วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2566

คนเรามีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน"

คนเรามีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน"

จะบังคับให้มุ่งไปทางเดียวกันนั้นย่อมไม่ได้"

แม้อุปนิสัยอนุสัยใจคอยังไม่เหมือนกันเลย แล้วจะให้มีจิตมุ่งไปทางเดียวกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

ดูเด็กในร้านอินเตอร์เน็ต
แม้มาร้านอินเตอร์เน็ตเหมือนกัน
ก็ใช้คอมไม่เหมือนกันเลย
บางคนเล่นเกมฟุตบอล
บางคนเล่นเกมยิง
บางคนเล่นเฟส
บางคนดูยูทูป
บางคนโหลดหนัง
บางคนแต่งรูป

แม้พระภิกษุก็มีอุปนิสัย อนุสัย ต่างกัน
บางรูปเป็นอย่างนี้
บางรูปเป็นอย่างนั้น

คือบางรูปชอบฤทธิ์(ต้องการมีฤทธิ์) ก็ไปเป็นลูกศิษย์พระโมคคัลลานะ

บางรูปชอบทิพย์จักขุ(ต้องการตาทิพย์)
ก็ไปเป็นลูกศิษย์พระอนุรุทธะ

บางรูปชอบมีปัญญามาก
ก็ไปเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร

บางรูปชอบทรงวินัย
ก็ไปเป็นลูกศิษย์เรียนวินัยกับพระอุบาลี

ถ้าเราปราถนายศ เราคงวิ่งเต้น กระตือลือล้น
เพื่อให้ได้มาซึ่งยศ

ถ้าเราชอบการงาน เราคงไม่พยายามหลบหลีกเลี่ยง
ปลีกไปวิเวก

สิ่งที่เราปราถนาคือ

เรามีความปราถนาสิ่งหนึ่ง คือ
"ความหลุดพ้นแห่งจิต" คืออรหันตผล สิ้นชาติภพ

ไม่อยากเกิดอีกแล้ว
ดับหายไป..สูญหายเลยยิ่งดี

พระในวัดนี้เราก็ไม่รู้ว่า พวกท่านบวชมุ่งอะไร?

ท่านบวชเพื่อมรรคผลหรืออะไร

แต่เราบวชครั้งที่๒(บวชทางใจ)
เพราะครั้งแรกบวชตามประเพณี

ช่วงพรรษา๒ เป็นใจใหม่แล้ว "เป็นใจ..เพื่อการบรรลุธรรม"

ลักษณะของผู้ที่ได้วิปัสนาญาณแล้ว

พระมงคลชัย กิตติโสภโณ 
12 พ.ค. 2021
ลักษณะของผู้ที่ได้วิปัสนาญาณแล้ว
จะมีแต่เห็นว่า ไม่เที่ยง(เปลี่ยนแปลง) เป็นทุกขัง(ไม่มีอะไรอยู่
ในสภาพเดิมได้) เป็นอนัตตา(แปรปรวนหาย)
ทั้งอายตนะภายนอก อายตนะภายใน
ทั้งรูปขันธ์
เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์
วิญาณขันธ์
ส่วนลักษณะของผู้ได้สมถะสมาธิเต็ม ทางร่างกายจะผ่อ
งใสมาก ดูสุขภาพร่างกายสดใสมาก มีน้ำมีนวล
ทางใจ จะไม่มีความโกธร ร้อนกระวนกระวายใจ คับแค้นใจ
หงุดหงิด ซึ่มเศร้า หดหู
ทั้งนี้เพราะสมาธิเต็มแล้ว ก็คือพระอนาคามี เข้านิโรธสมาบัติได้
พระอนาคามี ราคะไม่มีแล้ว โทสะไม่มีแล้ว และเป็นผู้บริบูรณ์
ในศีลและสมาธิ
ส่วนพระโสดาบัน ได้วิปัสนาญาณ
ในระดับต้น แต่สมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิแล้ว
# ผู้ที่สนใจ cd วิธีปฏิบัติธรรม สามารถขอได้นะ เพราะ
จะทำแจกเยอะมาก

Phra Mongkhonchai Kittisopano

 12 May 2021

 Characteristics of those who have gained insight

 will only see that  impermanent (changing), being dukkha (nothing exists)

 in its original state) is anatta (varies and disappears)

 Both external sense-tanas and internal sense-tanas

 both the aggregate

 compassion

 Promise Khan

 body

 Spirit Khan

 As for the characteristics of those who have achieved full concentration  The body will loosen

 very clear, looks healthy, very bright, full of water

 Mentally, there will be no anger.  hot, anxious, resentful

 Irritated, depressed, depressed

 This is because concentration is full.  is Phra Anagami  Able to enter nirvana

 Anagami, lust no more  Tosa is no more  and is complete

 in precepts and meditation

 single monk  gained insight

 At the beginning level, but already complete with right view

 #Those who are interested in cd Dharma practice  can request because

 will give away a lot

Phra Mongkhonchai Kittisopano

 2021 年 5 月 12 日

 獲得洞察力的人的特徵

 只會看到那個 無常(變化),是 dukkha(不存在)

 在其原始狀態下)是無我(變化和消失)

