยากเชื่อเรื่องผลกรรม  เฝ้าคิดแต่ว่าทำดีทำไมไม่ได้ดีซะที  กฎแห่งกรรมเมื่อทำดีแล้วไม่ใช่จะได้ผลดีทันที มันต้องรอเหมือนปลูกต้นไม้ สิ่งที่ได้อันดับแรกคือส่งให้ทำใจได้ ไม่แค้นเคือง ไม่ทุกข์หนักเหมือนเมื่อก่อน ถ้าอยากเห็นผลไวก็ต้องทำให้ถูกทางเหมือนใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ด้วย  ซึ่งนั่นก็คือ.. การอธิฐานจิตและขอขมากรรมแบบเจาะจงกับเจ้ากรรมนายเวรประเภทที่มีตัวตนที่ติดตามคอยล้างแค้นเราอยู่   เราทุกคนเกิดมาแล้วหลายภพชาติ  ย่อมเคยทำดี และทำผิดพลาดโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ อาจเคยฆ่าคนและสัตว์ แย่งผัวเมีย ใส่ร้าย ทำร้ายเขามาสารพัด  แต่ละคนจะมีเจ้าหนี้รออยู่จำนวนมาก  เวลาทำบุญก็เอาแต่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย หว่านไปโดยไม่เคยเจาะจง 

 

 

          สมมุติมีผีเจ้ากรรมนายเวรของเราประมาณพันคน ทำบุญแล้วพูดอุทิศให้เจ้ากรรมทั้งหลาย บุญจะกระจายไปแค่คนละเล็กน้อย ไม่มากพอจะทำให้เขาไปเกิดใหม่ หรือไม่มีพลังเข้มข้นพอทำให้เขาหายโกรธได้  สมมุติมีคนเผาบ้าน ข่มขืนฆ่าคนรักของคุณ  และทำร้ายคนอื่นไว้อีกหลายคดี  เมื่อตำรวจจับได้ เขาขอขมาเจ้าทุกข์เป็นพันคนแบบเหมารวมทีเดียว  ถามว่าจะให้อภัยเขาได้ยากหรือง่ายกว่ามาก้มกราบขอขมาเราโดยตรง   ต่อมาเขาได้รับประกันตัวแล้วซื้อเค้กมาหาคุณที่บ้านแล้วบอกว่า.. “ช่วยรับเค้กนี้ไว้กินด้วย ให้อภัยเถอะ อย่าโกรธอย่าจองเวรกันเลย”   คุณจะให้อภัย แล้วจะกินเค้กของคนที่ข่มขืนแฟน ฆ่าพ่อแม่คุณหรือเปล่า!!  เขาต้องขอโทษทำดีกับคุณนานแค่ไหน คุณถึงจะให้อภัยได้จริง   ผีก็ไม่ต่างจากคน มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนเดิมทุกอย่าง  การทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ด้วยแค่บริจาคเงิน ถวายของให้พระ  ก็เหมือนกับที่คนร้ายซื้อเค้กมาให้เป็นการขอโทษต่อเจ้าทุกข์  คิดเหรอว่าเขาจะยกโทษให้คุณเพียงใช้เงินซื้อบุญมาส่งให้ง่าย ๆ แบบนี้ ??   เราแค้นคนที่ทำร้ายเรา อยากให้เขารับโทษให้สาสมอย่างไร  ผีเจ้ากรรมนายเวรก็เช่นกัน ส่วนมากเขาอยากเห็นเราทุกข์ทรมานเป็นการตอบแทนเท่านั้น บุญกุศลส่วนใหญ่เขาไม่อยากได้หรอก  ขนาดท่านพาหิยะสำเร็จอรหันต์แล้ว ยังตามมาเข้าสิงแม่โคขวิดท่านตาย ให้เป็นผู้มีบุญแค่ไหนไม่สนใจ..  ขอแค่ได้ล้างแค้นเป็นพอ!! 

 

 

            การเกิดมาหลายชาติทำกรรมไว้มากมาย คงยากจะรู้ว่าต้องขอโทษและทำบุญให้เจ้ากรรมแบบเจาะจงได้อย่างไร ดังนั้นจึงต้องทำความดีให้มากและหลากหลายที่สุด บุญที่เพียงพออาจทำให้เราเจอผู้มีสมาธิขั้นสูงที่บอกถึงกรรมเก่าของเราได้ถูกต้อง หรืออาจมาให้เห็นเป็นนิมิตในความฝัน ซึ่งผมเจอบ่อยมาก  เวลาเจอเรื่องร้ายแต่ละครั้ง จะมาให้เห็นให้รู้ว่าทำอะไรกับใครไว้ จึงได้รับผลแบบนี้  ตัวอย่างเรื่องแฟนเก่าหลายคนในอดีต ก่อนจะมีปัญหาจะฝันเห็นว่าอดีตเราเคยทำผิดศีลข้อสามไว้อย่างไร บางครั้งเห็นคนชี้หน้าสาปแช่ง ชัดเจนมากทั้งชื่อและสถาณการณ์ ในฝันจะสะเทือนใจมาก และไม่นานก็จะพบว่าแฟนมีชู้แล้วสุดท้ายต้องเลิกกัน  เป็นแบบนี้หลายครั้งจนคิดว่าไม่ได้เพ้อเจ้อ แต่เป็นเรื่องของ..“กรรมนิมิต”  พอเห็นว่าเกิดจากความชั่วที่ทำไว้เอง จึงเริ่มสำนึกผิด เกิดสติตั้งมั่นอยากรักษาศีล และทำบุญส่งตรงให้กับคนที่เราเคยทำร้ายโดยตรงได้ ซึ่งมีผลให้อุปสรรคในชีวิตบรรเทาไปมาก เท่าที่สังเกตถ้าไม่สำนึกผิด ก็ต้องเจอปัญหาเดิมต่อไปเรื่อยๆ

