วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

พลังสติ ในการปรารภความเพียรสำคัญที่สุดเนื้อแท้ที่สุดๆของกายนี้คือ สติ

พลังสติ ในการปรารภความเพียรสำคัญที่สุด

เนื้อแท้ที่สุดๆของกายนี้คือ สติ 

_________
อิทธิบาท๔
สนุกไม่ลำบาก การรู้การดูกายดูใจ เรียกว่า ฉันทะ
ขยัน   เรียกว่า วิริยะ
จดจ่อกับการรู้  เรียกว่า จิตตะ
วิมังสา คือเค้าเคียอยู่แต่กับธรรมะพิจารณอยู่แต่กับธรรมในเรื่อง ที่ทำ
อินทรีย์๕
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา



ธรรมเครื่องกันอรหันต์
มีความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธเจ้า
ในพระธรรมในพระสงฆ์
และในศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นผู้โกรธเคือง ไม่พอใจ มีใจดุจตะปู ในโลกทั้ง๖
ไม่ปราศจากความกำหนัดในกายผู้อื่น
และร่างกายตน (ซึ่งเป็นอนัตตา)
เป็นผู้กำหนัดจมลงในกามคุณ๕ทั้งหลาย
มีใจเป็นที่๖
เป็นผู้พอใจในการหาความสุขจากการนอน การเอน การหลับ
เป็นผู้พระพฤพรหมจรรย์เพื่อเกิดเป็นเทพพวกใดพวกหนึ่ง

ต่อด้วยธรรมนี้
๑.ฉันทะ ความพอใจ
๒.วิริยะ ความเพียร
๓.จิตตะ เอาใจใส่ด้วยดี
๔.วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างแยบคาย
๖.มีความขมักเขม้นอย่างแท้จริงในกุศลธรรม(หรือในสมาธิ)
_______
พระผู้ใหญ่ก็ถือมั่นว่าการงานของตน
เป็นงานสำคัญ ก็ถือมั่นว่ามันเป็นเรื่องหรือเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำ โดยเฉพาะงานทางโลก
ไปช่วยเขาจัดนั่นจัดนี่ ไปผูกผ้าแต่งผ้า  ปลูกผักสวนครัวก็มี ทำนาเกี่ยวข้าวก็มี ทำเหมือนฆราวาสเยอะแยะไปหมด
พระนี่ลืมหน้าที่ของตนเอง แต่ไปทำหน้าที่เยี่ยงฆราวาส
นี่มันชักจะสับสนไปกันใหญ่แล้ว พระทุกวันนี้


ส่วนพระอีกรูปหนึ่ง ก็คิดว่าบวชมาพักผ่อน
สบาย ดูทีวีดูละคร ดูมวย 
ไม่คิดจะฝึกอบรมจิตเลย


ส่วนพระอีกรูปหนึ่ง ก็มีทิฐิถือมันว่า งานเผยแผ่ธรรมะ ไรท์ซีดีธรรมะแจกญาติโยมนี้แลเป็นงานเป็นเรื่องสำคัญ งานอื่นๆเอาไว้ทีหลัง
กวาดใบไม้เอาไว้ก่อน 
ถูศาลาเอาไว้ก่อน
ขัดห้องน้ำล้างห้องน้ำเอาไว้ก่อน
นั้งไรท์แผ่นซีดีอย่างเดียว


ส่วนพระอีกรูปหนึ่ง ก็มีทิฐิว่า งานปฏิบัติธรรมนี้แล เดินจงกลม นั้งสมาธิ
เป็นงานสำคัญ อย่างอื่นไม่ทำยกเว้นบิฑบาตและฉันอาหาร



ต่างคนต่างถือมั่นทิฐิของตน ว่าเป็นเรื่องที่ตนควรเป็นเรื่องสำคัญที่
จะต้องทำ

แต่งานที่พระพุทธเจ้ามุ่งให้ทำอันดับแรก
มีแต่งานปฏิบัติธรรม เพราะท่านมีความเมตตามากเหลือล้น
อยากให้เราทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

เมื่อบรรลุโสดาบันแล้วก็อย่าพอใจแค่นั้น
แต่ให้มุ่งคุณธรรมที่สูงขึ้นไปอีก จนถึงที่สุดแห่งทุกข์
ก่อนเลยคือ อบรมกาย วาจา จิต
_________
(ผมชอบเป็นคนศึกษาศาตร์ลี้ลับโหราศาตร์ชื่อ..ในที่นี้ผมไม่ขอบอกนะครับ เพราะผมคิดว่าจะไม่ยุ่งแล้วกับวิชานี้มันเสียเวลา และรู้สึกละอายใจ บวชในศาสนาพระพุทธเจ้าต้องเอาพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เท่านั้นสิ )  

ในสามปีนี้ ของท่านอาจารย์จะมีวิบากเก่าให้ผล ถ้าท่านอาจารย์ทำวิปัสนาสมาธิ ท่านอาจารย์จะเห็นสภาวะธรรมที่เกิดจากวิบากเก่าครับ จะเรียกว่าเป็นสามปีทองก็ได้ที่จะได้เรียนรู้มัน กิเลสคือความเศร้าหมอง มันจะผ่านมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมารวมที่ใจ <3  <------ ให้ท่านอาจารย์เป็นผู้รู้ผู้ดูนะครับ เห็นมันแปรเปลี่ยนโชว์ความไม่เที่ยงเกิดดับเรื่อยๆนะครับ
__________
ขณะมองรูป2x4นิ้วตนเอง

ความรู้สึกปรุ่งแต่งแว๊บขึ้นว่า
"อืม หล่อดี ใช้ได้ ผิวพรรณนวนดี

"
ธรรมะก็ผุดขึ้นมาอีก
อานิสงค์ของศีล คือรูปร่างสวยนี้แล

เมื่อรูปร่างสวยแล้ว จะมีคนมากำหนัดสนใจรักใคร่มาก
(ตัวดึงให้จมมีมาก หรือตัวล่อให้พัวพันมีมาก)

ก็เหมือนกับเงิน มีเข้ามามาก
ก็เพื่อให้จมอยู่กับการใช้
__________
ควรทำทำความเข้าใจว่ามี ๒ อย่าง
คือเลี้ยงร่างกาย เลี้ยงดูจิตใจ
เพราะความเติบโตของเด็กทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ
จะมุ่งเลี้ยงร่างกาย ทอดทิ้งทางจิตใจ
ย่อมเป็นความบกพร่องอย่างสำคัญ
ไม่ควรถือตามคำปรัชญาว่า
เลี้ยงกันได้แต่กาย ใจเลี้ยงไม่ได้
ใจที่อาจเลี้ยงไม่ได้ คือใจที่แข็ง
หรือเติบโตเป็นตัวของตัวเอง
ในทางที่ถูกหรือผิดเสียแล้ว
แต่จิตใจที่ยังอ่อนยังจะเติบโตต่อไป
ถ้าผู้ปกครองบำรุงเลี้ยงให้อาหารใจ
ที่ดีอยู่เสมอแล้ว ภาวะทางจิตใจของเด็กก็จะเติบโตขึ้น
ในทางที่ดี 
ทั้งนี้เกี่ยวกับการอบรมดีให้เด็กได้เสวนา
คือส่งเสพคบหาคุ้นเคยกับบุคคลและสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่ชอบถูกต้อง
เมื่อเด็กได้รับการเลี้ยงดูร่างกายจิตใจเติบโตขึ้นสมดุลกันก็จะเติบโตดีขึ้นเรื่อยๆ
____________
กายะคะตาสะติภาวะนาปาฐะ
 