 外感官禪修和內感官禪修

 兩者的總和

 同情

 無極汗

 身體

 靈汗

 至於那些已經達到全定力的人的特徵 身體會鬆

 很清澈,看起來很健康,很亮,很水

 心理上,不會有生氣。 熾熱的、焦慮的、怨恨的

 煩躁,沮喪,沮喪

 這是因為定力滿了。 是阿那含 能入涅槃

 Anagami,不再有慾望 土佐不在了 並且是完整的

 在戒律和禪修中

 單身和尚 獲得見識

 初階,正見已圓滿

 #有興趣修cd佛法者 可以要求因為

 會放棄很多

แต่ละเช้า คลื่นสมองของคนเราไม่เท่ากัน

. แต่ละเช้า คลื่นสมองของคนเราไม่เท่ากัน
ทำให้หงุดหงิดหรือสดชื่นต่างกัน
ขึ้นอยู่กับว่าการหลับนอนในชั่วเวลาข้ามคืนที่ผ่านมา
เกิดการปรุงแต่งจิต ให้ฟุ้งมากฟุ้งน้อย ขาดระเบียบเพียงใด
ไม่ตั้งเป้า
ว่าวันนี้จะทำอะไร
เท่ากับตั้งเป้า
ว่าวันนี้จะฟุ้งซ่าน!
คนส่วนใหญ่เล่นเกมชีวิตแบบทอดลูกเต๋าส่งเดช
รอให้แต่ละเช้าบอกว่า
วันนี้ ‘บังเอิญ’ อารมณ์ดีหรือไม่ดี
วันนี้ ‘สุ่มหา’ อะไรทำดี
วันนี้ ‘รอดู’ ว่าจะเกิดอะไรดีๆกับชีวิตบ้างไหม
การตื่นเช้าแบบไม่มีเป้าหมายไว้ล่วงหน้า
มีผลให้คุณลืมตามาใช้ชีวิตแบบ ‘นักพนันทางอารมณ์’
ไม่รู้จะได้หรือเสีย เพราะเอาแน่เอานอนไม่ได้ว่า
วันไหนอยากยิ้มหรืออยากอาละวาด
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
แล้วทีนี้ออกจากบ้าน
เรามีความเคยชินในการเดินทาง
จากบ้านไปที่ทำงานอย่างไร?
คนส่วนใหญ่จะคิดเรื่องเลื่อนลอยไปเรื่อย
เริ่มต้นขึ้นมามักจะเป็นว่ารถติดจัง
เมื่อไหร่จะถึงที่ทำงานสักที
เหมือนกับออกมาต้องอยู่ในนรกบนถนนทุกวัน
มันด้านชาไปซะแล้ว
ก็กลายเป็นความรู้สึกเหมือนกับจิตใจมันวนอยู่
กับความฟุ้งซ่านเบื่อหน่าย
แล้วก็พร้อมที่จะเตลิดไปไหนก็ได้ ที่มันไม่ใช่อยู่ในรถ
ส่วนใหญ่ถ้าหากว่าสายตาไม่มีที่หมาย จิตใจไม่มีทิศทาง
มันก็ไปถึงสวรรค์ถึงวิมานนั่นแหละ
ที่เขาเรียกว่าวิมานในอากาศ
เราก็สร้างไปเรื่อย สิ่งที่ชอบใจ
สิ่งที่สามารถจะพาเราหนีออกไปจากความเบื่อหน่าย
ในชั่วขณะการเดินทางได้ เราเอาหมด
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ขอให้คำนึงนะ อย่างเช่นที่คนปลีกวิเวก
พักงานแล้วก็ไปสู่สถานที่ปฏิบัติธรรม
ก็มักจะพูดตรงกันว่า โอ้โห! พอไม่ได้อยู่ในเมือง
พอห่างออกมาจากความวุ่นวาย
หรือว่าหน้าที่การงานซึ่งเป็นภารกิจหลักแล้ว
จะรู้สึกว่าภาวนาง่ายมาก สมาธิตั้งมั่นได้ง่าย
หรือว่ามันมีความรู้สึกชุ่มฉ่ำ
ไม่เหมือนกับตอนอยู่ในเมืองเลย
อันนั้นเป็นเพราะอะไร?
เพราะตื่นเช้าขึ้นมามันมีจุดหมาย
มันมีความรู้สึกผูกพันเป็นภาระว่า
เรามาอยู่ที่นี่ เราจะต้องทำตัวดีๆ ต้องทำตัวขยัน
ต้องสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ใจมันมีเครื่องตั้ง ใจมันมีที่หมาย !
ใจมันมีความสว่างเป็นเครื่องผูกจิตอยู่!
แม้กระทั่งการกินการอยู่การอะไรต่างๆ
ใจเราก็ไม่สะเปะสะปะ มีทิศทางชัดเจนไปหมด
นั่นแหละคือเหตุปฐมเหตุของความตั้งมั่นทางใจ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
หากทุกเช้า คุณสามารถ
..ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย
..แล้วสวดมนต์ หรือทำสมาธิ
ได้ต่อเนื่องสองเดือนขึ้นไป
ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน!
เพราะไม่ว่าการหลับและความฝัน
จะปรุงแต่งจิตให้ฟุ้งหรือสงบ
ความเคลื่อนไหวทางกายและการออกกำลังทางจิต
จะก่อให้เกิดความแตกต่างในทางดีขึ้นเสมอ
ถ้าดีอยู่แล้ว ก็จะดีขึ้นไปอีก
หรือถ้าแย่อยู่ก่อน ก็จะโปร่งโล่งกว่าเดิมเป็นอย่างน้อย
แม้คุณจะไม่ได้เป็นคนมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ในชีวิต
แต่วิธีคิดในแต่ละเช้าก็จะไม่กระเด็นกระดอนเหมือนลูกเต๋า
เพราะมีเป้าหมายเล็กๆที่ต้องทำให้สำเร็จแน่นอน
คือ ขยับแข้งขยับขา
ใช้พลังงานไปเพื่อก่อให้เกิดกำลังกายกำลังใจ
ถ้าถามว่าจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้หนึ่งสัปดาห์
มีความตั้งมั่นของจิตบ่อยขึ้นกว่านี้?
ก็ต้องบอกตัวเองครับว่า
ตื่นเช้าขึ้นมาเอาเลย
ต้องมีเหตุปัจจัยของความตั้งมั่น
ต้องมีเหตุปัจจัยของความรู้สึกดีๆ
ความรู้สึกที่สงบ
ไม่ใช่ความรู้สึกที่มันพร้อมจะกระจัดกระจาย
ออกไปหาอะไรก็ไม่ทราบ
________________
ร้อยเรียงจากหลากบทความของคุณดังตฤณ

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

แค่แชร์ก็เกิดบุญใช่หรือไม่การบอกบุุญต่อก็เกิดบุญใช่หรือไม่แค่พูดบอกต่อ แต่ไม่ทำก็เกิดบุญใช่หรือไม่คำตอบ ใช่ แต่ถ้าสำเร็จด้วยการกระทำแล้วจะได้มากกว่า

แค่แชร์ก็เกิดบุญใช่หรือไม่
การบอกบุุญต่อก็เกิดบุญใช่หรือไม่
แค่พูดบอกต่อ แต่ไม่ทำก็เกิดบุญใช่หรือไม่
คำตอบ ใช่  แต่ถ้าสำเร็จด้วยการกระทำแล้วจะได้มากกว่า

______
เตรียมงาน...กฐินสามัคคีและพิธีเทปู่ใหญ่ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" วันที่ 19 ตุลาคม 2557 นี้

คนที่ไม่มีธรรมะเวลาทุกข์ใจ

คนที่ไม่มีธรรมะเวลาทุกข์ใจ
เขาจะโทษว่า
มันเกิดขึ้นจาก อายตนะภายนอก๕ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพะ(สิ่งที่มาถูก
ต้องกาย) เป็นต้นเหตุ
ส่วนคนที่มีธรรมะ+มีปัญญา เขาจะไม่โทษอายตนะภายนอก๕ แต่เขาจะ
เข้าใจว่า
มันเกิดขึ้นจาก การหลงปรุงแต่งกระแสนิวรณ์ขึ้นมาเผาใจให้ทุกข์..มิสุขใจเลย
จากนั้นเขาจะ สวดมนต์เพื่อเปลี่ยนการปรุงแต่งใหม่ ให้เป็นการปรุงแ
ต่งตามบทสวดมนต์ หรือเดินจรงกม หรือทำสมาธิ หรือปฏิบัติธรรม
ตามหมวดข้อธรรมต่างๆอันเป็นมรรค หรือพิจารณาว่าเวทนาไม่เที่ยงแน่ๆ
เมื่อทุกข์มาแล้วก็จะจากไปไม่สามารถทนอยู่กับเราได้ตลอดเวลา
และเมื่อสุขมาแล้วก็จะจากไปไม่สามารถทนอยู่กับเราได้ตลอดเวลา แล้ว
เป็นผู้ไม่ติดสุขติดทุกข์ แล้วดำรงไว้ซึ่งแต่อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์บ่อยๆ

พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า

พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า"
"มีความสวยงดงามมาก เหมือนไข่มุข แก้ว เพชร 

#การอันตรธานของพุทธศาสนา

ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนาทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีปต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาคก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวมกันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่าพระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้ นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากันกระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อว่าอันตรธานไป
     #จากพระไตรปิฎก มหามกุฏราชวิทยาลัยเล่ม 15 หน้า 251

มหาพรหมอนาคามีสายจิตตานุปัสนา

มหาพรหมอนาคามี
8 มี.ค. 2016

๑.เวลาที่มีคนด่าเรา?
เสียงด่าของเขานั้นมันไม่ได้ เป็นยาสั่งหรือยาดลใจสั่งให้เรา
ต้องแน่นอกอึดอัดร้อนทุกข์ใจเลย

"ต้องอารมณ์เสียนะ" ไม่มี

"ต้องไม่สบายใจนะ" ไม่มี

"ต้องอารมณ์ไม่ดีนะ" ไม่มี

"ต้องหงุดหงิดนะ" ไม่มี

"ต้องโกธรเลือดขึ้นหน้านะ" ไม่มีสั่งเลย

""
และในเสียงด่า ก็ไม่มีคำพูดหรือคำพยัญชนะ
ที่สั่งจิตเราบอกเรา อ๊ะ..ให้สร้างกระแสจิต ที่เป็นความทุกข์ใจมาเผาตนเองนะ"
เอาให้ร้อนๆไปเลย ระเบิดประทุอยู่กลางใจเลยนะ
ไม่มีบอกเลย

แต่ความอัดอัดแน่นร้อนใจที่เป็นทุกข์นั้น เรานี่เองเป็นผู้ปรุ่งผู้สร้างมันขึ้นมา
เพื่อเผารนบันทอนจิตจนร้อนอกร้อนใจ
จนไม่เป็นสุข

เสียงด่าก็อยู่ส่วนหนึ่ง ที่มาจากปากเขา
..................
ความอึดอัดแน่นร้อนกลางอก
เหมือนมีลูกไฟวิ่งอยู่ภายใน
อันนี้ไม่ได้มาจากเขาเลย

แต่จิตเรานี้เองเป็นผู้สร้างความไม่สบายใจขึ้นมา สร้างมาเผาจิตตนเอง จนเป็นทุกข์ซ้ำใน ทั้งกลางวันและกลางคืน

เมื่อมันผ่านไปแล้ว..... จิตก็ยังปรุงยังสร้างกระแสความทุกข์ขึ้นเผารนอีก ร้อนอกร้อนใจอีกเป็นรอบที่สอง
ผ่านไปอีกก็ยังสร้างมาเผาอีกเป็นรอบที่สาม ที่สี่ ที่ห้า..... จนวันตายก็ไม่รู้

#ตามธรรมดาผู้เป็นปุถุชน ต้องโง่แบบนี้กันทุกคน

ต่อเมื่อได้ฟังหรือได้อ่านจนเขาใจว่า
อ๋อ... ความทุกข์ทางใจ เรานี่เองเป็นผู้โง่สร้างขึ้นมาทำร้ายบันทอนจิตตนเอง
เหมือนกับเผลอเอามีดแทงตนเองเลือดไหลใหญ่เลย....