 

 

            คนทั่วไปคงยากที่จะได้เจอผู้มีญาณขั้นสูง เพราะของจริงต้องระดับบรรลุธรรมเท่านั้น ซึ่งท่านมักไม่เปิดเผยตัวและอยู่ในที่ซ่อนเร้นดังนั้นถ้าเราไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรของเราเป็นใคร การทำบุญทุกครั้งให้ตั้งจิตระลึก.. “ขออุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เราทำร้ายไว้รุนแรงที่สุดอันดับแรก” ขอให้ได้รับก่อนใคร ไม่แบ่งปันผู้ใด ขอให้เขายินดีรับบุญและอภัยในความผิดของเรา ขอให้เขาได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีมีความสุข  อย่าต้องมาทุกข์แสนสาหัสด้วยการตามจองเวรแบบนี้เลย  ( ผีที่ตามจองเวรจะทุกข์ใจตลอดเวลา คล้ายเวลาเราโกรธใครในความฝัน รู้สึกไหมว่า จะด่าจะพยายามทำร้ายเท่าไรก็ไม่หายโกรธ )  ต้องทำบุญให้เขาด้วยจิตที่สำนึกผิดและปรารถนาดี อยากให้เขาพ้นความทุกข์  อย่าทำบุญให้เขาเพราะอยากให้ตัวเองสบายพ้นเวรกรรม  เมื่อทำบุญให้แล้ว หลายครั้งต่อมาก็เพิ่มคำอธิฐานว่าหากเจ้ากรรมฯ อันดับแรกให้อภัยและไปเกิดใหม่แล้ว ขออุทิศบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เหลือในอันดับต้นๆ และไล่ลงมาตามลำดับ (ใครอยู่อันดับแรกให้ได้รับก่อนคนอื่น)  ซึ่งผมได้เรียบเรียงเป็นบทสวดภาษาไทยล้วนเพื่ออธิฐานจิตโดยตรงไว้แล้ว  สำหรับกรรมชาตินี้ที่ระบุตัวตนได้  เช่น ทำแท้ง คุณต้องตั้งชื่อให้เด็กก่อน แล้วนึกคุยกับเขาว่า ต่อไปนี้ให้จำให้ดีว่าหนูชื่อนี้ แล้วทำบุญเจาะจงเอ่ยชื่อให้เขาคนเดียว  หรือกรณีทำร้ายสัตว์ไว้ ก็ให้นึกภาพของสัตว์นั้นเวลาจะทำบุญให้  แต่ถ้าสำรวจแล้วชาตินี้ไม่เคยทำอะไรร้ายแรง แต่ยังซวยไม่จบสิ้น ก็อาจเป็นกรรมที่ทำกับพ่อแม่หรือการลบหลู่ผู้ทรงคุณธรรม ซึ่งควรกราบขอขมาโดยตรง ถ้าท่านไม่อยู่แล้วให้กราบขมาขณะสวดมนต์ทุกวันก็ได้

 

 

            แนะนำขั้นตอนการทำบุญแก้(บรรเทา)กรรม ซึ่งทำได้ผลมาหลายคนแล้ว  1.เลือกวัดที่มีพระปฏิบัติดี เพื่อถวายชุดบวชพระ(ชนิดอย่างดีครบชุด) พร้อมสังฆทานของกินของใช้ที่ต้องเลือกซื้อเองใหม่ทั้งหมด อาจถวายที่มหาวิทยาลัยสงฆ์โดยไม่เจาะจงพระ เพราะในจำนวนเป็นพันรูปต้องมีดีสักท่านแน่นอน   2.ติดต่อจองถวายเพล รพ.สงฆ์ 9 รูป บวกทำบุญค่าเลือดค่ายา รวมทั้งหมดราวห้าร้อยบาท  3.ปล่อยสัตว์กำลังจะถูกฆ่า เช่นปลาในตลาด หรือร่วมไถ่โคกระบือ  4. ทำบุญแล้วแต่ศรัทธากับมูลนิธิต่าง ๆ  เช่น ชัยพัฒนา ที่เหมือนเราได้ทำบุญกับในหลวง ถ้าเคยทำแท้งควรเพิ่มมูลนิธิเกี่ยวกับเด็กด้วย   5.ตั้งใจรักษาศีลห้าให้ดีที่สุด พร้อมสวดมนต์อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง (บทสวดภาษาไทย คลิ๊กดูที่นี่) และทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที  จะดีมากถ้าร่วมเผยแพร่ธรรมที่ถูกต้องในวงกว้างเป็นประจำด้วย   การทำบุญข้อ 1-4 ทำอย่างน้อย 3 ครั้งติดต่อกันทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือน และถ้ามีกำลังทำให้เป็นประจำไปตลอดชีวิตจะดียิ่งขึ้น  ขณะถวายสังฆทานชุดบวช ให้บอกพระว่าเราตั้งใจอุทิศให้เจ้ากรรมของเราโดยตรงเท่านั้น (หากรู้ชื่อแน่ชัด หรือตั้งชื่อให้เด็กที่เคยทำแท้งแล้ว ให้ทำบังสุกุลตายส่งให้โดยตรงก็ได้) 

 

 