(นำ) หันทะ  มะยัง  กายะคะตาสะติภาวะนาปาฐัง  ภะณามะ  เส ฯ
 
อะยัง  โข  เม  กาโย,  กายของเรานี้แล; 
อุทธัง  ปาทะตะลา,  เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา; 
อะโธ  เกสะมัตถะกา,  เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป; 
ตะจะปะริยันโต,  มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ; 
ปูโร  นานัปปะการัสสะ  อะสุจิโน, เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการ ต่าง ๆ; 
อัตถิ  อิมัสมิง  กาเย,  มีอยู่ในกายนี้,
เกสา, คือผมทั้งหลาย, 
โลมา, คือขนทั้งหลาย,  
นะขา, คือเล็บทั้งหลาย; 
ทันตา, คือฟันทั้งหลาย 
ตะโจ, คือหนัง      
มังสัง, คือเนื้อ 
นะหารู, คือเอ็นทั้งหลาย     
อัฏฐิ, คือกระดูกทั้งหลาย,   
อัฏฐิ  มิญชัง, เยื่อในกระดูก, 
วักกัง, ม้าม, 
หะทะยัง,   หัวใจ; 
ยะกะนัง,   ตับ,     
กิโลมะกัง, พังผืด, 
ปิหะกัง,   ไต,  
ปัปผาสัง,   ปอด,  
อันตัง,   ไส้ใหญ่; 
อันตะคุณัง,   ไส้น้อย,  
อุทะริยัง,   อาหารใหม่, 
กะรีสัง,   อาหารเก่า,    
มัตถะเก  มัตถะลุงคัง   เยื่อในสมองศรีษะ
ปิดตัง, น้ำดี, 
เสมหัง,  น้ำเสลด,  
ปุพโพ,  น้ำเหลือง,  
โลหิตัง, น้ำเลือด,  
เสโท,  น้ำเหงื่อ,  
เมโท,  น้ำมันข้น, 
อัสสุ, น้ำตา,  
วะสา,  น้ำมันเหลว,  
เขโฬ,   น้ำลาย,  
สิงฆาณิกา, น้ำมูก,  
ละสิกา,  น้ำไขข้อ,  
มุตตัง,  น้ำมูตร,
เอวะมะยัง  เม  กาโย,  กายของเรานี้อย่างนี้, 
อุทธัง  ปาทะตะลา,  เบื้องบนแต่พื้นที่เท้าขึ้นมา, 
อะโธ  เกสะมัตถะกา,  เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป, 
ตะจะปะริยันโต,  มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ, 
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน, เต็มไปด้วยของไม่สะอาด  มีประการต่างๆ อย่างนี้แล.
____________
กิตฺติโสภโณ อ่านว่า กิดติโสพะโน  แปลว่า ผู้มีเกียรติอันงดงาม
_________
สิ่งที่พระควรกลัวคือการเกิด ชาติ ชรา มรณะ อันจะมีไม่จบไม่สิ้นสักที 
ไม่ใช่กลัวผี หรือกลัวแทงหวยไม่ถูก หรือกลัวไม่มีใครมานิมนต์
หรือกลัวไม่ได้ลาภยศสรรเสิญชื่อเสียงโด่งดังมีหน้ามีตา
หรือกลัวจะไม่รวยทรัพย์
พวกนี้ล้วนเป็นโลกกะธรรมของโลกทั้งสิ้น ถ้าพระติดอยู่ในธรรมของโลก
ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นไปได ้


(โดยเฉพาะยุคนี้ ไม่ใช่"วิมุตติยุค" ไม่ใช่ยุคที่จะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ
เหมือนในสมัยพุทธกาลที่คนทั้งหลายได้
เกิดทันพระพุทธเจ้า แค่ได้ฟังธรรมก็บรรลุโสดาบัน สกาทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันได้ง่ายๆ หรือหลีกออกจากหมู่ไปปฏิบัติธรรมไม่นานก็บรรลุธรรมกันเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งอภิญญาหก วิชชาสาม ปฏิสัมภิทาญาณสี่คือแตกฉานในอรรถในธรรม รู้เหตุ,รู้ผล บอกสอนใครได้แจ่มแจ้ง เหมือนหลวงปู่มั่นที่มีปฏิสัมภิทาญาณสี่)

(ส่วนยุค ณ ปัจจุบันนี้ เป็นยุคของสมาธิยุค)
ต้องทำสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลังก่อน
แล้วถอยออกมา เพ่งพิจารณาปฏิจสมุปบาท หรือขันธ์๕ เป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
ไม่มีเรา เราไม่มี
มีแต่สิ่งที่ไม่มีจริง ทุกอย่างเป็นอนัตตา
แม้แต่ความรู้สึกที่ว่า"เรา" ก็ไม่เที่ยง
บางทีไปคิดเรื่องอื่น ความรู้สึกว่า"เรา"ก็หายไปไหน

มันจะเที่ยงได้อย่างไรหนอ อาการของใจ ทั้งหลายทั้งปวง จะเที่ยงได้ยังไงเล่า
#ผู้ใด มุ่งความเป็นอริยะ  ขั้นต้นคือโสดาบัน ขั้นปลายคืออรหันต์ จะเป็นพระหรือเป็นฆราวาสก็ตาม ย่อมเพียรขยันสร้างเหตุ..

สมเด็จพระสังฆราชตรัสไว้ คำหนึ่ง
"เป็นพระจะต้องจน"
อาตมาก็พิจารณาตามความคิดอาตมา
มัน"ใช่..มากๆ  เป็นพระจะต้องจน"
ไม่งั้นกิเลสที่อาศัยเงินเป็นเหตุ มันจะท่วมทับจิตใจ วิปัสนาจะไม่สว่าง
จะไม่เห็นสภาวะธรรมเกิดดับ อันเป็นไตรลักษณ์
จะมีแต่สภาวะหลงๆหลงแล้วก็หลงอีก
หลงไปไม่พอใจร้อนอกร้อนใจ
หลงไปเกลียด หลงไปให้ค่าความรู้สึกต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่ผ่านอายตนะเข้ามา
หรืออีกด้านหนึ่งหลงหลับไปกับ สิ่งที่น่าใคร่น่าพอใจทั้งหลาย ที่ผ่านอายตนะเข้ามา
แล้วแปรสภาพเป็นธรรมารมณ์ ยังไปยึดว่านั้นอาการทางใจของเรา
แม้แต่ผู้ฝึกเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว

(โสดาปัตติมรรค คือผู้กำลังเดินมรรค เพื่อเป็นโสดาบัน)

๑.ฆราวาสรักษาศีล ๕ 
๒.เคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
๓.ศึกษาขันธ์ ๕ เข้าใจแล้วมองว่าไม่ใช่เรา

#สิ่งที่ถูกรู้ได้ สิ่งนั้นไม่ใช่เราแน่นอน
ผู้ที่ไปรู้สิ่งทั้งหลาย เกิดดับหรือไม่?
ท่านจะตอบได้เอง เมื่อถึงเวลาเมื่อมันพอ








เมื่อมีการเกิดใหม่ จะจำความคิดตนเองไม่ได้เลย

ดูเถอะ พระพุทธเจ้าชาติที่ยังเป็นโพธิ์สัตว์อยู่ ยังมิได้ตรัสรู้ ยังไม่มาถึงชาติที่จะได้ชื่อว่า "เจ้าชายสิทธัตธะ" นี้ ท่านเคยเวี่ยนว่ายตายเกิด วนอยู่ใน ชาติ ชรา มรณะ เพื่อสร้างบารมี 30 ทัต ให้เต็ม ท่านผ่านภพชาติมาแล้ว 4 อสงไข และอีกแสนกัป
(อันนี้เฉพาะชาติที่ท่านได้สร้างบารมี ไม่รวมชาติที่ท่านเสียเวลาไปตกนรก)

สิ่งที่อาตมาจะสื่อ
ก็คือให้นับถอยหลัง(Replayer)ชาติของท่านกลับไป(ถอยหลังอดีตชาติท่าน)

ชาตินั้นท่านเป็นคนดีมากๆ
ไม่ใช่กลัวผี ไม่ใช่กลัวไม่ได้วิชาเห็นเลขเห็นเบอร์
ไม่ใช่ กลัวว่าจะไม่ดัง
ไม่ใช่ กลัวจะไม่ได้ยศตำแหน่งมีหน้ามีตา
____________
สิ่งที่พระควรกลัวคือการเกิด ชาติ ชรา มรณะ อันจะมีไม่จบไม่สิ้นสักที 
ไม่ใช่กลัวผี หรือกลัวแทงหวยไม่ถูก หรือกลัวไม่มีใครมานิมนต์
หรือกลัวไม่ได้ลาภยศสรรเสิญชื่อเสียงโด่งดังมีหน้ามีตา
หรือกลัวจะไม่รวยทรัพย์
พวกนี้ล้วนเป็นโลกกะธรรมของโลกทั้งสิ้น ถ้าพระติดอยู่ในธรรมของโลก
ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นไปได ้


(โดยเฉพาะยุคนี้ ไม่ใช่"วิมุตติยุค" ไม่ใช่ยุคที่จะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ
เหมือนในสมัยพุทธกาลที่คนทั้งหลายได้
เกิดทันพระพุทธเจ้า แค่ได้ฟังธรรมก็บรรลุโสดาบัน สกาทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันได้ง่ายๆ หรือหลีกออกจากหมู่ไปปฏิบัติธรรมไม่นานก็บรรลุธรรมกันเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งอภิญญาหก วิชชาสาม ปฏิสัมภิทาญาณสี่คือแตกฉานในอรรถในธรรม รู้เหตุ,รู้ผล บอกสอนใครได้แจ่มแจ้ง เหมือนหลวงปู่มั่นที่มีปฏิสัมภิทาญาณสี่)

(ส่วนยุค ณ ปัจจุบันนี้ เป็นยุคของสมาธิยุค)
ต้องทำสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลังก่อน
แล้วถอยออกมา เพ่งพิจารณาปฏิจสมุปบาท หรือขันธ์๕ เป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
ไม่มีเรา เราไม่มี
มีแต่สิ่งที่ไม่มีจริง ทุกอย่างเป็นอนัตตา
แม้แต่ความรู้สึกที่ว่า"เรา" ก็ไม่เที่ยง
บางทีไปคิดเรื่องอื่น ความรู้สึกว่า"เรา"ก็หายไปไหน

มันจะเที่ยงได้อย่างไรหนอ อาการของใจ ทั้งหลายทั้งปวง จะเที่ยงได้ยังไงเล่า
#ผู้ใด มุ่งความเป็นอริยะ  ขั้นต้นคือโสดาบัน ขั้นปลายคืออรหันต์ จะเป็นพระหรือเป็นฆราวาสก็ตาม ย่อมเพียรขยันสร้างเหตุ..