#นี้คือปุถุชนผู้โง่เขลา

ต่อเมื่อเป็นปุถุชนผู้ฉลาดมีปัญญาดี
ไม่หลงสร้างไฟทุกข์ภายในขึ้นมาซ้ำเติมตน
เขาจะปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ

เขาจะพยายามข่มจิตไว้
ไม่ให้มันโง่..หลงสร้างไฟ
คือความทุกข์ร้อนมาย่างเผาตนเอง

อุปมาเหมือนกับ บุรุษอยู่ในกองฟางข้าว(กองเฟือง)
ถึงจะหนาวแค่ไหน จะข่มจิตไว้ ไม่ยอมหลงจุดไฟเพื่อผิง
เพราะมันจะไหม้ตนเองร้อนตาย

# เขาคนนี้ข่มจิตตนเองไว้
ไม่ให้..หลงก่อไฟร้อนมาย่างเผาตนเอง
เขาไปไหน..มาไหน..ไม่ทุกข์ใจเอิงเอ่ย...
ส่วนคนด่านั้น ด่าไปด้วยทุกข์ไปด้วย
ทั้งๆที่จริงเขาด่าแบบไม่ต้อง มีทุกข์ก็ได้

# ทางตาก็เหมือนกัน

เวลาที่มีคนแสดงอาการเคลือนไหวของร่างกาย ท่าต่างๆ
รูปเคลือนไหวท่าต่างๆนั้นที่เราเห็น
มันไม่ได้เป็นยาสั่งหรือยาดลใจ
สั่งเรา บังคับเรา
ต้องแน่นอกอึดอัดร้อนทุกข์ใจเลย

"ต้องอารมณ์เสียนะ" ไม่มี

"ต้องไม่สบายใจนะ" ไม่มี

"ต้องอารมณ์ไม่ดีนะ" ไม่มี

"ต้องหงุดหงิดนะ" ไม่มี

"ต้องโกธรเลือดขึ้นหน้านะ" ไม่มีสั่งเลย

""
และในรูปที่เคลือนไหว ก็ไม่มีคำพูดหรือคำพยัญชนะ หรือความหมายเป็นนัยว่า
ที่สั่งจิตเราบอกเรา อ๊ะ..ให้สร้างกระแสจิต ที่เป็นความทุกข์ใจมาเผาตนเองนะ"
เอาให้ร้อนๆไปเลย ระเบิดประทุอยู่กลางใจเลยนะ
ไม่มีบอกเลย

แต่ความอัดอัดแน่นร้อนใจที่เป็นทุกข์นั้น เรานี่เองเป็นผู้ปรุ่งผู้สร้างมันขึ้นมา
เพื่อเผารนบันทอนจิตจนร้อนอกร้อนใจ
จนไม่เป็นสุข

รูปเคลื่อนไหวก็อยู่ส่วนหนึ่ง ที่มาจากเขาขยับร่างกายส่วนต่างๆ
คนเดียวบ้าง สองคนบ้าง หลายคนบ้าง
..................
ความอึดอัดแน่นร้อนกลางอก
เหมือนมีลูกไฟวิ่งอยู่ภายใน
อันนี้ไม่ได้มาจากเขาเลย

แต่จิตเรานี้เองเป็นผู้สร้างความไม่สบายใจขึ้นมา สร้างมาเผาจิตตนเอง จนเป็นทุกข์ซ้ำใน ทั้งกลางวันและกลางคืน

เมื่อมันผ่านไปแล้ว..... จิตก็ยังปรุงยังสร้างกระแสความทุกข์ขึ้นเผารนอีก ร้อนอกร้อนใจอีกเป็นรอบที่สอง
ผ่านไปอีกก็ยังสร้างมาเผาอีกเป็นรอบที่สาม ที่สี่ ที่ห้า..... จนวันตายก็ไม่รู้

#ตามธรรมดาผู้เป็นปุถุชน ต้องโง่แบบนี้กันทุกคน

ต่อเมื่อได้ฟังหรือได้อ่านจนเขาใจว่า
อ๋อ... ความทุกข์ทางใจ เรานี่เองเป็นผู้โง่สร้างขึ้นมาทำร้ายบันทอนจิตตนเอง
เหมือนกับเผลอเอามีดแทงตนเองเลือดไหลใหญ่เลย....
#นี้คือปุถุชนผู้โง่เขลา

ต่อเมื่อเป็นปุถุชนผู้ฉลาดมีปัญญาดี
ไม่หลงสร้างไฟทุกข์ภายในขึ้นมาซ้ำเติมตน
เขาจะปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ

เขาจะพยายามข่มจิตไว้
ไม่ให้มันโง่..หลงสร้างไฟ
คือความทุกข์ร้อนมาย่างเผาตนเอง

อุปมาเหมือนกับ บุรุษอยู่ในกองฟางข้าว(กองเฟือง)
ถึงจะหนาวแค่ไหน จะข่มจิตไว้ ไม่ยอมหลงจุดไฟเพื่อผิง
เพราะมันจะไหม้ตนเองร้อนตาย

# เขาคนนี้ข่มจิตตนเองไว้
ไม่ให้..หลงก่อไฟร้อนมาย่างเผาตนเอง
เขาไปไหน..มาไหน..ไม่ทุกข์ใจ เอิงเอ่ย......

ชาตินี้ปุถุชนคนนี้ได้วิชาฉลาด เจอธรรมแท้พระพุทธเจ้า
ไม่หลงสร้างทุกข์ขึ้นมา
เผาตน เมื่อเกิดการเห็นสิ่งอันเป็นที่ไม่น่าพอใจทั้งหลาย ก็เฉยๆไม่รู้จะสร้างความร้อนใจมาเผาตนทำไม หาเหตุผลไม่ได้เลย

....

ถ้าเมื่อต้องมาเกิดชาติใหม่
อุปนิสัยเก่าคือการที่ไม่ยอมสร้างทุกข์ใจขึ้นมาเผาตน จะติดตามมาด้วย...

#คำว่าทุกข์ คืออาการทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่สบายใจ
หงุดหงิดเอ่ย เซงเอ่ย เศร้าเอ่ย โกธรเอ่ย โมโหเอ่ย
แค้นใจเอ่ย กระวนกะวายใจเอ่ย
เจ็บจากการอกหักเอ่ย เป็นต้น

#####################
ในกรณีแห่ง อินทรีย์5
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เมื่อเกิดผัสสะหรือเกิดการเห็น เหมือนสองข้อแรก

คนที่ใช่ต้องต้องเจอกันในเวลาที่มีสิทธิ์?