การจองถวายเพล รพ.สงฆ์  ให้นำใบเสร็จที่จองมาเผาตรงเวลาพระสวดอนุโมทนาคือ 11.00 น. และกรวดน้ำทันที  การทำบุญทั้งหมด เมื่อทำเสร็จแล้วให้กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรแบบเจาะจงคนเดียวหรือแบบไล่ลำดับลงมา  เอ่ยปากหรืออธิฐานว่าไม่แบ่งปันผู้ใด ขอให้เจ้ากรรมในอันดับต้นๆ ได้รับก่อนเท่านั้น  ซึ่งบทสวดมนต์พิเศษจะมีการอธิฐานจิตขอขมากรรมและอุทิศบุญแบบเจาะจงให้แล้ว ต้องทำสมาธิและสวดมนต์ติดต่อกันห้ามเว้นแม้แต่วันเดียวเป็นเวลา 3 เดือน  ถ้าหยุดวันไหนเริ่มนับหนึ่งใหม่ ครบกำหนดแล้วควรสวดต่อไปตลอดชีวิต ถ้าจำเป็นต้องหยุด ก็หยุดติดต่อกันได้ไม่เกิน 3 วัน  บุญเหมือนอาหารที่เราขาดไม่ได้ ต้องกินทุกวัน ไม่อยากเจอเรื่องเฮงซวยถาโถม  ก็ต้องเติมพลังบุญทุกวันให้มากที่สุด  การทำบุญถูกทางทำให้ชีวิตดีขึ้น รับประกันเห็นผลทันตาชาตินี้แน่นอน  หลักของพุทธศาสนาคือ..  ดวงจะดี เพราะทำความดีเท่านั้น!!

 

 

 

หมายเหตุ : สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมเรื่องทุนทรัพย์ ให้เริ่มจากการสวดมนต์ภาษาไทยไปก่อน (คลิ๊กที่นี่)   และทำบุญเล็กน้อยเท่าที่ทำได้  แต่หมั่นทำให้เป็นประจำ เช่น ตักบาตร  หยอดตู้ทำบุญแม้เพียงบาทสองบาทก็ยังได้  ซึ่งมีตู้ทำบุญมากมายอยู่ทั่วไป  ทั้งมูลนิธิ ถวายวัด ปล่อยโค ถึงทำน้อยแต่ก็ถือว่ามีส่วนในบุญนั้นไปด้วย  หรือการร่วมทำบุญในงานบวช ร่วมเป็นเจ้าภาพชุดบวชได้ง่ายๆ กับการทำบุญสมทบกับมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหามงกุฎ  ที่หากยังทำทั้งชุดคนเดียวไม่ได้ ก็ให้สมทบทุนไปก่อน 10-20 บาทก็ยังถือว่าได้ทำ  อย่ารอให้มีเงินก่อนแล้วค่อยทำบุญ แต่ให้ทำตอนยังมีน้อยๆ ทำแต่พอดี แล้ววันหนี่งจะมีเงินทำบุญใหญ่ได้เองครับ    บางคนมีเงินไม่พอ ก็ไปบอกบุญกับญาติ เพื่อน ผู้ร่วมงาน คนแถวบ้าน แล้วรวบรวมมาจนได้ครบชุดบวช 1 ชุด แล้วนำไปถวายพร้อมกัน ก็เป็นวิธีเริ่มต้นที่ดี   และถ้าพอมีกำลังทรัพย์แล้ว ก็ให้ทำเต็มที่แบบที่แนะนำไว้ด้านบน     ย้ำว่าการทำบุญทั้งชุดบวชและอื่นๆ ต้องดูด้วยว่า เป็นวัดที่ปฏิบัติดีไม่มีคำสอนผิดเพี้ยน ไม่เป็นลัทธิที่ภายนอกเป็นพุทธแต่กลับสอนผิดหลักศาสนาพุทธ สำนักไหนที่โดนคนโจมตีมาก ๆ ก็เว้นไว้ก่อนก็ดี  หลักของพุทธคือ อะไรที่ทำแล้วไม่สบายใจหรือสงสัย ก็ควรเว้นก่อน  ให้ตรวจสอบศึกษาจนมั่นใจ การทำบุญแบบกระจายวัด ไม่เลือกเจาะจงที่ใดโดยเฉพาะก็เป็นการลดความเสี่ยงที่ดี



คนอยู่กรุงเทพฯ แนะนำวัดปทุมวนาราม  ซึ่งมีสาขาเยอะมาก ถวายแล้วชุดบวชสังฆทานจะถูกกระจายไปหลายวัด  ( จุดรับสังฆทานสำหรับกระจายทั่วประเทศ คือ หลังอุโบสถ  ส่วนข้างหน้าเป็นส่วนของโรงเรียนปริยัติ)  หรือจะถวายที่มหาจุฬา วัดมหาธาตุ หรือ มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อยุธยาก็เป็นตัวเลือกที่ดี (มีเลขบัญชีทางเวบไซต์)  สระบุรีก็สำนักปฏิบัติธรรมแสงธรรมส่องชีวิต หลวงพ่อเจ้าอาวาสเป็นพระปฏิบัติดีมาก  อุดรก็ไปวัดป่าบ้านตาด  ในหลายจังหวัดมีพระดีอีกจำนวนมาก  ถ้าจะถวายเรื่อยๆ  ควรกระจายไปหลายวัด หลายภาคก็ยิ่งดีครับ จีวร บาตร ให้เลือกของดีหน่อย ไม่อย่างนั้นถวายไปพระก็ไม่ได้ใช้ 

 