สมเด็จพระสังฆราชตรัสไว้ คำหนึ่ง
"เป็นพระจะต้องจน"
อาตมาก็พิจารณาตามความคิดอาตมา
มัน"ใช่..มากๆ  เป็นพระจะต้องจน"
ไม่งั้นกิเลสที่อาศัยเงินเป็นเหตุ มันจะท่วมทับจิตใจ วิปัสนาจะไม่สว่าง
จะไม่เห็นสภาวะธรรมเกิดดับ อันเป็นไตรลักษณ์
จะมีแต่สภาวะหลงๆหลงแล้วก็หลงอีก
หลงไปไม่พอใจร้อนอกร้อนใจ
หลงไปเกลียด หลงไปให้ค่าความรู้สึกต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่ผ่านอายตนะเข้ามา
หรืออีกด้านหนึ่งหลงหลับไปกับ สิ่งที่น่าใคร่น่าพอใจทั้งหลาย ที่ผ่านอายตนะเข้ามา
แล้วแปรสภาพเป็นธรรมารมณ์ ยังไปยึดว่านั้นอาการทางใจของเรา
แม้แต่ผู้ฝึกเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว

(โสดาปัตติมรรค คือผู้กำลังเดินมรรค เพื่อเป็นโสดาบัน)

๑.ฆราวาสรักษาศีล ๕ 
๒.เคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
๓.ศึกษาขันธ์ ๕ เข้าใจแล้วมองว่าไม่ใช่เรา

#สิ่งที่ถูกรู้ได้ สิ่งนั้นไม่ใช่เราแน่นอน
ผู้ที่ไปรู้สิ่งทั้งหลาย เกิดดับหรือไม่?
ท่านจะตอบได้เอง เมื่อถึงเวลาเมื่อมันพอ








เมื่อมีการเกิดใหม่ จะจำความคิดตนเองไม่ได้เลย

ดูเถอะ พระพุทธเจ้าชาติที่ยังเป็นโพธิ์สัตว์อยู่ ยังมิได้ตรัสรู้ ยังไม่มาถึงชาติที่จะได้ชื่อว่า "เจ้าชายสิทธัตธะ" นี้ ท่านเคยเวี่ยนว่ายตายเกิด วนอยู่ใน ชาติ ชรา มรณะ เพื่อสร้างบารมี 30 ทัต ให้เต็ม ท่านผ่านภพชาติมาแล้ว 4 อสงไข และอีกแสนกัป
(อันนี้เฉพาะชาติที่ท่านได้สร้างบารมี ไม่รวมชาติที่ท่านเสียเวลาไปตกนรก)

สิ่งที่อาตมาจะสื่อ
ก็คือให้นับถอยหลัง(Replayer)ชาติของท่านกลับไป(ถอยหลังอดีตชาติท่าน)

ชาตินั้นท่านเป็นคนดีมากๆ
ไม่ใช่กลัวผี ไม่ใช่กลัวไม่ได้วิชาเห็นเลขเห็นเบอร์
ไม่ใช่ กลัวว่าจะไม่ดัง
ไม่ใช่ กลัวจะไม่ได้ยศตำแหน่งมีหน้ามีตา
__________
ความสวยของเขา(กามารมณ์ราคะ)
ทำให้อยากได้ แล้ว (ความอยากอยู่ด้วยถึงจะตามมา หรือไม่ตามมาก็ได้)

ความดีของเขาทำให้ อยากอยู่ด้วยตั้งแต่แรกเลย
________
13 ธ ค 2537 หนุ่ม
________
ด้านจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ ขี้แย เจ้าน้ำตา ชอบให้คนพะเน้าพะนอเอาใจใส่ แต่ความจริงแล้วมีความใจแข็งแฝงอยู่ในความอ่อนโยน คือโกรธร้าย โมโหร้าย ใจเด็ดเดี่ยว เวลาโกรธแล้วปากร้าย แต่ยามปกติพูดจาดี แต่ก็เป็นลักษณะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ พูดไปแล้วก็ชอบผิดสัญญา ชอบรับปากเอาไว้ก่อน รักสนุกสำราญ สุขภาพไม่แข็งแรงนัก  ความทุกข์ที่จะมีมักเป็นความคิดมากช่างครุ่นคิด สร้างความวิตกกังวลให้แก่ตัวเองจนเกิดอารมณ์ปรวนแปรและให้ระวังการคบคนไม่ดี เพราะมักจะมีเคราะห์เพราะคบคนผิด ต้องเดือนเนื้อร้อนใจหรือเสื่อมเสียเกียรติ โอกาสก้าวหน้า
___________
ด้านจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ ขี้แย เจ้าน้ำตา ชอบให้คนพะเน้าพะนอเอาใจใส่ แต่ความจริงแล้วมีความใจแข็งแฝงอยู่ในความอ่อนโยน คือโกรธร้าย โมโหร้าย ใจเด็ดเดี่ยว เวลาโกรธแล้วปากร้าย แต่ยามปกติพูดจาดี แต่ก็เป็นลักษณะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ พูดไปแล้วก็ชอบผิดสัญญา ชอบรับปากเอาไว้ก่อน รักสนุกสำราญ สุขภาพไม่แข็งแรงนัก  ความทุกข์ที่จะมีมักเป็นความคิดมากช่างครุ่นคิด สร้างความวิตกกังวลให้แก่ตัวเองจนเกิดอารมณ์ปรวนแปรและให้ระวังการคบคนไม่ดี เพราะมักจะมีเคราะห์เพราะคบคนผิด ต้องเดือนเนื้อร้อนใจหรือเสื่อมเสียเกียรติ โอกาสก้าวหน้า
_______
ทุก= ยาก
ขมะ=ข่มทนได้ยาก
________
ความทุกข์ที่จะมีมักเป็นความคิดมากช่างครุ่นคิด สร้างความวิตกกังวลให้แก่ตัวเองจนเกิดอารมณ์ปรวนแปรและ
_____________
Watch "พระพุทธเจ้าทรงตรัส...อินทรียสังวร (ตามดู !
_______________
12 in 18 in

12x18 ราคา 280 บาท
15x20 ราคา 380 บาท
________________
15380 บาท

=15000

1973 บาท

อยู่ในธนาคาร 699 บาท

จ่าย ลำโพง T2500
699 บาท
จ่าย พระไตรปิฏก 361 บาท

เหลือ 913 บาท

จ่ายค่ารถขากลับ 50 บาท

เหลือ 894 บาท เพราะ บวกในย่าม 31 บาท


=กาด ใหญ่ 1 อัน = 85 บาท 
เงินเหลือ 


 บาท
=กาด น้อย 9อัน ราคา 75 บาท= 675 บาท
เหลือ 81 บาท

สรุปก็จะได้
8GB 2 อัน       4GB 7 อัน    = 9 อัน
และเงินเหลือ 81 บาท (หักค่ารถแล้ว)



=เอาเงิน 1973 ไปฝาก

ในธนาคาร 673 บาท

ถ้าฝาก 400 ก็จะมี 1073บาท

ต้องฝาก 327 บาท = 1000บาท

แล้วถอน ออก 300 บาท




สด 671 บาท + 673 online
 ในธนาคาร รวม 1344 บาท
จ่าย
ค่าลำโพง กับ ค่าหนังสือ 1060 บาท

เหลือ 284 บาท

จ่ายค่าบัตร เหลือ 184 บาท
________________
ภิกษุสามารถขออาหารประณีตได้
ต่อแม่ออกค่ำหรือปวารณา