"คนที่ใช่ต้องต้องเจอกันในเวลาที่มีสิทธิ์? เวลาที่ไม่มีสิทธิ์ต่อให้เคยครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ ถ้าชาตินี้เขาพลัดไปมีคู่ซะแล้ว ยังไงก็ไม่ใช่"

เขาต้องอยู่ในฐานะที่ว่าง(โสด)เท่านั้น นั่นถึงจะมีโอกาสพอเป็นไปได้ว่า เขาหรือเธอเป็นคู่บุญบารมีเก่าในอดีต

แต่ถ้าเขายังครองคู่ถือแขนเป็นแฟนกันอยู่  
แล้วคุณเจอปุ๊บ ! ใจมันรายงานบอกว่า " นั่นแหละใช่ ใช่เนื้อคู่เราใช่แน่ๆ"   

ถ้าเชื่อความคิดนั้น.. อะไรจะเกิด?
"ก็ไปแย่งมานะสิ"  เป็นการผูกเวรเลย บาปด้วย

แต่ถ้าเขาเป็นคู่เก่าคู่บุญบารมีเก่าเรา
เขาหรือเธอคนนั้นจะแยกย้ายกันเอง
โดยที่คุณไม่ได้มีส่วนในการทำให้เขาเลิกกันแม้แต่นิดเลย

แล้วจะมีเหตุให้คุณได้เกี่ยวข้องกับเขาหรือเธอเอง(กรรมเวี่ยงมาเจอกัน)

แต่การได้เกี่ยวข้องกันนั้น ไม่ใช่หมายถึงว่าเขาจะเป็นคู่เสมอไป

ถ้าเขาเป็นคู่บุญเก่า
ถ้าเจอคู่บารมีเก่าที่เคยอยู่กินกันมาหลายภพชาติ
"เห็นปุ๊บ มีความกำหนัดอยากร่วมเพศ อยากจีบเพื่อเอาให้ได้"
นี่ไม่ใช่แล้ว
จะไม่มีความคิดหรือความรู้สึกแบบนี้วนอยู่แต่ในหัว เป็นไปไม่ได้เลย ว่านั่นคือคู่บุญบารมีเก่าเรา

#คู่ในสมัยนี้ มีแต่คู่ปรับ  
ปรับตัวเขาหากัน เรียกว่าสร้างเส้นทางกรรมดีให้เกี่ยวโยงได้อยู่ด้วยกันได้นานๆ อย่างเช่น เอาใส่ใส่ซึ่งกันและกันดี ไม่นอกใจกัน แอบมีไปกั๊ก

กายคตาสติสูตร ถ้าทำถูกต้องสำเร็จบรรลุผล จิตใจเจตสิก

กายคตาสติสูตร ถ้าทำถูกต้องสำเร็จบรรลุผล จิตใจ เจตสิก หรือ นามธรรม จะเป็นจิตที่เบามีความสว่าง 

ไม่ว่าจะปฏิบัติสัญญาที่เป็น รูปสัญญา หรือ             นามสัญญา

รูปสัญญา คือ การกำหนดไปที่กาย มีหมวดสัมประชัญญะบรรพะ อิริยาบรรพะ อานาปานบรรพะ

นามสัญญา คือ การกำหนดไปที่นาม มีหมวด อัฏฐิกะสัญญา ปุฬุวกะสัญญา ไปจนถึง กระดูกแปรสภาพเป็นธุลี

ถ้าเดินจรงกลมจนนิวรณ์ ๕ หายดับหมด
เหลือแต่สภาวะใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์
นั่งแสดงว่าจิตรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว

และถ้าสวดมนต์จนเกิดอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้รู้ การปรุงแต่งสวดมนต์    สวดมนต์ก็เป็นอาการอยู่ต่างหากจาก เหมือนดูเห็นอยู่เฉยๆเหมือนไม่ได้เป็นคนสวด 
นั่นแสดงว่ามีสติทันการปรุงแต่งของจิต ที่ปรุงบทสวดขึ้นมา บทสวดก็มาจากจิตนั่นแหละปรุงขึ้นมา

พลังงานทางจิตมนุษย์จะถูกใช้ทิ้งออกไป ๓ ทาง

พลังงานทางจิตมนุษย์ 
จะถูกใช้ทิ้งออกไป ๓ ทาง
๑ เสียพลังงาน ด้วยกายไหว คือทำการขยับ เป็นต้น
๒ เสียพลังงาน ด้วยวาจาใหว คือพูดจา
๓ เสียพลังงาน ด้วยใจ คือ คิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ

แต่ถ้ากำหนดให้เสียพลังทิ้งโดย เป็นประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
เช่น ถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางกาย โดยการเดินจรงกม (เดินกลับไปกลับมาอย่างสำรวมสบาย)
ก็เป็นประโยชน์ ในทางให้เกิดความสงบ

และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางวาจา
โดยการสวดมนต์ ฯ โดยการบริกรรมซ้ำๆซากๆบ่อยๆว่า นั่งอยู่ๆ 
หรือ เดินอยู่ๆ 
หรือ ยืนอยู่ๆ 
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ

และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางใจ
โดยการ คิดลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร คือคิด" ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา"  
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ

นี้คือการปล่อยพลังงานออกไป โดยเกิดความสงบขึ้นมาแทนที่ใหม่เรื่อยๆ

คนผูกคอตาย คนฆ่าตัวตาย คนข่มขืนลูกตัวเอง ก็มีสาเหตุมาจากจิต

พระมงคลชัย กิตติโสภโณ

25 พ.ค. 2016

#คนผูกคอตาย คนฆ่าตัวตาย คนข่มขืนลูกตัวเอง ก็มีสาเหตุมาจากจิตไปยึดเกาะธาตุเหล่านี้ไว้ แทนที่จะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใคร่ควรพิจารณาว่า "สิงทั้งหลายทั้งปวงไม่เทียง อันใครๆไม่ควรไปยึดถือ"

เอาละเข้าเรื่องดีกว่า..
ผู้ที่เจริญวิปัสนา เป็นผู้รู้ผู้ดูเฉยๆ จะเห็นสภาวะผัสสะเป็นล้านๆ ที่ผ่านมาแล้วก็แก่ชรา และมรณะดับไป
สภาวะเป็นล้านๆแต่ไม่รู้จะเอาคำสมมุติบัญญัติทางโลกคำไหนมาบัญญัติให้พอให้ครบได้หมด

สภาวะพวกนี้เกิดจาก อายตนะภายในและอายตนะภายนอกประสานกัน
วิญญาณจะรู้สภาวะแล้วก็ดับไป ดวงใหม่ก็เกิดมาอีก รู้อีก แล้วก็ดับอีก ดวงใหม่เกิดขึ้นมาอีก รู้อีก แล้วก็ดับอีก เกิดๆดับๆไม่มีวันจบวันสิ้นเลย
วิญญาณทุกดวงเกิดขึ้นมาเพื่อดับ กลายเป็นอดีตหมด
ทุกสิ่งที่ถูกวิญญาญธาตุ รู้แล้วจะดับกลายเป็นอดีตพร้อมกับวิญญาณดวงนั้นที่รู้ มันจะดับเป็นคู่กันไปเลย
ผู้รู้ ถูกรู้
เกิดวิญญาณดวงที่หนึ่ง+สติ --->ตั้งที่ลูกตา เกิดการรู้เห็น รูปภาพ สี, แสง, แล้วก็ดับไปเป็นอดีตพร้อมกันทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
เกิดวิญญาณดวงที่สอง+สติ --->ตั้งที่หู มีการ รู้เสียง แล้วก็ดับไปเป็นอดีตพร้อมกันทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
เกิดวิญญาณดวงที่สาม+สติ --->ตั้งที่จมูก มีการ รู้กลิ่น แล้วก็ดับไปเป็นอดีตพร้อมกันทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
เกิดวิญญาณดวงที่สี่+สติ ---> ตั้งที่ลิ้น มีการ รู้รส แล้วก็ดับไปเป็นอดีตพร้อมกันทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
เกิดวิญญาณดวงที่ห้า+สติ ---> ตั้งที่กาย มีการ รู้สัมผัสทางกาย แล้วก็ดับไปเป็นอดีตพร้อมกันทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
เกิดวิญญาณดวงที่หก+สติ ---> ตั้งที่ใจ มีการ รู้ธรรมารมณ์ แล้วก็ดับไปเป็นอดีตพร้อมกันกับทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
ถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ไปตั้งที่ลูกตา
จะมีปรากฏธาตุภาพ
ธาตุเห็น ธาตุขยับ ธาตุเคลือนไหวเร็ว ธาตุเคลือนไหวช้า ธาตุแสง ธาตุจุดสี ธาตุสีเขียว ธาตุสีเหลือง ธาตุสีฟ้า ธาตุสีแดง ธาตุสีเงิน ธาตุสีชมพู ธาตุสีดำ ธาตุสีมวง ธาตุสีขาว ธาตุสีส้ม
ธุาตทรวดทรง ธาตุทรงกลม ธาตุทรงแบน ธาตุทรงโค้ง ธาตุทรงเอียง
ธาตุทรงเบี้ยว ธาตุทรงเป็นรู ธาตุทรงไม่เป็นรู

และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากตา ไปเกิดที่หู
จะมีปรากฏธาตุเสียง
ธาตุได้ยิน ธาตุเสียงสูง ธาตุเสียงต่ำ ธาตุเสียงดับ ธาตุเสียงเกิด ธาตเสรรเสิญ
ธาตุนินทา ธาตุไพเราะ ธาตุชม ธาตุไม่ไพเราะ ธาตุเสียงด่า

และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากหู ไปเกิดที่จมูก
จะมีปรากฏธาตุกลิ่น
ธาตุได้กลิ่น ธาตุกลิ่นหอม ธาตุกลิ่นเหม็น ธาตุกลิ่นฉุน ธาตุกลิ่นเน่า ธาตุกลิ่นตุ๋ๆ

และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากจมูกไปเกิดที่ลิ้น
จะมีปรากฏธาตุรส
ธาตุหวาน ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุขม ธาตุจืด ธาตุจาง ธาตุเผ็ด ธาตุกลมกล่อม ธาตุอุมะมิ

และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากลิ้นไปตั้งที่กาย
จะมีปรากฏธาตุโผฏฐัพพะ
ธาตุอ่อนนุ่ม ธาตุแหลม ธาตุคม ธาตุแข็ง ธาตุนิ่ม ธาตุชา ธาตุปวด ธาตุหิว ธาตุอิ่ม ธาตุธาตุร้อน ธาตุเย็น
ธาตุหนาว ธาตุสบาย ธาตุลมพัดเข้า ธาตุลมพัดออก ธาตุไม่สบาย

และถ้า(ผู้รู้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิญญาณขันธ์) ดับจากรูปขันธ์ ไปตั้งที่นามขันธ์
จะมีปรากฏธาตุธรรมารมณ์
ธาตุอยากเห็น ธาตุไม่อยากเห็น ธาตุอยากได้ยิน ธาตุไม่อยากได้ยิน
ธาตุอยากลิ่มรส ธาตุไม่อยากลิ่มรส ธาตุอยากถูกต้องผัสสะ
ธาตุไม่อยากถูกต้องผัสสะ ธาตุราคะ ธาตุโทสะ ธาตุโมหะดับ
ธาตุโกธร ธาตุเกลียด ธาตุเครียด ธาตุอาฆาต ธาตุลังเล ธาตุสงสัย
ธาตุชิงชัง ธาตุซึ่มเศร้า ธาตุอิจฉา ธาตุวิตกกังวล ธาตุหงุดหงิด
ธาตุหมั่นไส้ ธาตุโออวด ธาตุอยากประชด ธาตุร้อนใจ ธาตุเพ่งโทษ
ธาตุท้อแท้ ธาตุไม่พอใจ ธาตุระแวง ธาตุหวาดกลัว ธาตุง่วง ธาตุน้อยใจ
ธาตุเศร้าใจ ธาตุริเริ่ม ธาตุกล้าหาร ธาตุสนใจ ธาตุเสียใจ ธาตุขี้เกลียด ธาตุองอาจ ธาตุเกลียดคร้าน ธาตุหลับ ธาตุหมดสติ ธาตุตื่นรู้ ธาตุคิด
ธาตุยุ่ง ธาตุทุกข์ระทมใจ ธาตุรังเกลียด ธาตุหดหู่ ธาตุเศร้าหมอง ธาตุขุ่นเคือง ธาตุคับแค้น ธาตุชวนหัวเราะ ธาตุลำคาญใจ ธาตุอยากให้รู้
ธาตุไม่อยากให้รู้ ธาตุเสียใจ ธาตุห่วง ธาตุหวง ธาตุเบื่อ ธาตุอึดอัด
ธาตุเจ็บ ธาตุแสบ ธาตุคัน ธาตุอยากเกา ธาตุทุเลา ธาตุวุ่นวาย ธาตุฟุ้งซาน ธาตุอิ่มใจ ธาตุเอิบอิ่ม ธาตุกำลังใจ ธาตุซึมลง ธาตุอาย ธาตุปัจจุบัน
ธาตุเขิล ธาตุหวาดกลัว ธาตุตกใจ ธาตุมึนงง ธาตุนึกอดีต ธาตุนึกอนาคต ธาตุสับสน ธาตุอยากละ ธาตุไม่อยากละ ธาตุสงสัย ธาตุอยากเอา
ธาตุไม่อยากเอา ธาตุไม่ชอบ ธาตุเบา ธาตุว่าง ธาตุโปร่งโล่ง ธาตุเฉย ธาตุสงบ ธาตุนิ่ง ธาตุหนักใจ ธาตุอยากทำ ธาตุไม่อยากทำ ธาตุอาลัย ธาตุอาวร ธาตุสุข ธาตุอิ่มเอม ธาตุเกษม ธาตุปรีดา ธาตุปภัทสร ธาตุโสมนัส ธาตุโทมนัส ธาตุแช่มชื่น ธาตุชุมช่ำ ธาตุุเหงา ธาตุเบิกบาน ธาตุเหนื่อย
ธาตุสำราญใจ ธาตุปิติ ธาตุยินดี ธาตุปราโมทย์ ธาตุร่าเริง ธาตุดีใจ ธาตุคิดว่าเรา ธาตุคิดว่าเขา ธาตุถูกใจ ธาตุชื่นใจ ธาตุใจพองขึ้น

ผู้เรียนจิตตะสิกขา จะเห็นธาตุอารมณ์เป็นล้านๆ ทั้งที่เกิดจากวิบากกรรม และทั้งที่ไม่ได้เกิดจากวิบากกรรม ทั้งที่เกิดจากผัสสะในอินทรีย์ห้า(ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีใจเป็นที่หก
แต่ว่าใครจะมีปัญญาญาณแจ้งจริงๆว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่ถูกเรารู้ต่างหาก

พอถึงตรงนี้ ผัสสะไรจะมาก็ok ไม่ต่อต้าน ไม่ยึดถือ
แต่เมื่อใดเผลอขาดสติ ก็จะโง่ทันที คือยึดทันทีว่ามันกับเราเป็นอันเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

วันนี้ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒พระจันทร์เต็มดวง

วันนี้ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
พระจันทร์เต็มดวง
"#เทวดาชาวฟ้าคง สอดส่องดูมนุษย์ด้วยทิพย์จักษุ(ตาทิพย์)
คงเห็นเหตุการณ์ต่างๆกันในตอนกลางคืน
บางพวก พากันไปลอยกระทง
บางพวก พากันไปเล่นน้ำ  บางพวก กำลังเกี่ยวข้าว(รถเกี่ยว)
บางพวก ตั้งวงกินเหล้า
บางพวก ตีดกีต้าร้องเพลง ฉลองแสงจันทร์ฯ
บางพวก นอนป่วยอยู่โรงบาลใกล้จะสิ้นลม
บางพวก วันนี้จะรับกรรม คือเกิดอุบัติเหตุเพราะการเดินทาง
บางพวก เทวดาตายหมดบุญจุติลงมาเกิด
บางพวก 
ใจจะขาดตายวันนี้และไปตกนรก
บางพวก
ใจจะขาดตายวันนี้และไปเกิดบนสวรรค์
บางพวก กำลังใช้กรรมในนรก
บางพวก เปตรกำลังออกไปขอส่วนบุญจากญาติในโลกมนุษย์
บางพวก หมากำลังออกลูก
บางพวก กำลังส่งยาบ้ากัน
บางพวก กำลังผิดศีลข้อกาเม
บางพวก กำลังออกกะ เลิกงาน
บางพวก กำลังเข้ากะ ทำงาน บางพวก กำลังทำการบ้านเตรียมส่งครู