สำหรับคนที่กำลังมีปัญหาชีวิตหลายด้าน  สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ดึงใจกลับมาให้ได้ เพิ่มแสงสว่างความปลอดโปร่งในใจให้ได้ อย่าเฝ้าคิดถึงปัญหาและอดีตที่ผ่านมาแล้ว  ชีวิตเราก็แค่นี้ทุกอย่างสุดท้ายเราก็ต้องทิ้งหมดเมื่อถึงเวลาตาย เราไม่มีอะไร และไม่เคยเสียอะไรไปจริง  แต่สิ่งที่จะอยู่กับเราและให้ความสุขได้คือ "บุญและความดี" เท่านั้นครับ   อย่าพยายามคิดแก้ปัญหา ขณะที่กำลังเครียดหนัก ให้ออกไปเดินเล่นไกลๆ  จะสวนสาธารณะหรือในห้างก็ยังได้ นั่งรถไปไกลๆ  ปล่อยใจสบายๆ  ให้คลื่นสมองสงบก่อน แล้วค่อยกลับมาคิดว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร   เปิดเพลงบรรเลงฟัง  ออกกำลังกาย เปิดธรรมะแบบง่ายๆ ฟัง  อย่าอยู่นิ่งๆ อย่าอยู่ในที่แคบ   เชื่อมั่นเถอะครับว่า มีตัวอย่างทั่วโลกให้เห็นตลอดมาว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนเคยล้มเหลวเจ็บหนักมาแทบทั้งนั้น  ส่วนใหญ่มักต้องล้มครั้งใหญ่ก่อนเสมอที่จะฟื้นตัวมาประสบความสำเร็จได้  ความเจ็บหนักของเรา มันเหมือนการใช้หนี้กรรมครั้งสุดท้าย ก่อนจะเปลี่ยนชีวิตไปอีกด้านครับ   เขามาทวงหนี้ก็ยอมชำระหนี้เขาไปด้วยใจสำนึกผิด  แล้วไม่นานทุกอย่างจะค่อยดีขึ้นเอง



ขอเพียงอดทน ทำใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ  จิตที่ผ่องใส จะดึงคนดีและสิ่งดี ๆ เข้าหา   ถ้ายังอมทุกข์ ให้สังเกตว่ามันจะซวยหนักขึ้นเรื่อยๆ และถ้าตายขณะเป็นทุกข์ก็ตกนรกอย่างเดียวครับ  มีเทคนิกการทำจิตให้ผ่องใสแบบง่ายด้วยการทำสมาธิดอกไม้ (คลิ๊กที่นี่) ผมทำเป็นไฟล์เสียงจูงไว้ให้แล้ว ลองทำตามนะครับ   แต่ละคนก็ต้องหากุศโลบายให้ตนเองให้ได้ ทำยังไงก็ได้ ให้ลืมอดีต ลืมเรื่องผิดหวังและปัญหาไปก่อนชั่วคราว  ปล่อยสบายๆ  หยุดทุกอย่างเพื่อให้เวลาตัวเอง  ออกไปทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง  แม้แต่แค่ไปนั่งริมน้ำ ให้อาหารปลา หรือเอาเศษข้าวให้หมาแมวข้างถนนกินก็ยังช่วยให้สดชื่นได้ครับ 



อีกสิ่งที่เป็นบุญใหญ่แต่ทำง่ายสุด คือ การใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่หรือครอบครัว  ร่วมกันทำกับข้าว กอดหอม บอกรัก แสดงความห่วงใยกับพ่อแม่ และคนในครอบครัว  ดูหนังร่วมกัน ทำความสะอาดบ้านร่วมกัน  ทำดีกับพ่อแม่และคนในครอบครัวก็เป็นบุญใหญ่ ไม่ต้องใช้เงิน แต่หลายคนกลับมองข้าม แล้วไปเน้นทำบุญกับคนนอกบ้านเป็นหลัก  ขอให้ทุกท่านผ่านปัญหาชีวิตไปได้ด้วยใจเป็นที่มุ่งมั่น ในฐานะที่ผมเจอมาแทบทุกด้าน จนหนังชีวิตยังอาย  จึงเข้าใจและเห็นใจซึ้งใจในปัญหาของทุกท่านได้พอสมควร  หากต้องการคำแนะนำ ต้องการกำลังใจ แม้แต่หนทางการประกอบธุรกิจ หรือแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ  ก็ติดต่อมาทางอีเมล์ได้ไม่ต้องเกรงใจครับ ยินดีเสมอ และคิดว่ามีทางออกให้กับทุกท่านในระดับหนึ่ง  ลองโหลดเพลง แรงใจ กับ เพลงกรรม หรือฟังเรื่อง แว่วเสียงสวรรค์(คลิ๊ก) อีกหลาย ๆ รอบ  จะช่วยเสริมให้ปล่อยวางและมีแรงฮึดกลับมาสู้กับสิ่งที่เผชิญได้  ขอรับประกันจากประสบการณ์ตรงว่า รักษาศีลห้า ทำดีให้มากที่สุด ทำดีให้ถึงจุด  ปัญหาทุกอย่างจะแก้ได้ง่ายขึ้น และความลำบากจะไม่เกิดกับท่านอีกแม้ในอีกหลายชาติต่อมาในอนาคตอันยาวไกลครับ  

 

*** แนะนำ กองทุน มหาทานบารมี เพื่อพระอาพาธ เครื่องมือ อาคารแพทย์ และสาธารณประโยชน์กว่าร้อยแห่งทุกเดือน (คลิ๊ก)
___________
ทำบุญแก้กรรม ตอนที่ 3.5 ติดเหล้า บุหรี่ี ยาเสพติด ทำไงดี??