ดังอนาบัติ ที่พระพุทธเจ้าย่อนไว้ให้

ภิกษุขอต่อคนปวารณา

ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน

ภิกษุขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น

#
ภิกษุฉันของที่ไม่ได้ประเคนได้ ดังนี้ เมื่อไม่มีผู้ที่ประเคน
คือ  น้ำ  มูตร คูถ เถ้า ดิน



#
ภิกษุสามารถ คุยกับมาตุคามได้ 2ต่อ2 ในที่ เปิดเผย ซึ่งแตกต่างกับในห้อง
แต่มาตุคามต้องนั้ง ภิกษุต้องยืน

#ภิกษุไม่ฉัน สุราทุกชนิด 
สุราที่ทำด้วยข้าวสุก
สุราที่ผสมด้วยเครื่องปรุ่ง เช่นยาดอกที่มีส่วนเหล้า
และน้ำดองดอกไม้ น้ำดองผลไม้ น้ำดองน้ำผึ้ง น้ำดองน้ำอ้อยงบ น้ำดองที่ผสมด้วยเครื่องปรุ่ง
ก็คือ สิ่งที่จะให้ขาดสติเมื่อฉันแล้ว
เช่นเบียร์
อนาบัติ น้ำเมาที่เจื่อลงในแกง ในเนื้อ ในน้ำมัน น้ำมะข้ามป้อมดอง

ก็คือไม่ใช่ของเมา


#ไม่เอือเฟื่อ คือ
ไม่ศึกษา ไม่สอนผู้อื่น
เป็นปาจิตตรี
(เป็นนัยยะแบบพระฉันนะ ที่ไม่เอื้อเฟื้อในวินัย )
#
_________


[๒๒๓] คำว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย
มีความว่าพาลปุถุชนทั้งปวงย่อมกำหนัด
พระอริยบุคคลผู้เสขะ ๗ จำพวก ตลอดถึงกัลยาณปุถุชน ย่อมคลายกำหนัด

ส่วนพระอรหันต์ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมคลายกำหนัดก็หามิได้.
เพราะพระอรหันต์นั้นคลายกำหนัดแล้ว

เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะโดยราคะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะโดยโทสะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะโดยโมหะสิ้นไปแล้ว

และพระอรหันต์นั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า

พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ไม่คลายกำหนัดเลย.

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น เสียง
ที่ได้ยิน และอารมณ์ที่ทราบ พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่ปรารถนาความ
หมดจดด้วยมรรคอื่น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย ดังนี้.
____________
ถ้าติดอยู่ในธรรมของโลก
ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นได้


จะเหมารวมว่าชีวิตสว่างได้ก็เพราะมาตุคาม มารดา แม่ เลี้ยงอบรมสั่งสอนมาอย่างเดียวไม่ได้

ต้องมองลึกไปอีก อดีตขาติได้ครูดี
ได้แม่ดี อบรมเลี้ยงดูสั่งสอนมาดี ส่งเรียนไปหาครูดีที่สอน ในทางสว่าง
จนสามารถ ทำเรื่องสว่างได้เอง
จนรู้อะไรเป็นประโยชน์ที่สุด อะไรไม่เป็นประโยชน์
___________
พระไตรปิฏกฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว
361บาท
__________
สิ่งที่เห็นนั้นจริง แต่เป็นอนีตตา
สิ่งที่ได้ยินนั้นจริง แต่เป็นอนัตตา
กลิ่น...

เสียงด่านั้น  เป็นเสียงด่าจริง แต่เป็นอนััตา
รูปที่เห็นนั้นจริง แต่เป็นอนัตตา


เขายึดอารมณ์จริง แต่อารมณ์นั้นไม่สามารถให้เขายึดได้ตลอดไป
_______
จิตใด ที่แปลความหมายจากการได้ยินเสียง
ออกมา เป็นทุกข์
จิตนั้นเป็นจิตที่มีกิเลส แบบสัตว์นรก

จิตใด
ที่แปลความหมายจากการได้ยินเสียง
แปลออกมา เป็นเฉยๆไม่ลุ่มร้อนกายไม่ลุ่มร้อนใจ จิตนั้นเป็นจิตพระพรหม

จิตใด
ที่แปลความหมายจากการได้ยินเสียง
แปลออกมา เป็นสุข 
จิตนั้นเป็นจิตที่มีกิเลส แบบเทวดา


จิตใด ที่รู้ทันอาการของ "ธรรมมารมณ์"
หลงไปโกธร.ไม่พอขัดเคืองในใจนิดๆหน่อยๆ ก็"รู้ทัน"
(ปฏิฆะ)

หลงไปชอบ. พอใจ นิดๆหน่อยๆ ก็"รู้" 


มโนสัญเจตนาใด ที่ผุดขึ้น
ทำให้ใจวิ่งเต้นมีตัณหา
มโนสัญเจตนานั่น ประกอบด้วยกิเลส




ธรรมนี้มีเค้ามาจากไหน

มาจาก ขณะขวักข้าวที่ฉันเหลือจากบาต
ใส่กล่องข้าวใหญ่

แล้วมีโยมผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลุง
พูดว่า เวลาฉัน ฉันให้เร็ว จะได้เก็บพวกถาดพวกแก้วของพระผู้ใหญ่
ให้ทันเพื่อน

แล้วโทสะก็ปู้ดขึ้น ร้อนอยู่กลางหน้าอก

และจิตมันคิดว่า โอ้..กรรมของเขาหนอ เขาจะได้รับกรรมอะไรหนอ
เมื่อเขาตายเราไม่อยากช่วยหนอ
วุ่นวายหนอ ไม่อยากอยู่หนอ ไม่อยากผูกพันธ์กับใครหนอ

ทำไมเขาถึงเลือก ความคิดที่ผุดขึ้นในหัวนั้นหนอ
" เวลาฉัน ฉันให้เร็ว จะได้เก็บพวกถาดพวกแก้วของพระผู้ใหญ่
ให้ทันเพื่อน" ทำไม่เขาถึงเลือกความคิดนี้หนอ

ปุถุชนเป็นไปตามความคิดแรก
อะไรผุดขึ้นก็เอาอันนั้นแหละมาพูดขึ้น
ปุถุชนจึงเป็นไปตามดวงดาวโหราศาสตร์
ส่วนผู้เจริญสติ มีแต่เข๋ ออกจากดวงเดิมที่ดาววางเส้นกรรมไว้ให้

เข๋ออกไปหาทิศทางดี ทางสว่าง
__________
วาจาใดอันไม่จริงไม่แท้ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และไม่เป็นที่รักที่พึ่งใจของผู้อื่น/
=ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

วาจาใดอันจริงอันแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และไม่เป็นที่รักที่พึ่งใจของผู้อื่น/
=ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น


วาจาใดอันจริงอันแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่ไม่เป็นที่รักที่พอใจของผู้อื่น/  =ตถาคตย่อมเลือกให้เหมาะกาล เพื่อกล่าววาจานั้น

วาจาใดอันไม่จริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่เป็นที่รักที่พอใจของผู้อื่น/
=ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น

วาจาใดอันจริงอันแท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น
=ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น

วาจาใดอันจริงอันแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
และเป็นที่รักที่พึ่งใจของผู้อื่น
=ตถาคตย่อมรู้จักกาละที่เหมาะ

#ตถาคต คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
_____________
การบวช คือทางสว่าง... ถ้าอยู่ในเส้นทางสว่างแล้ว... อย่าหาตัณหามาใส่หัวเพิ่มสิ... มันจะกลายเป็นฆราวาส.. ในคาบผ้าเหลือง

อยากไปนิพพานๆ... อยากไปนิพพาน
แต่ยังหากิจที่ขาดสติมาทำ..

อ่านพระไตรปิฏกพระพุทธเจ้าท่านมีแต่
บอกภิกษุ โน้น..โคนไม้  ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ซอกเขา ไปภาวนา
 แม้แต่พระสาวกที่มาขออนุญาตพระพุทธเจ้ากลับไปเยื่อมมารดาบิดา
พระองค์ก็ทรงตรวจดูวาระจิตก่อน





มีโอกาสว่างขนาดนี้...
ยังทำตัวเหมือนฆราวาส

หรือกิน แล้ว นอน  นอนแล้วก็กิน.
นิพพานมันยาก...ไกลเหลือเกิน... เดินจรงกลม มำสมาธิ
คิดแล้วเหนื่อย เพลีย ไม่ไหว แค่บวชมาพักผ่อนใจ
อยู่กินนอนอิ่มสบายกาย  
ระวังเถอะ..! จะไปเกิดเป็นวัวเป็นหมูในชาติหน้า ให้เขาฆ่ากินเนื้อกินหนังแทน

เพศนักบวช มีโอกาสร้างบารมีได้เยอะที่สุด
#สมถะวิปัสนา  บารมีเกิดเยอะสุดแล้ว

ครูบาอาจารย์ ที่ท่านบารมียังไม่เต็ม
ท่านรู้ความว่าบารมีเรายังไม่เต็ม ท่านรีบภาวนาใหญ่เลย พรรษา๑ถึงพรรษา๕
ไม่นาน ครบ 5 พรรษา บารมีก็เต็ม

เหมือนผลมะม่วงที่สุกแล้ว
เหลือแต่จะหลุดจากขั้วล่นลง

พอหยังจิตลงในปฏิจสมุปบาท จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย
____________
การบวช คือทางสว่าง... ถ้าอยู่ในเส้นทางสว่างแล้ว... อย่าหาตัณหามาใส่หัวเพิ่มสิ... มันจะกลายเป็นฆราวาส.. 