บางพวก กำลังเพ่งดูพระจันทร์ฝึกตาทิพย์
บางพวก
กำลังสวดมนต์นั่งสมาธิจนถึงสว่าง

บางพวกจมปลักถอยหลังเข้าคลอง เอาหัวมุดดินซ้ำเติมชีวิตตนเองที่เอาดีไม่ได้

บางพวกกำลังคิดจะใช้ชีวิตดำเนินไปทางที่เจริญ

บางพวกกำลังคิดจะใช้ชีวิตดำเนินไปทางที่เสื่อม

และ( ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ )
เป็นวันที่ท่านพระสารีบุตร
"นิพพาน" 
เป็นวันที่ท้าวมหาพรหม
ลงมาโลกมนุษย์
เป็นวันที่ ท้าวมหาราชทั้ง ๔
ลงมาโลกมนุษย์
๑. ท้าวเวสสุวัณ ( เทวดายักษ์)
๒. ท้าววิรูปักษ์ ( เทวดานาค)
๓. ท้าวฐตรฐ (เทวดาคนธรรพ์)
๔. ท้าววิรุฬหก (เทวดากุมภัณฑ์)

และเป็นวันที่พระสารีบุตรตอบแทนมารดาอย่างสูงสุด "แสดงธรรมให้ฟังจนบรรลุโสดาบัน"

ธรรมะคนค้าขาย

ซื้ออุปกรณ์ทำให้คนได้ฟังธรรมะ ครั้งใด... ที่ผ่านมาเจ้าของร้านนี้ลดให้ทุกที
พ่อค้าแม่ค้าที่ลดราคาสินค้าให้ลูกค้า
จะได้บุญในส่วนไหนหนอ?
บุญมี3ขั้น
๑.ทาน(การให้)
๒.ศีล(การมีเจตนารักษาศีล)
๓.ภาวนา(สมาธิสมถะ-วิปัสนา)
ก็ขอตอบว่า"ได้บุญในส่วนระดับ"ทาน"
การลดราคาให้ มันก็คืออาการของจิตที่ผลักความยึดมั่นถือมั่นออกนั่นเอง
คือลดความยึดมั่นในวัตถุธาตุในโลก ซึ่งไม่ใช่ของเรา
จิตจึงเบา =ผลลับที่ได้คือได้สะสมบุญในระดับทาน
แต่ถ้าสมมุติมีแม่ค้าพ่อค้าที่อยู่ตามตลาดนัด ถูกลูกค้าต่อราคา
แล้วแม่ค้าพ่อค้าโมโหโกรธในใจแต่ก็จำใจต้องลดให้โดยไม่เต็มใจเลย
อันนี้ไม่ได้บุญแต่จะได้บาปแล่นเข้าในจิตตัวเองแทน ...หายโกรธให้ใวๆเลย
ถึงสิ่งที่เอามาขายนั้นจะถูกกฏหมายก็ตาม
ต้องรีบรีบหายโกรธให้ใวเลย ไม่งั้นอาจไม่มีลูกค้าดีๆเข้าแน่
พ่อค้าแม่ค้าที่จิต มีความโกรธ โมโห
คืออยู่ในสภาพจิตที่ไม่ปกติ ใครๆที่เดินมาใกล้ๆ หรือลูกค้าเดินมา
ใกล้ๆเลือกซื้อของ จะรู้สึกไม่ดีในๆคืออารมณ์ภายในไม่ดีไปด้วย แบบงง
เพราะคนที่มีความโกรธกระแสจิตที่ไม่ดีจะแผ่ออกมา คนรอบข้างจะสัมผัสได้
ในๆ
ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้า จึงต้องฝึกให้จิตอยู่ในสภาวะปกติ แล้วแผ่กระแสจิตที่ดี
ก็คือพรหมวิหารสี่ เพื่อให้คนที่เดินมาหรือคนรอบข้าง รู้สึกดีไปด้วย
โอกาสที่จะดึงคนดีเข้ามาเลือกซื้อก็จะมีมาก
จะไม่เหมือนพวกแม่ค้าอารมณ์เสีย
ใครก็ไม่อยากเข้าไปใกล้ เพราะจิตคนกับจิตคนมันสื่อกันได้ ไม่มากก็น้อย
ยกตัวอย่างพวกกายทิพย์ มาใกล้เรา เช่นผี เช่นเปตร เป็นกายทิพย์แบบ
ไม่งาม
เช่น เทวดา เป็นกายทิพย์แบบละเอียดงดงาม
เช่นสัตว์นรก เป็นกายทิพย์แบบไม่น่าดูเห็นแล้วสลดสังเวส
ถึงเราจะมองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่บางคนสัมผัสได้ด้วยใจ
และรู้สึกขนลุกขนชันขึ้น
ฉะนั้นแม่ค้าพ่อ ต้องพยายามส่งกระแสความรักให้ลูกค้ามากๆ
# อันนี้คือทางธรรมน่ะเบื่องต้น ส่วนทางโลกเท่าที่ในหัวเคยผ่าน ก็คงต้องยิ้ม
พูดจาสุภาพ เสื้อที่ใส่เหมาะเข้าสภาพกันได้กับสิ่งที่ขาย และมีความรู้อธิ
บาย สิ่งที่ลูกค้า จะซื้อได
อย่างเช่น แม่ค้าขายผักคงต้องแต่งตัวแบบสภาพกลมกลืนกับอาชีพขายผัก
ไม่แต่งเหมือนพวกNitiponคลีนิค
อาชีพหมอ หรือพญาบาล ก็ต้องแต่งแบบชุดหมอชุดพญาบาล เพื่อให้ผู้ป่วย
มารักษา รู้สึกว่าสะอาดสะอานสดใสเหมือนคนไม่มีโรค คง
จะรักษาเราหายได้
หรือตำรวจจะมาแต่งแบบ พ่อค้าขายกล้วยทอด มันก็ดูไม่น่าเกรงขาม
ไม่เหมาะ
อาชีพช่างช่างรถ
ก็ต้องแต่งแบบคนซ่อมรถเสื้อผ้าต้องดูเปื่อนๆเหมือนกับเป็นคนที่คลุกคลีอยู่แต่ก
ับเรื่องพวกซ่อม ลูกค้าเห็นเขาจะได้ไว้ใจว่า นี่แหละเซียนสุดๆรู้ทุกอย่าง
เอาไปซ่อมเลยรถ
หรือขายเสื้อผ้า ก็ต้องแต่ตัวทันสมัยหน่อย
ให้เขารู้สึกหลังจากที่เห็นเราว่า เป็นคนมีความรู้เรื่องแต่งตัว รู้เรื่องเสื้อผ
้าแนวไหนๆหมด รู้แบบ รู้เนื้อผ้า
และก็อย่าแต่งโป
เราขายอุปกรณ์ไอที เราก็ควรแต่งตัวแบบให้เขาน่าเชื่อถือ ว่าเรานี่ดูเก่งมี
ความรู้ เชี่ยวชาน สามารถซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ อะไรได้
มีความรู้ แนะนำได้ฉะฉาน
ลูกค้าเขาจะไว้ใจเรา
# เท่าที่ในหัวเคยผ่านเรื่องพวกนี้น่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566

พระอาจารย์มงคลชัย กิตติโสภโณ พิจารณาหางบบุคคลมีเงินให้เงินตนเดินงานcdต่อ

ในวันหนึ่ง พระอาจารย์มงคลชัย กิตติโสภโณ พักอยู่ที่หลังกลมทางหลวงแขวง2 อุบล 
อยู่ในท่ายืนเดิน ไม่ได้ห่มจีวร 

พระมงคลชัย กิตติโสภโณ พิจารณาเรื่องงานแจกcd  ธรรมะที่ทำไฟล์ไว้แล้ว 
ต้องใช้เงินมาก ก็นึกถึง เฮียฮุยซึ่งเป็นผู้จัดการร้าน 7-11 คนหนึ่ง ใน เพชรบุรี ซอย5 ทุ่งพญาไท ราชเทวี กทม  ที่เคยไปทำงานด้วยในสมัยมัธยม  
 ในการจะขอเงินปัจจัยหลักล้าน มาเป็นส่วนทำcdธรรมะแจก ที่ดำเนินเดินงานไปแล้วในกลุ่ม ประเภท นักเรียน  นักศึกษามหาลัuniversity  นักศึกษาพวกช่าง  ครู พยาบาล หมอ คนในเมือง พระไทยทุกวัด