การปฏิบัติธรรมหรือการฝึกตนในหลายด้านมักไม่ได้ผลกับคนทั่วไปในวงกว้าง เพราะเน้นหักดิบหรือบังคับตนเกินพอดี ซึ่งนั่นเหมาะกับคนมีปัญญากล้าหรือมีความพร้อมถึงระดับแล้ว แต่สำหรับคนที่ฐานจิตยังไม่มั่นคง จะเป็นเรื่องยากเกินเอื้อมถึงจนถอดใจ และแม้ทำได้ก็อาจเพียงกดข่มชั่วคราว เหมือนหินทับหญ้า ยกหินออกก็งอกใหม่ได้  คนส่วนใหญ่รู้ดีว่ากินเหล้าผิดศีลห้า แต่มักตัดใจได้ยากและมีข้ออ้างสารพัดเพื่อจะไม่เลิก  การจะหลุดจากสิ่งไม่ดีที่ย้อมจิตให้ลุ่มหลงติดใจ วิธีที่น่าจะทำได้จริงกับคนทั่วไปมากกว่า คือพยายามสะสมข้อมูล เรียนรู้ให้เข้าใจทีละขั้นในขณะที่ยังอยู่กับมัน ไม่ใช่การวิ่งหนีหรือบังคับให้ตัดขาดทันที   การแนะนำให้คนเลิกเหล้าหรือยาเสพติด อย่าเริ่มต้นด้วยการทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันเลว เป็นบาปร้ายแรง หรือต้องให้ละทิ้งสิ่งที่ลุ่มหลงมานานในทันที เพราะมันทำให้จิตต่อต้านและไม่เปิดใจรับ

  

มนุษย์จะละกิเลสแต่ละด้านได้ต้องมีสิ่งดีกว่าเข้ามาแทนให้จิตได้สัมผัสทีละลำดับขั้น  ครูอาจารย์สอนไว้ว่า การรักษาศีลเอาที่ทำได้แน่แค่ข้อเดียวก่อนก็ได้สำหรับคนพึ่งเริ่มต้น  ไม่ต้องพยายามเป็นคนดีให้ได้ทันที ไม่ต้องบังคับฝืนตนจนเกินพอดี พอศีลบริสุทธิ์ซักข้อ จิตจะตอบได้เองว่าควรจะไปทางไหน จะเริ่มเกิดปัญญามองเห็นความจริง ขอแค่มีกระแสความดีเกิดในใจให้จิตได้เปรียบเทียบ จิตจะเริ่มเห็นเองว่าทำสิ่งนี้เป็นสุขหรือทุกข์กว่ากัน จะละวางสิ่งเป็นโทษอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นในอนาคต  สมัยก่อนผมสูบบุหรี่วันละสามซอง กินเหล้าวันละกรม แต่ก็สวดมนต์ทุกวัน อ่านหนังสือธรรมะเป็นประจำ  กว่าจะเลิกได้ไม่ง่ายและไม่ยาก  เป็นประสบการณ์ตรงที่พิสูจน์กับตัวเองว่า จิตใต้สำนึกเขารับรู้ทุกอย่างและประมวลผลได้เอง แต่สำคัญสุดเราต้องมีตัวอย่างให้เขาเปรียบเทียบ และต้องหมั่นเจริญสติหรือระลึกรู้ถึงสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ แล้วตั้งคำถามให้ตัวเองบ่อยๆ ว่าทำแล้วได้ประโยชน์อะไร เป็นความสุขจริงไหม??  แม้จะผิดศีลมัวเมากิเลสอยู่ก็ตาม ให้พยายามระลึกเข้ามาในกายใจตนอยู่เสมอๆ ถามตัวเองย้ำๆ ว่าทำเสร็จแล้วได้อะไร ที่ต้องการความสุขแค่นี้เองหรือ?  ดีกับชีวิตเราจริงหรือ?  สุขที่ได้รับมันยั่งยืนหรือเปล่า? น่าจะมีอะไรดีกว่านี้ไหม!!  (เป็นการโปรแกรมจิต)

 

จิตมนุษย์มีความเป็นพุทธะหรือศาสนาอื่นเรียกว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวของทุกคน มีพลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายใน ถ้าเราใส่ข้อมูลให้จิตใต้สำนึกบ่อยๆ จิตเขาจะตอบเราได้เองว่า สิ่งไหนควรไม่ควร และใช่สุขที่แท้จริงหรือยัง??  สำหรับคนยังผิดศีลติดเหล้ายา ขอเพียงอย่าจมกับมันสุดตัว อย่าปิดตัวเองด้วยความคิดว่าเราเอาดีไม่ได้ ไม่มีทางดีได้กว่านี้  รับรองว่าเพียงแค่ความดีที่บริสุทธิ์จากการทำทานเป็นประจำ(โดยเฉพาะธรรมทานที่ถูกต้อง) และการรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งสักข้ออย่างมั่นคง จะนำหลุดจากสิ่งเหล่านั้นได้โดยง่ายในอนาคต แม้ปัจจุบันยังเมาหัวราน้ำหรือเคยทำผิดไว้มากก็ตาม ขอแค่พยายามงดหรือลดให้น้อยลงในเบื้องต้นก่อน  กลับมาระลึกรู้ว่าสิ่งที่ทำมีโทษเจืออยู่ หมั่นคิดตั้งใจว่าจะถอยออกจากมันสักวันให้ได้ จะมีโอกาสหลุดได้ง่ายกว่าการที่ยังหลงคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องหรือหักดิบตัดขาดในขณะจิตใต้สำนึกยังไม่พร้อมและไม่ยอมรับ

 