อยากไปนิพพานๆ... อยากไปนิพพาน
แต่ยังหากิจที่ขาดสติที่มาทำ 

เป็นประจำ
ฆราวาสที่ไม่เจริญสติภาวนาดูจิตเลย
ที่มีแต่ตัณหาวุ่นวาย มีแต่เรื่องมีแต่ปัญหา มีกิจการงานยุ่งวุ่นหัว..ไปหมด
กลางวันก็สุมไฟ กลางคืนก็อัดควัน
กลางคืนนอนอัดควัน นอนก็นอนคิดเรื่องที่เป็นทุกข์ใจ 
จับอดีต/จับอนาคต มาอัดควัน
กลุ้มห้องไปหมด
#ส่วน ฆราวาสที่มีธรรมะเจริญสติเป็น
มีการงานก็มีเหมือนกัน มีเรื่องต้องทำ ต้องทำนู่นทีนี่ที ธุระเยอะ งานเยอะ
ก็เพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิต
เลี้ยงพ่อแม่ครอบครัว 

แต่สิ่งที่ต่างกันคือ 
ฆราวาส ที่ฝึกเจริญสติเป็น ทุกข์แต่กาย แต่ใจไม่ทุกข์มาก

ฆราวาส ที่เจริญสติไม่เป็นเลย ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ





นี้แลคือสิ่งที่เบื่อ
ขอบคุณที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติในดาวดวงนี้

ขอบคุณที่พระองค์ทรงสอนธรรมด้วยความเมตตา  และใช้พระปัญญาเพื่อให้ศาสนาได้ตั้งอยู่นานๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้
 #พระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆๆๆๆๆ พระองค์ทรงท้อพระทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิศดานแก่สาวกทั้งหลาย
 อนึ่ง สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก
จึงเป็นเหตุให้ศาสนาตั้งอยู่ได้ไม่นาน




ขอบคุณพระสงฆ์ที่ดำรงสืบทอดคำสั่งสอน
คำสั่งคือ(วินัย)
คำสอนคือ(ธรรมะ)
มาจนถึง ณ ยุคปัจจุบันนี้

ขอบคุณทวยเทพเทวาอมนุษย์ทั้งหลายที่มีส่วนช่วยกันปกป้องรักษาพระศาสนามาจนถึงปัจจุบันนี้

ขอบคุณ ครูบาอาจารย์ตั้งแต่อดีตชาติทุกชาติภพ ที่ผ่านมา ที่บอกสอนให้ความรู้ในทางถูกทางสว่าง
ส่งต่อความสว่าง คือหิริ โอตตับปะ มาจนถึงชาติปัจจุบันนี้ (เพราะคิดว่าต้องมีคนอบรมบอกสอนไว้แน่ในชาติอดีตที่ผ่านมานับไม่ได้)

ขอบคุณ พ่อแม่ที่ร่วมกัน ทำให้ผมปฏิสนธิได้ร่างกายนี้
และอบรมสั่งสอนมาแต่เด็ก


ขอบคุณผู้หญิงทุกคนที่เข้ากับเราไม่ได้.


ขอบคุณ ทุกๆเหตุปัจจัย ทั้งหลายทั้งปวง
ที่ทำให้ได้ออกบวช แล้ว ได้เจอธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า


และขอบคุณตนเองที่มีความสนใจธรรมะ
(ถ้าหากเหตุปัจจัยทุกอย่างครบ แต่ไม่สนใจ ทุกอย่างก็จบพังหมด เกิดมาเสียเที่ยวเปล่าๆ)

#การลืมบุญคุณ เป็นเหตุให้ไม่เจริญ
ส่วนการระลึกถึงบุญคุณ ถึงจะไปตอบแทนไม่ได้ ก็เป็นเหตุให้เจริญ
__________
ทรงท้อพระทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิศดานแก่สาวกทั้งหลาย
 อนึ่ง สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก
จึงเป็นเหตุให้ศาสนาตั้งอยู่ได้ไม่นาน
__________
วดด้วยมุ่งลาภ สรรเสริญ
__________
๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ภิกษุทั้งหลายได้พากันถามภิกษุนั้นว่า ดูกร
อาวุโส ท่านยังพออดทนต่อ
ทุกข์เวทนาได้หรือ
ยังพอประทังชีวิตไปได้หรือ

ภิกษุนั้นตอบว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย อันปุถุชนไม่สามารถจะอดกลั้นได้ แล้วมีความ
รังเกียจว่า เฉพาะท่านที่เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเท่านั้น จึงควรพูดอย่างนั้น ส่วนเราสิ
หาได้เป็นสาวกของพระองค์ไม่ เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะพูดอวด พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
___________
รวมเจตนาทั้งหลายทั้งปวงที่โพสธรรมะลงไป

ล้วนเข้าใจ ว่า เจ้าของฮู้

สังขารมันผุดขึ้นมา ก็ เอ่อ มีความเป็นไปได้ ก็ select เอา


เจตนา สอนธรรมะคน ก็มี


บิดเบียน คำ ภาษา เพื่อให้เป็นแบบฉบับของตนก็มี

ีแต่งเรื่องธรรมะขึ้นก็มี


โพสเพื่ออยากให้คนมาอ่านก็มี

โพสเรื่องเหนือวิสัยมนุษย์ธรรมดา เพื่อให้เขาได้รู้ ก็มี  รู้จากที่อื่น เอามาดัดแปลงก็มี
เพื่อให้คนอ่าน อ่านแล้ว มีความคิดในหัว
(ประมาณว่าเรามี)

(แต่จะให้เขาเข้าใจ ว่าเรามีตาทิพย์หูทิพย์ตรงๆไม่มี)
มีแต่อ้อมๆ กลบเกลือน....ไป

แต่รวมๆแล้ว  เจตนาไปทางสว่าง
คืออยากให้เขารู้ธรรมะ

ถึงบางที่มันจะรู้สึกไม่ชอบภาวะขาดสติก็ตาม

แต่มันก็ยังมีความอยากให้เขาได้อ่าน
เพราะ ความรู้สึก ปรุงขึ้นสั่งให้โพส จนเคยตัว

มันรู้สึกอยากให้ธรรมะกับคนอื่น ได้รู

้บางครั้งมันก็ดัดแปลงคำ พิมพ์กลบเกลือน
ไม่ปล่อยความจริง แต่ละอันๆไปหมด (หรือแต่ละข้อไปหมด)
มันจะดัดแปลงกลบกลือน...

และมีเจตนาคือ อยากให้เขารู้ธรรมะ

และมีเจตนาว่า อยากให้เขาเข้าใจว่า
เรานี่ ไม่ธรรมดา)


และอยากให้เขารู้เรื่องวิบากกรรม

และมีเจตนาว่า อยากให้เขาเข้าใจว่าเรารู้)

#


ภายใต้เจตนาทั้งหลายทั้งปวง
คือไปทางสว่างนะ

แต่สำคัญที่ว่า ไม่รู้ ว่าพระพุทธเจ้าห้าม อะไรบ้างใน เรื่อง อุตมนุษย์ธรรม



พูดเรื่องจริงที่เกิดจากฝัน  หรือจากฟังมาอ่านมา แต่งกลบเกลือนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือขึ้น
นี่เจตนามันเป็นอย่างนี้


มันจะพูดเบอยๆไป เหมือนกับจะให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเองรู้

แต่ไม่เจาะจง ลงตรงชัด ว่าตนรู้ชัด


เรื่องทุกเรื่องที่มันฟังมา อ่านมา
มันจะเอามา ปรับแก้นิดหนึ่งในแบบฉบับตนเอง
แล้วโพสพูดออกไป
เพื่ออะไร
ให้คนอื่น อ่านฟังแล้ว เชื่อตามในสิ่งที่เราอยากให้ รู้ ว่ามันเป็นอย่างนั้น