จึงมีpanจะเดินทางไปที่ 7-11 ร้านเฮียฮุย กลางวัน  แล้วเดินเข้าไปใน7-11 หาเฮียฮุย และใช้อิทธิปาฏิหาร พวกอภิญญา พร้อมกับพูดสนทนาด้วยกับเฮียฮุย ในเรื่องเบื้องต้นในการจะขอเงินหลักล้าน
มาเป็นส่วน งบทำcdแจก มีซอง ที่ดำเนินเดินงานไปแล้วในกลุ่ม นร นศ เมือง ครู หมอ พระไทย

 
และสักพัก พระอาจารย์มงคลชัย กิตติโสภโณ เดินไปดูสุสานจีน และพูดกับผี สุสานจีน  
เฮียฮุยเป็นเจ้าของ7-11พวกท่าน ไปหาบอกให้ ให้เฮียฮุยทำบุญหลักล้านมาที่ทำcd แจกหน่อย ใครเป็นเชื้อสายจีนเกี่ยวข้องกันกับเขา ไปบอกเขาด้วย

ต่อมาพระอาจารย์มงคลชัย กิตติโสภโณ กลับมาที่วัดพิมพ์แชทเฟ๊ชบุ๊กคุยกับครูนัฐ ถามเรื่องยาเภทษัท ปานะ  และก็ถามเรื่อง ทำเสียงอ่านพระไตรปิฎก มจร เป็นเสียงทุ่มกล้อง แล้วไรท์ลงแผ่นcdแจก วัดพระ พระทุกวัดในประเทศลาว
ว่าจะผิดลิขสิทธิ์ไหม ต้องขออนุญาติทางมจรก่อนไหม  จึงทราบว่า  แปลงไฟล์เสียงอ่านพระไตรปิฏก เป็นเสียงทุ่มกล้องไพเราะ แจก ไม่เอามาหากินเชิงพาณิตย์ แปลงไรท์แจกได้




  ซื้อ
กับใช้อภิญญา อิทธิปาฏิหาริย์ 

น้ำปานะ

น้ำปานะ
                   ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒
เรื่องเกณิยชฎิล
[๘๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดำเนินผ่านระยะทางโดยลำดับ เสด็จถึง อาปณนิคมแล้ว เกณิยชฎิลได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล เสด็จโดยลำดับถึงอาปณนิคมแล้ว ก็เพราะกิตติศัพท์อันงามของท่าน พระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรง เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของทวยเทพและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบาน แล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสั่งสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ ทวยเทพและมนุษย์ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรง ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ ทั้งหลายเห็นปานนั้นเป็นความดี. หลังจากนั้น เกณิยชฎิลได้ดำริว่า เราจะให้นำอะไรไปถวายพระสมณโคดมดีหนอ จึง ได้ดำริต่อไปว่า บรรดาฤษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤษีอัฏฐกะ ฤษีวามกะ ฤษีวามเทวะ ฤษีเวสสามิตตะ ฤษียมตัคคิ ฤษีอังคีรสะ ฤษีภารทวาชะ ฤษีวาเสฏฐะ ฤษีกัสสปะ ฤษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์มาก่อนพวกพราหมณ์ในบัดนี้ ขับตามกล่าวตามซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ ที่ท่านขับแล้วบอกว่า รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่กล่าวไว้บอกไว้ เป็นผู้เว้นฉันในราตรี งดฉันในเวลาวิกาล ฤษีเหล่านั้นได้ยินดีน้ำปานะเห็นปานนี้ แม้พระสมณะ โคดมก็เว้นฉันในราตรี งดฉันในเวลาวิกาล ก็ควรจะยินดีน้ำปานะเห็นปานนี้บ้าง แล้วสั่งให้ ตกแต่งน้ำปานะเป็นอันมาก ให้คนหาบไปถึงพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยพอให้เป็น ที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลอาราธนา พระผู้มีพระภาคว่า ขอท่านพระโคดมโปรดทรงรับน้ำปานะของข้าพระเจ้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เกณิยะ ถ้าเช่นนั้นจงถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่ยอมรับประเคน พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จงรับประเคนฉันเถิด ครั้งนั้น เกณิยชฎิลได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยน้ำปานะอันมากด้วยมือของตนจนยัง พระผู้มีพระภาคผู้ล้างพระหัตถ์ นำพระหัตถ์จากบาตรให้ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้เกณิยชฎิลผู้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา. ครั้งนั้น เกณิยชฎิลอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคว่า ขอท่านพระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ในวัน พรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนว่า เกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และท่านก็เลื่อมใส ยิ่งนักในหมู่พราหมณ์. เกณิยชฎิล ได้ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเป็นคำรบที่สองว่า แม้ภิกษุสงฆ์จะมีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และข้าพระพุทธเจ้าได้เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ขอท่าน พระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญ กุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนเกณิยะว่า ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และท่านก็เลื่อมใส ยิ่งนักในหมู่พราหมณ์. เกณิยชฎิล ก็ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเป็นคำรบสามว่า แม้ภิกษุสงฆ์จะมีมาก ถึง ๑,๒๕๐ รูป และข้าพระพุทธเจ้าได้เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ขอท่าน พระโคดมพร้อมภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญ กุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นเกณิยชฎิลทราบอาการ รับอาราธนา ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่งกลับไป.
พระพุทธานุญาตน้ำอัฏฐบาน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะทราง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือ องุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเหง้าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด. ครั้งนั้น เกณิยชฎิลสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต ณ อาศรมของตนโดยผ่าน ราตรีนั้น แล้วให้คนกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว ท่านพระโคดม ภัตตาหาร เสร็จแล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก แล้วถือบาตรจีวรเสด็จ พระพุทธดำเนินไปทางอาศรมของเกณิยชฎิล ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขา จัดถวาย พร้อมกับภิกษุสงฆ์ จึงเกณิยชฎิลอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยของ เคี้ยว ของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน จนพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ นำพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาค ได้ทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิลด้วยคาถาเหล่านี้ ว่าดังนี้:- [๘๗] ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นหัวหน้า สาวิตติฉันท์ เป็นยอดของฉันทศาสตร์ พระมหาราชเจ้าเป็นประมุขของ มนุษยนิกร สมุทรสาครเป็นประธานของแม่น้ำทั้งหลาย ดวงจันทร์ใหญ่กว่าดวงดาวนักษัตรในอากาศ ดวงภาณุมาศ ใหญ่กว่าบรรดาสิ่งของที่มีแสงร้อนทั้งหลาย ฉันใด พระ- *สงฆ์ ย่อมเป็นใหญ่สำหรับทายกผู้หวังบุญบำเพ็ญทานอยู่ ฉันนั้น. ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิล ด้วยคาถาเหล่านี้แล้ว ทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จกลับ.
เตรียมการต้อนรับพระพุทธเจ้า
[๘๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อาปณนิคมตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จ จาริกไปทางพระนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป. พวกมัลลกษัตริย์ชาวพระนครกุสินารา ได้ทรงทราบข่าวแน่ถนัดว่า พระผู้มีพระภาค กำลังเสด็จมาพระนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป มัลลกษัตริย์ เหล่านั้นได้ตั้งกติกาไว้ว่า ผู้ใดไม่ต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาค จะต้องถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์ สมัยนั้น โรชะมัลลกษัตริย์เป็นพระสหายของพระอานนท์ ครั้นพระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครกุสินาราแล้ว พวกมัลลกษัตริย์ชาวพระนครกุสินาราได้จัดการ ต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์รับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหา ท่านพระอานนท์ถึงที่พัก ทรงอภิวาทแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระอานนท์ได้ปราศรัยกะโรชะมัลลกษัตริย์ผู้ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ท่านโรชะ การรับเสด็จพระผู้มีพระภาคของท่านโอฬารแท้. โรชะมัลลกษัตริย์ตรัสว่า พระคุณเจ้าอานนท์ พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ ก็ดี ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าใหญ่โต พวกญาติต่างหากได้ตั้งกติกาไว้ว่า ผู้ใดไม่ต้อนรับเสด็จพระผู้มี พระภาค จะต้องถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์ ข้าพเจ้านั้นแลได้ต้อนรับเสด็จพระผู้มี พระภาคเช่นนี้ เพราะกลัวพวกญาติปรับสินไหม. ทันใดท่านพระอานนท์แสดงความไม่พอใจว่า ไฉน โรชะมัลลกษัตริย์จึงได้ตรัสอย่างนี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูล คำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า โรชะมัลลกษัตริย์ผู้นี้ เป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จักมาก และความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ ของคนที่มีผู้รู้จักมากเช่นนี้ มีอิทธิพลมากนัก ขอประทาน พระวโรกาส ขอพระองค์ทรงกรุณาโปรดบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ด้วย เถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ การที่จะบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสใน พระธรรมวินัยนี้นั้น ตถาคตทำได้ไม่ยากเลย. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปยังโรชะมัลลกษัตริย์ แล้วทรงลุกจากที่ ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ อันพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคถูกต้องแล้ว ได้เที่ยวค้นหาตามวิหาร ตามบริเวณทั่วทุกแห่ง ดุจโคแม่ลูกอ่อน แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า เวลานี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน เพราะข้าพเจ้าใคร่จะเฝ้าพระองค์. ภิกษุทั้งหลายถวายพระพรว่า ท่านโรชะ พระวิหารนั่นเขาปิดพระทวารเสียแล้ว ขอท่าน โปรดสงบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหารนั้น ค่อยๆ ย่องเข้าไปที่หน้ามุข ทรงกระแอมแล้ว ทรงเคาะพระทวารเถิด พระผู้มีพระภาคจักทรงเปิดพระทวารรับท่าน ถวายพระพร.
โรชะมัลลกษัตริย์ได้ธรรมจักษุ
ขณะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ทรงสงบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหารซึ่งปิดพระทวารเสีย แล้วนั้น ค่อยๆ ย่องเข้าไปที่หน้ามุข ทรงกระแอมแล้วเคาะบานพระทวาร พระผู้มีพระภาค ทรงเปิดพระทวารรับ จึงโรชะมัลลกษัตริย์เสด็จเข้าพระวิหาร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่โรชะมัลลกษัตริย์ คือ ทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกาม ทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม ขณะเมื่อพระองค์ทรงทราบว่า โรชะมัลลกษัตริย์ มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศ พระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้บังเกิดแก่โรชะมัลลกษัตริย์ ณ สถานที่ ประทับนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ได้ทรงเห็นธรรมแล้ว ได้ทรงบรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้ง ได้หยั่งลงสู่ธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้องอาจไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ขอประทานพระวโรกาส ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ของข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียว อย่ารับของ คนอื่น. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโรชะ แม้อริยบุคคลผู้ได้เห็นธรรมแล้วด้วยญาณของ พระเสขะ ด้วยทัสสนะของพระเสขะเหมือนอย่างท่าน ก็คงมีความปรารภอย่างนี้ว่า โอ พระคุณเจ้าทั้งหลายคงกรุณารับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของพวกเรา เท่านั้น คงไม่รับของผู้อื่นเป็นแน่ เพราะฉะนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจักรับปัจจัยของท่านด้วย ของคนอื่นด้วย. ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนทั้งหลายได้จัดตั้งลำดับภัตตาหารอันประณีตไว้ที่นครกุสินารา ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ไม่ได้ลำดับที่จะถวายภัตตาหารจึงได้ทรงดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงตรวจดู โรงอาหาร สิ่งใดไม่มีในโรงอาหาร เราพึงตกแต่งสิ่งนั้นถวาย ครั้นแล้วทรงตรวจดูในโรงอาหาร ไม่ทอดพระเนตรเห็นของ ๒ อย่าง คือผักสด ๑ ของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ๑ จึงเสด็จเข้าไปหา ท่านพระอานนท์ ครั้นแล้วได้ทูลหารือว่า ท่านพระอานนท์เจ้าข้า เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้ลำดับที่จะ ถวายภัตตาหาร ณ สถานที่แห่งนี้ ได้มีความดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงตรวจดูโรงอาหาร สิ่งใด ไม่มีในโรงอาหาร เราพึงตกแต่งสิ่งนั้นถวาย ท่านพระอานนท์เจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นเมื่อตรวจดู โรงอาหาร ไม่ได้เห็นของ ๒ อย่าง คือผักสด ๑ ของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ๑ หากข้าพเจ้าพึง ตกแต่งผักสดและของขบฉันที่ทำด้วยแป้งถวาย พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงรับของข้าพเจ้าหรือไม่ เจ้าข้า? ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า ท่านโรชะ ถ้ากระนั้นอาตมาจะทูลถามพระผู้มีพระภาคดู แล้วได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ ถ้าเช่นนั้นจงให้เขาตกแต่งเถิด. ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า ท่านโรชะ ถ้ากระนั้น ท่านจงตกแต่งถวาย. โรชะมัลลกษัตริย์ จึงสั่งให้ตกแต่งผักสด และของขบเคี้ยวที่ทำด้วยแป้งเป็นอันมาก โดยผ่านราตรีนั้นแล้ว น้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคพลางกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงโปรด รับผักสด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ของข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโรชะ ถ้าเช่นนั้น จงถวายภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย รังเกียจ ไม่รับประเคน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิด. ขณะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยผักสด และของ ขบฉันที่ทำด้วยแป้งมากมาย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ จนยังพระผู้มีพระภาคผู้ล้างพระหัตถ์แล้ว ทรงนำพระหัตถ์จากบาตร ให้ห้ามภัตแล้ว ได้ประทับเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้โรชะมัลลกษัตริย์ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
พระพุทธานุญาตผักและแป้ง
ภายหลังพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาแล้ว ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผักสดทุกชนิด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้งทุกชนิด.