หลายคนโปรแกรมจิตตัวเองทางอ้อมสม่ำเสมอว่า กินเหล้าไม่ผิด ไม่บาป ไม่ได้ทำร้ายใคร สิ่งนี้ทำให้เกิดข้อมูลฝังในจิตระดับลึก ส่งผลให้หลายภพชาติข้างหน้าคุณจะมั่นคงในความเป็นคนขี้เมามากขึ้น เมื่อทับถมความคิดแบบนี้ไปเรื่อย ในชาติถัดๆไป คุณจะมีโอกาสติดเหล้าและยาเสพติดได้ง่ายกว่าคนอื่น เพราะมีวิบากความคุ้นชินติดตัวมาเป็นทุนเดิม หากชาติก่อนไม่เคยกินเหล้าไม่เคยเสพยา ชาติปัจจุบันแม้ลองหลายครั้งก็อาจจะไม่ติดหรือไม่ชอบ และแม้ติดแล้วก็จะเลิกได้ง่าย ต่างกับคนที่เคยช่ำชองติดใจหนักกับของมึนเมาในชาติก่อน เกิดใหม่แค่ได้ลองครั้งเดียวก็ติดจนโงหัวไม่ขึ้นและเลิกได้ยากกว่าคนทั่วไป  หากเข้าใจวิบากที่ข้ามภพชาติได้ เราคงไม่มานั่งสอนวิธีเลิกเหล้าเลิกบุหรี่กันแนวทางเดียวเหมือนทุกวันนี้ ที่ส่วนใหญ่คนเขียนตำราอาจเป็นแพทย์ที่ไม่เคยเสพยาหรือสูบบุหรี่หนักจนเลิกได้เลยด้วยซ้ำ!!

 

การกินเหล้าอาจดูไม่ใช่บาปร้ายแรงหากกินแล้วไม่ได้ไปทำร้ายใคร แต่มันก็ทำลายสุขภาพ ก่อโรคหลายโรค  มีผลต่อคลื่นสมอง รบกวนสมองส่วนจิตสำนึกที่เป็นส่วนเดียวที่ทำให้คนคิดได้ต่างจากสัตว์ เป็นสมองส่วนที่ทำให้คนรู้จักมีน้ำใจ มีความกตัญญูรู้คุณ มองโลกแง่บวก ฯลฯ  เหล้า&ยาเสพติดยังไปกระตุ้นสมองส่วนสัตว์เดรัจฉานให้โตขึ้น ทำงานดีขึ้น ส่งผลให้สามัญสำนึกจะค่อยถูกพัฒนาไปใกล้เคียงสัตว์เรื่อยๆ จะหงุดหงิดง่าย ขาดเหตุผล มองโลกแง่ร้าย สนใจแต่การกิน นอน สืบพันธ์ หาความสุข  จะคิดได้แค่การเอาตัวเองให้รอด การเอาเปรียบคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา สัตว์ใหญ่ต้องกินสัตว์น้อยเป็นเรื่องธรรมชาติ ฯลฯ  อาจมีบ้างที่แม้จะขี้เมาหนักแต่ก็จิตใจดี มีมนุษยธรรมและสามัญสำนึกสูง(ในเวลาไม่เมา) นั่นก็เพราะมีสิ่งที่ทำให้คลื่นสมองสงบ มีสุขที่บริสุทธิ์มาถ่วงดุล เช่น มั่นคงในการรักษาศีลข้ออื่นๆ  การทำความดี มีน้ำใจ มีความรักเมตตา สวดมนต์ ทำบุญ ฟังธรรม มีความกตัญญู รักษาสัจจะ  แต่ความดีที่มีมากมายอาจสลายพริบตาเพียงแค่ขาดสติจากการเมาแล้วข่มขืน ติดเอดส์เพราะความเมา เมาแล้วขับชนคนตาย  เมาแล้วฆ่าคนตายได้แค่เรื่องเล็กน้อย ฯลฯ

 

กฎแห่งกรรมของการกินเหล้าอย่างหนักคือส่งผลทั้งชาตินี้และชาติหน้าให้มีโอกาสเป็น.."บ้า-ปัญญาอ่อน" อย่างเบาคือส่งให้เกิดมาโง่สมองทึบ ปวดหัวฯ  มองข้างถนนเห็นคนตัวเขรอะผมเผ้ายุ่งเหยิง ควรพึงระลึกว่าหากยังไม่คิดลดละเลิกบ้าง อนาคตคงไม่พ้นได้เกิดมาเป็นเหมือนเขา   หรือต่อให้มีบุญเก่าที่ทำทานสร้างกุศลไว้มาก ก็จะได้สิทธิ์กลับมาเกิดเป็นลูกเศรษฐีได้เสวยบุญเก่าบนกองทอง ในสภาพน้ำลายฟูมปาก เล่นขี้ตัวเองอย่างสำราญใจ  เหล้าและยาเสพติดยังส่งผลเสียต่อการพัฒนาจิตในระยะยาวหลายภพชาติ เมื่อสมองทึบก็เข้าใจธรรมได้ยาก การเจริญสติดูจิตดูกายอาจไม่แจ่มใส เพราะจิตบิดเบี้ยวจากกรรมที่ทำลายสติตัวเองมาเนิ่นนาน อาจทำให้หลงผิดได้ง่ายหรือเดินหน้าสู่เส้นทางธรรมได้ยากลำบากมากขึ้น  ดังนั้นจึงควรใส่ใจกับการสร้างกรรมดีในด้านสร้างปัญญาสร้างสติให้ผู้คนให้มาก เช่น การสนับสนุนกิจกรรมการปฏิบัติธรรมหรือการเผยแพร่คำสอนธรรมะที่ถูกต้องไปในวงกว้าง  เมื่อทำให้มากจะมีผลสะท้อนกลับหาตัวเราและส่งให้เกิดปัญญาเกิดสติได้ง่ายเช่นกัน  ปัจจุบันมีคำสอนธรรมแบบผิดงมงายจำนวนมาก โดยเฉพาะลัทธิบ้าบุญ บูชาพระพุทธรูป-บูชาเทพเจ้าในเชิงขอโชคลาภ  คำสอนที่ทำให้คนโลภและหลง ย่อมสะท้อนกลับให้จิตเรามืดบอดตามด้วยเช่นกัน  จึงควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนเผยแพร่  ซึ่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ควรเป็นพระไตรปิฎก ,ตำราพระนิพนธ์จาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งชาวพุทธทุกนิกายมีมติถวายตำแหน่งผู้นำสูงสุดของชาวพุทธทั่วโลก  และขอแนะนำงานเขียนของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), หลวงพ่อพุธ ฐานิโย, หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช , อ.พร รัตนสุวรรณ , อ.วศิน อินทสระ , คุณดังตฤณ ฯลฯ ซึ่งทุกท่านนำข้อความจากพระไตรปิฎกมาอธิบายให้เข้าใจง่ายเหมาะกับคนในยุคปัจจุบัน  