ควรปาราชิกหรือไม่หนอ
__________
ก็การที่เทวดาทั้งหลาย ไม่ค่อยสนใจมนุษย์จากโลกมนุษย์มากนั้น
ก็เพราะเหตุว่า ภพของเทวดา เป็นภพที่ต้องเสวยสุข

ไม่ใช่ภพที่ต้องมาเป็น ร บ พ ให้มนุษย์
ตลอด ๒๔ ชัวโมง

และ
________
บบุญอ่อนกำลัง

ครั้งนั้น พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน1 วันหนึ่งพระพุทธองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นขอทานชรา คนหนึ่งกับภรรยายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน เพื่อคอยรับอาหารที่เหลือจากพระภิกษุและสามเณร พระบรมศาสดาจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เห็นดังนั้นจึงทูลถามถึงสาเหตุพระบรมศาสดาจึงตรัสบอกพระอานนท์ให้ดูขอทานชราคู่นั้น แล้วตรัสเล่าเรื่องของขอทานคู่นี้แก่พระอานนท์ โดยย่อดังนี้

          ชายชราขอทานนั้น เป็นบุตรเศรษฐีแห่งกรุงพาราณสี ผู้มีสมบัติ 80 โกฏิ (800 ล้าน) มารดา
บิดาของเขาไม่ได้ส่งเสริม ให้บุตรได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาใดๆ นอกจากการเล่นดนตรี ขับร้องฟ้อนรำเพื่อความ สนุก สนาน ด้วยคิดว่าทรัพย์ที่ตนมีอยู่นั้นมากมายพอที่บุตรชายคนเดียวของตนจะใช้หาความสุขความบายไปจนตลอดชีวิตฝ่ายภรรยาของเขาก็เป็นบุตรีเศรษฐีมีทรัพย์ 80 โกฏิเหมือนกัน เมื่อมารดาบิดาของทั้ง สองฝ่ายถึงแก่กรรมสามี ภรรยาคู่นี้จึงมีทรัพย์รวมกันถึง 160 โกฏิ และอสังหาริมทรัพย์ อื่นๆ เป็นอันมากครั้นต่อมา เศรษฐีหนุ่มติดสุรา เขาใช้ทรัพย์หมดไปแต่ละวันๆ ด้วยการหาความ สนุก สนานเพลิดเพลินจากอบายมุขต่างๆ มีสุราเป็นสำคัญกับเหล่านักเลงที่เข้ามาห้อมล้อม เป็นบริวารมากมาย โดยมิได้ประกอบกิจการงานใดๆ เลยทั้ง สองสามีภรรยา จึงมีแต่รายจ่าย ไม่เคยมีรายรับ กาลเวลาผ่านไปหลายปี ทั้ง สองผลาญทรัพย์ 160 โกฏิจนหมดสิ้น ต่อจากนั้นก็หันมาขายเรือก สวนไร่นา ยานพาหนะสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แม้แต่บ้านของตนเอง ในที่สุดก็มี ภาพเป็นขอทานชราดังที่เห็นอยู่นี้เมื่อตรัสแสดงความเป็นมาของขอทานชราคู่นี้แล้ว พระบรมศาสดาจึงตรัสต่อไปอีกว่า ถ้าบุตรเศรษฐีรู้จักประกอบการงานในปฐมวัยก็จะได้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของนครพาราณสี แต่ถ้าออกบวชก็จะบรรลุอรหัต แม้ภรรยาของเขาก็จะบรรลุอนาคามิผลถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป รู้จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย เขาก็จะได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 2 ถ้าออกบวชก็จะได้เป็น พระอนาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จะดำรงอยู่ใน สกทาคามิผลถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป รู้จักประกอบการงานในปัจฉิมวัย เขาก็จะได้เป็นเศรษฐีชั้น 3 ถ้าออกบวช ก็จะได้เป็นสกทาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จะดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แต่บัดนี้บุตรเศรษฐีนั้นเสื่อมจากโภคทรัพย์ของคฤหัสถ์แล้ว เสื่อมจากสามัญญผลแล้ว (ผลแห่งความเป็น สมณะ)ในกรณีบุตรเศรษฐีผู้กลับกลายเป็นขอทานในวัยชราเช่นนี้ ถ้าจะพิจารณาโดยอิงอาศัยเหตุและผลตามหลักการของเรื่องโลกนี้โลกหน้าและผลวิบากของกรรมแล้ว ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ในอดีตชาติทั้งบุตรเศรษฐีและภรรยาของเขาได้สั่ง สมบุญ คือ ทำทานและรักษาศีลมาเป็นอย่างดี จึงได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวยในโลกนี้ แต่เพราะเหตุที่ขาดการบำเพ็ญสมาธิภาวนา บุคคลทั้ง 2 จึงขาดปัญญา มารดาบิดาก็มิได้ส่งเสริมให้ศึกษาวิทยาการใดๆขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ บุคคลทั้ง 2 ก็มิได้สั่ง สมบุญกุศลใหม่อีกเลย มิหนำซ้ำยังจมอยู่กับอบายมุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นสามีที่ติดสุราอย่างหนัก เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว โลกหน้าของบุคคลทั้ง 2 ย่อมเป็นทุคติอย่างแน่นอน อาจถึงขั้นต้องได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อยู่ในมหานรกนับด้วยหลายล้านปีครั้นเมื่อพ้นจากการทรมานในมหานรก ได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้อีก ก็จะเป็นคนยากจนข้นแค้น เพราะไม่เคยบำเพ็ญทานไว้ในโลกนี้เลย อาจถึงขั้นต้องเป็นขอทานตั้งแต่ยังเป็นทารกก็ได้สำหรับผู้เป็นสามีนั้นนอกจากจะเกิดในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นแล้ว ยังอาจจะเป็นเด็กปัญญาอ่อน เพราะเศษกรรมจากการติดสุราที่ยังหลงเหลืออยู่อีกด้วย
__________
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียน
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒

๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหม

ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้น
อันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น
ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้ว
ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุ
ผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าว
ของชาวรัฐ จะประเสริฐอะไร.


ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ
ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม
บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน
ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ 


๔. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้
ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้
ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอา
ตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน
ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้


บทว่า มุ่งความหมดจด คือ ประสงค์จะเป็นคฤหัสถ์ หรือประสงค์จะเป็นอุบาสก
หรือประสงค์จะเป็นอารามิก หรือประสงค์จะเป็นสามเณร
คำว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้
กล่าวว่าเห็น ความว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นธรรมเหล่านั้น อนึ่ง ข้าพเจ้า
ไม่มีธรรมเหล่านั้น และข้าพเจ้าไม่เห็นชัดในธรรมเหล่านั้น
คำว่า ข้าพเจ้าพูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่าๆ ความว่า ข้าพเจ้าพูดพล่อยๆ พูดเท็จ
พูดไม่จริง พูดสิ่งที่ไม่มี ข้าพเจ้าไม่รู้ได้พูดแล้ว
บทว่า เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ คือ ยกเสียแต่เข้าใจว่าตนได้บรรลุ.


[๒๔๐] ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ปฐมฌาน ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑
เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ
แล้ว ต้องอาบัติปาราชิก
___________
คำถาม คำตอบจากจิตอาตมา

เธอไปทำเรื่องอะไรไว้?
ตอบ:ไปโพสรูปคนตาย

เธอโพสทำไม เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ทำไมถึงโพส?
ตอบ: ด้วยเหตุที่กระผม เคยช่วย ดวงวิญญาณคนตายคนหนึ่ง ที่ถูกยิงตาย อยู่ชลประทาน 
และเคยแผ่เมตตาแบบอัปมัญญา และเจาะจงไปให้ผีเด็กผู้หญิงและอุทิศพลังบุญให้ หลังจากนั้นแกก็เข้ามานั้งใกล้ๆขอบคุณผม

และเคยอุทิศบุญให้กับผีพ่อลูกคู่หนึ่ง
ลูกชาย) ซึ่งข้อร้องให้ช่วยหน่อย เราเองซึ่งเป็นคนสงสารคนเก่ง ขนาดผีเขายังอยากพ้นภพนั้นออกมาเลย ถ้าช่วยได้ก็ทำไมไม่เลือกช่วยไปเลย
ผมจึงเลือกที่จะช่วย ครับ

เธอสามารถมองเห็นผีได้เหรอ:
ตอนเป็นโยมผมไม่รู้ว่าจิตผมมันเป็นอะไร
มันมองเห็นวิญญาณได้เอง 
พอผมมาบวช ผมก็มองเห็นผีเดินผ่าน แต่ไม่ตลอดเวลา ถ้าจิตฟุ้งซ้านไม่สงบวุ่นวาย
ผมจึงคิดว่า ชาติก่อนผมเคยมีตาทิพย
ถ้าผมทำสมาธินุ่นต่อให้มันเชื่อมกันได้ตลอดเวลา ก็จะมองเห็นได้ตลอดเวลา