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๒๓๖๔-๒๕๑๙ หน้าที่ ๙๖ - ๑๐๒. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=2364&Z=2519&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?item=86&book=5              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=5&siri=24              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=5&i=86              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_read.php?B=5&A=2525              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรโรมัน :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_read.php?B=5&A=2525              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๕ http://84000.org/tipitaka/read/?index_5

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com

ทำธุรกิจอะไรดี ถึงจะรุ่ง ถึงจะมั่นคง? ต่อไปขายน้ำดีปะ


ทำธุรกิจอะไรดี ถึงจะรุ่ง ถึงจะมั่นคง? ต่อไป

ขายน้ำดีปะ 

#555คิดเล่นๆ

_____

ใครที่จะไปทำงาน ก็ขอให้ได้งานดีๆค่าแรงวันละ900ไปเลย

และดูงานดีๆด้วยก่อนจะทำว่าเราเหมาะกับงานแบบไหน จะได้ไม่เสียเวลา

______

ตั้งแต่ เฟสบุ๊กเข้ามา เพื่อนๆเคยคิดจะไปดู Hi5 ที่เคยเล่นเมื่อก่อนไหมครับ

มันอาจจะมีบางคน ทักๆฝากข้อความ ถามหาหา๑ อยู่ก็ได้ พยามยามหาทางติดต่อกับคุณอยู่ เคยคิดจะไปดูกันเปล่า ^___^

______


วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566

พระอาจารย์มงคลชัย พิจารณารูปในหลวง ร9

พระอาจารย์มงคลชัย พิจารณารูปในหลวง ร9
ในโบสถ คนเดียว Smartphone mobile IQ5.7
 รูปสมัยเด็กมาจนรูปอายุเยอะแล้ว แล้วพิจารณาว่ารูปในหลวงเด็กมาเรื่อยๆ สลดใจ และดูในมโนทวารตน

พระอาจารย์มงคลชัยเห็นรูปนลวแล้ว
ดูรูป สมัยเด็ก ดูตรงศรีษะ มีตามีหูมีจมูก แ
ละดูรวมๆของร่างทางกาย ดูร่างกาย ดูรูปไป ในหลวงช่วงเด็กเป็นแบบนี้ๆมา มาเรื่อยๆจนโตแก่ 
ความไม่เที่ยงของวัยอายุ มาเรื่อยๆ หลายรูป
ขนาดในหลวงวัยยังเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน
สลด ถึงความไม่เที่ยงของร่างกายของในหลวง
อนุโลมพร้อมกับภาพในSmart phone  ปฏิโลมพิจารณาในใจรูปช่วงเด็กเปลี่ยนวัยมาเรื่อยๆเฉพาะในหลวง  และสลด ในหลวงสมัยเด็ก ยังวัยเปลี่ยนมาเป็นวัยปัจจุบันแก่ชรา