 

หากเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมได้ดีพอ จะไม่สงสัยเลยว่า สิ่งที่คิดว่าไม่ผิดอะไร ทำไมพระพุทธองค์ถึงทรงบัญญัติไว้ในศีลห้าข้อแรกที่ควรงดเว้น  ศีลห้าไม่ใช่กฎข้อบังคับแต่เป็นข้อเสนอแนะว่า ถ้าลดละเลิกได้ จะมีผลดีต่อชีวิต เป็นทางแห่งความสุข ทางพ้นอบายภูมิ หากไม่ละเว้นสิ่งเหล่านี้ จะพบความสุขแท้จริงไม่ได้ บอกให้ฟังถึงเหตุและผล ส่วนใครจะทำตามหรือไม่แล้วแต่บุคคลนั้นต้องการ  ที่ว่าเหล้าและยาเสพติดเป็นทางสู่อบาย เพราะคนเราจะตายไปเกิดเป็นอะไรอยู่ที่จิตสุดท้ายว่ารู้สึกและคิดแบบไหน ชีวิตประจำวันคุ้นชินกับอารมณ์ใด สิ่งเหล่านั้นจะไปปรากฏได้ง่ายในเวลาใกล้ตาย  คนติดเหล้าจิตมักสะสมสภาวะจิตในลักษณะเบลอๆ เคลิ้มๆ ไว้เป็นประจำ  ซึ่งเป็นภาวะจิตที่ส่งให้มีโอกาสเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ง่ายที่สุด  คงยากหากไม่ศึกษาธรรมแล้วจะยอมรับหลักการนี้ได้  แต่เชื่อเถอะว่าการเชื่อเรื่องผลกรรมแบบถูกต้องไม่เคยทำให้ใครฉิบหาย อย่างน้อยถ้าเลิกยาเสพติดได้วันนี้ ผลดีจะเกิดตามมากมาย ทั้งสุขภาพดี ประหยัดเงิน ลดโอกาสเสี่ยงติดโรค ลดโอกาสโดนลากไปข่มขืนหรือทะเลาะวิวาทกับอันธพาล  ที่ตายก่อนวัยในข่าวก็เพราะ..“เมา”  แทบทั้งนั้น

 

 

              ยาเสพติดให้โทษอีกอย่างคือ..“บุหรี่” ที่แม้ไม่มีกำหนดในพระวินัยแต่ก็ควรลดละเลิกเพราะทำลายสุขภาพอย่างมาก สารพัดโรคเกิดจากบุหรี่ ไม่ได้ตายคนเดียวแต่สร้างบาปพาคนรอบข้างเจ็บป่วยไปด้วย เป็นสิ่งที่ชาวโลกล้วนรังเกียจในปัจจุบัน ถือเป็น “โลกวัชชะ”  คือ โลกติเตียน เป็นสิ่งไม่สมควรทั้งพระและฆราวาส สำหรับพระที่ยังติดบุหรี่ อยากกราบนิมนต์พระคุณเจ้าช่วยสูบในที่ลับตาคน จะเป็นบุญแก่พระศาสนาอย่างมาก เพราะมันส่งผลเสียให้ภาพของพระไม่น่าเคารพในสายตาของคนทั้งโลก ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านสูบเพราะมีสาเหตุที่คนธรรมดาไม่ใช่พระอริยะคงเข้าใจได้ยาก แต่มักชอบเอาตนเองไปทำตามอย่างพระผู้เหนือโลกแล้ว  ยาเส้นสมัยก่อนถือเป็นยารักษาโรคบางโรคได้ ช่วยไล่แมลงได้  ได้ฟังจากผู้รู้ท่านเล่าว่า.. บางท่านมีวิบากเคยเสพติดมายาวนาน ร่างกายชินกับสารเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนบวชหรือชาติก่อนก็ตาม ทำให้เลิกไม่ได้ แต่จิตท่านไม่ได้เสพติดเพราะพ้นปุถุชนเป็นอริยะสงฆ์แล้ว คล้ายกรณีพระพูดคำหยาบติดปากในพระไตรปิฎก เป็นเพียงวาสนาติดตัวมา ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คนไม่ศึกษาให้ลึกซึ้งจะเข้าใจได้ เลยส่งผลเสียให้เกิดการปรามาสและเข้าใจผิด พระหนุ่มเณรน้อยหลายรูปก็ได้ใช้เป็นข้ออ้างในการเลียนแบบสูบตามพระเกจิอาจารย์บ้าง ซึ่งควรพิจารณาถึงความเหมาะสม อย่างน้อยก็ห่วงเรื่องโทษภัยจากบุหรี่ ที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวว่าเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง (แต่กลับเป็นยาเสพติดที่ถูกกฎหมาย!!)