แล้วยังไงต่อ?
ตอบ: ในโลกของผี ก็มีเบียดเบียนซึ่งกันและกันเหมือนมนุษย์นี่แหละ ไม่ใช่ที่ ที่ควรไปอยู่เลย ฟังเทศพระวัดป่า ท่านก็เทศไว้ อย่าไปกลัวแต่ให้สงสารเขา

คนตายที่ก็ทำบุญ ทำไมจึงมีไปเกิดเป็นผี
ตอบ: อารมณ์ของจิตสุดท้ายสำคัญที่สุด
ถ้าพลาดเป็นผี แล้วมีคนช่วย ทำอะไรสักอย่างเข้าไปกระแทกจิตเขา
ให้พลิกจากอกุศล เป็นจิตเย็นเป็นจิตสงบเป็นกุศลขึ้นมา
ก็จะเลื่อนภพภมูิขึ้นไปเป็นภพภูมิที่สมควรแก่กุศล นั้นก็คือไปเกิดหรือเข้าครรณ์เข้าท้องมนุษย์
หรือถ้าสูงกว่านั้นหน่อยก็เกิดในแดนทิพย์
เป็นภพที่เสวยกุศล เพลินไปกับรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ อารมณ์ทิพย์
เป็นปกติของเทวดานางฟ้า

ดังนั้นไม่มีผี ที่จะอยู่เป็นผีตลอดไป
ถ้าจิตเขาพลิกเป็นกุศลได้ ก็ดับจากภพนั่นโผ่ภพอื่น
แต่ยากที่จิตสัมภวะเวสีจะเป็นกุศลขึ้นได้
เอง 


แล้ววิบากกรรมมีเกี่ยวโยงกันยังไงบ้าง
ตอบ: กระผมช่วยเขา แน่นอนว่าในอนาคตหลายภพชาติข้างหน้า
เขาจะได้ช่วยผมในด้านที่สว่าง และพวกเพื่อนหลายๆคนที่มีจิตช่วยในตอนนั้นด้วย
ผู้ให้ ย่อมได้ การให้ตอบ
ผู้ช่วย ย่อมได้ การช่วยตอบ


ส่วนผู้ผูกเวรกระผม ผมได้แต่อยากให้เขาคลายออก อย่าได้มีเวร ต่อกันและกันเลย มันเป็นบาปอกุศลทางใจ ไม่มีข้อดีเลย

ถ้าผู้ผูกเวรเจออาตมาในภพชาติใหม่
เขาจะมีความรู้สึกไม่ดีต่ออาตมา เนื่องจากผูกเวรไว้ อาจจะทำร้าย หรือด่า หรือวางแผนฆ่าเลย

เหมือนผู้ผูกเวรพระพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสรู้แล้ว นางคนหนึ่งเคยผูกเวรกับพระพุทธเจ้าไว้แล้วในชาติก่อน
มาชาติใหม่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ทำกับกรรมกับพระองค์ก็พินาศไป แผ่นดินแยกออก สูบทางนั้นตกลงไป
แล้วไปเกิดในนรกต่อ

ส่วนอาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ก็คงไม่ถึงกับแผ่นสูบหรือตกนรก
แต่ก็มีวิบากกรรมกับผู้เบียดเบียนอยู่ดี
ไม่น้อยก็มาก


และผมถามกับตนเองว่า?
เรื่องนี้ทำผิดหรือไม่ ทำถูกหรือไม่?

ตอบ: ผมตอบเป็น2นัยยะ ผมว่าทางธรรม ผมทำถูกมาก
แต่ทางโลกผมยอมรับว่าผมทำผิด
ที่ไม่ได้ไปขออนุญาติก่อน

เหมือนจะดีเหมือนจะสว่างเป็นเรื่องดี แต่ผิดตรงไม่ได้ไปขออนุญาตโยมตระกูล เขาก่อน

ได้แต่มีคำเดียวคือ ขอโทษฆราวาสที่ในส่วนทางโลก
______________
ขอถาม  ปัจจุบันนี้ แมนเฮาบอครับที่เป็นผู้ฮู้ อยู่เดียวนี้

หลวงปู่ตอบ: 



ถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เมื่อเธอเสวยชีพอยู่ ก็ให้รู้เฉยๆ
ชีพนี้คือชีวิตแมนบอครับ
ตอบ แมนชีพนี้คือชีวิต
ถาม นิพพานมีสภาวะชีพแบบนี้บอครับ
ตอบ บ่อ










ถาม เฮ็ดจังใด๋ เฮาจังสิเห็นวิญญาณเกิดดับครับ?

ตอบ:เฮากะหยิกแขนเบิงติละ แล้วมันเจ็บ
แล้วเซ่าหยิก 


ถามหลวงปู่ครับ
เฮาฮู้สึกว่า สิ่งที่ถูกรู้นั้นบอเที่ยง
สุขกะบอเที่ยง ทุกข์กะบอเที่ยง เฉยๆกะบอเที่ยง แต่ฮู้สึกว่า ผู้รู้นิเที่ยง
แต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นบอเที่ยง
หลวงปู่ตอบ" ถ้าเฮายึดว่าผู้รู้เที่ยง มันกะเป็นอัตตา  มันบ่อแมนอนิจจังทุกข์ขังอนัตตา
มันกะนิพพานบอได้#
"ผู้รู้กะบอเที่ยง"


[ถามหลวงปู่ครับ: ตัวธรรมมารมณ์นิ เป็นเวทนา๓ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา แม่นบอครับ?

หลวงปู่ตอบ:........ 

(จำไม่ค่อยได้) 
ถาม หลวงปู่เฮ็ดจังใด๋ครับ กับธรรมารมณ์"

หลวงปู่ตอบ "ให้เบิ่งมันซื่อๆ"

"ธรรมารมณ์กะบอเที่ยง"

"ธรรมทั้งหลายทั้งปวง บอเที่ยง
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมิด"]

หลวงปู่พูด:โกรธก็เป็นเวทนา รักก็เป็นเวทนา เกลียดก็เป็นเวทนา โมโหก็เป็นเวทนา



ถาม พระสารีบุตรหลุดพ้นตรงเวทนา๓
แสดงว่า เบิ่งแต่เวทนา๓เกิดดับกะได้แมนบอครับ

เพิลกะเห็น รูปขันธ์เป็นอนิจจังทุกข์ขังอนัตตาคือกัน

ตอบ:กะต้องไล่(หลุด)มาเมิดในขันธ์๕
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จังสินิพพาน
พิจารณาไปทุกขันธ์ 
ให้เห็นเป็นอนิจ จังทุกข์ อนัตตา
่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์#


ถาม: หลวงปู่ครับถ้านั้งสมาธิ เห็นแสงให้ทำยังไง
ตอบ ให้เบิ่งมันซือๆ

ถาม สีใด๋กะตาม แมนบอครับ
ตอบ แมน..สีใด๋กะตามให้เบิงมันซื่อๆ

ถาม แสงใหญ่ แสงน้อยกะช้างแมนบอครับ
ตอบ แมน..แสงสิน้อยใหญ่กะช้าง
ให้เบิงมันซื่อๆ 

ถาม ถ้ามันพาไปเบิงนรกสวรรค์
มันเป็นนิมิตแท้หรือตั๋วเฮาครับ
ตอบ: อย่าไปยึดมัน ถ้ายึดมันกะมะสิแมนนิพพาน


ถาม หลวงปู่ครับ เวลา ภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง ,ยุบหนอพองหนอ


พุทโธให้รู้พุทโธเฉยๆ สัมมาอะระหังให้รู้สัมมาอะระหัง
สวดมนต์ก็ให้รู้สวดมนต์
ใช่ไหมครับ
ตอบ ใช่ พุธโท ให้รู้พุทโท
___________
ขอถาม  ปัจจุบันนี้ แมนเฮาบอครับที่เป็นผู้ฮู้ อยู่เดียวนี้

หลวงปู่ตอบ: 



ถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เมื่อเธอเสวยชีพอยู่ ก็ให้รู้เฉยๆ
ชีพนี้คือชีวิตแมนบอครับ
ตอบ แมนชีพนี้คือชีวิต
ถาม นิพพานมีสภาวะชีพแบบนี้บอครับ
ตอบ บ่อ










ถาม เฮ็ดจังใด๋ เฮาจังสิเห็นวิญญาณเกิดดับครับ?

ตอบ:เฮากะหยิกแขนเบิงติละ แล้วมันเจ็บ
แล้วเซ่าหยิก 


ถามหลวงปู่ครับ
เฮาฮู้สึกว่า สิ่งที่ถูกรู้นั้นบอเที่ยง
สุขกะบอเที่ยง ทุกข์กะบอเที่ยง เฉยๆกะบอเที่ยง แต่ฮู้สึกว่า ผู้รู้นิเที่ยง
แต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นบอเที่ยง
หลวงปู่ตอบ" ถ้าเฮายึดว่าผู้รู้เที่ยง มันกะเป็นอัตตา  มันบ่อแมนอนิจจังทุกข์ขังอนัตตา
มันกะนิพพานบอได้#
"ผู้รู้กะบอเที่ยง"


[ถามหลวงปู่ครับ: ตัวธรรมมารมณ์นิ เป็นเวทนา๓ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา แม่นบอครับ?

หลวงปู่ตอบ:........ 

(จำไม่ค่อยได้) 
ถาม หลวงปู่เฮ็ดจังใด๋ครับ กับธรรมารมณ์"

หลวงปู่ตอบ "ให้เบิ่งมันซื่อๆ"

"ธรรมารมณ์กะบอเที่ยง"

"ธรรมทั้งหลายทั้งปวง บอเที่ยง
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมิด"]

หลวงปู่พูด:โกรธก็เป็นเวทนา รักก็เป็นเวทนา เกลียดก็เป็นเวทนา โมโหก็เป็นเวทนา



ถาม พระสารีบุตรหลุดพ้นตรงเวทนา๓
แสดงว่า เบิ่งแต่เวทนา๓เกิดดับกะได้แมนบอครับ

เพิลกะเห็น รูปขันธ์เป็นอนิจจังทุกข์ขังอนัตตาคือกัน

ตอบ:กะต้องไล่(หลุด)มาเมิดในขันธ์๕
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จังสินิพพาน
พิจารณาไปทุกขันธ์ 
ให้เห็นเป็นอนิจ จังทุกข์ อนัตตา
่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์#


ถาม: หลวงปู่ครับถ้านั้งสมาธิ เห็นแสงให้ทำยังไง
ตอบ ให้เบิ่งมันซือๆ

ถาม สีใด๋กะตาม แมนบอครับ
ตอบ แมน..สีใด๋กะตามให้เบิงมันซื่อๆ

ถาม แสงใหญ่ แสงน้อยกะช้างแมนบอครับ
ตอบ แมน..แสงสิน้อยใหญ่กะช้าง
ให้เบิงมันซื่อๆ 

ถาม ถ้ามันพาไปเบิงนรกสวรรค์
มันเป็นนิมิตแท้หรือตั๋วเฮาครับ
ตอบ: อย่าไปยึดมัน ถ้ายึดมันกะมะสิแมนนิพพาน


ถาม หลวงปู่ครับ เวลา ภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง ,ยุบหนอพองหนอ


พุทโธให้รู้พุทโธเฉยๆ สัมมาอะระหังให้รู้สัมมาอะระหัง
สวดมนต์ก็ให้รู้สวดมนต์
ใช่ไหมครับ
ตอบ ใช่ พุธโท ให้รู้พุทโท

ขอถาม  ปัจจุบันนี้ แมนเฮาบอครับที่เป็นผู้ฮู้ อยู่เดียวนี้

หลวงปู่ตอบ: 



ถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เมื่อเธอเสวยชีพอยู่ ก็ให้รู้เฉยๆ
ชีพนี้คือชีวิตแมนบอครับ
ตอบ แมนชีพนี้คือชีวิต
ถาม นิพพานมีสภาวะชีพแบบนี้บอครับ
ตอบ บ่อ










ถาม เฮ็ดจังใด๋ เฮาจังสิเห็นวิญญาณเกิดดับครับ?

ตอบ:เฮากะหยิกแขนเบิงติละ แล้วมันเจ็บ
แล้วเซ่าหยิก 


ถามหลวงปู่ครับ
เฮาฮู้สึกว่า สิ่งที่ถูกรู้นั้นบอเที่ยง
สุขกะบอเที่ยง ทุกข์กะบอเที่ยง เฉยๆกะบอเที่ยง แต่ฮู้สึกว่า ผู้รู้นิเที่ยง
แต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นบอเที่ยง
หลวงปู่ตอบ" ถ้าเฮายึดว่าผู้รู้เที่ยง มันกะเป็นอัตตา  มันบ่อแมนอนิจจังทุกข์ขังอนัตตา
มันกะนิพพานบอได้#
"ผู้รู้กะบอเที่ยง"


[ถามหลวงปู่ครับ: ตัวธรรมมารมณ์นิ เป็นเวทนา๓ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา แม่นบอครับ?

หลวงปู่ตอบ:........ 

(จำไม่ค่อยได้) 
ถาม หลวงปู่เฮ็ดจังใด๋ครับ กับธรรมารมณ์"

หลวงปู่ตอบ "ให้เบิ่งมันซื่อๆ"

"ธรรมารมณ์กะบอเที่ยง"

"ธรรมทั้งหลายทั้งปวง บอเที่ยง
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมิด"]

หลวงปู่พูด:โกรธก็เป็นเวทนา รักก็เป็นเวทนา เกลียดก็เป็นเวทนา โมโหก็เป็นเวทนา



ถาม พระสารีบุตรหลุดพ้นตรงเวทนา๓
แสดงว่า เบิ่งแต่เวทนา๓เกิดดับกะได้แมนบอครับ

เพิลกะเห็น รูปขันธ์เป็นอนิจจังทุกข์ขังอนัตตาคือกัน

ตอบ:กะต้องไล่(หลุด)มาเมิดในขันธ์๕
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จังสินิพพาน
พิจารณาไปทุกขันธ์ 
ให้เห็นเป็นอนิจ จังทุกข์ อนัตตา
่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์#


ถาม: หลวงปู่ครับถ้านั้งสมาธิ เห็นแสงให้ทำยังไง
ตอบ ให้เบิ่งมันซือๆ

ถาม สีใด๋กะตาม แมนบอครับ
ตอบ แมน..สีใด๋กะตามให้เบิงมันซื่อๆ

ถาม แสงใหญ่ แสงน้อยกะช้างแมนบอครับ
ตอบ แมน..แสงสิน้อยใหญ่กะช้าง
ให้เบิงมันซื่อๆ 

ถาม ถ้ามันพาไปเบิงนรกสวรรค์
มันเป็นนิมิตแท้หรือตั๋วเฮาครับ
ตอบ: อย่าไปยึดมัน ถ้ายึดมันกะมะสิแมนนิพพาน


ถาม หลวงปู่ครับ เวลา ภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง ,ยุบหนอพองหนอ


พุทโธให้รู้พุทโธเฉยๆ สัมมาอะระหังให้รู้สัมมาอะระหัง
สวดมนต์ก็ให้รู้สวดมนต์
ใช่ไหมครับ
ตอบ ใช่ พุธโท ให้รู้พุทโท


____________
ให้ยอมรับตนเองก่อนว่า กำลังยึดทุกข์ อารมณ์ทุกข์กำลังครอบจิตอยู่
จิตหลุดออกจากอารมณ์ เป็นโปร่งๆเบาๆไม่ได้เลย
เหมือนกำลังติดเหยื่ออารมณ์อยู่
ให้ยอมรับตามความเป็นจริง

แล้วถามพูดตอบกับตนเอง หาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เกิดประโยชน์ไหม หรือไม่เกิดประโยชน์เลย กับการที่เรายังดำรงจิตอยู่ในภาวะเช่นนี้

ให้ถามตนเอง
เราอยากหลุดออกจากอารมณ์นี้ไหม


ชอบไหมที่จิตถูกสังขารปรุงกิเลสเศร้าหมองมาครอบจิตแบบนี้

และการที่เราจิตเศร้าหมองแบบนี้
เดือดร้อนคนอื่นไหม

การที่เราปล่อยให้จิตเศร้าหมอง
เราจะเป็นไปตามดวงดาวโหราศาสต์

ตอนนี้เคราะห์กำลังเข้า ถ้าเราปล่อยจิตให้เศร้าหมอง เรื่องไม่ดีจะมาเรื่อยๆ 

เหมือนอย่างที่เราโพสไปในเจตนาดี
แต่ผลออกมาร้าย

ถ้าเราปล่อยจิตให้เศร้าหมอง
เขาอาจจะ เอาเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล
หรือจ้างมือปืนมายิ่ง ก็เป็นได้

เขาก็จะบาปอีก
เพราะดวงเราเคราะห์กำลังเข้า
_______

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น