 

 

              จากที่ผู้เขียนเองเคยติดบุหรี่อย่างหนักจึงเข้าใจได้ดีว่าการเลิกไม่ใช่ง่าย  มีบทความวิธีเลิกบุหรี่มากมาย แต่ส่วนใหญ่เหมือนเป็นแนวคิดเพ้อฝันจากคนไม่เคยติดบุหรี่ หรือวิธีการที่เหมาะกับคนบางกลุ่มเท่านั้น  ทำให้คนจำนวนมากแม้อยากเลิกก็เลิกไม่ได้  ศาสตร์แห่งจิตใต้สำนึกและวิบากกรรม จะแก้ปัญหาได้ดีกว่าศาสตร์แห่งการคาดเดาและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล  หลายคนไม่มีวิบากเก่าจึงหักดิบได้ง่าย แล้วก็เที่ยวดูถูกคนอื่นที่เลิกไม่ได้ว่าใจไม่ถึง ฉันเลิกได้ง่าย ทำไมแกเลิกไม่ได้?  หรือ แค่อดทนก็พอ ฯลฯ  สารพัดแนวคิดจากการไม่เข้าใจจริงที่ส่งผลเสียมากกว่าเกิดประโยชน์  ฉบับหน้าจะแนะนำวิธีเลิกบุหรี่ด้วยการโปรแกรมจิตใต้สำนึก ซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วอย่างเด็ดขาด และเชื่อว่าเป็นวิธีที่ง่ายกว่าหลายวิธีที่ผู้เขียนเคยทดลองมา 

 

ทิ้งท้ายสำหรับท่านที่กลุ้มใจเรื่องลูกหลานติดยา ทำใจให้สบายเถอะครับ มองให้เห็นว่ามันคือ กรรมของเราที่ต้องได้ลูกหลานแบบนี้ และการเลี้ยงดูที่ขาดการใส่ใจแต่เด็กแบบถูกต้องก็หล่อหลอมให้เป็นแบบนี้  อย่าทุกข์แทนคนอื่นเลย อนาคตที่มืดมนมันก็ชีวิตและกรรมของเขา ทำจิตให้เบิกบานด้วยเมตตารักจริง พลังรักอาจเปลี่ยนคนได้ พระผู้ปฏิบัติดีมีพลังเมตตาสูง สัตว์ร้ายผ่านมาพบยังต้องยอมสยบและไม่ทำร้าย  แผ่เมตตาให้เขามากๆ ส่งความรักให้เขามากๆ อวยพรให้เขามีความสุขบ่อยๆ  ลองทำใจว่ากำลังเลี้ยงหมาอยู่แล้วคุณจะสบายใจ   หมามันมีอนาคตไหม?? แต่ทำไมเราเลี้ยงมันได้จนมันตาย เราไม่เคยทุกข์ ไม่เคยคาดหวังให้หมาต้องเรียนจบ ให้หมาต้องได้งานดีๆ  ลูกหลานก็เหมือนกัน มีปัญญาก็เลี้ยงไปจนกว่าจะตายจากกันไป  ถ้ามันแก้อะไรไม่ได้แล้ว ทุกข์ต่อไปก็สะสมอกุศลจิต ตายไปขณะที่จิตเป็นทุกข์ก็ลงนรกนะครับ ซึ่งเขาอาจไม่ได้ลงกับเราด้วย  รักแล้วต้องรู้จักวาง เลี้ยงหมาแบบไหน ให้คิดกับลูกหลานที่ติดยาแบบนั้น พาไปทำบุญด้วยกันบ่อยๆ ให้เขาค่อยๆ สะสมกุศลจิตทางอ้อมก็อาจช่วยได้ระดับหนึ่ง สุดท้ายแล้วถ้ารักให้เป็น วางจิตให้เป็น ตัวเราเองจะมีความสุข

 

 เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมเถอะครับ ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุมาก่อนจึงมีผลตามมาแบบที่เจออยู่ในทุกวันนี้  ทุกสิ่งต้องเป็นเพราะ.. “ผลกรรม” ของเราชักนำให้มาเจอทั้งนั้น อย่ามัวแต่โทษคนอื่นหรือสิ่งแวดล้อม การเชื่อหลักกรรมในแง่มุมที่ถูกต้อง จะทำให้เราแก้ปัญหาได้ถูกทาง และแม้จะแก้ไม่ได้แล้ว ก็ยังพอบรรเทาปัญหาได้ แถมทำให้เราก็รู้จักวางจิตและยอมรับง่ายขึ้น ไม่ทุกข์หนักเหมือนคนที่วางใจไม่เป็น 

 

 

ที่มา : บทความจากนิตยสารแนะนำอาชีพ “เปิดร้าน” Open Shop  วางแผงทุกต้นเดือนในเซเว่นทุกสาขา และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ   ติดตามอ่านย้อนหลังบทความทั้งหมดได้ที่http://www.jozho.net/index.php?mo=14&newsid=335403  เผยแพร่ต่อได้เป็นธรรมทาน แล้วแต่ทุกท่านจะเห็นสมควร  อนุโมทนาที่ร่วมส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนที่คุณรักและห่วงใยครับ 
_____________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น